ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่หนึ่ง 32

Now you are reading ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่หนึ่ง Chapter 32 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
ตอนที่ 32 โม่ปินเว่ย
โดย

ยากนักที่ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งถูกหลานสาวออดอ้อนแล้วจะไม่ยินดี แต่กลับรู้สึกเศร้า เพียงแต่นางนิ่งเงียบไปนาน คิดไม่ถึงว่ากว่าจะคิดถึงคำปลอบประโลมเว่ยฉางอิ๋งได้ บังเอิญก็คือ ซวงหลี่เข้ามารายงาน “คุณชายห้ามาแล้ว”

“ไอหยา! จะต้องเป็นท่านปู่ที่สืบหาเรื่องชัดเจนแล้วแน่ และให้ฉางเฟิงมาบอกท่านย่า” เว่ยฉางอิ๋งได้ยินดวงตาก็เป็นประกาย แล้วรีบตบไปที่โต๊ะตรงหน้าทันที ทั้งยังกล่าวอย่างทนไม่ได้ว่า “ซวงหลี่รีบไปเรียกเขาเข้ามาเร็ว!”

“…” นางพลันยินดีขึ้นมาอย่างนี้ ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งรู้สึกว่าบรรยากาศอย่างนี้ไม่เหมาะนักที่จะให้นางกล่าวอย่างลึกซึ้งด้วย จึงได้แต่ถอนหายใจอย่างจนใจ พลางมองไปที่ซวงหลี่ที่กำลังมองมาที่ตน “เรียกฉางเฟิงเข้ามา!”

ท่ามกลางเสียงเร่งของพี่สาวตน ฉางเฟิงคารวะให้ท่านย่าตนอย่างไม่รีบร้อน แล้วประสานมือให้กับเว่ยฉางอิ๋ง ยังไม่ทันกล่าวอะไร หัวก็ถูกเม็ดถั่วโยนใส่เม็ดหนึ่ง “รีบพูด รีบพูด ทางตอนเหนือเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”

คำพูดที่ว่า ‘การกระทำอย่างนี้เสียมารยาทของสตรีห้องหอ’ มาถึงปากเขา แต่เมื่อเห็นว่าเว่ยฉางอิ๋งหยิบเม็ดบ๊วยในมืออีก ก็กลืนลงไป “ท่านปู่คาดไว้ไม่ผิด เป็พ่อลูกซ่งหานจริงๆ ที่ชิงเอาผลงานคนอื่นมา!”

เว่ยฉางอิ๋งตบโต๊ะทันทีอย่างโมโหแล้วกล่าวว่า “พ่อลูกคู่นี้ไม่ใช่คนดีจริงๆ! ซ่งตวนคนนั้นทั้งชาติตระกูลความสามารถไม่ถึงที่จะมาสู่ขอน้องหญิงสี่ได้ กลับกล้าชิงผลงานมาสู่ขอ หากว่าไม่ใช่ท่านปู่ฉลาด เกือบจะหลอกลวงทำร้ายเรื่องใหญ่ทั้งชีวิตของน้องหญิงสี่แล้ว!” นางเชิดคางขึ้นแล้วกล่าวกับฮูหยินผู้เฒ่าซ่งว่า “ท่านย่า พ่อลูกสองคนนี้รังแกตระกูลเว่ยเราเกินไปแล้ว! จะปล่อยพวกเขาไปไม่ได้!”

ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งพยักหน้า “นี่มันแน่นอน สตรีตระกูลเว่ยของพวกเราต้องได้รับความไม่เป็นธรรมอย่างนี้เมื่อไหร่กัน หลอกแต่งงานมาถึงตระกูลของพวกเรา ซ่งตวนกับซ่งหานช่างรนหาที่ตายจริงๆ!” พ่อลูกทั้งสองในสายตาของฮูหยินผู้เฒ่าซ่งก็ไม่ต่างอะไรกับคนตาย ที่ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งสนใจคือเหตุและผล นางจึงไล่สาวใช้ทั้งหลายออกไป เหลือไว้เพียงสาวใช้คนสนิทที่ไว้ใจเท่านั้น แล้วจึงถามหลานชาย “พวกเขาชิงมาได้อย่างไร?”

…เรื่องนี้พูดแล้วก็เป็นเพราะพ่อลูกซ่งหานดวงไม่ดี เพราะว่าผู้ที่ถูกเขาชิงเอาผลงานมานั้น ไม่เพียงแต่จะเป็นประชาชนธรรมดาอย่างที่เว่ยฮ่วนคาดเดาเท่านั้น แต่ยังเป็นผู้ที่ญาติสนิททุกคนในเมืองเหลียวเฉิงต่างก็เสียหมดแล้วด้วย แม้ว่าเคยทำหน้าที่เป็นมือปราบของเหลียวเฉิง พอจะมีตำแหน่งฐานะและมีมิตรสหายอยู่บ้าง แต่ก็ยังเป็นประชาชนธรรมดา

คนอย่างนี้ พูดตามหลักการแล้วทั้งชีวิตก็ยังไม่มีหวังที่จะข้ามหน้าซ่งหานและซ่งตวนเอาเรื่องมาบอกกับเว่ยฮ่วนได้ แล้วการคิดจะบอกเรื่องความจริงก่อนงานแต่งงานของเว่ยเกาฉานและซ่งตวน ยิ่งยากกว่ายาก ต้องรู้ว่าคราวนี้พ่อลูกซ่งหานถึงกับดึงตระกูลสาขาของตระกูลเว่ยมากมายมาเป็นหลักฐานเพื่อให้ได้ตามที่ต้องการ เตรียมการแล้วว่าอย่างน้อยก็ต้องปิดบังเว่ยฮ่วนได้สามปีห้าปี

ตามปกติแล้ว เว่ยฉางอิ๋งจะแต่งงานปีหน้า เว่ยเกาฉานที่เป็นน้องสาวตามชื่อ ที่อายุน้อยกว่าเว่ยฉางอิ๋งเพียงสองเดือน ตอนนี้มีการหมั้นหมายกัน ปีหน้ากลางปีอย่างไรก็ได้แต่งออกแน่ งานแต่งของตระกูลใหญ่อย่างตระกูลเว่ยเมื่อตกลงกันแล้ว คนจะต้องแต่งแน่นอน อย่างไรก็ไม่มีทางยกเลิกงานแต่งแน่

สามปีห้าปีหากว่าไม่มีอะไรผิดพลาดอย่างไรเว่ยเกาฉานก็ต้องมีบุตรแล้ว…

ถึงตอนนั้นหากเรื่องถูกเปิดโปงยังจะทำอะไรได้อีก เว่ยฮ่วนฝีมือเหี้ยมโหดอย่างไร ก็ไม่มีทางยอมให้หลานสาวต้องเป็นม่าย และให้เหลนต้องเสียพ่อไปแน่

แต่ทว่าผู้ที่ชื่อว่าโม่ปินเว่ยผู้นี้ซึ่งเป็นเพียงประชาชนธรรมดา ในวันที่เมืองเหลียวเฉิงแตก เขาคือหนึ่งในผู้ชายวัยฉกรรจ์ ซึ่งมีหลี่ว์จื๋อฝ่างสั่งการให้คุ้มกันประชาชนผู้อพยพ เคยช่วยเหลือหลี่ว์ซิ่งหลานคนเดียวในสี่รุ่นของหลี่ว์จื๋อฝ่างจากธนูของเผ่าหรง

หากว่าหลี่ว์ซิ่งยังมีชีวิตอยู่ แม้ว่าหลี่ว์จื๋อฝ่างจะซาบซึ้งโม่ปินเว่ย แต่ก็ไม่แน่ว่าจะกล้าเสี่ยงมอบป้ายเหล็กคุ้มกันกายชิ้นนั้นของเผ่าหรงให้เขา

แต่หลี่ว์ซิ่งที่มีอายุเพียงห้าปีกลับได้รับความตกใจจากการที่เมืองแตก ภายหลังไข้ขึ้นสูง ระหว่างหนีเอาชีวิตรอดไม่สามารถรักษาได้ ยื้อกันจนไปถึงเมืองอื่น เมื่อหลี่ว์จื๋อฝ่างไปขอให้หมอมารักษาเขาก็สายไปแล้ว…

บุตรชายคนเดียวของหลี่ว์จื๋อฝ่างตามไปตอนที่เผ่าหรงบุกทำลายเมือง และเพราะอย่างนี้ เว่ยสวี่ผู้ว่าการอำเภอถึงได้จงใจจัดการให้หลี่ว์จื๋อฝ่างไปเคลื่อนย้ายประชาชน ตนเองกับนายอำเภอกลับไปรั้งท้ายทั้งเมืองให้

เมื่อเป็นอย่างนี้ หลี่ว์จื๋อฝ่างไร้ทายาทสืบสกุล อยู่คนเดียวลำพังไร้ภาระ ทั้งยังซาบซึ้งที่โม่ปินเว่ยช่วยชีวิตของหลานชายคนเดียวเอาไว้ จึงได้เอาชีวิตของตนมาตอบแทนน้ำใจของโม่ปินเว่ย

ได้ยินอย่างนี้ ฮูหยินผู้เฒ่ากล่าวว่า “โม่ปินเว่ยผู้นี้พอจะมีโชคอยู่บ้าง แต่ว่าเขาถูกชิงผลงานไปเท่าไหร่?”

“เมื่อครูท่านปู่ ‘เชิญ’ ซ่งตวนเข้าไปในห้องหนังสือเพื่อสอบถาม กลายเป็นว่าการวางแผนดักเผ่าหรง และฆ่าหัวหน้าศัตรูได้ต่างก็เป็นผลงานของโม่ปินเว่ยทั้งนั้น” คิดว่าเพราะสาเหตุนี้ เหล่าตระกูลสาขาตระกูลเว่ยเหล่านั้นถึงได้ช่วยซ่งหานปิดบัง เรื่องทุกอย่างให้โม่ปินเว่ยทำไปหมดแล้ว พวกเขาไปเปล่าๆ แม้ว่าจะไม่ต้องเสี่ยงอันตรายไปต่อสู้กับเผ่าหรง แต่ว่าก็ไม่มีผลงานอะไร…เกรงว่าซ่งหานเองก็มองจุดนี้ออก ถึงได้คิดอย่างนี้ขึ้นมา!” เว่ยฉางเฟิงกล่าวอย่างโมโห “เดิมโม่ปินเว่ยคือมือปราบของเมืองเหลียวเฉิง เขาเป็นผู้ขอคำสั่งจากเว่ยสวี่ผู้ว่าการอำเภอเพื่อไปขวางเผ่าหรง เพียงแต่แม้ว่าคนคนนี้จะเป็นมือปราบ แต่กลับได้ร่ำเรียนหนังสือมาบ้าง การจัดการเคลื่อนย้ายประชาชนก็ทำได้อย่างดี ถึงได้ทำให้เว่ยสวี่สั่งการให้ไปช่วยหลี่ว์จื๋อฝ่าง”

เว่ยฉางอิ๋งกล่าวอย่างประหลาดใจว่า “ซ่งหานกับซ่งตวนไม่รู้เรื่องนี้หรือ ทำไมยังให้ลี่ว์จื๋อฝ่างเข้ามาเป็นทูตแจ้งข่าวครั้งนี้ด้วย?”

“ซ่งตวนกล่าวว่าเขารู้ว่าโม่ปินเว่ยกับหลี่ว์จื๋อฝ่างเป็นผู้คุ้มกันประชาชนของเหลียวเฉิงหนีเอาชีวิตรอดด้วยกัน แต่กลับไม่รู้ว่าเขาเคยช่วยชีวิตหลานชายของหลี่ว์จื๋อฝ่างไว้ คิดว่าตอนนั้นทุกอย่างวุ่นวาย และตอนที่ซ่งหานไปถึงทางตอนเหนือ หัวหน้าของคนเผ่าหรงก็ถูกฆ่าแล้ว” เว่ยฉางเฟิงยิ้มเย็นแล้วกล่าวว่า “หลี่ว์จื๋อฝ่างแม้ว่าจะเป็นจู่ป๋อ แต่ว่าอายุมากอย่างไรความคิดก็ลึกล้ำ ซ่งหานเรียกให้เขาไปหา ถามถึงสถานการณ์เมืองเหลียวเฉิงแล้ว เขาก็มองเห็นพิรุธ ตั้งแต่แรกจนจบเขาจึงไม่ได้กล่าวถึงโม่ปินเว่ยสักครั้ง แต่ทุกประโยคกลับยกยอซ่งหาน แน่นอนว่าซ่งหานเองก็คิดว่าเขารู้มารยาทดี และยังเพราะเขาคือขุนนางระดับสูงที่สุดของเมืองเหลียวเฉิงที่ยังมีชีวิตรอดอยู่ เพื่อเป็นการพิสูจน์ผลงานของซ่งตวนจึงต้องการให้เขาร่วมมือด้วย จึงได้กล่าวรับปากให้ประโยชน์หลายอย่างกับเขา ประชาชนคนหนึ่ง ซ่งหานยังจะต้องเสียเวลาไปคิดมากมายหรือ?”

การที่ลูกหลานตระกูลมีชื่อดูถูกประชาชนทั่วไปเป็นเรื่องปกติ ตระกูลทั้งหกในแผ่นดินยิ่งไม่ต้องพูดถึง ต่อให้ซ่งหานเป็นตระกูลสาขาอย่างไร แต่ว่าเขาก็ยังเป็นลูกหลานของตระกูลซ่งแห่งเจียงหนาน จริงๆ แล้วเว่ยฉางเฟิงเองก็ใช่ว่าจะไม่ได้คิดอย่างนี้ เพียงแต่ว่าตอนนี้ประเมินซ่งหาน เขาดูถูกวิธีการแย่งผลงานคนอื่น และยิ่งขัดเคืองว่าซ่งหานทำอย่างนี้ก็เพื่อหลอกให้พี่สาวของตนต้องลดตัวลงไปแต่งงานด้วย เวลาพูดออกมาจึงแฝงไปด้วยความเสียดสีที่ซ่งหานถูกประชาชนคนหนึ่งจัดการ

กลับเป็นฮูหยินผู้เฒ่าซ่งที่เตือนเสียงเรียบว่า “ประชาชนเองก็เป็นคน! ตำแหน่งฐานะไม่เท่ากับพวกเรา แต่ว่าหากพูดถึงจิตใจกับเมืองแล้วก็ไม่แน่ว่าจะด้อยไปกว่าเรา ดังนั้นคนเหล่านี้แม้ว่าจะไม่ต้องให้ความสำคัญมาก แต่ว่าก็ไม่สามารถละเลยได้! ไม่อย่างนั้นหากไม่ระวังอาจถูกพวกเขาวางแผนเข้าได้ ซ่งหานกับซ่งตวนถือเป็นตัวอย่าง!”

พี่น้องทั้งสองต่างก็ก้มหน้าอย่างได้รับการสั่งสอน

ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งให้พวกเขานั่งลงพูดคุยต่อ ทั้งสองคนจึงนั่งลง เว่ยฉางเฟิงกล่าวต่อไป “เมื่อครู่ซ่งตวนร้องห่มร้องไห้ใหญ่โตอย่างรู้สึกผิดต่อหน้าท่านปู่ พูดไปแล้วคนคนนี้ก็ยังพอมีความดีอยู่บ้าง เขากล่าวอย่างเดียวว่าตนเองไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ คิดถึงหญิงตระกูลสูง บิดาของเขาซ่งหานรักใคร่บุตรชาย เตือนแล้วแต่กลับไม่เป็นผล ถึงได้คิดแผนนี้ให้เขา แต่ว่าจากที่ท่านปู่คาดการณ์ไว้ ซ่งตวนคนนี้ไม่ได้มีความคิดอะไรนัก ความคิดนี้แปดเก้าในสิบส่วนต้องเป็นของซ่งหานแน่ ซ่งตวนก็เพียงแค่ฟังที่บิดาตนจัดการเท่านั้น”

เว่ยฉางอิ๋งเม้มปาก “ใครจะรู้ว่าไม่ใช่เพราะเขาเห็นว่าไร้ทางปฏิเสธแล้ว จึงใช้วิธีการนี้ออกมาเพื่อให้ท่านปู่หวั่นไหว?” นางรังเกียจพ่อลูกคู่นี้ที่ไร้น้ำใจ และยังเพราะตั้งแต่เล็กตนเองมักจะเอาใจผู้ใหญ่เสมอมา จึงใช้ความคิดตนเองตัดสินคนอื่น นางรู้สึกว่าตอนนี้ซ่งตวนแสดงความกตัญญูอย่างนี้ออกมากลับน่าสงสัย

“แล้วตอนนี้โม่ปินเว่ยอยู่ที่ไหน?” ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งไม่สนใจนักว่าซ่งหานกับซ่งตวนเป็นคนอย่างไร อย่างไรเว่ยฮ่วนก็คงยังไม่รีบจัดการพวกเขา อย่างไรก็เป็นคนตระกูลซ่ง อย่างไรก็ต้องบอกกล่าวกับตระกูลซ่งของเจียงหนานก่อน หากไม่มีอะไรผิดพลาดพ่อลูกคู่นี้จะต้องไม่มีทางมีชีวิตอยู่ต่อได้แน่ เว่ยฮ่วนคือใคร กล้าหลอกลวงงานแต่งมาถึงหลานสาวเขา ต่อให้เป็นน้องชายของฮูหยินผู้เฒ่าซ่ง หัวหน้าตระกูลซ่งแห่งเจียงหนานอย่างซ่งซินผิงก็ต้องคิดว่าซ่งหานและซ่งตวนหาที่ตายเอง

กลับเป็นโม่ปินเว่ยที่มีชาติกำเนิดต่ำต้อยแต่กลับมีความสามารถทั้งยังมีโชคไม่เลวคนนี้ ที่ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งรู้สึกสนใจ คนที่เกิดในตระกูลต่ำและผ่านเรื่องใหญ่อย่างนี้ แต่กลับไปพบกับผู้สูงศักดิ์กว่าที่ไร้น้ำใจคนนี้ ง่ายต่อการดึงมาเป็นพวก ที่สำคัญคือ โม่ปินเว่ยยังเป็นมือปราบคนหนึ่งด้วย ในเมืองเหลียวเฉิงที่เหลือคนเพียงไม่ถึงสามในสิบ ในแผ่นดินที่แทบจะถูกทำลายทั้งหมด เขากลับสามารถดักโจมตีเผ่าหรงและสร้างผลงานได้ก่อนที่ซ่งหานจะนำทหารไปถึง ทั้งยังฆ่าหัวหน้าศัตรูได้อีก สามารถกล่าวได้ว่าครั้งนี้ซ่งหานไปถึงทางตอนเหนือนอกจากไปชิงผลงานแล้วก็ไม่ได้ทำอะไรอีก!

คนอย่างนี้ไม่แน่ว่าอาจเป็นผู้มีความสามารถที่บันทึกไว้ในสมัยโบราณที่ไม่รู้กี่ปีถึงจะมีสักคนก็ได้! คนคนนี้ยังอยู่ที่เฟิ่งโจว หากว่าไม่ดึงมาเป็นพวกให้กับฉางเฟิง ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งรู้สึกว่าจะน่าเสียดายเกินไป!

ดังนั้นหลานสาวหลานชายที่ยังอายุน้อยยังคงพูดกันเรื่องความน่ารังเกียจของพ่อลูกซ่งหาน ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งกลับคิดคำนวนในใจถึงวิธีที่จะทำอย่างไรถึงจะให้โม่ปินเว่ยคนนั้นยอมซื่อสัตย์ภักดีกับเว่ยฉางเฟิงดี เทียบกันแล้วหากำลังให้กับหลานชายคนเดียวเพิ่มขึ้นอีกหนึ่ง เพิ่มคนที่เชื่อถือได้ขึ้นมา พ่อลูกซ่งหานอะไร หรือว่าเว่ยเกาฉานอะไรต่างก็ไม่นับเป็นอะไร!

ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งยังคิดว่า คราวนี้เว่ยเกาฉานไม่ถูกซ่งตวนหลอกให้แต่งงานไปถือว่าดี ได้ยินโม่ปินเว่ยเหมือนว่าเขาเองก็ยังอายุน้อย หากว่ายังไม่ได้แต่งงาน เขาที่ทั้งมีความสามารถและโดดเด่นอย่างนี้อย่างไรก็ต้องไปถึงแม่ทัพได้แน่ ทำลายกฎยกเว่ยเกาฉานให้แต่งงานกับเขาก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ได้…อย่างไรตอนนี้แผ่นดินก็กำลังวุ่นวาย แม้ว่าจะไม่แต่งงานกับประชาชน แต่ว่าหากพบกับคนที่มีความสามารถจริงๆ ตระกูลมีชื่อก็ใช่ว่าจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงกฎได้

อย่างเช่นวีรบุรุษช่วยสาวงามอะไรนั่น คุณหนูจากตระกูลใหญ่หากว่าไม่ระวังถูกประชาชนแตะต้องเข้า เพื่อรักษาชื่อเสียงจึงได้แต่ต้องยกให้แต่งงานด้วย…อย่างไรก็เป็นหลานสาวจากอนุภรรยา หากว่าสามารถดึงให้คนมีความสามารถจริงๆ สักคนมาเป็นพวกให้กับหลานชายได้ถึงจะเรียกว่าไม่ได้เลี้ยงเปล่าๆ

แต่ว่า อย่างไรเว่ยเกาฉานก็เป็นคนบ้านสาม เว่ยเซิ่งเหนียนบุตรจากอนุภรรยาคนนี้ทั้งซื่อตรงและอ่อนแอ ไม่มีความคิดอะไร ภายหลังหากว่าตนเองไม่อยู่แล้ว ใครจะรู้ว่าเว่ยเซิ่งเหนียนจะถูกบ้านสองทั้งกล่อมทั้งทำให้ตกใจไหม หากว่าเป็นอย่างนั้น หากว่าโม่ปินเว่ยเป็นคนมีความสามารถจริงๆ แต่ก็ไม่แน่ว่าจะยอมผูกมัดกับบ้านใหญ่

น่าเสียดายที่บ้านใหญ่มีเว่ยฉางอิ๋งเป็นหลานสาวเพียงคนเดียว อย่าว่าแต่ได้ยกให้กับตระกูลเสิ่นแห่งซีเหลียงแล้วเลย ต่อให้ยังไม่ได้ยกให้ ก็ไม่มีทางที่ประชาชนทั่วไปจะสามารถอาจเอื้อมได้…

เรื่องที่เว่ยฉางเฟิงไม่รู้ว่าพี่สาวเกือบจะถูกหลอกแต่งงาน ในสายตาของท่านย่าแล้วกลับไม่ได้มีค่าอะไรให้พูดถึง แต่ว่าฮูหยินผู้เฒ่าซ่งกลับพบผู้ที่จะมาเป็นแขนขาให้กับหลานชายได้จึงถามอย่างใส่ใจ แต่เว่ยฉางเฟิงกลับตอบว่า “ตอนนี้ยังไม่รู้”

“ไม่รู้หรือ?” ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งกำลังจะเตือนหลานชายว่าให้ลดฐานะเสียหน่อย อาศัยสถานการณ์ตอนนี้พาคนไปช่วยโม่ปินเว่ย เพื่อให้ได้ความซาบซึ้งจากอีกฝ่าย กระทั่งคำกล่าวดีๆ ไว้ดึงโม่ปินเว่ยฮูหยินผู้เฒ่าซ่งยังคิดไว้ดีแล้วด้วย คิดไม่ถึงว่ากลับเป็นคำตอบนี้ จึงมึนงงไป “ทำไมถึงได้ไม่รู้ล่ะ?”

เว่ยฉางเฟิงกล่าว “หลี่ว์จื๋อฝ่างคนนั้นกล่าวว่า แม้ว่าเขาจะคิดหาวิธีให้ได้ความไว้ใจจากซ่งหาน และได้กลายเป็นหนึ่งในทูต แต่ว่าก็ไม่ได้มีความมั่นใจว่าจะสามารถพบกับท่านปู่หรือท่านอาสามได้ และแม้ว่าจะได้พบแล้ว ก็ไม่แน่ว่าจะมีโอกาสหลีกซ่งตวนแล้วนำเอาป้ายเหล็กของคนเผ่าหรงส่งให้ได้ เขายิ่งไม่มีความมั่นใจด้วยว่าจะทำให้ท่านปู่แล้วท่านอาสามเชื่อว่าโม่ปินเว่ยต่างหากที่เป็นผู้มีผลงานเอาชนะทางตอนเหนือได้! ระหว่างนี้ยังอาจจะถูกซ่งหานรู้ด้วยว่าโม่ปินเว่ยเคยช่วยชีวิตหลี่ว์ซิ่งหลานชายของเขาเอาไว้ และทำให้เขาสงสัย! เมื่อเป็นอย่างนี้แล้วหากว่าเขารู้ที่อยู่ของโม่ปินเว่ย เมื่อถูกคนใช้วิธีบังคับทรมานหรือถูกคนหลอก ก็อยากจะพูดออกไปได้ ดังนั้นจึงให้โม่ปินเว่ยหนีไปเอง ไม่ต้องบอกที่อยู่กับเขา เพราะฉะนั้นวันนี้เขาจึงไม่รู้ว่าโม่ปินเว่ยอยู่ที่ไหน และยิ่งไม่รู้ด้วยว่าเป็นหรือตาย!”

สีหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าซ่งเย็นขึ้นทันทีแล้วกล่าวว่า “ซ่งหานตัวดี ซ่งตวนตัวดี! ทำเรื่องเลวร้ายอย่างชิงผลงาน ทำให้พวกเราตระกูลซ่งแห่งเจียงหนานเสียหน้ายังพอว่า กลับยังคิดจะฆ่าขุนนางผู้ที่ทำความดีที่แท้จริงอีก! เรื่องนี้หากว่าโม่ปินเว่ยกลับมาได้อย่างปลอดภัยยังพอว่า แต่หากว่าโม่ปินเว่ยไม่ดี ไม่มีทางยอมให้พวกเขาได้ตายดีแน่!”

เพิ่งจะคิดหาแขนซ้ายขวาให้กับหลานชายแต่กลับไม่รู้ว่าเขาเป็นตายร้ายดีอย่างไร ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งกล่าวถามเว่ยฉางเฟิงอีกว่า “ท่านปู่พวกเจ้าให้คนไปหาโม่ปินเว่ยแล้วหรือ แล้วทางซ่งหานล่ะ?”

เว่ยฉางเฟิงกล่าว “ท่านปู่ส่งให้ ‘ปี้อู๋’ ไปจัดการแล้ว”

ปี้อู๋คือทหารส่วนตัวชั้นยอดในเหล่าทหารของตระกูลเว่ย เพราะตระกูลเว่ยบ้านเดิมอยู่ในเฟิ่งโจว ฉายาของชื่อถังยังมีชื่อว่ารุ่ยอวี่ ดังนั้นที่กล่าวว่าหงส์บนต้นอูถง จึงได้ตั้งชื่อว่าปี้อู๋ หมายความว่าเป็นผู้ได้รับมอบหมายให้ปกป้องคุ้มครองตระกูลเว่ย

‘ไต้เฟิง’ ตระกูลซูแห่งชิงโจว ‘สุยเฟิง’ ตระกูลซ่งแห่งเจียงหนาน ทั้งหมดต่างก็เป็นสิ่งที่อาศัยพึ่งพิงในยามที่แผ่นดินวุ่นวาย ดังนั้นเมื่อฮูหยินผู้เฒ่าซ่งได้ยินว่าเว่ยฮ่วนส่งกระทั่ง ‘ปี้อู๋’ ออกไปแล้ว จึงพยักหน้าน้อยๆ รับรู้ว่าเว่ยฮ่วนเองก็รับรู้ได้ถึงคุณค่าของโม่ปินเว่ยแล้ว

แต่ว่า เจ้าเฒ่าจงอี้เองก็มีอายุมากขนาดนี้แล้ว ยังจะทำอะไรได้อีกหรือ เจ้าเฒ่านี่ยังจะมีความสามารถช่วยเหลือได้ก็พอประมาณแล้ว หลายปีกว่าจะมีสักคนที่เป็นดาวช่วยชีวิตที่ซื่อสัตย์ได้ อย่างไรทั้งตระกูลเว่ยก็อาศัยไม่ได้ ให้เขาซื่อสัตย์กับฉางเฟิงเพียงคนเดียวถึงจะวางใจ เป็นอย่างนั้นแม้ว่าตนเองจะตายไปแล้ว ขอแค่โม่ปินเว่ยยังซื่อสัตย์ภักดี อย่างไรบ้านสองก็ทำอะไรไม่ได้!

ฮูหยินผู้เฒ่าคิดแผนการอย่างนี้ และลอบตัดสินใจว่าหากเว่ยฮ่วนจะใช้ชื่อเสียงทั้งตระกูลเว่ยเรียกโม่ปินเว่ยเข้ามา ตนเองจะต้องแทรกมือเข้าไปแน่ แล้วไปชิงเอาคนคนนี้มาให้หลานชายสุดที่รักของตนให้ได้!

………………………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด