ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่หนึ่ง 93 จูเหล่ย

Now you are reading ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่หนึ่ง Chapter 93 จูเหล่ย at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
ตอนที่ 93 จูเหล่ย
โดย

                จนกระทั่งยามเย็น เว่ยฉางอิ๋งที่สีหน้าไม่ค่อยดีนักจึงได้กลับมาเรือนเสียซวง

                เมื่อเห็นนางกลับมา นางเฮ่อและนางหวงที่คอยชะเง้อคอมองมาตั้งนานแล้วต่างรีบร้อนเข้าไปต้อนรับ และไม่ลืมที่จะบ่นและปลุกปลอบอีกสักพัก เมื่อเสร็จแล้วก็รอให้เว่ยฉางอิ๋งเข้าไปนั่งในห้อง ดื่มน้ำชาถ้วยหนึ่ง และย่อมต้องถามว่านางหนีไปอยู่เสียที่ใดมา

                นางเฮ่อกล่าวว่า “หากคุณหนูอารมณ์ไม่ดี อยากจะไปเดินเล่นที่ลานหลังเรือนสักหน่อย ข้าน้อยหรือจะกล้ารั้งตัวคุณหนูไว้เจ้าคะ? เพียงแต่วันออกเรือนของคุณหนูก็จวนเจียนเข้ามาแล้ว หากข้างกายไม่มีคนดูแล แล้วเกิดไปชนนั่นชนนี่ขึ้นมาจักให้ทำเช่นไรเจ้าคะ?”

                เว่ยฉางอิ๋งกล่าวไปด้วยสีหน้าราบเรียบไร้อารมณ์ว่า “ก็มิใช่ว่าข้ากลับมาอย่างปลอดภัยแล้วหรือไร? อีกประการข้าก็หาใช่หญิงสาวอ่อนแอที่ไร้เรี่ยวแรงจะต้านทานผู้ใด ในเรือนหลังนี้จักมีสิ่งใดมาชนข้าได้เล่า?”

                นางหวงเป็นคนช่างเจรจาจริงๆ นางกล่าวเสียงอ่อนว่า “คุณหนูใหญ่มีวรยุทธ์ล้ำเลิศ พวกข้าน้อยก็กลับมิได้เป็นห่วง เพราะยามกลางวันแสกๆ ด้วยฝีมือของคุณหนูแล้วจะเกิดเรื่องใดขึ้นได้เล่า? เพียงแต่ยามนี้ฮูหยินผู้เฒ่าและฮูหยินล้วนกำลังจับตาดูคุณหนูใหญ่อยู่ คุณหนูใหญ่ออกไปข้างนอกเพียงลำพังในครานี้ ฮูหยินผู้เฒ่าและฮูหยินจักไม่เป็นห่วงหรือเจ้าคะ? ทั้งบ่ายนี้ต่างส่งคนสามสี่คนมาถามว่าพวกข้าน้อยดูแลคุณหนูบกพร่องประการใดจึงทำให้คุณหนูขัดเคือง หาไม่แล้วเหตุใดคุณหนูจึงไม่พาไปด้วย?”

                “…” เว่ยฉางอิ๋งขมวดคิ้ว นางฟังออกว่าที่นางหวงเอาแต่พูดเรื่องแม่เฒ่าซ่งและฮูหยินซ่งตำหนิพวกนางนั้น ความจริงแล้วกลับเป็นการเตือนสตินาง นับจากนี้ไปวันที่ต้องออกเดินทางจวนเจียนเข้ามาแล้ว ที่ตนถูกเอาอกเอาใจอยู่ในบ้านถึงเพียงนี้ ย่อมเพราะแม่เฒ่าซ่งและฮูหยินซ่งรักใคร่เป็นนักหนา ไม่ว่าจะยุ่งวุ่นวายเพียงใดก็จะต้องแบ่งจิตใจมาคอยสังเกตอยู่เสมอๆ

                อย่างเช่นการกระทำในบ่ายวันนี้ที่ตนหนีออกไปผ่อนคลายอารมณ์ ทั้งยังคอยหลบไม่ให้สาวใช้ตัวน้อยที่ออกมาตามหาหาตัวนางพบ หากเรื่องไปถึงหูของแม่เฒ่าซ่งและฮูหยินซ่ง แม้ไม่ตำหนิตน แต่ก็ยากจะข่มใจให้ไม่เป็นกังวลได้

                แน่นอนว่าเว่ยฉางอิ๋งเองก็ไม่ต้องการจะทำให้ทั้งย่าและมารดาไม่อาจวางใจได้  ดังนั้นนางจึงทำได้แต่ถอนหายใจ แล้วว่า “ข้ารู้แล้ว วันนี้ก็เพียงแค่เอนหลังอยู่บนต้นฮวายแก่ต้นนั้นพักหนึ่ง และมิได้ทำสิ่งใดอื่น อีกสองวันที่เหลือข้าจักไปที่ใด ก็จักบอกกล่าวกับพวกท่านเอง”

                “ที่แท้คุณหนูใหญ่ไปที่ลานต้นฮวายจริงๆ หรือเจ้าคะ?” ลานที่มีรั้วรอบและมีต้นฮวายแก่ๆ เพียงลำพังต้นเดียวจึงถูกตั้งชื่อว่าลานต้นฮวาย ในขณะที่นางหวงและนางเฮ่อโล่งอกอยู่นั้น ก็กลับเกิดความสงสัยขึ้นมา “ก่อนนี้ข้าน้อยพบซวงหลี่ นางว่าเห็นคุณหนูใหญ่เดินไปทางนั้น จูหลานและจูสือก็ไปหามาแล้ว แต่กลับกลายเป็นว่าเก็บดอกฮวายฮวากลับมามากมาย เพียงแต่ไม่พบคุณหนูใหญ่?”

                เว่ยฉางอิ๋งปรายตามจูหลานและจูสือที่กลับมาก่อนนานแล้ว และเมื่อได้ยินตนบอกว่าอยู่ที่ต้นฮวายแล้วพลันมีท่าทีร้อนรนนั่งไม่ติด จึงแค่นเสียงออกมาว่า “ข้าอยู่บนต้นไม้รู้สึกสบายใจมากจึงไม่ได้สนใจเสียงเอะอะของพวกนาง!”

                นางจงใจเน้นเสียที่คำว่าเอะอะสองพยางค์นี้ จูหลานและจูสือฟังความหมายที่อยู่ภายในออก จึงพากันหน้าซีดขึ้นมา… แม้จักพูดได้ว่าความจริงแล้วพวกนางก็ไม่ได้พูดสิ่งใดไม่ดี แต่ประการแรกก็วิจารณ์บ้านว่าที่สามีของคุณหนูบ้านตน ประการที่สองพูดถึงเรื่องที่พวกตนมีความลำบากใจและความในใจอยู่บ้างที่ต้องไปอยู่เมืองหลวงกับเว่ยฉางอิ๋ง เรื่องเหล่านี้ต่างเป็นที่รู้กันดีแต่ก็ไม่ควรพูดออกไป ไม่คิดว่าครานี้เว่ยฉางอิ๋งกลับได้ยินจนหมด ทั้งสองคนจึงรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาอย่างมาก

                นางหวงและนางเฮ่อเป็นมือหนึ่งในการสั่งสอนสาวใช้เล็กๆ เมื่อเห็นสภาพการณ์เช่นนี้ก็พอจักเดาออก แน่แท้แล้วว่า เมื่อจูหลานและจูสือไม่เห็นเว่ยฉางอิ๋งอยู่ที่ลานต้นฮวาย จึงคิดว่าคุณหนูท่านนี้ไม่อยู่ที่นั่น เมื่อมองเห็นว่ารอบทิศปลอดคน จึงได้ถือโอกาสนี้พูดคุยเล่นกัน… แต่ก็กลับถูกเว่ยฉางอิ๋งได้ยินเข้าจนได้!

                ท่านอาทั้งสองจดบัญชีนี้เอาไว้แล้ว และกำลังคิดจะหันหลังกลับไปตีจูหลานและจูสือซึ่งกำลังทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ แล้วกล่าวตำหนิไปว่า “คุณหนูใหญ่ก็เสี่ยงอันตรายเกินไปหน่อยแล้วนะเจ้าคะ ต้นฮวายนั้นสูงเพียงใด แม้คุณหนูจะมีวรยุทธ์ แต่คุณหนูตระกูลใหญ่จักต้องรู้จักถนอมชีวิตตนเอง ไม่ควรจะปีนขึ้นไปเป็นอย่างยิ่ง!”

                นางเฮ่อเจ็บปวดใจเป็นยิ่งนัก กล่าวว่า “ต้นไม้นั้นสูงมาก ที่ที่ใกล้ประตูรองก็ยังมองเห็นต้นไม้นี้ได้! หากมีผู้ใดเงยหน้าขึ้นมามอง แล้วคุณหนูจะเอาหน้าไปไว้ที่ใด? เรื่องที่ไม่เรียบร้อยเช่นนี้ เป็นเรื่องที่สตรีตระกูลเว่ยควรทำที่ใดกัน? คุณหนูใหญ่ก็เหลวไหลเกินไปเสียแล้วนะเจ้าคะ!”

                นางเฮ่อให้นมและเลี้ยงดูเว่ยฉางอิ๋งมาจนโต แม้จะมีความสามารถไม่ทัดเทียมนางหวง แต่ฐานะของนางก็อยู่เหนือกว่า เว่ยฉางอิ๋งไม่ได้สะทกสะท้านต่อคำสอนสั่งของนาง ได้แต่ทำปากจู๋ แล้วว่า “ข้าไม่ได้…อืม ลงมาอย่างปลอดภัยแล้วหรอกหรือ?”

                หากไม่มีบางคนเข้ามาก่อกวน ไม่แน่ตอนนี้ข้าอาจจะกำลังกินดอกฮวายฮวานึ่งอยู่ก็เป็นได้!

                ท่าทีที่นางเฮ่อมีต่อนางในยามนี้ แน่นอนว่าต้องไม่พอใจเป็นอย่างมาก “คุณหนูใหญ่เป็นคนสำคัญเพียงใด! จะมาทำเรื่องเสี่ยงอย่างนี้ได้อย่างไรเจ้าคะ? หากคุณหนูอยากจะรับของว่างที่ทำจากดอกฮวายฮวาก็เพียงสั่งให้คนไปเก็บก็มิใช่สิ้นเรื่องแล้วหรือ? หากอยากจะไปนอนพักผ่อนบนต้นไม้ ก็ให้คนไปทำบ้านบนต้นไม้ ต่อบันไดเชือกให้ แล้วมีเชือกอีกเส้นผูกไว้ที่เอว แบบนี้จึงจะปลอดภัยนะเจ้าคะ!”

                เว่ยฉางอิ๋งกุมขมับ ครุ่นคิดอยู่เกือบเค่อ แล้วพลันพูดออกมาว่า “มิใช่ว่าจูหลานและจูสือเอาดอกฮวายฮวากลับมาหรอกรึ? เอามาทำสิ่งใดแล้วบ้าง?”

                “นึ่งแล้วเจ้าค่ะ” ปรากฏว่านางเฮ่อพลันลืมไปแล้วว่าต้องอบรมเว่ยฉางอิ๋งเรื่องที่นางปีนขึ้นไปบนต้นไม้ แล้วกล่าวด้วยความรักว่า “คุณหนูจะลองทานหรือไม่เจ้าคะ?”

                นางหวงส่ายหัวเป็นทีส่งสัญญาณ นางเฮ่อเองก็ไม่ใช่ว่าเมื่อได้ยินเว่ยฉางอิ๋งถามถึงเรื่องของกินก็จะลืมเรื่องนี้ไปจริงๆ นางก็เพียงแค่คอยใส่ใจดูแลเรื่องเสื้อผ้า อาหาร ที่อยู่ และการเดินทางของเว่ยฉางอิ๋งเป็นพิเศษเท่านั้น เมื่อเอ่ยถึงสี่เรื่องนี้ เรื่องอื่นก็จักวางทิ้งไว้ข้างๆ สักพักก่อน ก็มิน่าเล่าปีนั้นแม่เฒ่าซ่งจึงได้ให้ตนอยู่ที่เมืองหลวง เพื่อเป็นการเตรียมการเมื่อคุณหนูใหญ่ออกเรือน แล้วในบรรดาคนทั้งหลายกลับเจาะจงเลือกนางเฮ่อมาเป็นแม่นม… ความคิดอ่านเช่นนางเฮ่อนี้ดูแลจัดการบ้านเรือนไม่ได้ แต่ทำการใดๆ ว่องไวนัก และสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือสนิทกับนางฮวงเป็นอย่างยิ่ง นางนับถือนางฮวงมาแต่เล็ก เมื่อครั้งที่ทั้งสองคนยังเป็นเด็กรับใช้ตัวเล็กๆ ไม่ว่านางเฮ่อจักทำสิ่งใดล้วนฟังนางหวงทั้งสิ้น เรื่องใดที่นางหวงให้นางทำ แม้แต่สาเหตุนางก็จะไม่ไปถาม…

                ความเคยชินนี้หยั่งรากลึกเกินจะปรับเปลี่ยน ทำให้วันนี้แม้ทั้งสองคนจะไม่ได้พบหน้ากันมาสิบกว่าปี แต่ก็สามารถสนิทสนมกันได้อย่างรวดเร็ว ถึงขึ้นว่าผ่านไปไม่กี่วันก็สามารถกลับมาเป็นดังช่วงที่พวกนางยังเป็นเด็กรับใช้ ยามนี้แม้สมองสักครึ่งหนึ่งนางเฮ่อก็ไม่อยากจะใช้แล้ว

                ดังนั้น ข้างกายของเว่ยฉางอิ๋ง ก็มีท่านอาคนหนึ่งคอยช่วยคิดการวางแผน อีกคนหนึ่งคอยดูแลเรื่องเสื้อผ้า อาหาร ที่อยู่หลับนอน และการเดินทาง ทั้งท่านอาทั้งสองคนก็สนิทสนมกันไม่เลวเลย รวมทั้งไม่เขม่นกันและกันจนเป็นเรื่องขึ้นมาด้วย แต่ในทางกลับกัน กลับรักใคร่ปรองดองกันเสียอย่างมาก… แม่เฒ่าซ่งก็มีหลานสาวแท้ๆ ผู้นี้เพียงผู้เดียว เพื่อเว่ยฉางอิ๋งแล้ว แม้จักต้องวางแผนลึกล้ำเอาไว้ยาวไกลปานใด ก็เรียกได้ว่าทำทุกสิ่งอย่างเต็มกำลังที่มีเลยทีเดียว

                ยามนี้ นางเฮ่อคอยหวงแต่ว่าจะทำสิ่งใดให้เว่ยฉางอิ๋งทาน แต่นางหวงนั้นไม่อาจจะลืมเรื่องสำคัญไปได้ อาศัยเวลาที่ดอกฮวายฮวานึ่งยังไม่ได้ยกมาก นางจึงบอกกับเว่ยฉางอิ๋งว่า “ท่านองครักษ์เจียงได้ฝากคนส่งความมา บอกว่าอยากจะขอร้องคุณหนูใหญ่เรื่องหนึ่งเจ้าค่ะ”

                เว่ยฉางอิ่งดื่มนำชาไปอึกหนึ่ง แล้วถามอย่างสงสัยว่า “ท่านลุงเจียงมีเรืองใดต้องขอร้องข้าหรือ?”

                ตำแหน่งครูฝึกของคุณหนูใหญ่นั้นแน่นอนว่าเป็นตำแหน่งที่องค์รักษ์ในตระกูลส่วนใหญ่พากันอิจฉาตาร้อนเป็นอย่างมาก แต่เจียงเจิ้งเคยได้หลั่งเลือดในยุทธภพมาแล้วหลายครา เหตุที่ยอมเข้ามาทำงานให้กับตระกูลเว่ยก็เพราะอยากจะมีชีวิตที่สงบสุขสักหน่อย ตระกูลเว่ยนั้นใจกว้างต่อบ่าวไพร่ โดยเฉพาะกับบ่าวที่มีความสามารถมาโดยตลอด เจียงเจิงเองก็ไร้ญาติขาดมิตร จึงมีความพึงพอใจกับชีวิตในบ้านตระกูลเว่ยเป็นอย่างมาก ตั้งแต่สอนวรยุทธ์ให้เว่ยฉางอิ๋งมาสิบกว่าปี แต่ไรมาไม่เคยร้องขอสิ่งใด

                จู่ๆ วันนี้ก็บอกว่ามีเรื่องจะขอร้องเว่ยฉางอิ๋ง เว่ยฉางอิ๋งจึงอดจะเป็นกังวลขึ้นมาไม่ได้ รีบขึ้นมานั่งตัวตรง แล้วว่า “หรือท่านลุงเจียงไม่อยากไปเมืองหลวง?”

                เจียงเจิงมีวรยุทธ์แก่กล้า และสิ่งที่หายากที่สุดก็คือมีประสบการณ์ในยุทธภพโชกโชน การที่พี่น้องตระกูลเว่ยทั้งสามรอดจากการลอบสังหารมาได้ก่อนหน้านี้ก็เป็นผลงานสำคัญของเขา ผู้มีความสามารถเช่นนี้ แม่เฒ่าซ่งย่อมจะไม่ยอมปล่อยให้เขาออกห่างเลือดเนื้อเชื้อไขทั้งคู่ของตนไปได้ เพราะเจียงเจิงคอยสอนวรยุทธ์ให้แก่เว่ยฉางอิ๋งมาโดยตลอด ดังนั้นแม่เฒ่าซ่งจึงตัดสินใจให้เขาตามเว่ยฉางอิ๋งไปด้วยยามนางออกเรือน

                ครูฝึกผู้นี้ไม่ใช่บ่าว เขามิได้ทำสัญญาขายตัวเอง หากแต่ปวารณาตนรับใช้ผู้ใหญ่ในสกุลเว่ย แต่หากเขาไม่อยากไปเมืองหลวงจริงๆ ด้วยความเป็นศิษย์อาจารย์ เว่ยฉางอิ๋งก็ไม่อยากจะบังคับใจเขา เพียงแต่ก็รู้สึกผิดหวังขึ้นมาเช่นกัน

                พลันได้ยินนางหวงหัวเราะแล้วว่า “คุณหนูใหญ่อย่าได้เป็นกังวลเจ้าค่ะ องครักษ์เจียงจะไม่ยอมไปเมืองหลวงกับคุณหนูได้อย่างไรกัน? เรื่องเป็นเช่นนี้ องครักษ์เจียงอยากจะพาศิษย์คนอื่นๆ ไปด้วย บอกว่าคิดมานานแล้วว่าอยากจะให้พวกศิษย์คนอื่นได้ไปฝึกฝนที่เมืองหลวงสักครั้งเจ้าค่ะ”

                เว่ยฉางอิ่งโล่งใจ แล้วว่า “ข้าก็คิดว่าเรื่องอันใดกัน? เรื่องเล็กเพียงนี้ เอารายชื่อศิษย์ของท่านลุงเจียงเพิ่งเข้าไปก็สิ้นเรื่องแล้ว”

                 “ความจริงก็มีเรื่องน่าลำบากใจเจ้าค่ะ” นางหวงยิ้มแล้วว่า “ศิษย์ที่องครักษ์เจียงรับไว้ผู้นี้ มิใช่องครักษ์หรือบ่าวในบ้านเว่ยของเรา หากแต่เป็นชาวบ้านผู้หนึ่ง ยิ่งไปกว่านั้นฟังจากที่องครักษ์เจียงว่า ก็มิได้ต้องการจักให้ศิษย์ผู้นี้ทำสัญญาระยายาวหรือสั้นกับบ้านเรา แต่กลับคิดจะอาศัยโอกาสที่คุณหนูใหญ่จะแต่งงานและไปอยู่เมืองหลวง ให้ศิษย์ผู้นี้เดินทางไปด้วย และถือเป็นเพื่อนร่วมเดินทางด้วยเจ้าค่ะ”

                ในขบวนรับตัวเจ้าสาวที่มีการจัดแจงเป็นอย่างดี กลับมีคนนอกโผล่มาหนึ่งคน ย่อมเป็นเรื่องที่ไม่ใคร่เหมาะสม ทว่าเว่ยฉางอิ๋งนิ่งอึ้งไปขั่วขณะ แล้วตอบมาทันใดว่า “เรื่องนี้ก็ไม่เห็นมีสิ่งใด ก็เป็นศิษย์ของท่านลุงเจียงนี่…อ่ะ คราก่อนท่านอาเฮ่อด่าทอท่านลุงเจียง และพูดไปถึงศิษย์ของท่านลุงเจียงด้วย ท่านลุงเจียงไม่เคยพูดเรื่องนี้กับข้าเลย ศิษย์ผู้นี้ของเขาเป็นคนเช่นใด?”

                ด้วยฐานะของนาง ซึ่งที่สำคัญที่สุดก็ด้วยนางเป็นหญิง แม้เว่ยฉางอิ๋งจะกรำแดดกรำฝนฝึกวรยุทธ์มากับเจียงเจียง แต่กลับไม่เคยมีพิธีไหว้ครู ตามกฎในยามนี้แล้ว เพลงยุทธ์ที่ล้ำลึกและมีอานุภาพรุนแรงที่สุดในเคล็ดวิชาที่สืบทอดมาในตระกูลเจียงจึงไม่ได้ถ่ายทอดให้แก่นาง แต่ด้วยฐานะของเว่ยฉางอิ๋งแล้ว ร่ำเรียนมาถึงจุดนี้ก็ถือว่าใช้การได้แล้ว

                ดังนั้นสุดยอดเคล็ดวิชาที่แท้จริงของเจียงจือก็จะต้องถ่ายทอดให้กับผู้สืบทอดคนอื่น

                เว่ยฉางอิ๋งรู้ดีกว่าไม่อาจเรียกเจียงเจิงเป็นอาจารย์ได้ ทว่าก็คิดอยู่เช่นกันว่าตนเองก็ร่ำเรียนอย่างยากลำบากมาแต่เล็ก แต่กลับมิได้เป็นหนึ่งในศิษย์ที่แท้จริงของเขา ยามนี้เมื่อได้ยินว่าเจียงเจิงรับคนเป็นศิษย์จริงจังแล้ว ก็อดรู้สึกอยากเอาชนะขึ้นมาไม่ได้ จึงคิดอยากจะสอบถามถึงความสามารถของอีกฝ่ายดูสักหน่อย เพื่อจักได้มาเปรียบเทียบกับตนเอง

                ความคิดเช่นนี้ของนาง นางหวงเข้าใจเป็นอย่างดี จึงยิ้มแล้วว่า “ได้ยินว่าชื่อจูเหล่ยเจ้าค่ะ ข้าน้อยเองก็ยังไม่เคยเห็นกับตา ได้ยินคนทางประตูรองเล่ากันว่าเป็นคนที่รูปร่างกำยำสูงใหญ่ ดูแล้วคล้ายคนที่สวมหมวกแล้ว แต่ความจริงอายุกลับไม่มาก ยังเด็กกว่าคุณชายห้าของเราสองปี” แล้วว่า “ได้ยินคนว่า องครักษ์เจียงเอ็นดูศิษย์ผู้นี้มาก คล้ายกับว่าเขาสามารถเรียนรู้วรยุทธ์ได้อย่างรวดเร็ว เงินที่องครักษ์เจียงสะสมมาหลายปีเพื่อเอาไว้ซื้อบ้านของตน คล้ายว่าล้วนเอาไปซื้อยาสมุนไพรนานาชนิดรวมทั้งอาหารเนื้อสัตว์เพื่อเตรียมร่างกายของเขาให้พร้อมกับการฝึกฝน เห็นได้ว่าเขา                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                      เอ็นดูศิษย์ผู้นี้เป็นอย่างยิ่ง”

                เว่ยฉางอิ๋งบ่นเสียงหนักว่า “เพิ่งอายุสิบสี่ปีรึ…” อายุสิบสี่ปี อ่อนกว่าตนสี่ปี อายุในวัยนี้แต่กลับมีรูปร่างกำยำสูงใหญ่ เห็นได้ว่าร่างกายของเขาได้เปรียบเป็นอย่างยิ่ง ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นที่ชื่นชอบของเจียงเจิงเป็นพิเศษอีก เว่ยฉางอิ๋งได้รับคำชมเชยจากเจียงเจิงมาโดยตลอดว่ามีพรสวรรค์โดดเด่น พื้นฐานร่างกายไม่ธรรมดา เจ้าเด็กชาวบ้านผู้สามารถทำให้เจียงเจิงพุ่งเข้าหาได้ถึงเพียงนี้ ไม่แน่ว่าอาจจักมีพรสวรรค์ที่เหนือกว่าเว่ยฉางอิ๋งขึ้นไปอีก…

                 อึ่ม อย่าไปเปรียบเทียบกับเขาดีกว่า อีกฝ่ายอายุน้อยกว่าตน ต่อให้ชนะก็ไม่น่าภูมิใจ แพ้แล้วยิ่งน่าขายหน้า

                นางเลิกความคิดที่จะสอบถามถึงรายละเอียดของจูเหล่ยผู้นี้ต่อไป กล่าวเพียงว่า “เห็นแก่ท่านลุงเจียง ก็อนุญาตให้เขาร่วมขบวนไปด้วย หากไม่มีม้าขี่ ก็หาให้เขาสักตัว… ท่านลุงเจียงพอจักมีคนอยู่ในเหล่าองครักษ์ที่สามารถดูแลเขาให้ได้หรือไม่? หากไม่สะดวก ท่านก็ไปบอกท่านลุงเจียงว่าให้ไปจัดหามาได้”

                ระหว่างทางจากเฟิ่งโจวไปเมืองหลวงนั้นจักต้องราบรื่น แม้จะบอกว่าจูเหล่ยเป็นผู้มีวรยุทธ์ แต่หากต้องเดินทางเพียงลำพังก็จะไม่ปลอดภัยพอ ทว่าเมื่อติดตามมากับขบวนรับเจ้าสาวของตระกูลเสิ่นก็จักวางใจได้ โดยนามแล้วครานี้เสิ่นจั้งเฟิงพาองครักษ์ในตระกูลและกองทหารม้ามาเพียงสามร้อยคน แต่ความจริงแล้วหากรวมพ่อบ้านและพวกบ่าวไพร่เข้าไปด้วยแล้วก็มีจำนวนเกือบพันคน ซึ่งทุกคนล้วนเป็นชายฉกรรจ์ร่างกายกำยำ แม้โดยนามแล้วจักเป็นบ่าวไพร่ แต่ทุกคนล้วนมีดาบและกระบี่เหน็บไว้ที่เอว… ว่ากันว่าด้วยเหตุที่ตระกูลเสิ่นและตระกูลหลิวต้องคอยปกป้องชายแดน ทั้งยังแทบจะต้องสู้รบกับพวกตี๋และหรงอยู่แทบทุกปี จึงทำให้ทุกคนในตระกูลล้วนมีการเตรียมตัวเพื่อไปเป็นทหารได้ทุกเมื่อ

                ซึ่งก็หมายความว่า ทุกคนที่เรียกว่าเป็นพ่อบ้านและบ่าวไพร่นั้น หากพบเจอพวกกองโจร นอกจากพวกที่ไม่มีเกราะป้องกันตัวแล้ว นอกนั้นเมื่อหยิบอาวุธขึ้นมาก็สามารถเข้าโรมรันได้ทันที

                ยิ่งไปกว่านั้นอานุภาพการรบของกองกำลังส่วนตัวและทหารม้าของต้าเว่ยก็มิได้อยู่ในขั้นต่ำๆ เท่านั้น กองกำลังส่วนตัวนี้เป็นเหล่าตระกูลใหญ่บ่มเพาะมาเองเพื่อดูแลความปลอดภัยให้แก่ในตระกูล เช่นนั้นแล้วไม่ว่าจะเป็นทหาร หรือจะเป็นม้า อาวุธ เกราะกำบัง ก็ล้วนเป็นเลิศทั้งสิ้น ส่วนเรื่องเบี้ยหวัดทหารยิ่งไม่ได้เอ่ยถึง เพราะได้มอบให้กันอย่างเต็มที่เลยทีเดียว

                ทว่าหลายปีมานี้กำลังอำนาจในการปกครองของต้าเว่ยถดถอย กองทหารเองก็สับสนวุ่นวาย เรื่องที่พวกทหารไม่ได้เบี้ยหวัดก็มีให้ได้ยินกันอยู่นับครั้งไม่ถ้วน พวกขุนนางที่มาถึงก็ถึงขั้นคร้านจักไปตรวจสอบแล้ว เรื่องการหนีทหารก็มีแต่จะเพิ่มขึ้นทุกวัน… บรรดาคนของตระกูลเสิ่นเหล่านี้ รวมทั้งคนของเว่ยฉางอิ๋งที่ติดตามนางไป อีกทั้งในตระกูลเว่ยเองก็ต้องมีคนไปร่วมงานแต่งงานที่เมืองหลวงด้วย… แม้ไม่ขอกำลังทหารม้าแห่งต้าเว่ยมา แต่ขบวนเดินทางขบวนนี้ก็หาใช่ว่าจักถูกรังแกได้โดยง่าย

                ส่วนเรื่องที่บอกว่ามีการขอกำลังทหารม้าแห่งต้าเว่ยมาคุ้มครองขบวนเดินทางนี้…ตระกูลเสิ่นเองก็มิใช่ว่าไม่มีคนอยู่ในกองทหาร

                การพาจูเหล่ยเดินทางไปพร้อมกันก็เป็นเพียงเรื่องที่แทบไม่ต้องออกแรงใดเลย… เว่ยฉางอิ๋งจึงหลงลืมเรื่องนี้ไปอย่างรวดเร็ว สิ่งที่นางคอยทอดถอนใจก็คือ เมื่อผ่านยามเย็นไปก็จักเป็นเพลาพลบค่ำ ผ่านพลบค่ำไปก็จะเป็นกลางคืน…หลังจากฟ้าสางแล้วก็กลายเป็นอีกวันหนึ่ง และวันเวลาที่นางจะได้อยู่ในบ้านตนเองนั้น ก็น้อยลงไปอีกวัน

                เมื่อสูญเสียก็จักเข้าใจการทะนุถนอม

                ยามนี้เว่ยฉางอิ๋งรู้สึกว่าในใต้หล้านี้ไม่มีคำกล่าวใดที่มีเหตุผลเท่าคำกล่าวนี้อีกแล้ว

                นางจดจ้องไปยังต้นไม้ใบหญ้าทุกต้นในเรือนเสียซวงอย่างด้วยความอาลัยและโลภโมโทสัน แม้จักเป็นเพียงเศษหินเล็กๆ ที่บังเอิญไปอยู่ใต้ดอกไม้ก็ตาม ทั้งหมดนี้ก็เพราะการไปเมืองหลวงครานี้ ยังมิอาจรู้ได้ว่าในชั่วชีวิตนี้จะมีโอกาสได้กลับมาบ้านเดิมของตนอีกเมื่อใด

                เรือนเสียซวงซึ่งเป็นที่บันทึกชีวิตในวันเด็กจนสาวของนาง เมื่อต้องจากไปก็รู้สึกเคว้งคว้างยิ่ง

                ความรู้สึกสับสนและความเศร้าสร้อยเมื่อจากลา… ยามก้าวข้ามจากวัยสาวแสนสะพรั่งงดงามและแต่งงานไปเป็นภรรยาผู้อื่น จากความไร้เดียงสา ไร้เรื่องร้อนใจ ไร้กังวล ไร้เรื่องให้ต้องครุ่นคิด ก้าวไปสู่การเป็นภรรยาที่ดี มารดาที่ประเสริฐที่ต้องดูแลบ้านเรือน สามีและบุตร …การเติบโตนั้นย่อมต้องมีสิ่งแลกเปลี่ยน

                ท่ามกลางความไม่รู้ไม่เข้าใจ เว่ยฉางอิ๋งในวัยสาว สัมผัสถึงสิ่งนี้ได้รางๆ

___________________________

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด