ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่หนึ่ง 76 กระบี่ ‘สังหารตามใจ’

Now you are reading ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่หนึ่ง Chapter 76 กระบี่ ‘สังหารตามใจ’ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
ตอนที่ 76 กระบี่ ‘สังหารตามใจ’
โดย

                ฝนฤดูใบไม้ร่วงไหลอาบลงมาตามแก้มของเสิ่นจั้งเฟิง และหยดลงที่ใต้ลำคอ ทำให้ชุดจิ่นเผาสีแดงสดเปียกโชกจนกลายเป็นแดงเข้ม ท่ามกลางสายฝน บนลานบ้านที่เวิ้งว้าง ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ท่ามกลางสายฝนแต่กลับเต็มไปด้วยชีวิตชีวา ทั้งที่เนื้อตัวเปื้อนโคลนและน้ำฝน แต่กลับรู้สึกเพียงว่าเขาสง่างามมีพลัง มิได้มีสภาพน่าอเนจอนาถเลยแม้แต่น้อย

                ริมฝีปากของเสิ่นจั้งเฟิงโค้งขึ้นเล็กน้อย อมยิ้มอ่อนๆ รอยยิ้มของเขาจริงใจ ประสานมือคำนับเป็นหนที่สอง “ตอบคำท่านย่า ท่านอาลืมนำของสำคัญมา ดังนั้นท่านพ่อจึงสั่งให้หลานเขยรีบตามนำมาส่งให้ขอรับ”

                ของสำคัญ?

                แม่เฒ่าซ่งนิ่งเหม่อหนแล้วหนเล่า จึงว่า “เป็นของสำคัญใดกันหรือ?” เมื่อพูดถึงตรงนี้ และมองไปยังเสิ่นจั้งเฟิงที่ฝนฤดูใบไม้ร่วงหยดลงมาจากในแขนเสื้อของเขา ฮูหยินผู้เฒ่าจึงเพิ่งจะนึกขึ้นมาได้ แล้วรีบเปลี่ยนสีหน้า ร้องออกไปว่า “รีบขึ้นมาพูดบนระเบียงเร็วๆ เข้า! เจ้าเด็กคนนี้! ของสิ่งใดต้องรีบร้อนนำมาส่งถึงเพียงนี้ ให้ผู้อื่นเร่งเดินทางมาก็พอแล้ว ไยต้องมาด้วยตนเองเล่า?” ขณะที่เรียกเสิ่นจั้งเฟิ่งให้ขึ้นมาหลบฝน ก็หาได้ละเว้นต่อว่าต่อขานพวกพ่อบ้านแม่บ้าน “ตาไม่มีแววกันเสียเลย! ตั้งแต่หน้าลานจวนจนถึงเรือนหลังหาได้มีผู้ใดคิดเอาร่มสักคันมาให้ไม่!”

                “หลานเขยขอบคุณท่านย่าที่เป็นห่วง จะว่าไปเป็นหลานเขยใจร้อน มิทันรอให้คนมาบอกกล่าวก็บุกเข้ามา ขอให้ท่านย่าโปรดอภัยด้วยขอรับ” เสิ่นจั้งเฟิงยิ้มสดใส พลางคารวะอีกครา จากนั้นจึงก้าวเท้ายาวๆ ขึ้นมาบนระเบียงทางเดิน ยามนี้ชุดจิ่นเผาที่เดิมทีมีสีแดงสดก็กลายเป็นสีแดงเข้มไปจนหมดแล้ว ทั้งชายเสื้อและใต้แขนเสื้อดังมีลำธารเล็กๆ ที่มีน้ำไหลหลากลงมา ทั้งตัวประหนึ่งว่าเพิ่งดึงขึ้นมาจากน้ำเช่นนั้น

                แต่ยังเห็นเขาร่าเริงสดใส ดวงหน้ายังคงหล่อเหลาเร่งเร้าใจคน หาได้มีท่าทีใส่ใจใดๆ แม้แต่น้อย

                 ด้วยเขาเอ่ยปาก คำก็หลานเขย สองคำก็หลานเขย แม่เฒ่าซ่งจึงพลันรู้สึกเอ็นดูเขาขึ้นมาจากในหัวใจ แม้แต่กระโปรงของตนยังเปียกอยู่แถบนึ่งก็หาได้ใส่ใจไม่ เร่งร้อนเรียกคนให้เข้าไปรายงานเว่ยฮ่วนและเสิ่นโจ้ว ทั้งยังให้เฉินหรูผิงเป็นคนไปตระเตรียมน้ำร้อน และแม่เฒ่าซ่งยังส่งผ้าให้เขาเช็ดหน้าด้วยตนเอง พลางกล่าวด้วยความรักใคร่อย่างเปี่ยมล้นว่า “ในเมื่อเป็นเรื่องเร่งรีบ ไยไม่ใช้วิธีอื่น มีสิ่งใดสำคัญนัก? ดูเจ้าสิเปรอะเปื้อนทั้งโคลนทั้งน้ำไปทั้งตัว รีบเข้าไปทักทายท่านอาของเจ้า แล้วไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสียก่อน หาไม่แล้วจะหนาวจนป่วยเอาได้!”

                เสิ่นจั้งเฟิงกำลังจะอมยิ้มและตอบกลับ พลันเห็นว่าข้างหลังฮูหยินผู้เฒ่า ห่างออกไปสิบกว่าก้าว ใกล้จะถึงซุ่มประตูรูปวงพระจันทร์ที่มีใบกล้วยบดบังอยู่ มีสาวใช้หลายนางกำลังห้อมล้อมหญิงสาวในชุดสีเรียบผมสลวยงดงามนางหนึ่ง ซึ่งกำลังจ้องมองมาทางตนด้วยสีหน้าสับสน

                แม้จักสวมชุดสีเรียบทั้งตัว ทั้งนอกทางเดินก็ยังมีฝนตกโปรยปราย แต่กลับมิได้ดูอาดูรน่าสงสาร เพียงเพราะใบหน้าของหญิงสาวผู้นี้งดงามเหลือ เรียกได้ว่างามโดดเด่นยิ่งกว่าผู้ใด ปรายตามองเพียงครั้ง ทำให้คิดถึงดอกกุหลาบที่กำลังบานสะพรั่งรับแสงตะวันท่ามกลางสวนดอกไม้ในฤดูร้อน เร่าร้อนดังไฟ สดใส่เจิดจ้า ความเจิดจ้าในยามนี้มีความอิดโรยเล็กน้อยออกมาให้เห็น ทว่ายามที่เขามองกลับไปศีรษะของนางยังคงเชิดขึ้นสูง ไม่เสียชื่อความภาคภูมิและทะนงตนของสตรีในตระกูลสูงศักดิ์

                เสิ่นจั้งเฟิงเพียงเหลียวมองไปข้างหลังฮูหยินผู้เฒ่าคราหนึ่ง ฮูหยินผู้เฒ่าก็สัมผัสได้แล้ว พลางกระแอมไอหนึ่งหน เอื้อมมือออกไปแล้วว่า “ที่นี่เป็นทางลม เจ้าเสื้อผ้าเปียกปอน อย่าได้ตากลมอีก…รีบเข้าไปเถิด”

                “หลานเขยน้อมรับคำสั่ง” เสิ่นจั้งเฟิงยิ้มและรีบรับคำ แล้วเดินไปที่ข้างประตูสองก้าว เห็นฮูหยินผู้เฒ่าหันหน้าไปสั่งความกับสาวใช้ข้างกายว่าให้เลือกเสื้อผ้าที่มีขนาดเหมาะสมกับตนเองมาให้ เขาจึงอาศัยโอกาสนี้รีบกวาดมองไปทางประตูวงพระจันทร์อีกคราอย่างรวดเร็ว ครานี้กลับมองเห็นเพียงใบกล้วยสองสามใบที่กำลังโบกไหวด้วยต้องสายฝนฤดูใบไม้ร่วง

                ภายในประตูบนทางเดินนั้นว่างเปล่า เพียงพริบตา คนก็ไปเสียแล้ว

                เสิ่นจั้งเฟิงหันสายตากลับมา ยิ้มเยาะตนเองในใจ แต่กลับไม่ว่างจักมาคิดมาก เมื่อตั้งสติแล้ว จึงเตรียมตัวรับความประหลาดใจของเสิ่นโจ้วผู้เป็นอา

                ระหว่างทางกลับเรือนเสียซวง ฝนค่อยๆ ตกหนักขึ้น

                นางเฮ่อเป็นคนกางร่มให้เว่ยฉางอิ๋ง แล้วให้พวกสาวใช้ถอยออกไปสองสามก้าว ท่ามกลางสายฝน นางเอามือป้องข้างหูเว่ยฉางอิ๋ง กล่าวไปด้วยความตื่นตระหนกและยินดีว่า “เมื่อครู่คนผู้นั้น…คล้ายจักเป็นท่านเขยกระมังเจ้าคะ?”

                เว่ยฉางอิ๋งค่อยๆ ยกชายกระโปรงขึ้นเล็กน้อย ตั้งใจจดจ่อเดินไป ประหนึ่งว่าไม่ได้ยิน

                “ท่านเขยเรียกขานตนว่าหลานเขยกับฮูหยินผู้เฒ่าด้วยนะเจ้าคะ!” นางเฮ่อเข้าใจว่าเว่ยฉางอิ๋งยังมิทันออกเรือน อย่าว่าแต่เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น หรือแม้มิมีเรื่องใดเกิดขึ้น… เด็กสาวมีตระกูลที่รู้กฎเกณฑ์ดีบังเอิญได้พบกับคู่หมาย ต่อให้เพียงแค่มองเห็นแต่ไกลเพียงคราเดียว ก็จักต้องรู้สึกขวยเขินไปกว่าครึ่งวัน

                “ข้าน้อยไม่พูดแล้ว คุณหนูเป็นคนดีถึงเพียงนี้ บ้านเสิ่นหรือจะคิดไปทางอื่นได้?” นางเฮ่อรู้สึกอารมณ์ดีเป็นที่สุด!

                เว่ยฉางอิ๋งขบริมฝีปาก หมุนกำไลที่ข้อมืออย่างช้าๆ จนกระทั่งเข้าไปภายในห้อง นางเฮ่อยังคงพูดอย่างอารมณ์ดีว่าที่แท้บ้านเสิ่นหาใช่คนที่ไม่มีสัจจะ เสิ่นจั้งเฟิงก็รูปงามเสียเหลือเกิน บ้านสามีเช่นนี้และสามีเช่นนี้คู่ควรกับเว่ยฉางอิ๋งไปเสียทุกสิ่ง… ที่สุดเว่ยฉางอิ๋งก็ทนไม่ได้ กล่าวเสียงต่ำไปว่า “ท่านอาไม่รู้สึกหรือว่า…เสิ่นจั้งเฟิง เขาและเซียงหนิงปั๋วมากันคนครั้ง กลับมิได้มาถึงพร้อมกัน ไม่แปลกไปหน่อยหรือ? อีกประการ เหตุใดเขาจึงต้องมาด้วยตนเองเล่า?”

                นางเฮ่องงงัน เอ่ยว่า “ฮูหยินผู้เฒ่าได้ไถ่ถามแล้วนี่เจ้าคะ คงเพราะเสียงลมเสียงฝน คุณหนูใหญ่จึงไม่ได้ยินกระมังเจ้าคะ? เซียงหนิงปั๋วผู้นั้นลืมเอาของสำคัญมา ดังนั้นท่านเขยจึง…”

                “อย่าเพิ่งเอ่ยถึงเรื่องว่าจักมีของสำคัญอันใดที่ครานี้เซียงหนิงปั๋วไม่อาจไม่นำมาได้?” เว่ยฉางอิ๋งนั่งลงบนตั่ง กล่าวอย่างราบเรียบว่า “ของสำคัญที่สุดในเรื่องแต่งงานนี้ก็คือหยกประดับรูปใบไม้ล้อมดอกไม้คู่หนึ่งที่หักแยกออกจากกันยามทำสัญญาแต่งงาน แต่นั่นก็เป็นของของบ้านเสิ่น ต่อให้ต้องการจะถอนหมั้น ก็ควรจักเป็นบ้านเราส่งคืนกลับไป หาใช่พวกเขาต้องนำมาไม่”

                เมื่อเห็นว่านางเฮ่อต้องการพูดบางสิ่ง เว่ยฉางอิ๋งรีบยกมือขึ้นปรามนางไว้ แล้วพูดต่อไปว่า “ต่อให้มีสิ่งของสำคัญชิ้นอื่นที่ต้องนำมาจากเมืองหลวง แล้วเซียงหนิงปั๋วลืมนำมา เมื่อเป็นเช่นนั้น หรือบ้านเสิ่นจักไม่มีผู้อื่นที่สามารถนำมาส่งได้? เสิ่นจั้งเฟิงยังเป็นราชองครักษ์ชินในราชสำนัก เป็นผู้ที่ต้องปฏิบัติหน้าที่ต่อหน้าพระพักตร์องค์ฮ่องเต้ ราชองครักษ์ทั้งสามหากมิได้มีราชโองการก็ห้ามออกมาจากเมืองหลวง! การที่เขามาที่เฟิ่งโจว ไม่น่าเป็นเรื่องง่ายหรอกกระมัง?”

                “บางที…” นางเฮ่อสูดลมหายใจเข้า รู้สึกเย็นวาบขึ้นมาเล็กน้อยภายในอก คงเป็นเพราะอากาศยามฤดูใบไม้ผลิ “บางทีของสิ่งนั้นอาจจะสำคัญเกินไป ไม่อาจวางใจผู้อื่นได้กระมังเจ้าคะ?”

                “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ แล้วจักนำมาที่เฟิ่งโจวทำสิ่งใด?” เว่ยฉางอิ๋งย้อนถาม “ยิ่งไปกว่านั้นท่านราชครูมีบุตรชายหลายคน ยิ่งจักต้องมีผู้ที่ไว้วางใจ และยังมีองครักษ์ลับ ‘จี๋หลี[1]’ มีผู้ที่สามารถส่งมาได้มากมาย เสิ่นจั้งเฟิงถือเป็นผู้ที่เป็นความหวังที่สุดของตระกูล แต่ยามนี้ท่านราชครูอยู่ในใกล้กลางคน หรือบุตรชายคนอื่นจักมิมีผู้ใดสามารถทำหน้าที่สำคัญนี้ได้? เสิ่นจั้งเฟิงกับข้ามีสัญญาแต่งงานอยู่กับตัว ตามสัญญาก่อนหน้านี้ ปีหน้าก็จักต้องมารับข้าไปแต่งงานแล้ว ยามนี้ก็ควรจะหลบเลี่ยงมาพบเจอข้าสักหน่อย ตามธรรมเนียมแล้ว แม้จักมิได้มีหน้าที่รับผิดชอบหน้าพระพักตร์ หากจะต้องส่งของมาจริงๆ ก็ไม่ควรเป็นเขามา!”

                นางเฮ่อนิ่งเงียบไปเกือบเค่อ จึงได้เอ่ยว่า “ไม่ว่าจะว่าอย่างไร เมื่อครู่นี้ท่านเขยก็ออกปากเรียกขานตนเองว่าหลานเขยแล้ว ต่อให้เรื่องนี้จะมีเงื่อนงำบางสิ่งอยู่ หรือว่าหลังจากที่ท่านเขยยอมรับเองแล้วว่าตนเป็นหลานเขยตระกูลเว่ย แล้วบ้านตระกูลเสิ่นจะยังกลับลำเล่าเจ้าคะ?”

                เว่ยฉางอิ๋งเอามือขึ้นมาปิดปาก เนิ่นนานจึงว่า “ข้าไม่รู้ว่าเหตุใดเขาจึงยังอยากให้ข้าไปเป็นสะใภ้บ้านเสิ่น แต่เห็นเขาเร่งร้อนเข้ามาเช่นนี้ กระทั่งทนรอให้บ่าวมารายงานก่อนแล้วจึงให้คนรับใช้ออกไปต้อนรับที่ข้างนอกไม่ได้…คาดว่าที่บ้านเสิ่นให้เซียงหนิงปั๋วมาครานี้ เดิมทีเพื่อมาถอนหมั้นเป็นแน่ เป็นตัวเขาเองที่ไม่ยินยอม จึงได้เร่งควบม้ามาตลอดทางจนเสื้อผ้าเปรอะโคลน ทั้งยังบุกเข้ามาถึงเรือนหลังโดยไม่คำนึงถึงสิ่งใดทั้งสิ้น… เกรงว่าเพราะกังวลว่าหากช้าไปก้าวหนึ่ง เซียงหนิงปั๋วก็จักพูดเรื่องถอนหมั้นออกไปกระมัง? หาไม่แล้วไยต้องเสียมารยาท ถึงขั้นบุกเข้ามาถึงเรือนหลังเช่นนี้”

                “…” นางเฮ่อส่งเสียงซีออกมา สีหน้าเปลี่ยนไปมาอยู่เป็นนานจึงเอ่ยว่า “แต่ที่ท่านเขยมาเช่นนี้ ก็เท่ากับเป็นการยอมรับอย่างเป็นทางการแล้วว่ายังคงมีการแต่งงานอยู่ต่อไป ยามนี้เซียงหนิงปั๋วก็ไม่อาจไม่พูดตามคำเขาแล้วนี่เจ้าคะ” สักพักหนึ่งก็พูดอีกว่า “หลังจากที่หญิงสาวออกเรือนแล้วก็จะต้องใช้ชีวิตร่วมกับสามี แม้พ่อแม่สามีจักเรื่องมากสักหน่อย ขอเพียงทำทุกเรื่องไปตามกฎเกณฑ์ ในบ้านตระกูลใหญ่โตก็มิใช่จะคอยแต่หาความกับคุณหนูใหญ่ ต่อให้บ้านเสิ่นต้องการจักถอนหมั้น ยามนี้ตัวท่านเขยเองกลับไม่ยินยอม เห็นได้ว่าท่านเขยยังคงเอ็นดูคุณหนูใหญ่นะเจ้าคะ”

                นางเฮ่อเอามือปิดปาก “หลังจากคุณหนูใหญ่แต่งออกไป เมื่อมีผู้สืบสกุลแล้ว… ข้าน้อยคิดว่าคนบ้านเสิ่นก็จักไม่พูดกระไรแล้วเจ้าค่ะ”

                เว่ยฉางอิ๋งยกมือขึ้นก่ายหน้าผากแล้วเอนตัวไปข้างหลังนอนลง พาดตัวลงบนหมอนอิงที่หัวตั่ง หลับตาลงไม่เอ่ยคำ คิดในใจว่า ‘ข้าและเขาแม้จะเป็นคู่หมายกันมาแต่เยาว์วัย ทว่าเมื่อข้าถูกนำตัวกลับมาที่เฟิ่งโจวนั้นยังมิทันครบขวบ ยามนั้นเขาก็ยังเล็กนัก เรียกได้ว่าต่างเป็นคนแปลกหน้าอย่างยิ่งสำหรับกันและกัน ครานี้ชื่อเสียงของข้าถูกทำลายถึงเพียงนี้ ลูกผู้น้องฝั่งบิดาทั้งหญิงชายล้วนต้องอับอายเพราะข้า ขะ…เขากลับฝืนความต้องการของครอบครัว อยากให้สัญญาแต่งงานนี้ดำเนินต่อไป แท้จริงแล้วเป็นเพราะเหตุใดกัน?’

                ‘เป็นเพราะเห็นใจหรือสงสาร หรือเพราะมีแผนการอื่นใด?’

                ‘หรือเป็นเพราะ…เข้าใจ?’

                เว่ยฉางอิ๋งรู้สึกว่าภายในใจว้าวุ่นเป็นที่สุด…

                นางว้าวุ่นอยู่ทางนี้ ในเรือนหลังกลับว้าวุ่นขนานใหญ่เสียยิ่งกว่า… เดิมทีในห้องโถงนั้น เว่ยฮ่วนและเสิ่นโจ้วกำลังจะสนทนากันถึงประเด็นหลัก เมื่อได้ยินว่าเสิ่นจั้งเฟิงเร่งตามมาอย่างปัจจุบันทันด่วนก็ต่างพากันตกใจ เสิ่นโจ้วถึงขั้นคลางแคลงใจขึ้นมาเล็กน้อยว่าข่าวนี้เป็นจริงหรือเท็จ จนกระทั่งเห็นว่าผู้ที่เดินเลี้ยวเข้ามาจากฉากกันลม และมาคารวะด้วยท่าทีไม่สะทกสะท้านทั้งเนื้อตัวเปียกปอนเปรอะดินโคลนผู้นั้นก็คือหลานชายของตน เขาก็ตื่นตระหนกยกใหญ่จนหน้าถอดสี!

                ไม่ทันได้สอบถามถึงการเดินทางที่ยากลำบากและเนื้อตัวที่เปียกโชก ก็ดูราวกับว่าเสิ่นโจ้วผู้แสนจะสงบเยือกเย็นกลับตกใจเสียจนเกือบจะกระโดดลงมาจากที่นั่ง! พลางชี้นิ้วไปยังหลานชาย ยามพูดจาก็เกือบจะกัดลิ้นตนเอง “จะ จะ เจ้า! เจ้ามาได้อย่างไร?!”

                เดิมทีเว่ยฮ่วนกำลังจะสอบถามถึงสาเหตุที่เสิ่นจั้งเฟิงเดินทางมาด้วยตนเอง แต่เมื่อเห็นว่าเสิ่นโจ้วมีปฏิกิริยาที่รุนแรงถึงเพียงนี้ สายตาจึงฉายแววแห่งความประหลาดใจออกมา ลูบที่เคราเบาๆ และกลับหัวเราะออกมา “นี่คือจั้งเฟิงรึ? ไม่เจอกันสิบกว่าปี หากไม่บอก ตาแก่อย่างข้ากลับจำเจ้าไม่ได้เลย”

                เขาเฉลียวฉลาดถึงเพียงนี้ เพียงเห็นอาการยามอาหลานพบกัน ก็เข้าใจได้แล้ว ทั้งไม่จี้ประเด็นและไม่ซักไซ้ พลันเปลี่ยนหัวข้อสนทนาไปเสีย แล้วกล่าวกับเสิ่นโจ้วอย่างมีไมตรีว่า “ดูเด็กคนนี้สิ เนื้อตัวมีแต่โคลนมีแต่น้ำ จักต้องเร่งเดินทางมาอย่างลำบากยิ่งนัก ทั้งยามนี้ก็เข้าฤดูใบไม้ผลิแล้ว เสื้อผ้าเปียกปอนเช่นนี้ไม่ควรสวมอยู่นาน ตามความเห็นของข้า ให้เด็กคนนี้ไปอาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ข้างหลังเสียก่อนเถิด ใกล้พลบค่ำจึงค่อยสอบถามเหตุผลก็ยังไม่สาย”

                ภายในใจของเสิ่นโจ้วนั้นแทบจะกระอักเลือดออกมา แต่เขาก็เป็นห่วงหลานชายว่าหากไม่รีบไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก็จะล้มป่วยเอาได้ จึงทำได้เพียงกัดฟันกล่าวว่า “ท่านเว่ยกล่าวถูกต้องอย่างยิ่ง!” เขากำลังวางแผนว่าจะอาศัยจังหวะที่เสิ่นจั้งเฟิงไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อรีบลงดาบตัดบัวไม่ให้เหลือไย ฝืนทนทำหน้าหนาๆ อาศัยตอนที่คนยังพักผ่อนอยู่ในรุ่ยอวี่ถัง รีบพูดเรื่องนี้ให้เรียบร้อยเสียก่อน เช่นนี้แล้วรอจนหลานชายออกมาก็กล่าวลาได้ทันที

                ไม่คิดว่าเสิ่นจั้งเฟิงหาได้ขอตัวออกไปตามที่ได้พูดจากัน เขาหันไปคารวะทักทายเว่ยฮ่วนอย่างมีมารยาท แล้วว่า “หลานเขยขอบคุณท่านปู่ที่เป็นห่วง แม้จักมีดินโคลนระหว่างทาง ทว่าเพราะมีถนนหลวง ตลอดทางกลับเดินทางอย่างสะดวกโยธิน เพียงจนใจที่ยามนี้เสื้อผ้าไม่เรียบร้อย ทำให้ท่านปู่ขัดเคืองสายตา ต้องขอให้ท่านปู่ให้อภัยด้วยขอรับ! รอจนหลานเขยผลัดเสื้อผ้าแล้ว แต่งกายให้เรียบร้อย ค่อยมาขอขมาท่านปู่อีกคราขอครับ!”

                เขาคอยย้ำไปย้ำมาว่า ‘ท่านปู่’ และ ‘หลานเขย’ ยิ่งไปกว่านั้นในคำกล่าวนี้ยังมีนัยยะแฝงอยู่… ดินโคลนระหว่างทางสามารถเข้าใจได้ว่าคืออุปสรรคและสภาพการที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกในสัญญาการแต่งงานครั้งนี้ ถนนหลวงก็คือเป็นการบอกโดยนัยว่าสัญญาแต่งงานนี้เป็นประมุขทั้งสองฝ่ายสัญญาเอาไว้เมื่อนานมาแล้ว และได้มีแม่สื่อไปมาหลายครั้งอย่างเปิดเผย ถูกต้องตามธรรมเนียม ทว่าตลอดการเดินทางบนถนนหลวงนั้นก็ ‘สะดวกโยธิน’ นี่ยังต้องพูดอีกหรือว่ามีความหมายเช่นไร?

                จักขาดก็แต่เพียงเสิ่นจั้งเฟิงมิได้บอกออกไปชัดเจนว่าเขาสนับสนุนให้สัญญาแต่งงานยังคงดำเนินต่อไป ทั้งยังกระตือรือร้นให้มีต่อไปเป็นอย่างมากอีกด้วย

                เว่ยฮ่วนฟังคำกล่าวนี้แล้วแทบจะเผยรอยยิ้มจางๆ ออกมา ดวงตาเต็มไปด้วยความเอ็นดูรักใคร่ แต่เสิ่นโจ้วกลับแทบจะเป็นลมล้มพับลงไป!

                เซียงหนิงปั๋วผู้น่าสงสารกำลังขบคิดยุทธวิธีตอบโต้อย่างรวดเร็ว กลับเห็นว่าที่สุดเจ้าหลานชายเจ้าปัญญาผู้นี้พลันมาทางตน พลางยิ้มเบิกบาน…เสิ่นโจ้วดูหลานชายผู้นี้เติบโตมา มีหรือจักดูไม่ออกว่ารอยยิ้มของเสิ่นจั้งเฟิงที่หันมาคารวะอย่างอบอุ่นในยามนี้ กลับแฝงไว้ด้วยความปรีดา หากเป็นยามปกติ เสิ่นโจ้วจักต้องส่งเท้าถีบออกไป พลางถลกแขนเสื้อขึ้นแล้วชกเจ้าเด็กคนนี้สักตั้งหนึ่งไปนานแล้ว!

                จนใจเสียเหลือเกินที่ยามนี้มีเว่ยฮ่วนกำลังมองมาทั้งรอยยิ้มตาหยี เสิ่นโจ้วจึงทำได้เพียงกลืนเลือดลงคอไป แล้วฟังเขาพูดจาประหนึ่งว่ามีเรื่องเช่นนี้จริงๆ ว่า “ท่านอาเร่งร้อนเดินทาง กลับลืมของที่ท่านพ่อกำชับให้นำมาด้วย ดังนั้นท่านพ่อจึงสั่งให้หลานรีบขี่ม้าเร็วนำมาส่ง…”

                …เสิ่นโจ้วที่คุ้นเคยกับนิสัยของหลานชายรู้สึกขึ้นมาในทันใดว่าควรจักให้เขารีบไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อเสียไวๆ เป็นดี แต่เรื่องน่าเศร้าก็คือ เขายังมิทันเอ่ยปาก เว่ยฮ่วนก็ออกปากถามด้วยสีหน้าเปรมปรีดิ์ไปเสียก่อนแล้ว “โอ๋? เป็นของสิ่งใดสำคัญถึงเพียงนี้ ถึงกับต้องให้จั้งเฟิง เจ้านำมาส่งด้วยด้วยตนเอง ทั้งยังขี่ม้าตากฝนมาเสียอีก?”

                “เป็นกระบี่เล่มหนึ่งขอรับ” เสิ่นจั้งเฟิงอมยิ้มกล่าวตอบ “เมื่อครู่นี้หลานเขยรีบร้อนเข้ามาบอกกล่าวกับท่านอา กลับทำมันตกอยู่บนอานม้า”

“กระบี่นาม ‘ลู่หู’ ขอรับ เดิมทีเป็นกระบี่ที่ท่านพ่อแขวนเอาไว้ในห้องหนังสือ ด้วยได้ยินว่าก่อนนี้ฉางเฟิงถูกลอบสังหาร จึงได้ปลดมันลงมาด้วยตนเอง เพื่อมอบให้…” พูดถึงตรงนี้ ใบหน้าของเสิ่นจั้งเฟิงก็อดจะแดงระเรื่อขึ้นมาไม่ได้ พักหนึ่งจึงกล่าวว่า “มอบให้น้องหญิงเว่ยขอครับ”

แม้ยามนี้ตระกูลเว่ยจะมีน้องหญิงเว่ยหลายนาง แต่น้องหญิงเว่ยที่เสิ่นจั้งเฟิ่งเอ่ยถึง ก็จักต้อง…เป็นเว่ยฉางอิ๋งเท่านั้นแล้ว!

“ ‘ลู่หู สังหารตามใจ’!” แววตาของเว่ยฮ่วนสว่างวาบ พลางตบมือหัวเราะอยู่เป็นนาน “ชื่อดี! ชื่อดี!”

ด้วยเหตุที่ถิ่นฐานของตระกูลเสิ่นต้องต่อสู้กับพวกชิวตี๋มาหลายชั่วอายุคน กระบี่นาม ‘ลู่หู’ เล่มนี้เป็นเสิ่นเซวียนเก็บเอาไว้ในห้องหนังสือเพื่อเป็นเครื่องประกาศเจตนารมณ์ แต่ยามนี้กลับนำกระบี่เล่มนี้มามอบให้กับสะใภ้ที่ยังมิทันได้เข้าบ้าน… นาม ‘ลู่หู’ บอกความชัดเจนเพียงนี้ กอปรกับผลจากการต่อสู้ของเว่ยฉางอิ๋งที่ลงมือสังหารหัวหน้าพวกลอบสังหารและลูกน้องของมันผู้หนึ่งบนถนนหลวง… แม้จักบอกว่าผู้ที่เว่ยฉางอิ๋งสังหารนั้นเป็นชาวเว่ยขนานแท้ แต่กลับไม่อาจทานเสียงเล่าลือว่าพวกมันล้วนเป็นพวกหรง!

ไม่ต้องบอกก็รู้ได้ว่า นี่คือการแสดงความคาดหวังและสนับสนุนจากว่าที่พ่อสามี!

เมื่อได้รับการยอมรับและเชื่อมั่นจากเสิ่นเซวียน บวกกับคำชี้แนะอีกเพียงเล็กน้อย คำวิจารณ์ที่มีต่อชื่อเสียงของเว่ยฉางอิ๋ง ก็จักกลายเป็นการชมเชยว่านางไม่หวั่นเกรงต่อศัตรูที่แข็งแกร่ง เพื่อปกป้องน้องชายแล้ว ด้วยร่างกายที่บอบบางของสตรี ทว่ากลับมีความห้าวหาญและเด็ดเดี่ยวจนสามารถสังหารหัวหน้าของศัตรูและผู้ลอบทำร้ายคนหนึ่งได้อย่างเหี้ยมหาญ!

แม้ว่ากันว่าตระกูลเว่ยมีชื่อเสียงยิ่งในด้านบุ๋น แต่ไรมาสตรีในตระกูลขึ้นชื่อในเขตทะเลว่ามีความเรียบร้อยสง่างาม แต่เว่ยฮ่วนก็ไม่มีทางรังเกียจว่าในบันทึกของตระกูลจะมีวีระสตรีที่ผู้คนต่างสรรเสริญว่าเป็นหญิงที่แข็งแกร่งไม่แพ้ชายอกสามศอก ผู้สร้างเกียรติยศและหน้าตาให้แก่ตระกูลเว่ย!

ประสาอะไร เมื่อในยามนี้ หลานสาวบ้านใหญ่เพียงคนเดียวของเขาก็กำลังตกอยู่ในสภาพการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกเช่นนี้…

เว่ยฮ่วนมองเสิ่นจั้งเฟิงด้วยความชื่นชม แล้วหัวเราะเสียงดังออกมาอย่างจริงใจ…ส่วนเสิ่นโจ้วที่มีสีหน้าซีดเผือดนั้น ยามนี้ในสมองมีเพียงความคิดเดียวว่า ‘เจ้าเด็กคนนี้…เจ้าเด็กคนนี้! เจ้าเด็กคนนี้นับวันยิ่งเหิมเกริมเกินไปแล้ว! กระบี่ของพี่ใหญ่ที่อยู่ในห้องหนังสือเล่มนี้ ข้าเองยังเอามาไม่ได้ แต่เขากลับกล้าขโมยออกมามอบให้กับเด็กสาวตระกูลเว่ย!!! เขาไม่กลัวหรืออย่างไรว่าเมื่อกลับไปเมืองหลวงแล้วพี่ใหญ่จักโมโหโกรธาและตีเขาจนครึ่งปียังลุกจากตั่งไม่ไหว?!!’

________________________________

[1] จี๋หลี แปลว่า “รั้วหนาม”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด