ผู้กล้าเหนือกาลเวลาบทที่ 67 เลยเส้นแดงแล้ว!

Now you are reading ผู้กล้าเหนือกาลเวลา Chapter บทที่ 67 เลยเส้นแดงแล้ว! at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 67 เลยเส้นแดงแล้ว!

สังหารหัวหน้าคนร้ายจะได้แปดสิบหินวิญญาณ กระทั่งจินตนาการได้ว่าจะต้องได้คุณงามความชอบที่ไม่ธรรมดาแน่นอน

หากสวี่ชิงไม่ได้เจอหัวหน้าคนร้ายคนนี้ ไม่มีโอกาสลงมือก็แล้วไป

แต่เขาโจมตีอีกฝ่ายจนบาดเจ็บสาหัส ใกล้จะจับได้อยู่แล้วแต่อีกฝ่ายกลับฝืนโจมตีตนแย่งความดีความชอบ เรื่องแบบนี้ทำให้จิตสังหารลอบตลบอวลในดวงตาสวี่ชิง

แต่ไล่ตามไปตอนนี้ก็ไม่ทันแล้ว อีกทั้งมือใหญ่สีฟ้าที่แปลงมาจากของวิเศษอักขระก็พุ่งมาอย่างรวดเร็วอยู่ข้างหลังสวี่ชิงแล้ว

เห็นเด็กหนุ่มเผ่าเงือกจะทำการสำเร็จแล้ว สวี่ชิงประสานปางมือทันที ทันใดนั้นข้างกายเด็กหนุ่มเผ่าเงือกก็มีหยดน้ำมหาศาลหลอมเป็นแมงกะพรุนตัวมหึมาตัวหนึ่งพุ่งไปหาอย่างรวดเร็ว

“ลูกไม้ตื้นๆ!”

เด็กหนุ่มเผ่าเงือกแค่นเสียงหัวเราะ ร่างไม่หยุดชะงักแม้แต่นิดเดียว แสงประกายนอกร่างเพียงกะพริบวูบ ก็มีการป้องกันชั้นหนึ่งปรากฏขึ้น ปล่อยให้แมงกะพรุนเข้าใกล้โจมตี ความแข็งแกร่งของการป้องกันทำให้แมงกะพรุนที่เข้ามาแตกสลายไปเอง

แต่เห็นได้ชัดว่าเขาดูแคลนแมงกะพรุนของสวี่ชิงไปแล้ว

จากการแตกสลายไป หยดน้ำนับไม้ถ้วนที่แปรเปลี่ยนเป็นแมงกะพรุนไม่ได้สลายตามไปด้วย ทว่ากลับรวมตัวกันอย่างรวดเร็วแล้วก่อเป็นตาข่ายขนาดใหญ่คลุมเด็กหนุ่มเผ่าเงือก ตรึงเขาไว้อยู่ที่ตรงนั้นอย่างแน่นหนา

ภาพนี้ทำให้เด็กหนุ่มเผ่าเงือกขมวดคิ้ว ความเร็วลดลงเล็กน้อย พลาดโอกาสจับตัวหัวหน้าคนร้าย ทำให้อีกฝ่ายหนีห่างออกไปได้สามจั้ง

สวี่ชิงอาศัยโอกาสนี้ ร่างพลันพุ่งทะยานออกไป ไม่หลบหลีกมือใหญ่ที่พุ่งมาอย่างรวดเร็วข้างหลังเลย ปล่อยให้มือใหญ่ที่แปลงมาจากของวิเศษอักขระชนร่างของตัวเอง

เสียงตูมดังสนั่น

สวี่ชิงเลือดไหล แต่อาศัยการโจมตีของมือนี้เพิ่มความเร็วให้กับร่างกาย พุ่งออกไปได้เร็วยิ่งขึ้นในทันที เพียงเสี้ยวพริบตาก็แซงเด็กหนุ่มเผ่าเงือกไป แปรเปลี่ยนเป็นรอยเงาพุ่งตรงไปหาหัวหน้าคนร้าย

ในเสี้ยวพริบตาที่เข้าไปใกล้ มือขวาของเขาก็ยกขึ้นอย่างรวดเร็ว เหล็กแหลมสีดำทอประกายเย็นเยือกแวววาบวูบวาบ

แต่ในตอนนี้เด็กหนุ่มเผ่าเงือกคนนั้นก็ฟันพันธนาการขาด ประกายเย็นเยือกในดวงตากะพริบวูบ มุมปากเผยรอยยิ้มเยาะ เพียงสะบัดมือมีดวงเดือนที่บินไปหาสวี่ชิงเมื่อครู่ก็พุ่งมาอย่างรวดเร็ว เกิดเป็นเสียงน่าตกใจ ชิงนำหน้าสวี่ชิง พุ่งไปหาหัวหน้าคนร้ายอย่างเร็วรี่

ใกล้จะเข้าไปถึงแล้วเต็มที…

ในจังหวะสำคัญนี้เอง เหล็กแหลมสีดำก็แปรเปลี่ยนเป็นประกายแสงสีดำก็ประดุจสายฟ้าสีดำ ก็ชิงนำหน้ามีดวงเดือนไปอย่างราบรื่นไร้การต้านทานด้วยความเร็วที่เร็วยิ่งกว่าท่ามกลางเสียงแหวกอากาศที่แสบแก้วหู แล้วแทงเข้าไปที่ท้ายทอยของหัวหน้าคนร้ายทะลุส่วนหัว ปลายแหลมคมโผล่ทะลุหว่างคิ้ว!

มีดวงเดือนประชิดเข้าไปอย่างรวดเร็ว ตัดคอของหัวหน้าคนร้ายท่ามกลางเสียงร้องโหยหวนน่าสังเวชที่ดังออกมาทำให้หัวของเขาบินลอย เลือดสดๆ พุ่งกระฉูด สิ้นลมหายใจตาย!

สวี่ชิงไม่สนใจมีดวงเดือน ความเร็วไม่ลดลงแม้แต่น้อย ทะยานร่างไปคว้าหัวของหัวหน้าคนร้าย คราวนี้ถึงได้หยุดลง หมุนตัวไปมองเด็กหนุ่มเผ่าเงือกที่ตอนนี้สีหน้าย่ำแย่ข้างหลังอย่างเย็นชา

“เจ้าเป็นตัวอะไรถึงได้กล้ามาแย่งความดีความชอบของข้า” ไม่รอให้สวี่ชิงพูด เด็กหนุ่มเผ่าเงือกคนนั้นก็กัดฟันกรอดๆ เอ่ยขึ้น

จิตสังหารในดวงตาของเขารุนแรงเป็นอย่างยิ่ง ยกมือรับมีดวงเดือนที่บินกลับมา จิตสังหารลอยตลบทั่วร่าง ดวงตาสีเขียวฉายแววเหี้ยมเกรียม เดินมาทางสวี่ชิงทีละก้าวๆ

ดวงตาสวี่ชิงที่ในมือถือหัวของหัวหน้าคนร้ายก็มีจิตสังหารเช่นกัน เขาไม่พูดอะไร แต่ร่างกายกลับตั้งท่าพร้อมจะลงมือแล้ว ยิ่งแอบบีบลูกกลอนพิษเม็ดหนึ่งแหลก อาศัยลมพัดกระจายไป

ในขณะเดียวกันใต้เท้าของเขาก็มีเงาที่ไม่มีใครเห็นก็แผ่ลามไปข้างหน้าอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว เด็กหนุ่มเผ่าเงือกคนนี้แค่ก้าวออกมาข้างหน้าเพียงอีกก้าวเดียวก็จะเหยียบไปที่เงาแล้ว

หากเพียงเหยียบเข้ามา เงาจะปะทุขึ้นทันที สวี่ชิงก็จะลงมือทันทีเช่นกัน

เขามีความมั่นใจว่าตัวเองสามารถสังหารอีกฝ่ายได้ในเวลาสั้นๆ จากการบุกเข้ามาโจมตีอย่างกะทันหันนี้

แต่ในเสี้ยวพริบตาที่เท้าซ้ายของเด็กหนุ่มเผ่าเงือกยกขึ้นใกล้จะเหยียบย่างลงมา และจิตสังหารในดวงตาสวี่ชิงจะปะทุออกมา เสียงหัวเราะเย็นเสียงหนึ่งก็ดังลอยออกมาจากหมอก

“แล้วเจ้าเป็นตัวอะไรถึงได้กล้ามาชิงความดีความชอบของกองหกข้า”

นายกองหกกินผิงกั่วพลางเดินออกมาจากในหมอก กินไปด้วยเดินไปด้วยท่ามกลางเสียงที่ดังสะท้อน ส่วนข้างหลังของเขาเป็นสมาชิกกองหกสามสี่คน หายไปสี่คน ในมือของทุกคนต่างถือหัวคนเอาไว้ ท่าทางดุดัน

โดยเฉพาะนายกอง กลิ่นเลือดบนร่างรุนแรงมาก ประกายเย็นเยียบในดวงตาเหมือนจะหลอมเป็นวัตถุจริงได้ ทำให้อากาศรอบๆ แข็งค้างไปชั่วขณะ

ร่างของเด็กหนุ่มเผ่าเงือกชะงักไป เท้าไม่ได้เหยียบลงมา แต่กลับไปเหยียบลงที่เดิม ก่อนจะหันไปมองคนของกองหก ในขณะที่เงียบนิ่งไปสามสี่อึดใจ สมาชิกของกองสามที่อยู่ในหมอกก็ทยอยตามมา

ท่ามกลางบรรยากาศที่ตึงเครียดมากๆ ของทั้งสองฝ่าย เด็กหนุ่มเผ่าเงือกก็แค่นหัวเราะขึ้นมา หันกลับไปจ้องสวี่ชิงอย่างเย็นชา จิตสังหารยังคงมีอยู่

“เจ้าเก็บชีวิตของตัวเองเอาไว้ได้ชั่วคราว แต่เรื่องนี้ข้าจำเอาไว้แล้ว” พูดพลางสะบัดแขนเสื้อนำคนจากไป

สวี่ชิงเก็บงำแววตาลง ยืนอยู่ตรงนั้นด้วยสีหน้าสงบนิ่ง ไม่พูดอะไร

“ทำได้ไม่เลว” หลังจากเด็กหนุ่มเผ่าเงือกจากไป นายกองหกก็หัวเราะพลางเดินมาข้างๆ สวี่ชิง เดินวนรอบตัวเขารอบหนึ่งพลางมองหัวคนในมือของสวี่ชิง ก็หัวเราะเอ่ยขึ้นมา

จากนั้นก็ยื่นผลผิงกั่วให้สวี่ชิง

“มา ข้าเลี้ยง”

สวี่ชิงใช้มือซ้ายรับไว้ ก่อนจะกัดลงไปหนึ่งคำ รสชาติยังคงหอมหวานเช่นเดิม มีเพียงกลิ่นคาวเลือดในปากผสมปนเปเพิ่มขึ้นมา หลังจากสวี่ชิงกลืนมันลงไปก็เงยหน้ามองไปยังทิศที่เด็กหนุ่มเผ่าเงือกจากไป

ตอนนี้สมาชิกกองหกที่อยู่รอบๆ ต่างฮึกเหิมยินดี

“หัวหน้าฆ่าหัวหน้าคนร้ายไปได้คนหนึ่ง สวี่ชิงก็ฆ่าไปได้คนหนึ่งเหมือนกัน ครั้งนี้พวกเรารวยแล้ว!”

“หินวิญญาณยี่สิบก้อนเป็นอย่างน้อย ฮ่าๆ งานใหญ่ครั้งนี้คุ้มค่าแล้ว!”

“สวี่ชิง พวกที่เจ้าฆ่า พวกเราช่วยเจ้าเก็บเรียบร้อยแล้ว คนของนกเขาราตรีที่เจ้าฆ่าแยกง่าย พวกที่ถูกปาดคอคือของเจ้า”

มองสมาชิกที่ปกติต่างเย็นชาใส่กัน วันนี้ดีใจอย่างจริงใจถึงเพียงนี้หาได้ยากยิ่ง ความรู้สึกสมัครสามานสามัคคีทำให้นายกองพอใจมาก เหมือนลืมไปแล้วว่าตายไปหลายคน เขาโบกมือ

“เลิกกอง!”

คนกลุ่มหนึ่งเก็บเอาสินสงครามของตัวเองไปจากคฤหาสน์ท่ามกลางเสียงพูดคุยหัวเราะที่น้อยนักจะมี เดินไปยังกรมปราบพิฆาตท่ามกลางความมืด ในดวงตาของสมาชิกที่มองสวี่ชิงในระหว่างทางล้วนแฝงความเคารพนิดๆ

ไม่ใช่ว่าใครก็มีพลังแท้จริงไปสังหารหัวหน้าคนร้ายได้อย่างนายกอง และไม่ใช่ว่าใครจะกล้าไปแย่งชิงความดีความชอบกับนายกองกองอื่น

ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นความดีความชอบของใครก็ไม่สำคัญ ชิงมาได้ในมือก็บ่งบอกถึงความแข็งแกร่งของสวี่ชิงแล้ว

สวี่ชิงเคยชินกับการอยู่ข้างหลัง ส่วนนายกองก็เดินช้าลงหลายก้าว ดังนั้นจึงอยู่ข้างๆ สวี่ชิง ยื่นของวิเศษอักขระสีฟ้าแผ่นหนึ่งไปให้ นั่นเป็นยันต์มือผีที่หัวหน้าคนร้ายนกเขาราตรีสำแดงออกมาโจมตีสวี่ชิงก่อนจะตายเมื่อสักครู่นี้

ยันต์มือผีก็กลายเป็นสินสงครามจากการตายของเขา แต่ความเสียหายมีมากมาย ท่าทางเหมือนจะใช้ได้อีกแค่ครั้งสองครั้งเท่านั้นแล้ว

“เก็บไว้เถอะ นี่เป็นสิ่งที่เจ้าควรได้”

สวี่ชิงค่อนข้างประหลาดใจ รับมาเงียบๆ พลางมองนายกอง และสีหน้าของนายกองตอนนี้ก็มีความหมายล้ำลึก

“เมื่อครู่ข้ามาเร็วไปหรือ”

สวี่ชิงไม่พูดอะไร

“ตรงนั้นคนเยอะเกินไป ไม่ใช่คนของกรมปราบพิฆาต แต่เป็นผู้คุมกฎต่างเผ่าที่แฝงตัวมา จะฆ่าก็ใช่ว่าจะฆ่าไม่ได้ แต่อย่างไรเขาก็เป็นพันธมิตร ถึงเผ่าเงือกจะมีคนที่ขวางโลกกลับกลอก ได้ยินว่าเมื่อหลายปีก่อนก็คิดจะก่อกบฏ แต่พวกตาแก่บนเขาพบเข้าเสียก่อน ดังนั้นจึงอาศัยเรื่องนี้สะกดเอาไว้ แต่จะอย่างไรก็เป็นพันธมิตรกัน ลงมือตรงๆ ไม่ดีนัก

“ปลาตัวนั้นก็ไม่รู้ว่าทำอะไร มักจะชอบปลีกตัวออกจากผู้คุมกฎของเผ่าตัวเอง ออกไปไหนตามลำพังบ้างเป็นบางครั้ง…” นายกองรอยยิ้มสว่างสดใสนัก

สวี่ชิงคล้ายครุ่นคิดอะไร เก็บยันต์มือผีลงไป แล้วหยิบสาลี่ออกมาจากถุงหนังสองผล ลูกหนึ่งยื่นให้นายกอง ลูกหนึ่งตัวเองกัดไปคำหนึ่ง จู่ๆ ก็ถามขึ้นว่า

“นายกอง โครงสร้างร่างกายของต่างเผ่าแตกต่างกับเผ่ามนุษย์เรามากใช่หรือไม่”

นายกองค่อนข้างตกใจที่สวี่ชิงให้ผลไม้กับตัวเอง ดังนั้นจึงรับมา โยนเล่นในมือสามสี่ทีแล้วยิ้ม

“ต่างกันอยู่บ้างจริงๆ นั่นแหละ ยกตัวอย่างเช่นพิษ พิษที่มนุษย์เราทนไม่ได้มีหลายอย่าง สำหรับต่างเผ่าแล้วกลับไม่มีผลใดๆ กลับกัน ยาบำรุงบางอย่างสำหรับต่างเผ่าแล้วกลับถึงแก่ชีวิต”

สวี่ชิงมองนายกอง นายกองก็มองเขา ล้วนไม่พูดอะไรกันอีก

ในดวงตาอันสงบนิ่งของสวี่ชิงมีความเย็นยะเยือกกลุ่มหนึ่งกำลังก่อตัวขณะเดินไปข้างหน้า นิสัยของเขาจะมีเส้นแดงเส้นหนึ่ง หากถูกแตะเข้า เช่นนั้นเขาจะต้องหาวิธีทุกวิถีทางจัดการกับอันตรายเสีย แม้ด้วยเงื่อนไขและพลังจะไม่สามารถทำได้ แต่เขาก็จะจำเอาไว้ให้ขึ้นใจ เหมือนก้างปลาติดอยู่ในคอ ไม่กำจัดก็ยากจะเป็นสุข

เส้นแดงเส้นนี้คือความปลอดภัยของชีวิตเขา

ที่ถ้ำยาจกเป็นเช่นนี้ ที่ฐานที่มั่นคนเก็บกวาดเป็นเช่นนี้ ที่เมืองเจ็ดเนตรโลหิตก็เป็นเช่นนี้เช่นกัน

สำหรับสวี่ชิง ความแตกต่างก็คืออยู่ที่นี่ต้องหาโอกาสอย่างระมัดระวังรอบคอบยิ่งขึ้น ยิ่งต้องลงมือสังหารอย่างเด็ดเดี่ยวไม่ลังเล

เด็กหนุ่มเผ่าเงือกคนนั้นแตะเส้นแดงของเขาอย่างรุนแรงแล้ว รุนแรงกว่าตาแก่ที่ถนนทองผุด ถึงระดับเดียวกับบรรพจารย์สำนักวัชระแล้ว

ดังนั้นเขาอยากจะหาวิธีฆ่าอีกฝ่าย

ดังนั้นสวี่ชิงจึงนิ่งเงียบ หลังจากที่กองหกปฏิบัติภารกิจเสร็จ แยกย้ายกันที่กรมปราบพิฆาตแล้ว เขาไม่ได้กลับไปที่เรือเวทของตัวเองเลยในทันที แต่ไปซ่อนตัวอยู่บริเวณใกล้ๆ กับกรมปราบพิฆาต เฝ้ารออยู่เงียบๆ

หลังจากนั้นหนึ่งชั่วยาม เขาก็เห็นเงาร่างของเด็กหนุ่มเผ่าเงือก

แต่อีกฝ่ายไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว เขาเห็นจิตสังหารเป็นกลุ่มๆ ซ่อนอยู่รางๆ รอบๆ กลุ่มที่ใหญ่ที่สุดให้ความรู้สึกเหมือนเป็นระดับสร้างฐาน จากการสังเกตอย่างระมัดระวังของสวี่ชิง นี่ทำให้เขายิ่งระมัดระวังขึ้นไปอีก

ในขณะเดียวกัน บนร่างของเด็กหนุ่มเผ่าเงือกก็ไม่มีร่องรอยของการโดนพิษจริงๆ

สวี่ชิงมั่นใจว่าตัวเองวางพิษแล้วจริงๆ นี่หมายความว่าคำพูดของนายกองมีเหตุผล รวมกับข้างกายของอีกฝ่ายมีผู้แข็งแกร่งคุ้มกัน ดังนั้นสวี่ชิงจึงไม่ฝืนสะกดรอยตาม แต่วิเคราะห์ทิศทางคร่าวๆ ก่อนจะหมุนตัวจากไป

คืนนี้ ภารกิจเผด็จศึกนกเขาราตรีของยอดเขาที่เจ็ดเสร็จสิ้นสมบูรณ์อย่างงดงาม ที่กบดานทั้งสิบเจ็ดแห่งที่ท่าเรือถูกจัดการจนสิ้น พร้อมทั้งขั้วอำนาจที่เกี่ยวพันกับนกเขาราตรีขั้วอำนาจอื่นๆ ก็ถูกลูกศิษย์ที่กรมปราบพิฆาตมอบหมายขุดรากถอนโคนในคืนนี้เช่นกัน

รองเจ้ากรมทั้งหลายก็ออกโรงลงมือเอง สังหารผู้แข็งแกร่งของนกเขาราตรีไปหลายคน เขตอื่นๆ ก็เช่นเดียวกัน

ปฏิบัติการครั้งนี้ นกเขาราตรีตายไปเกือบสองพันคน จำนวนคนของขั้วอำนาจที่เกี่ยวข้องที่ถูกกวาดล้างมากยิ่งกว่านั้น ส่วนหัวคนทั้งหมดล้วนถูกแขวนไว้ที่กำแพงเมืองในวันที่สอง กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง เขย่าขวัญสยบทั่วทิศ

แต่ว่าการบาดเจ็บล้มตายของกรมปราบพิฆาตก็ไม่น้อยเช่นกัน ลูกศิษย์ตายไปสามร้อยกว่าคน ในนั้นรวมถึงชายหญิงที่สวี่ชิงเจอที่หน้าประตูในวันที่มารายงานตัววันแรกที่กรมปราบพิฆาตยอดเขาที่เจ็ดด้วย

แต่สรุปแล้วผลของวีรกรรมเฉิดฉายนัก ขั้วอำนาจต่างๆ ในเมืองหลักก็สงบลงไปบ้างจากเรื่องนี้ ดังนั้นหลายวันต่อมาจากนั้นส่วนมากก็ล้วนยำเกรง การแย่งชิงระหว่างลูกศิษย์กันเองก็สงบลงไปไม่น้อยเช่นกัน

อีกทั้งรางวัลจากการปฏิบัติครั้งนี้ก็แจกจ่ายลงมาอย่างรวดเร็ว สวี่ชิงได้หินวิญญาณถึงร้อยสามสิบก้อน ร่ำรวยอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน นี่ทำให้เขายิ่งระแวดระวังผู้ละโมบจากบริเวณรอบๆ ยิ่งขึ้น จิตสังหารในใจพวยพุ่ง

ใครเข้ามาแย่งเขาก็จะฆ่าคนนั้น

และเมื่อมีหินวิญญาณจำนวนมากอยู่ในมือ สวี่ชิงก็รู้สึกว่าวัตถุดิบหลอมเรือที่ตัวเองเคยถูกใจก่อนหน้านี้ก็เหมือนว่าคุณสมบัติจะแย่ไปนิด ไม่ได้ดีขนาดนั้นแล้ว ดังนั้นจึงขบคิดว่าจะซื้อวัตถุดิบที่ดีกว่านั้นมาเพิ่มความแข็งแกร่งให้เรือของตัวเองดีหรือไม่

ในขณะเดียวกัน สองวันนี้สวี่ชิงก็จับตามองเด็กหนุ่มเผ่าเงือกคนนั้นเป็นพิเศษ สะกดรอยตามหลายครั้ง แต่ผู้คุมกฎของอีกฝ่ายมักจะอยู่ด้วย สวี่ชิงจึงยังหาโอกาสไม่ได้

แต่เขาไม่รีบ เขามีความอดทน

จวบจนผ่านไปสามวัน บ่ายของวันนี้ เป็นวันพักของสวี่ชิง เขากำลังฝึกบำเพ็ญที่เรือเวท ในแผ่นหยกสื่อเสียงของเขาก็มีคนส่งคำเชิญมา

คนที่ส่งคำเชิญมาก็คือโจวชิงเผิง ลูกศิษย์บ้านรวยที่เข้ามายังยอดเขาที่เจ็ดรอบเดียวกันตอนนั้น

“ศิษย์น้องสวี่ชิง ในที่สุดข้าก็หาแมงดาพรายปรารถนามาได้แล้ว แต่มีไม่มากเท่าไร มีเพียงแค่สองตัวเท่านั้น นอกจากนั้น หลังจากพวกเราเข้าสำนักมาแล้วก็ห่างเหินกันนัก ดังนั้นคืนนี้ข้าจึงเชิญหลี่จื่อเหมยและสวี่เสี่ยวฮุ่ยด้วย พวกเรามาร่วมรับประทานอาหารด้วยกันเป็นอย่างไร ข้าจะเอาแมงดาพรายปรารถนาไปให้เจ้าด้วยเลย”

คำพูดคำจาจริงใจ

สวี่ชิงขบคิด หลังจากพบว่าเด็กหนุ่มเผ่าเงือกไม่ถูกพิษ เขาก็อยากได้แมงดาพรายปรารถนามาทดลองหลอมยาพิษตัวใหม่จริงๆ ดังนั้นจึงตรวจดูตารางเวรของตัวเอง ยอมรับนัดหมาย แล้วฝึกบำเพ็ญต่อ

ไม่นาน ยามพลบค่ำก็มาเยือน สวี่ชิงลืมตาขึ้นจากการบำเพ็ญ คำนวณเวลาแล้วก็ลุกขึ้นเดินออกมาจากเรือเวท มุ่งหน้าไปยังร้านอาหารที่โจวชิงเผิงนัดเอาไว้

ร้านอาหารที่โจวชิงเผิงเลือกอยู่ห่างจากท่าเรือไม่ไกล เป็นหอสองชั้นที่ดูแล้วโอ่อ่าหรูหรามาก ในท่าเรือก็มีชื่อเสียงมากเช่นกัน

ที่นี่สวี่ชิงไม่เคยเข้าไป แต่ในกรมปราบพิฆาตมีบันทึกของร้านค้าทั้งหมด สวี่ชิงเคยให้ความสนใจทุกร้าน จำได้ว่าเบื้องหลังของร้านอาหารร้านนี้เป็นร้านที่กรมคุ้มกันสมุทรเปิด

กรมคุ้มกันสมุทรต่างจากกรมปราบพิฆาต แต่การลาดตระเวนคล้ายกัน เพียงแต่กรมแรกหลักๆ แล้วลาดตระเวนในทะเล ส่วนกรมหลังลาดตระเวนริมฝั่งและในเมือง

ตอนนี้เดินใกล้เข้ามา สวี่ชิงกวาดตามองอย่างระมัดระวัง มองไปรอบๆ จนมั่นใจว่าไม่มีปัญหาถึงจะเดินเข้าไป

เพิ่งเดินเข้ามา ลูกจ้างในร้านก็สังเกตเห็นสวี่ชิง ทักทายอย่างกระตือรือร้น หลังจากที่ได้รู้ห้องที่สวี่ชิงจะไปก็พาเขามาที่ชั้นสองอย่างกระตือรือร้นขึ้นไปอีก

ห้องที่โจวชิงเผิงจองเป็นห้องสุดท้ายของชั้นสอง และชั้นสองของร้านอาหารแห่งนี้ความจริงแล้วก็ไม่ได้เปิดให้กับประชาชน มีเพียงลูกศิษย์สำนักเจ็ดเนตรโลหิตเท่านั้นจึงจะมีสิทธิ์

สวี่ชิงก็ได้ยินเสียงหัวเราะของพวกโจวชิงเผิงดังออกมาจากห้องส่วนตัวห้องสุดท้ายตามการเข้าไปใกล้กับห้อง

“ศิษย์พี่โจว ข้ามาที่นี่เป็นครั้งแรกเลย ได้ยินมาว่าร้านนี้จองยากมากๆ ไม่สนใจลูกศิษย์ธรรมดาทั่วไป อีกทั้งได้ยินมาว่าที่นี่มีอาหารพิเศษอย่างสามอย่าง ว่ากันว่ามีสรรพคุณบำรุงการฝึกบำเพ็ญในระดับหนึ่ง”

“ก็ไม่มีอะไร ที่นี่เป็นกิจการของกรมคุ้มกันสมุทร สำหรับลูกศิษย์กรมคุ้มกันสมุทรแล้วมาจองได้ตามใจ เสี่ยวฮุ่ยวันหน้าหากเจ้าต้องการก็บอกข้าได้เลย ข้าจะช่วยจองให้”

“เช่นนั้นข้าก็ต้องขอบคุณศิษย์พี่โจวแล้ว ศิษย์พี่โจว ข้าขอคารวะท่านหนึ่งจอก”

สวี่ชิงก็มาถึงหน้าประตูแล้ว ท่ามกลางเสียงอ่อนหวานที่ดังก้อง จากการที่ลูกจ้างในร้านเปิดประตูห้องส่วนตัวออก สิ่งที่สะท้อนเข้ามาในดวงตาของสวี่ชิงเป็นโต๊ะที่มีอาหารมากมายตั้งอยู่และคนสามคนที่นั่งอยู่ในนั้น

หญิงสองชายหนึ่ง ผู้ชายคือโจวชิงเผิงนั่นเอง ตอนนี้กำลังถือจอกเหล้าด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มอบอุ่น คนตัวเล็กข้างๆ ที่มาพร้อมด้วยความงดงามมีเสน่ห์ก็คือสวี่เสี่ยวฮุ่ย

คนสุดท้ายคือหลี่จื่อเหมย นางยังคงเหมือนในตอนนั้น สีหน้าท่าทางระมัดระวังรอบคอบ นั่งอยู่ตรงนั้นอย่างค่อนข้างตื่นเต้นและทำอะไรไม่ถูก

การปรากฏตัวขึ้นของสวี่ชิงทำให้คนทั้งสองนอกจากโจวชิงเฟิงอึ้งไปเล็กน้อย ต่างมองมาที่เขา

“ศิษย์พี่ผู้นี้ ท่านเป็นใคร” สวี่เสี่ยวฮุ่ยดวงตาวาววาบ มองใบหน้าสวี่ชิง ในดวงตามีระลอกคลื่นอารมณ์ ทั้งยิ่งสัมผัสได้ถึงระลอกคลื่นพลังวิญญาณที่น่าตื่นตะลึงจากร่างของสวี่ชิง

โจวชิงเผิงเห็นสวี่ชิงมาถึงก็ยิ้มพลางลุกขึ้นยืน ยังไม่ทันได้อ้าปาก หลี่จื่อเหมยที่อยู่ข้างๆ ก็มองมาทางสวี่ชิง เอ่ยขึ้นด้วยเสียงแผ่วเบาและค่อนข้างลังเล

“เป็นศิษย์พี่สวี่ชิงอย่างนั้นหรือ”

นางจำได้ทันที

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด