ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่หนึ่ง 37.1

Now you are reading ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่หนึ่ง Chapter 37.1 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
ตอนที่ 37 พลั้งพลาดชั่วชีวิต (1)
โดย

เว่ยฉางอิ๋งนิ่งไปไปพักใหญ่จึงเอ่ยว่า “ข้าเพียงรู้สึกไม่ยินดี”

“หาใช่เรื่องที่เจ้ากำหนดได้ไม่” ข้อสนทนาที่โหดร้ายเช่นนี้ หากในยามปกติฮูหยินซ่งไม่มีทางจะกล้าเอ่ยออกมาแน่ แต่ยามนี้นางจำต้องเอ่ย หากไม่ทำลายความคิดที่บุตรสาวมีแต่ไรมา แล้วให้นางไปพบกับเสิ่นโจ้วก็คงจะพอถูกไถไปได้บ้าง แต่หากให้นางแต่งเข้าบ้านสกุลเสิ่นทั้งความคิดเช่นนี้… ก็เท่ากับเป็นการทำร้ายนาง ฮูหยินซ่งจำต้องทนปวดใจแล้วเอ่ยอย่างเย็นชาว่า “เจ้าเห็นเพียงความน่าเกรงขามและความเด็ดขาดของท่านย่าเจ้าในวันนี้ แม้แต่ท่านปู่ของเจ้ายังต้องยอมให้นาง! แต่เจ้ามิเคยได้เห็นว่าในยามที่ท่านย่าของพวกเจ้าอยู่ต่อหน้าของท่านย่าทวดนั้น นางต้องอดกลั้นและเชื่อฟังเพียงใด เจ้ามิเคยเห็นว่าท่านย่าของพวกเจ้าต้องแอบกอดผ้าห่อตัวที่ยังเหลืออยู่ของท่านอาเจ้าแล้วร้องห่มร้องไห้ไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง มิเคยเห็นว่ายามที่ลูกผู้พี่ของเจ้าฉางอวิ๋น และฉางซุ่ยเกิด ทว่าบ้านเรากลับมีแต่ความว่างเปล่าแล้วนางต้องเป็นทุกข์เพียงใด ไม่เคยเห็นว่าเดิมทีที่สู้อุตส่าห์เชิญจี้ชวี่ปิ้งซึ่งคิดว่าเป็นความหวังสุดท้ายมาที่บ้านได้ แต่กลับไม่ได้เป็นดังหวัง เพราะมารู้ว่าหากเชิญเขามาก่อนหน้านี้สองสามปีถึงจะสามารถรักษาพ่อของเจ้าให้หายขาดได้….ยามนั้นท่านย่าของเจ้าต้องเจ็บปวดใจเพียงใด!”

แม้กำลังพูดถึงเรื่องสำคัญซึ่งเกี่ยวพันกับตนเป็นอย่างมาก แต่นามของจี้ชวี่ปิ้งนี้ถูกเอ่ยถึงถึงสามครั้งสามครา จึงทำให้เว่ยฉางอิ๋งรู้สึกกังขา “จี้ชวี่ปิ้ง? เขาเป็นผู้ใด?”

“…เขาเป็นหลานคนโตของจี้อิง หัวหน้าสำนักแพทย์หลวงคนก่อน” ฮูหยินซ่งนิ่งเงียบไปเกือบหนึ่งเค่อจึงเอ่ยออกมาอย่างแผ่วเบาว่า “ตระกูลจี้สืบทอดงานด้านการแพทย์มาหลายชั่วคน และเป็นแพทย์หลวงมาทุกชั่วคน แม้ไม่อาจเทียบเท่าชนชั้นผู้ปกครองเช่นพวกเรา แต่ก็นับว่าเป็นตระกูลเลื่องชื่อในเมืองหลวงมานับร้อยปีแล้ว วิชาแพทย์ของจี้อิงนั้นเป็นเลิศ ครั้งเมื่อยังมีชีวิตอยู่ หากบ้านเราจำเป็นต้องเชิญแพทย์หลวงมาก็ต้องเชิญเขา…เพียงแต่ว่าปีนั้นเกิดเรื่องบาดหมางกันระหว่างอดีตสนมเอกแซ่ฮั่วและพระสนมเอกแซ่เติ้ง จนส่งผลให้องค์ชายหกซึ่งถือกำเนิดจากพระสนมเอกเติ้งสิ้นพระชนม์ และจี้อิงถูกดึงให้เข้าไปเกี่ยวพันด้วย ไม่เพียงตนเองต้องโทษให้ฆ่าตัวตายในวังหลวง แม้แต่ภรรยาและลูกหลานก็ต้องรับเคราะห์ไปด้วย! ตอนนั้นจี้ชวี่ปิ้งอายุราวสิบเอ็ดปี เห็นแก่น้ำจิตน้ำใจของจี้อิง พวกเราสองสามตระกูลช่วยกันออกหน้าพูดจา บอกว่าเขาอายุยังน้อยจึงทำให้เขาพ้นจากเคราะห์ภัยมาได้ ทว่าบ้านตระกูลจี้ก็เกรงกลัวอำนาจของสนมเติ้งจึงไม่กล้ารับเขาเอาไว้ จี้ชวี่ปิ้งจึงได้แต่เร่รอนไปทั่วจนเติบใหญ่”

ตระกูลเติ้งแห่งเมืองหรงนั้น แม้ไม่อาจเทียบเท่ากับตระกูลใหญ่ทั้งหก เช่น ตระกูลเสิ่นและตระกูลเว่ย แต่ก็นับว่าเป็นตระกูลที่ยิ่งใหญ่และเป็นที่นับน่าถือตา จึงหาใช่ตระกูลที่ตระกูลจี้ซึ่งสืบทอดงานด้านการแพทย์จะเทียบได้

เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยอย่างประหลาดใจ “ในเมื่อจี้ชวี่ปิ้งผู้นี้อยู่ในเมืองหลวง เหตุใดยามนั้นจึงได้เชิญเขามาสายเกินไปเล่า?” นางได้ยินว่าเว่ยเจิ้งหงเชิญจี้ชวี่ปิ้งผู้นี้มาสายเกินไป ยังนึกว่าจี้ชวี่ปิ้งอยู่เสียในที่ห่างไกลหรือไม่ก็อยู่ไม่เป็นหลักแหล่งจึงเป็นเหตุให้เกิดเรื่องน่าเศร้าเช่นนี้ ทว่า…

เอ่ยยังมิทันจะสิ้นเสียงก็กลับเห็นสีหน้าของฮูหยินซ่งเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง! เห็นชัดว่านางได้เอ่ยถึงประเด็นที่แสนเจ็บปวดเข้าแล้ว ฮูหยินซ่งนิ่งอดทนไปชั่วเค่อ จึงได้เอ่ยออกมาอย่างยากลำบากว่า “งานทั้งสี่ได้แก่ บัณฑิต เกษตร งานช่าง ค้าขาย ตระกูลแพทย์ถือเป็นงานช่าง แม้วิชาแพทย์ของตระกูลจี้จะสูงส่ง และตระกูลใหญ่ต่างๆ ก็หาได้มองว่าเป็นงานช่างทั่วไปไม่ แต่แท้จริงแล้วนั้นตระกูลแพทย์อยู่ในฐานะที่ไม่สูงเลย…ทว่า แม้จะเป็นตระกูลที่มีฐานะเช่นนั้น เขาก็ยังมีกฎเกณฑ์ที่ตนยึดถือเช่นกัน กฎพื้นฐานที่สุดก็คือศาสตร์วิชานี้จะถ่ายทอดแก่ชายไม่ถ่ายทอดให้หญิง ถ่ายทอดให้ผู้ใหญ่ไม่ถ่ายทอดให้เด็กเล็ก!  แม้จี้ชวี่ปิ้งจะเป็นชายและเป็นหลานคนโต หากว่ากันตามกฎเกณฑ์แล้ว เคล็ดวิชาทั้งหมดของจี้อิงก็ควรจะต้องถ่ายทอดให้แก่เขา แต่ครั้งเมื่อจี้อิงเกิดเรื่อง จี้ชวี่ปิ้งอายุเพียงสิบเอ็ดปีเท่านั้น! ต่อให้จี้อิงถ่ายทอดวิชาให้แก่เขา แล้วเขาจะร่ำเรียนได้กี่มากน้อยกัน?!”

ฮูหยินซ่งเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย หลับตาลง ยิ้มอย่างเจ็บปวดพลางว่า “ผู้ใดจะไปคิดว่าตระกูลจี้มีลูกหลานสืบทอดกันมายาวนานนับร้อยปี แต่เมื่อเอ่ยถึงหมอเทวดา กลับมีจี้ชวิ้ปิ้งผู้นี้ที่เป็นอันดับหนึ่ง ผู้ใดจะคิดว่าแม้ยามที่จี้อิงยังมีชีวิตอยู่จะยังไม่ทันได้ถ่ายทอดวิชาใดให้แก่เขา ทว่าด้วยตำราเคล็ดวิชาที่สืบทอดกันมารุ่นต่อรุ่นซึ่งจี้อิงแอบซุกซ่อนเอาไว้ในยามที่ถูกริบทรัพย์สมบัตินั้น จี้ชวี่ปิ้งก็สามารถนำมาร่ำเรียนด้วยตนเองจนสำเร็จ? เขาต้องเร่รอนอยู่ลำพังด้วยวัยเพียงสิบเอ็ดปี ไร้เงินทองติดตัว แม้ตระกูลเติ้งจะเห็นแก่หน้าตระกูลใหญ่เช่นพวกเราจึงได้ละเว้นไม่ตามไปจัดการเขา ทว่าก็ไม่มีใครกล้ารับอุปการะเขาเอาไว้ พวกเราบรรดาตระกูลใหญ่ช่วยออกปากไม่ให้เขาต้องได้รับโทษทัณฑ์ไปด้วยก็นับว่าไม่เลวแล้ว นับแต่นั้นก็ไม่ได้จดจำสิ่งใดเกี่ยวกับเขาอีก… หลังจากที่เขาต้องใช้ชีวิตอย่างลำบากแสนสาหัส กระทั่งหลังวัยเกล้าผม[1] จึงได้ออกมาทำงานด้านการแพทย์เช่นเดียวกับปู่ของเขา ทว่า แม้สกุลจี้ที่มีประวัติยาวนานนับร้อยปี อีกทั้งในยามที่จี้อิงยังมีชีวิตอยู่วิชาแพทย์ของเขาจะนับว่าเป็นศาสตร์แพทย์อันดับหนึ่ง แต่ในยามที่จี้อิงสิ้นไป คนอื่นๆ ในบ้านสกุลจี้ต่างพากันคาดเดาไปต่างๆ นานา ประกาศแรกก็หวาดกลัวว่าหากเขาออกมารักษาคนก็จะสร้างความคัดเคืองให้แก่ตระกูลเติ้งเอาอีกได้ ประการต่อมาแม้ต้องการจะนำตำราแพทย์ของจี้อิงกลับมา แต่ก็มีอุปสรรค์จากหลายๆ ด้าน ซึ่งบ้านเราก็เชื่อคำของสกุลจี้ นึกว่าจี้ชวี่ปิ้งก็เป็นแค่คนสิ้นไร้ไม้ตอกที่ต้องการอาศัยชื่อเสียงของสกุลจี้หลอกลวงผู้คนก็เท่านั้น….”

“จนกระทั่งชื่อเสียงของจี้ชวี่ปิ้งเลื่องลือมาจากพวกชาวบ้านร้านตลาด โดยเฉพาะเรื่องของชาวบ้านบ้านหนึ่งที่มีลูกสาวร่างกายไม่แข็งแรงมาแต่กำเนิดเช่นกัน หลังจากที่เขารักษาอยู่หลายเดือน ไม่เพียงแค่ร่างกายฟื้นฟูดังคนปกติ หลังจากนั้นยังแต่งงานและมีบุตร เรื่องนี้เล่าลือกันมาปีกว่าจึงได้ลือมาถึงหูบ้านเรา ยามนั้นท่านพ่อของพวกเจ้าก็…” ฮูหยินซ่งเอ่ยวาจาด้วยความทุกข์ว่า “หมดหนทางเยี่ยวยาแล้ว ท่านปู่ของพวกเจ้าบอกว่าให้ลองเชิญเขามาตรวจดู ดีเลวอย่างไร… บ้านเราก็ไม่ได้ขัดสนเงินทอง! นึกไม่ถึง เมื่อเขาได้เห็นท่านพ่อของพวกเจ้าก็ถึงกับทอดถอนใจ สาเหตุนั้นที่เขาทอดถอนใจนี้ ภายหลังท่านปู่ของพวกเจ้าจึงได้ไถ่ถามจนได้ความว่า หากเร็วกว่านี้สักไม่กี่ปี… หรืออาจเพียงสองสามปีก่อนหน้า เขาก็มั่นใจว่าจะรักษาท่านพ่อของพวกเจ้าให้หายได้! ทั้งที่รู้ว่าจี้ชวี่ปิ้งออกมารักษาคนได้เจ็ดปีแล้ว แต่บ้านเราเพิ่งจะเชิญเขามา เช่นนั้น…จึงสายเกินไปเสียแล้ว!”

เว่ยฉางอิ๋งนิ่งอึ้งไปในทันใด แม้นางจะไม่เคยต้องประสบเหตุสิ้นหวังอันใหญ่หลวง กระทั้งคิดเสียใจก็ไม่ทันแล้ว ดังเช่นที่แม่เฒ่าซ่งและฮูหยินซ่งเคยประสบมา แต่เมื่อมาได้ยินในยามนี้ยังต้องรู้สึกเย็นวาบไปถึงขั้วหัวใจ….สองสามปี ช้าไปเพียงสองสามปี  จนทำให้ต้องไปอยู่ที่หอพักฟื้นเป็นเวลานาน เดือนหนึ่งๆ ได้มาเจอกันเพียงหนสองหน บิดาผู้ต้องทุกข์ทนกับโรคภัยแต่กลับต้องวางท่าให้ดูมีสง่าราศีผู้นี้ ที่แท้แล้วเขาเคยพลาดโอกาสในการรักษาตัวเช่นนั้น?

เพียงแค่…

สิ่งที่ตระกูลใหญ่ยึดถือมาแต่อดีต และการขัดขวางของสกุลจี้ กลับทำให้เขาต้องพลาดโอกาสทองนั้นไป

นับจากที่จี้ชวี่ปิ้งออกมารักษาคนจนถึงวันที่เขามารักษาเว่ยเจิ้งหงที่บ้านตระกูลเว่ยเป็นเวลาถึงเจ็ดปีเต็ม! ช่วงโอกาสทองห้าปีก่อนนั้นตระกูลเว่ยมิได้ไม่เคยเชิญหมอมา รวมทั้งหมอจากสกุลจี้ด้วย…แต่กลับไม่เคยนึกถึงหมอผู้มีความสามารถที่แท้จริง เปี่ยมด้วยพรสวรรค์ล้ำเลิศ ผู้ซึ่งต้องประสบเคราะห์ร้ายจากเรื่องขัดแย้งภายในวัง ถูกคนในตระกูลทอดทิ้ง จนจำต้องยอมละทิ้งชื่อเสียงนับร้อยปีของสกุลจี้แล้วมาอยู่กับชาวบ้านธรรมดาสามัญผู้นี้ไปเสียสนิท…..

เช่นเดียวกับในยามที่แม่เฒ่าซ่งและฮูหยินซ่งได้รับรู้เรื่องราวในอดีตนี้ ความเสียใจและเสียดายอย่างแสนสาหัสได้ถาโถมเข้ามาเต็มหัวใจของเว่ยฉางอิ๋งในบัดดล!

“ไม่ว่าจะอย่างไร ห้ามเอ่ยเรื่องนี้ต่อหน้าท่านย่าของพวกเจ้าเป็นเด็ดขาด รู้หรือไม่?” เมื่อฮูหยินซ่งเห็นบุตรสาวมีท่าทีเช่นนั้น นางพลันรู้สึกเสียใจขึ้นมา พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงอบอุ่นว่า “ครานั้น ยามท่านย่าของพวกเจ้าได้ยินข่าวนี้ก็ถึงกับล้มหมอนนอนเสื่อ แต่คงเป็นเพราะ… โชคดีที่จี้ชวี่ปิ้งอยู่ด้วยจึงช่วยนางเอาไว้ได้ และเมื่อได้รู้ว่าแม้ไม่อาจรักษาท่านพ่อของพวกเจ้าให้หายขาดได้ แต่ก็หาได้ไร้ซึ่งความหวังใดเลยไม่ ท่านย่าของพวกเจ้าจึงมีเรี่ยวแรงขึ้นมาอีกครา! แต่ว่า ‘จี้ชวี่ปิ้ง’ สามคำนี้ ก็ห้ามเอ่ยให้พวกบ้านสกุลจี้ได้ยินด้วย!”

เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยอย่างจริงจังว่า “ข้ารู้ว่าสิ่งใดควรไม่ควร”

……………………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด