ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่หนึ่ง 89 ท่านย่าทวด

Now you are reading ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่หนึ่ง Chapter 89 ท่านย่าทวด at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
ตอนที่ 89 ท่านย่าทวด
โดย

                หลังผ่านพ้นเรื่องวุ่นวายเอะอะในวันนี้ ทั้งสองฝั่งจึงไม่ต้องไปมาหาสู่กันอย่างชัดเจนสมความปรารถนา

                หลังจากซ่งเหมียนเหอพักฟื้นอยู่วันสองวัน นางก็ลอบไปพบกับพวกสตรีสูงศักดิ์ในสายอื่นของตระกูล ไม่กี่วัน ทางรุ่ยอวี่ถังก็ได้ยินข่าวคราวว่าจือเปิ่นถังและจิ้งผิงกงไปมาหาสู่ใกล้ชิดกันเป็นอย่างมาก

                แม่เฒ่าซ่งไม่สะทกสะท้านใดๆ กล่าวว่า “ก็แค่พวกลักกินขโมยกินแล้วมากินในที่แจ้ง หรือว่าไม่ได้ไปมาหาสู่ใกล้ชิดกันเป็นการส่วนตัวมาก่อน? ดีชั่วอย่างไรเว่ยเจิ้งหย่าก็ตายแล้ว ลำพังเว่ยฉางซวี่ที่ดูแลอยู่ในยามนี้ จวนจิ้งผิงกงก็แค่เพียงเท่านั้น”

                ระยะนี้เว่ยฉางอิ๋งคอยจะถูกแม่เฒ่าซ่งเรียกเข้าไปพบเพื่อสอนสั่งเรื่องราวสลับซับซ้อนระหว่างคนในตระกูลด้วยตนเอง ยามนี้จึงได้เอ่ยถามว่า “เช่นนั้นจือเป็นถังจะยังไปมาหาสู่กับพวกเขาทำสิ่งใดเจ้าคะ?”

                “พวกเขาเดินทางพันลี้กลับมา แต่กลับไร้ผู้คนสนใจ แล้วจักไม่วางตัวลำบากหรือ?” แม่เฒ่าซ่งยิ้มคราหนึ่งแล้วว่า “คนอื่นๆ ในตระกูลเราก็มิได้สนใจพวกเขาเท่าใด จึงทำได้เพียงไปมาหาสู่กับจวนจิ้งผิงกงแล้ว”

                เฟิ่งโจวเป็นดินแดนของรุ่ยอวี่ถัง ในนามแล้วจือเปิ่นถังก็ยังคงเป็นตระกูลเว่ยแห่งเฟิ่งโจว แต่นอกจากคฤหาสน์ของตระกูลและที่นาบางส่วนแล้วก็ไม่มีสิ่งใดอื่นแล้ว ถึงแม้คนในตระกูลเว่ยจะอิจฉาอำนาจและอิทธิพลของจือเปิ่นถัง แต่ผู้ใดก็หาใช่คนโง่ ซ่งเหมียนเหอเพิ่งจะกลับมาก็ถูกแม่เฒ่าซ่งทำให้โกรธเกรี้ยวเสียจนต้องหามออกไปจากรุ่ยอวี่ถัง… ครานี้ยังไปมาหาสู่ใกล้ชิดกับจือเปิ่นถังอีก ก็มิใช่เป็นการแสดงออกชัดเจนว่าจงใจหาเรื่องแม่เฒ่าซ่งหรือ?

                และเพราะจวนจิ้งผิงกง บุตรชายท่านจิ้งผิงกงก็ถูกลอบสังหารไปแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นด้วยนามของบ้านใหญ่ ตามฐานะแล้ว ไม่จำเป็นต้องโอนอ่อนให้กับแม่เฒ่าซ่งนัก พวกเขาจึงได้หันไปสนิทสนมกับจือเปิ่นถังโดยไม่ได้ประหวั่นพรั่นพรึงใดๆ

                “ข้ากลับสงสัยว่าพวกเขาคล้ายมิได้แสวงประโยชน์จากท่านปู่ใหญ่ทางจวนจิ้งผิงกงเจ้าค่ะ?” เว่ยฉางอิ๋งกล่าวพลางเอามือมาปิดปาก

                แม่เฒ่าซ่งจึงยิ้มออกมา “อืม ไม่ผิด ยามนี้เจ้าใคร่ครวญเรื่องราวได้รอบคอบกว่าก่อนมากนัก เป็นท่านอาหวงสอนเจ้า หรือเจ้าคิดได้เอง?”

                เว่ยฉางอิงดึงแขนท่านย่าตนเป็นทีออดอ้อน “ก็ต้องเป็นข้าคิดเองสิเจ้าคะ สิ่งใดท่านย่าก็เอ่ยถึงแต่ท่านอาหวง… พูดราวกับว่าสิ่งใดข้าก็ต้องอาศัยท่านอาหวงเช่นนั้น!”

                “ข้าก็ว่าแล้ว!” แม่เฒ่าซ่งยิ้มตาหยีแล้วว่า “เฉี่ยนซิ่วหรือจะคิดว่าจือเปิ่นถังคิดแสวงประโยชน์จากจิ้งผิงกง? นางรู้จักนิสัยใจคอของจือเปิ่นถังดี!”

                เว่ยฉางอิ๋งเกิดความอยากรู้ขึ้นมา มิได้สนใจน้ำเสียงกระเซ้าเย้าแหย่ในคำของท่านย่า พลันรบเร้าไปว่า “ท่านปู่ใหญ่เป็นเช่นใดเจ้าคะ?”

                แม่เฒ่าซ่งยิ้มแล้วว่า “ท่านปู่ใหญ่ของเจ้า… ปีนั้นท่านย่าทวดของเจ้าก็มีเขาเป็นบุตรชายเพียงคนเดียว แม้เขาจักมิได้เป็นบุตรชายคนโตบ้านใหญ่ที่สมบูรณ์แบบ แต่ท่านย่าทวดของเจ้าก็รักใคร่เขาเป็นที่ยิ่ง ทว่า ก่อนที่ท่านย่าทวดของเจ้าจะสิ้นใจ เขาไปกินยาอู่สือซ่าน[1] แล้วเกิดอาการคลุ้มคลั่งอยู่ในสวน เสื้อผ้าผมเผ้ากระเซิงไปหมด ปรากฏว่าจวบจนท่านย่าทวดของเจ้าสิ้นลมก็มิได้เห็นหน้าเขาเป็นครั้งสุดท้าย หลังจากนั้นเมื่อเขาได้สติคืนมา ทุกคนก็พากันว่าเขาจะต้องเป็นทุกข์เสียใจ ยามนั้นท่านปู่ของเจ้ายังตั้งใจไปเชิญท่านหมอมาคอยเอาไว้ แต่ผลเป็นเช่นไรเจ้ารู้หรือไม่?”

                เว่ยฉางอิ๋งรีบถาม “เป็นเช่นไรเจ้าคะ?”

                “เขาพูดจาเฉยชาประหนึ่งไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น พูดจากลับไปกลับมา กลับมากลับไป ท่านปู่ของเจ้าฟังอยู่เป็นนานจึงจับใจความได้ว่า เขาคิดว่าที่ท่านย่าทวดของเจ้าไม่ได้เห็นหน้าเขาเป็นครั้งสุดท้ายก็เพราะเป็นลิขิตสวรรค์ที่ไม่อาจคาดเดาได้ หากจะพูดให้ฟังง่ายสักหน่อยก็คือท่านย่าทวดของเจ้าโชคไม่ดี เขาหาได้สำนึกเสียใจแม้เพียงน้อยไม่! แม้แต่ท่านปู่สามซึ่งเป็นคนอารมณ์เยือกเย็นปานนั้นก็ยังทนไม่ไหว กระโจนเข้าไปทุบตีเขา!” แม่เฒ่าซ่งยิ้มแล้วว่า “กับแม่แท้ๆ ของตนยังเป็นเช่นนี้ แล้วการตายของเว่ยเจิ้งหย่าสำหรับเขาแล้วจักมีความหมายใดเล่า? และต้องรู้ไว้ด้วยว่าแต่เล็กจนโตมา ช่วงเวลาที่เว่ยเจิ้งหย่าได้พบหน้าบิดาผู้นี้นั้นมีน้อยเหลือทน”

                เว่ยฉางอิ๋งรู้สึกมึนงงไปชั่วขณะ กล่าวว่า “ข้าได้ยินว่าท่านลุงใหญ่เป็นคนงามสง่าแต่เย็นชา ไม่ชอบเรื่องวุ่นวาย ก็นึกมาตลอดว่าเป็นบุรุษสูงส่งที่ดูสูงส่งและห่างไกลเป็นที่สุดเสียอีก!”

                “เมื่อบอกกับภายนอกย่อมไม่ว่าเช่นนั้น หรือจะให้บอกกับคนนอกว่าความจริงแล้วตัวตนที่แท้จริงของจิ้งผิงกงเป็นพวกคนอกตัญญูแล้งน้ำใจกัน?” แม่เฒ่าซ่งยิ้มเยาะน้อยๆ กล่าวว่า “เจ้ายังไม่เคยได้พบกับท่านปู่ใหญ่ของเจ้าผู้นี้ใช่หรือไม่? เจ้าคงจักรู้สาเหตุที่แท้จริงแล้ว? นั่นก็เพราะเขากินยาอู่สือซ่านมานานหลายปี หลายส่วนในตัวเขาบุบสลายไปหมดแล้ว โดนลมไม่ได้ ขยับตัวไม่ได้ เพียงถูกขังเพื่อพักฟื้นอยู่แต่ในเรือน… แม้จักเป็นถึงเพียงนี้แล้วเขาก็ยังไม่เคยสำนึกเสียใจและปรับปรุงตัว ยังคงกินยาบำรุงร่างกายติดต่อกันมาหลายปีหวังจะบำเพ็ญตนให้ได้เป็นเซียนเช่นนั้น!”

                แม่เฒ่าซ่งส่ายหัวไปมา กล่าวว่า “เขาก็เป็นคนเช่นนี้! หากจือเปิ่นถังพอจักมีสมองอยู่บ้างก็จักไม่ไปวาดหวังว่าเขาจะสามารถทำสิ่งใดได้ หากเขาทำสิ่งใดได้จริง แต่แรกนั้นตำแหน่งประมุขของตระกูลไม่ว่าอย่างไรก็จักไม่มีวันตกถึงมือท่านปู่ของเจ้า! จักต้องรู้ว่าท่านย่าทวดของเจ้านั้นเป็นคนที่เก่งกาจชั้นยอดเพียงใด!”

                แล้วจึงเล่าความลับในความหลังให้แก่หลานสาวฟัง “เจ้าคงจักรู้แล้วว่าเหตุใดข้าจึงต้องคอยระวังท่านอารองของพวกเจ้า?”

                เว่ยฉางอิ๋งกล่าวว่า “ฉางเฟิงยังเยาว์ แล้วท่านอารองก็ฉลาดปราดเปรื่อง… อ๋า หรือเรื่องนี้จะเกี่ยวข้องกับท่านย่าทวดเจ้าคะ?”

                “แล้วมิใช่หรือ?” แม่เฒ่าซ่งยิ้มอ่อนๆ กล่าวว่า “มารดาของอารองเจ้าแซ่ลู่ ยามคลอดเขามีปัญหาในการคลอด หลังจากคลอดแล้วก็ตกเลือด ทนไม่ได้กี่ชั่วยามก็สิ้นใจ! จากนั้นท่านย่าทวดของเจ้าก็อ้างว่าตนมีเว่ยเจิ้งหย่าเพียงหนึ่งคนรู้สึกเหงาเกินไป จึงเอาเขาไปเลี้ยงดู”

                นิ่งไปพักหนึ่ง แม่เฒ่าซ่งถอนหายใจพลางว่า “จนถึงท่านอารองของเจ้าเติบโตได้สิบเก้าปี ข้าจึงเพิ่งจะบังเอิญรู้เรื่องเรื่องหนึ่งเข้า…นั่นก็คือเขาสงสัยว่าการตายของนางลู่นั้นเป็นข้าลงมือ! แต่คนที่ลงมือจริงๆ ก็คือท่านย่าทวดของพวกเจ้า!”

                เว่ยฉางอิ๋งตกตะลึง

                แม่เฒ่าซ่งกล่าวว่า “แต่ครานั้นต่อให้รู้ว่าท่านย่าทวดของพวกเจ้าให้ร้ายข้าก็ไม่มีทางใด เพราะท่านอารองของเจ้าเป็นนางเลี้ยงดูจนเติบใหญ่มา นางดูแลท่านอารองของเจ้าแทบจะคล้ายคลึงกับเลี้ยงดูเว่ยเจิ้งหย่าเท่านั้นยังไม่พอ ที่สำคัญที่สุดคือ จากภายนอกแล้ว นางดูไม่มีความจำเป็นใดต้องไปทำร้ายนางลู่ที่ไม่มีพิษสงใดๆ!”

                ฮูหยินท่านจิ้งผิงกงผู้เฒ่าเป็นย่าใหญ่ของเว่ยเซิ่งอี๋ หากจะว่ากันตามจริงก็ไม่มีความจำเป็นใดที่ต้องไปทำร้ายภรรยาน้อยคนหนึ่งของบุตรชายของอนุ แต่กลายเป็นแม่เฒ่าซ่งซึ่งเป็นแม่ใหญ่ของเว่ยเซิ่งอี๋ ครานั้นเว่ยเจิ้งหงบุตรชายคนโตขอแม่เฒ่าซ่งอ่อนแอขี้โรค และบุตรชายอีกคนก็ยังมาจากไปตั้งแต่ยังเล็ก… จึงวางแผนทำร้ายอนุภรรยาด้วยความริษยาก็เป็นเรื่องที่เป็นไปได้อย่างมาก

                ยิ่งไปกว่านั้นด้วยนิสัยของแม่เฒ่าซ่ง ก็เหมือนกับคนที่จะทำเรื่องเช่นนี้จริงๆ

                ทั้งที่รู้ว่าแม่สามีใส่ความตน แต่แม่เฒ่าซ่งก็ไม่สามารถอธิบายให้ชัดเจนได้ อย่างไรก็ดีเรื่องก็ผ่านมาสิบกว่าปีแล้ว เวลาผ่านเรื่องราวก็เปลี่ยน เว่ยเซิ่งอี๋มีท่านย่าใหญ่เลี้ยงดูมาจนเติบใหญ่ และมิได้ใกล้ชิดกับแม่ใหญ่… ประการต่อมาด้วยนิสัยของแม่เฒ่าซ่ง ก็ไม่มีทางเป็นไปได้ว่าจะลงจากหลังเสือ แล้วไปค่อยๆ อธิบายอย่างอ่อนโยนกับบุตรของอนุ

                ดังนั้นแม่เฒ่าซ่งจึงทำได้เพียงยอมรับไปโดยปริยาย

                “ท่านย่าทวดจึงได้ผูกใจเจ็บเรื่องที่ท่านปู่เป็นผู้สืบทอดรุ่ยอวี่ถังใช่หรือไม่เจ้าคะ?”

                แม่เฒ่าซ่งได้ยินคำกลับหัวเราะออกมา แล้วว่า “เด็กดี เจ้าจงจำไว้ ในบ้านใหญ่โตนี้ เรื่องที่เกิดจากความริษยาและผูกใจเจ็บ ความจริงแล้วยังมีน้อยนัก ที่มากที่สุดนั้น…” น่าหรี่ตาลง กล่าวอย่างราบเรียบว่า “ยังคงเป็น…ผลประโยชน์!”

                เมื่อเห็นว่าเว่ยฉางอิ๋งเบิกตาโพลงจ้องมองมาที่ตน แม่เฒ่าซ่งจึงกล่าวอย่างช้าๆ ว่า “เจ้าดูไม่ออกว่าท่านย่าทวดของเจ้าทำเช่นนี้แล้วจักมีผลประโยชน์อันใดใช่หรือไม่? เช่นนั้นข้าจักเอ่ยเตือนเจ้าประโยคหนึ่ง ‘ข้ารู้เรื่องที่ท่านอารองของเจ้าสงสัยว่าข้าทำร้ายนางลู่จนถึงแก่ความตาย ก็เพราะท่านย่าทวดของเจ้าจงใจให้คนเปิดเผยออกมา!’

                “อ่ะ!” สีหน้าของเว่ยฉางอิ๋งพลันเปลี่ยนไป กล่าวว่า “ท่านย่าทวดต้องการให้ท่านย่าและท่านอารองปะทะกัน?!”

                แม่เฒ่าซ่งยิ้มจางๆ กล่าวว่า “แล้วจักไม่ใช่รึ?”

                เว่ยฉางอิ๋งครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว ครู่หนึ่งจากนั้นจึงได้ว่า “แต่ท่านย่าเจ้าคะ แม้จะบอกว่าท่านพ่อร่างกายอ่อนแอมาแต่ในครรภ์ แต่ปีนั้นที่ท่านอารองเกิด ท่านย่ายังคงสาวอยู่ ท่านย่าทวดก็มั่นอกมั่นใจว่าจะให้ท่านอารองเป็นผู้ดูแลรุ่ยอวี่ถังของเราในยามนี้แล้วหรือเจ้าคะ?”

                แม่เฒ่าซ่งกล่าวว่า “แน่นอนว่านางไม่อาจมั่นใจได้ ดังนั้นมารดาของท่านอาสามของเจ้าก็มิใช่ว่าตายแล้วหรือ? แม้ท่านอาสามของเจ้าไม่ใช่นางเลี้ยงดูมาจนเติบใหญ่ ทั้งนิสัยใจคอก็อ่อนแอ แต่ผู้ใดเล่าจักรู้ว่าเขาจะคิดว่าการตายของมารดาของเขามีความเกี่ยวข้องกับข้าหรือไม่?”

                “…” เว่ยฉางอิ๋งกล่าวว่า “เช่นนั้นท่านย่าทวดก็คิดว่าท่านย่าไม่อาจมีบุตรได้อีกแล้วหรือเจ้าคะ?”

                เมื่อได้ยินคำ สีหน้าของแม่เฒ่าซ่งกลับพลันหม่นลงทันใด เนิ่นนานจึงเอ่ยว่า “ไม่รู้ว่าชาติก่อนข้าไปทำเวรกรรมใดไว้ บุตรธิดาที่ข้าคลอดออกมา คนที่แข็งแรงที่สุดก็คืออาหญิงรองของพวกเจ้า และถึงแม้จะเป็นนาง ตอนเล็กก็ยังต้องคอยกินยาอยู่ตลอดเวลา กระทั่งมีหลายปีที่ข้าอดสงสัยไม่ได้ว่าอาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับท่านย่าทวดของเจ้า! ภายหลัง…ยามที่ทำการรักษาบิดาของพวกเจ้าอยู่ที่เมืองหลวง…” พูดถึงตรงนี้ สีหน้าของแม่เฒ่าซ่งพลันมีแววแห่งความเจ็บปวด พลางเอามือทาบอกโดยไม่รู้ตัว

                เว่ยฉางอิ๋งตกใจ รีบเข้าไปประคองนาง “ท่านย่า?”

                “อะเฮอะ ไม่เป็นไร” แม่เฒ่าซ่งโบกมืออย่างไร้เรี่ยวแรง เอนตัวพิงหมอนอิงอยู่เกือบเค่อ จึงว่า “ครานั้น จึงได้ให้ท่านหมอท่านนั้นตรวจร่างกายข้าสักหน่อย ท่านหมอท่านนั้นบอกว่า มีสาเหตุมาจากตัวของข้าเอง ที่ตนเองจะไม่เป็นไร แต่บุตรธิดาที่เกิดออกมายากจะมีชีวิตอยู่ได้ นั่นเองจึงได้ทำให้ข้าสิ้นความสงสัย!”

                เมื่อว่ามาดังนี้ เลือดเนื้อเชื้อไขของแม่เฒ่าซ่ง แม้มิได้มีเพียงเว่ยเจิ้งหง เว่ยเจิ้งอินที่ยังมีชีวิตอยู่ ก็ยังยากจะสืบทอดตำแหน่งประมุขต่อไปได้?

                ทว่าบรรดาบุตรชายของอนุในรุ่ยอวี่ถัง ทุกคนล้วนมีความ ‘ความแค้นเรื่องสังหารมารดา’ กับแม่เฒ่าซ่ง…

                เว่ยฉางอิ๋งพลันคิดขึ้นมาได้ ท่านอาเล็กเว่ยเซิ่งเหอที่มอบให้เป็นบุตรบุญธรรมของท่านปู่สาม มารดาของเขาก็มิใช่ว่าเสียไปหลังจากคลอดบุตรได้ไม่นานหรอกหรือ?

                แม้เว่ยเซิ่งเหอจะไม่ได้ถูกยกให้เป็นบุตรบุญธรรม แล้วเขามาเป็นประมุข แม่เฒ่าซ่งก็จักไม่อาจวางใจได้!

                “ความต้องการของท่านย่าทวด คือให้ท่านย่าไม่อาจวางใจให้ท่านอาซึ่งเป็นบุตรของอนุคนใดรับตำแหน่งประมุข” เว่ยฉางอิ๋งรินน้ำชาหนึ่งถ้วย แล้วส่งให้แก่แม่เฒ่าซ่ง มองนางค่อยๆ ดื่ม และสีหน้าก็กลับมาเป็นปกติ จึงได้แอบโล่งใจ แล้วกล่าวต่อไปว่า “เมื่อทั้งมารดาและบุตรชายไม่อาจสมานสามัคคีกัน ดูคล้ายเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน แต่ความจริงกลับมีรอยร้าวมาตั้งนานแล้ว นับแต่นั้นไป ท่านปู่ใหญ่ที่เสียไปจึงมีโอกาสแล้ว?”

                แม่เฒ่าซ่งวางถ้วยชาลง พยักหน้าแล้วว่า “ไม่ผิด! ความจริงแล้วทั้งนางและข้าก็เหมือนกัน ไม่อาจฝากความหวังไว้กับบุตรชายที่มีเพียงคนเดียวได้ และทำได้เพียงฝากความหวังไว้กับรุ่นหลานแล้ว ทว่ารุ่นหลานของนางโตกว่ารุนหลานของข้าอยู่หนึ่งรุ่น ในสายตาของนางเรื่องนี้ย่อมได้เปรียบมากกว่า ยิ่งไปกว่านั้นบิดาของพวกเจ้าร่างกายอ่อนแอ แม้จักได้พบกับท่าน…ท่านหมอท่านนั้น ทว่าพวกเจ้าก็เกิดมาหลังจากที่มารดาของพวกเข้าแต่งเข้ามาเกือบสิบปี! ปีนี้ฉางเฟิงเพิ่งจะสิบห้า ยังอ่อนกว่าบุตรชายของคนโตของเว่ยเจิ้งหย่ามากนัก!

                นางถอนหายใจหนหนึ่ง แต่กลับยิ้มขึ้นมาอย่างได้ใจ “แต่วันนี้ ก็ยังเป็นข้าที่มีชัย!”

                ดวงตาของเว่ยฉางอิ๋งพลันโค้งขึ้นมา คิดในใจว่าที่แท้การที่ท่านย่าพรั่นพรึงต่อท่านอารอง ไม่เพียงเพราะท่านอารองเคยเสนอว่าจะให้บุตรชายคนรองมาเป็นบุตรบุญธรรมของบ้านใหญ่ แต่เพราะมีต้นเหตุมาจากท่านย่าทวดกระมัง?

                คิดๆ ไป ท่านย่าทวดที่ตนไม่เคยได้พบผู้นี้ ความจริงแล้วก็เป็นคนที่ร้ายกาจไม่เบาจริงๆ ยามที่เว่ยเซิ่งอี๋เกิดนั้น เว่ยเจิ้งหย่าเพิ่งจักอายุเท่าใดกัน? นางก็ใคร่ครวญไปถึงว่าเมื่อเว่ยหวนบุตรชายแท้ๆ ของตนไม่อาจมีความก้าวหน้าได้ จากนั้นตำแหน่งประมุขของตระกูลก็จักต้องมอบให้แก่เว่ยฮ่วนซึ่งเป็นบุตรของอนุ แล้วควรจักทำเช่นไรให้ทางฝั่งของเว่ยเจิ้งหย่าสามารถชิงตำแหน่งประมุขมาได้

                อย่างไรเสียเมื่อเว่ยฮ่วนเป็นประมุข ฮูหยินของท่านจิ้งผิงกงก็คงจะต้องเสียชีวิตแล้ว แม้ฐานะจะมั่นคง แล้วจักไม่คอยช่วยเหลือเลือดเนื้อเชื้อไขแท้ๆ ของตน แต่กลับไปช่วยเหลือหลานเช่นนั้นหรือ?

                ซึ่งตามแผนการของท่านย่าทวดผู้นี้ บุตรชายของแม่เฒ่าซ่งเองโดยมากแล้วจักขี้โรค ไม่อาจทำงานหนักได้ เช่นนั้นแล้วตำแหน่งประมุขก็จักตกอยู่กับบุตรชายของอนุหรือรุ่นหลานแท้ๆ เท่านั้น ทว่าพวกบุตรของอนุล้วนเกิดความเคลือบแคลงว่าแม่เฒ่าซ่งเป็นผู้วางแผนสังหารมารดาของตน ไม่มากก็น้อยจักต้องคิดว่าหากตนได้เป็นประมุขแล้วก็จะมีโอกาสได้แก้แค้นให้มารดาของตน

                สำหรับความแค้นนี้ แม่เฒ่าซ่งไม่คิดว่าควรต้องอธิบายและไม่มีทางอธิบายด้วย ด้วยนิสัยของแม่เฒ่าซ่งแล้ว ลำพังแค่ความเคลือบแคลงที่พวกบุตรอนุมีต่อนาง ก็หาได้ส่งผลไม่ให้นางขัดขวางพวกบุตรของอนุมาแย่งชิงตำแหน่งประมุขของตระกูลไปได้ไม่

                เช่นนี้แล้วทั้งสองฝั่งจึงต้องมีท่าทีเป็นน้ำและไฟต่อกันและกัน

                เมื่อทางฝั่งของเว่ยฮ่วนเปิดฉากต่อสู้ เว่ยเจิ้งหย่าจึงจะมีโอกาส

                ในความเป็นจริงแล้ว แผนการของท่านย่าทวดนี้เกือบจะเสร็จสมบูรณ์แล้ว ด้วยร่างกายของเว่ยเจิ้งหงนั้นย่ำแย่กว่าที่นางคาดการณ์เอาไว้ จึงถึงขั้นเกือบจะไม่มีผู้สือสกุลเสียด้วยซ้ำ แม้จะโชคดีได้พบกับหมอที่เก่งกาจ แต่เพราะล่วงเลยเวลามาแล้ว จึงยังคงทำได้เพียงต้องคอยรักษาตัวไปชั่วชีวิต

                ทว่าแผนการอย่างไรก็เป็นเพียงแค่แผนการ… ซึ่งก็เป็นดังที่แม่เฒ่าซ่งได้อกได้ใจเช่นนั้นว่า เว่ยเจิ้งหย่า ตายแล้ว

                แม่เฒ่าซ่ง มีชัยแล้ว

                เว่ยฉางอิ๋งหรี่ตา พอจักเข้าใจความหมายของท่านย่าแล้วว่า ไม่ว่าท่านย่าทวดจะมองการณ์ไกลเพียงใด ไม่ว่าจะวางแผนไว้รอบคอบเพียงใด อย่างไรนางก็ตายไปแล้ว เพียงแค่เรื่องที่มารดาของท่านอาทั้งสามคนซึ่งเป็นบุตรของอนุตายไปติดต่อกัน ก็สามารถมองออกว่าเป็นการกระทำของท่านย่าทวดผู้นี้เมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่ แม้ท่านย่าของตนจะถูกนางวางแผนทำลายบุตรจากอนุครั้งแล้วก็ครั้งเล่า ยิ่งไปกว่านั้นยังโยนความผิดมาไว้ที่นาง แต่นางก็กลับมิได้อับจนหนทางเลยแม้แต่น้อย!

                แต่เมื่อท่านย่าทวดผู้นี้ตายไป เว่ยฮ่วนและแม่เฒ่าซ่งจึงได้ค่อยๆ โต้กลับทีละน้อย ทีละน้อย…ในที่สุด เว่ยเจิ้งหย่าก็ตายแล้ว

                สิ่งที่เรียกว่าแพ้ชนะนั้น แท้จริงแล้วจักมีความหมายกับเพียงผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่เท่านั้น

                นางยิ้มน้อยๆ “คำสอนของท่านย่าข้าจดจำเอาไว้แล้วว่า เมื่อพบพานคนเข้ามาโจมตี ไม่จำเป็นว่าสิ่งที่ตนทำนั้นจะถูกหรือไม่ถูกเสมอไป ต้องใคร่ครวญดูเสียก่อนว่าผู้อื่นต้องการผลประโยชน์ใด และเมื่อต้องต่อสู้กับคน ไม่ว่าจะตกอยู่ในสถานการณ์เช่นไร สุดท้ายแล้วผู้ที่มีชีวิตอยู่จึงจะได้รับชัยชนะ!”

_________________________

[1] ยาอู่สือซ่าน ว่ากันว่าเป็นยาที่เดิมทีใช้ในการรักษาโรคหวัดในฤดูหนาว มีฤทธิ์ให้ร่างกายร้อนขึ้นเป็นอย่างมาก ภายหลังมีคนนำไปใช้เป็นยาโด้ป เร่งความต้องการทางเพศ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด