ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่หนึ่ง 38.1

Now you are reading ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่หนึ่ง Chapter 38.1 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
ตอนที่ 38 เขาไผ่น้อย (1)
โดย

               เฟิ่งโจวซึ่งเป็นแหล่งพำนักของสกุลเว่ยมาหลายร้อยปี แม้รอบข้างจะมิได้มีภูเขาสูงหรือแม่น้ำกว้าง ทว่าข้าราชการตำแหน่งสูงๆ ที่อาศัยบารมีของสกุลเว่ยสร้างเนื้อสร้างตัวนั้นขึ้นมานั้นมีจำนวนนับไม่ถ้วน ทั้งยังมีชื่อเสียงเรื่องตำราชั้นยอดที่สร้างสรรค์ออกมาอย่างไม่ขาดสาย บวกกับที่หลายปีมานี้ตระกูลเว่ยคอยสร้างสิ่งปลูกสร้างต่างๆ ทั้งในและนอกเมือง จึงมีที่ให้ท่องเที่ยวอยู่ไม่น้อยเลย

               อย่างเช่น ‘เขาไผ่น้อย’ นอกเมือง

               เขาไผ่น้อยข้างเส้นทางส่งของซึ่งติดแม่น้ำฟ่งนั้น แม้จะเรียกว่าภูเขา แต่แท้ที่จริงแล้วมีความสูงแค่สามสิบกว่าจั้ง[1]เท่านั้น เขาทั้งลูกมีแต่ต้นไผ่ ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นยามฤดูร้อนก็ยังสามารถเสพสุขกับสายลมเย็นที่โชยมาได้

               ทว่าที่เขาไผ่น้อยนี้มีชื่อเสียงเป็นอย่างมากในเฟิ่งโจวจนกระทั่งถึงเมืองในแถบทะเล หาได้เป็นเพราะเสียงลมพัดโบกต้นไผ่ หากแต่เป็นเพราะที่แห่งนี้คือที่พำนักของเว่ยปั๋วอวี้ ข้าราชการเลื่องชื่อในรัชสมัยก่อนเมื่อยามเขายังมีชีวิตอยู่

               เว่ยปั๋วอวี้เป็นพี่น้องใกล้ชิดกับคนสกุลเว่ยแห่งเฟิ่งโจวในรัชสมัยก่อน เขาเป็นคนจิตใจกว้างขวาง ไม่ใคร่จะออกมารับข้าราชการ รักในการเขียนพู่กันจีน เมื่อโตเป็นหนุ่มก็มักมาอยู่ที่เขาไผ่น้อยเป็นระยะเวลานาน ไม่คบค้าสมาคมกับคนภายนอก กระทั่งคนในบ้านสกุลเว่ยก็ยังแทบไม่ได้ยินข่าวคราวของเขา แต่ในปีที่เขาอายุได้สี่สิบกว่าปีนั้น ซูฉีข้าราชการเลื่องชื่อในดินแดนแถบทะเลได้ลาออกจากราชการกลับมาอยู่บ้านเดิม ระหว่างทางกลับชิงโจวก็ได้ผ่านมาที่เขาไผ่น้อยนี้ และเพราะว่าเกิดฝนตกหนัก จึงขึ้นไปหาที่หลบฝนบนเขา และบังเอิญพบกับกระท่อมกลางเขาของเว่ยปั๋วอวี้เข้า

               …และเพราะการไปหลบฝนครานั้น อักษรคำว่า ‘บันทึกเขาไผ่น้อย’ ที่เว่ยปั๋วอวี้แขวนไว้ภายในกระท่อม ได้รับการชมเชยจากซูฉีเป็นอันมาก ทั้งยังเล่าขานเรื่องนี้ออกไปจนเป็นที่เลื่องลือในใต้หล้า กระทั่งถูกยกย่องให้เป็นยอดนักเขียนพู่กันแบบ ‘ฉ่าวซู[2]’ อันดับหนึ่งในรัชสมัยก่อน

               ทั้งชีวิตของเว่ยปั๋วอวี้นั้น ปักใจรักเพียงการเขียนพู่กันจีน กระทั่งเป็นเพราะเหตุนี้เขาจึงครองตัวเป็นโสดชั่วชีวิต เมื่อเขาจากไป ก็เป็นธรรมดาที่ทั้งกระท่อมบนเขาไผ่น้อย อักษร ‘บันทึกเขาไผ่น้อย’ และอักษรอื่นๆ ที่เขาเขียนเอาไว้ ก็จะตกเป็นสมบัติของตระกูล

               ทว่าสกุลเว่ยเลื่องชื่อมานับร้อยปี ทั้งมีมรดกและเกียรติภูมิของตนเอง ดังนั้นเมื่อครั้งรัชสมัยก่อน จึงมีประมุขของตระกูลสั่งให้คนนำตัวอักษร ‘บันทึกเขาไผ่น้อย’ นั้นสลักเป็นแผ่นป้าย และตั้งไว้ที่เชิงเขาไผ่น้อย เพื่อให้ผู้คนที่สัญจรไปมาสามารถชมผลงานลายมือของเว่ยปั๋วอวี้นี้ได้ โดยที่ไม่จำเป็นต้องขึ้นมาดูในกระท่อม

               ทั้งนี้ก็เพราะผู้ที่มีสิทธิ์จะมาขอชมลายมือตัวอักษร ‘บันทึกไผ่น้อย’ ณ ตระกูลเว่ยนั้นมีจำนวนไม่มาก ทว่าผู้ที่สนใจชมลายมือของเว่ยปั๋วอวี้กลับมีจำนวนมหาศาล…ที่สกุลเว่ยทำเช่นนี้ เพื่อให้ผู้คนในใต้หล้าได้มาชมได้อย่างสะดวก และยังถือเป็นการสร้างชื่อเสียงให้กับตระกูลยิ่งขึ้นไปอีก นับว่าเป็นการยิงธนูดอกเดียวได้นกสองตัว จนบัดนี้ ยังได้มีการดูแลซ่อมแซมเขาไผ่น้อยและกระท่อมทุกๆ ปี ทำให้ยังคงอยู่จนถึงทุกวันนี้ ยามใดมีแขกคนสำคัญมาเยือนไม่ว่าจากที่ใกล้ไกล ก็จะมาชมป้ายนี้ และมายังกระท่อมเพื่อรำลึกถึงผู้ที่เคยอยู่ที่นี่

               ต้องนับถือประมุขของตระกูลในสมัยนั้นที่ได้สรรสร้างผลงานเอาไว้ นานวันเข้า เขาไผ่น้อยที่ไม่สูง ไม่ลึก ที่นอกจากเสียงลมโชยกิ่งไผ่ก็มิได้มีทิวทัศน์น่าตระการตาใดอื่น จึงได้กลายมาเป็นเขาเลื่องชื่อในดินแดนเขตทะเล

               “ท่านพี่ดูสิ นี่ก็คือป้าย ‘บันทึกเขาไผ่น้อย’ ว่ากันว่าครานั้น ยอดนักเขียนพู่กันอันดับหนึ่งแห่งยุคเป็นคนเขียนออกมากับมือ” อากาศในเดือนเจ็ด แม้จะย่างเข้าฤดูใบไม้ผลิแล้ว แต่ก็ยังคงร้อนระอุ ความร้อนของฤดูร้อนยังคงตกค้างอยู่ในเฟิ่งโจว ทว่ามวลต้นไผ่เขียวบนเขาไผ่น้อยแห่งนี้ ทอดตัวยาวจากยอดเขาเรียงรายไปจนถึงตีนเขา มาสิ้นสุดตรงที่เส้นทางส่งของ เมื่อเดินเข้าไปแค่เพียงสิบกว่าก้าว ตามถนนซึ่งผู้ที่เคยอยู่ที่นี่ใช้เดินออกมาก็จะรู้สึกเย็นสบายแล้ว

               ท่ามกลางกอไผเขียวชอุ่ม มีระเบียงราบอยู่บนยอดของบันไดหินที่คดเคี้ยวพันอยู่รอบเชิงเขา

               ระเบียงราบนี้ปูด้วยแผ่นหินเรียบ ตรงบริเวณที่ติดกับริมผามีแท่นสลักหินอ่อนสีขาวบริสุทธิ์อยู่แท่นหนึ่ง หากมองเผินๆ จะไม่มีอะไรสะดุดตา แต่หากดูให้ละเอียดแล้วก็จะเห็นว่าแท่นสลักหินอ่อนนี้สลักออกมาจากหินอ่อนทั้งก้อน โดยสลักออกมาเป็นรูปใบไผ่ต้องลม และมีป่าไผ่ล้อมรอบทั้งสี่ทิศ

               บนแท่นสลักนั้นมีแผ่นหินแกรนิตขนาดสูงหนึ่งจั้งและยาวสามจั้งซึ่งวางตัวในแนวนอน…นี่ต่างหากจึงคือแผ่นหินสลักที่แท้จริง  ภาพลายพู่กันพลิ้วไหวบนแผ่นหินสลักก็คืออักษร ‘บันทึกเขาไผ่น้อย’ ลายมือของเว่ยปั๋วอวี้ที่ประมุขสกุลเว่ยในรัชสมัยก่อนได้สั่งให้ช่างฝีมือมาสลักเอาไว้

               สมัยของเว่ยปั๋วอวี้นั้นห่างจากทุกวันนี้กว่าร้อยปี ทว่าแผ่นป้ายหินนี้ยังคงตำรงอยู่แม้จะผ่านไปหลายสมัย ในส่วนของฐานรองนั้นมีตะไคร้น้ำสีเขียวขึ้นเต็มไปหมด มีเพียงรอยตัวอักษรบนแผ่นป้ายหินเท่านั้น ที่เห็นได้ชัดว่ามีคนมาคอยเช็ดถูอยู่อย่างสม่ำเสมอจึงยังสะอาดและมองเห็นได้ชัดเจน มีเพียงใบไผ่ไม่กี่ใบที่ร่วงและปลิวลงมาใส่ แต่ก็ไม่ได้เป็นการบดบังสายตาแต่อย่างใด ในทางกลับกัน กลับยิ่งทำให้รอยจารึกอักษรนั้นดูล้ำค่าและงดงามมากกว่าเดิมเสียอีก

               เมื่อประกอบกับใบไผ่ที่ถูกแสงอาทิตย์บนหัวสาดส่องลงมาจนมีสีเขียวใสดังมรกตด้วยแล้ว ราวกับว่าความผกผันโหดร้ายใดๆ ในโลกนี้ได้ถดถอยห่างไปนับหมื่นลี้ ยามสายลมพัดผ่านใต้แขนเสื้อยาว ท่ามกลางความเย็นสบายนั้น พาผู้คนให้รู้สึกถึงจิตใจที่ปลอดโปร่งและสงบ แลอดจะพากันแอบชื่นชมไม่ได้ว่า สมแล้วที่เป็นที่พำนักของบุรุษเลื่องชื่อแต่ครั้งโบราณ แม้มิใช่ภูเขาสูง แต่กลับมีความงดงามดังเขาเลื่องชื่อ

               เมื่อชื่นชมกับสถานที่แล้ว สายตาของผู้คนต่างพากันจับจ้องไปยังป้ายหินสลัก

               ลายมืออักษร ‘บันทึกเขาไผ่น้อย’ ต้นฉบับนั้น ยังคงเก็บรักษาไว้ภายในบ้านสกุลเว่ย โดยมีเว่ยฮ่วนผู้เป็นปู่ซึ่งเป็นประมุขของตระกูล เว่ยฉางอิ๋งและเว่ยฉางเฟิงที่ออกมาเที่ยวเล่นเป็นเพื่อนพี่สาวทั้งสองในวันนี้เคยเห็นลายมืออักษรจริงๆ ส่วนป้ายหินสลักนี้พวกเขาเคยได้มาดูเมื่อสองสามปีก่อน เช่นนั้นแล้วในวันนี้ ผู้ที่เข้าไปชมป้ายหินสลักอย่างละเอียดถี่ถ้วนจึงมีเพียงซ่งไจ้สุ่ยผู้เดียว

               เว่ยฉางอิ๋งอธิยายให้ซ่งไจ้สุ่ยฟังประโยคหนึ่ง แล้วชะเง้อมองไปรอบทิศพลางว่า “อ่า…วันนี้บังเอิญจริง ตรงนี้ไม่มีคนอื่น พวกเราสามารถถอดหมวกคลุมหน้าออกได้สักพัก”

               แม้ในสมัยนี้จะมิได้ห้ามให้คุณหนูตระกูลใหญ่ออกมาเดินเล่นภายนอก ทว่าด้วยฐานะเช่นเว่ยฉางอิ๋งและซ่งไจ้สุ่ย ซึ่งถือเกียรติของตนมาแต่กำเนิด ก็มักจะสวมหมวกคลุมหน้าเพื่อปิดบังใบหน้าเอาไว้ ไม่ให้คนภายนอกได้เห็น แม้จะเดินเข้ามาในป่าไผ่จนถึงยามนี้จะมีอากาศเย็นสบาย ทว่าม้วยผมที่ม้วนไว้บนหัว และผ้าแพรจากหมวกที่ปิดลงมาจนถึงหน้าอกนั้นกลับทำให้รู้สึกอบอ้าวเสียเหลือเกิน

               เมื่อได้ยินดังนั้น เว่ยฉางเฟิงพลันรีบสะบัดแขนเสื้อ ให้บรรดาบ่าวที่ติดตามมาถอยออกไปไกลๆ เหลือแต่เพียงสาวใช้ไว้คอยดูแลเท่านั้น สาวใช้จึงเข้าไปช่วยแม่นางทั้งสองถอดหมวกคลุมหน้าออกตามคำสั่ง พลางส่งผ้าหอมให้พวกนางเช็ดเหงื่อที่หน้าผาก

               เว่ยฉางอิ๋งรับน้ำเฉินเซียงจากมือของลวี่ฝางมาจิบอึกหนึ่ง สายตาพลันเหลือบไปเห็นว่ายังมีคนผู้หนึ่งข้างๆ เว่ยฉางเฟิงยังไม่ถอยห่างออกไป.. คนผู้นี้ก็มิใช่คนรับใช้ที่ไม่จำเป็นต้องหลบออกไป แต่กลับเป็นชายหนุ่มอายุราวสิบกว่าปี ที่มีรูปร่างสูงใหญ่ สวมอาภรณ์งดงามสีฟ้าเขียว หน้าตาคมคาย ทั้งยังพก ‘ดาบอวิ๋นโถว[3]’ เล่มหนึ่งไว้ที่เอวด้วย

                ตามธรรมเนียมของสกุลใหญ่นั้น บรรดาบ่าวไพร่ข้างกายคุณชายและคุณหนูของตระกูลจะต้องพยายามแสดงความงามของตนออกมาให้ผู้คนได้เห็น แต่จะต้องไม่ให้เกินหน้าเกินตาผู้เป็นนาย เดิมที ในบรรดากำลังอารักษ์ขาที่คอยดูแลอยู่โดยรอบมิได้ชายหนุ่มรูปงาม จึงมิได้มีใครสังเกตเห็นคนผู้นี้ ทว่ายามนี้คนเหล่านั้นต่างพากันถอยห่างออกไป ชายหนุ่มชุดครามผู้นี้จะดูสะดุดตาเป็นพิเศษ

               แม้เขาจะยืนอยู่ข้างหลังเว่ยฉางเฟิง มีสีหน้าท่าทีสงบ ดวงตาแน่วแน่ไม่ไหวติง ทั้งยังไม่แม้จะมองไปยังซ่งไจ้สุ่ยหรือเว่ยฉางอิ๋งเลยแม้แต่น้อย ทว่าเว่ยฉางอิ๋งกลับยังต้องขมวดคิ้ว พลางหันหน้ามาสอบถามลวี้ฝางอย่างแผ่วเบาว่า “เขาคือผู้ใด? คนอื่นไปกันหมดแล้ว ไยเขาไม่ไป? ช่างมิรู้ธรรมเนียมอะไรเช่นนี้ !”

               ลวี่ฝางมัวแต่สาละวนดูแลเว่ยฉางอิ๋ง จึงมิทันได้สังเกตว่ามีผู้อารักษ์ขาไม่ได้ถอยออกไป และเมื่อเห็นว่าชายชุดครามนั้นยืนอยู่หลังเว่ยฉางเฟิง ทั้งยังทำเหมือนเป็นสิ่งสมควรแล้ว เกรงว่าเว่ยฉางเฟิงจะชื่นชมและให้ท้ายคนนี้ผู้นี้ไม่น้อย จนทำให้ทะนงตน และจงใจไม่ถอยออกไปเช่นนี้ อีกทั้งเว่ยฉางเฟิงก็รู้ดีว่าพี่สาวทั้งสองนางจะถอดหมวกคลุมหน้าออก แต่ก็หาได้สั่งให้เขาถอยออกไปไม่ เช่นนี้แล้วก็เป็นเรื่องมิบังควรทั้งนายทั้งบ่าว

               ยิ่งไปกว่านั้นเว่ยฉางเฟิงก็ได้เกล้าผมแล้ว หาใช่เด็กเล็กๆ ไม่ หากถูกพี่สาวตำหนิหรือตำหนิคนรับใช้ข้างกายก็จะเป็นเรื่องขายหน้า ลวี่ฝางเกรงว่าเว่ยฉางอิ๋งจะโกรธเคือง จึงรีบเอ่ยเสียงเบาไปว่า “ข้าน้อยจะไปถามซินลี่ดู”

               ซินลี่เป็นหัวหน้าสาวใช้ข้างกายเว่ยฉางเฟิง เพราะเว่ยฉางเฟิงไม่ได้สวมหมวกคลุมหน้า จึงไม่จำเป็นต้องให้สาวใช้คอยปรนนิบัติดูแล เช่นวันนี้ก็นำสาวใช้สามนางคือ หลิวเย้ อิงถาว และสุ่ยจี๋ มาคอยดูแลนำหออาหารที่เลือกเอาเฉพาะขนมใส่ผลไม้ตามฤดูที่เว่ยฉางเฟิงชอบทานขึ้นมาบนเขา เมื่อเห็นว่าลวี่ฝางซึ่งเดิมทีคอยดูแลเว่ยฉางอิ๋งเดินเข้ามาหาตน นางพลันรู้สึกตกใจ แต่เมื่อได้ยินเรื่องราวจนหมดก็กลับหัวเราะออกมา แล้วเอ่ยเสียงเบากับนางสองสามประโยค ลวี่ฝางกลับมาก็บอกกับเว่ยฉางอิ๋งว่า “คุณหนูเจ้าคะ เขาหาใช่คนนอกไม่ หากแต่เป็นพี่น้องสกุลเว่ยของเราเจ้าค่ะ”

               ด้วยผู้คนที่เข้ามาเป็นไพร่พลของสกุลเว่ยนั้นมีไม่น้อย บางคนที่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดห่างสักหน่อย แม้จะเป็นสายเลือดของสกุลเว่ยแห่งเฟิ่งโจวเช่นกัน ทว่านอกจากยามที่มีการปันเสบียงและเงินทองให้แก่วงญาติในช่วงเทศกาลต่างๆ ของแต่ละปีแล้ว ญาติห่างๆ เหล่านั้นก็มิต่างอะไรกับคนนอกเลย ดังนั้นแล้วลวี่ฝางจึงรีบเอ่ยต่อไปว่า “เขาเป็นเหลนของน้องชายต่างมารดาของท่านจิ้งผิงกง[4]ผู้เฒ่า นามว่าเว่ยชิง ได้ยินว่าเขาไปต้องตาประมุขด้วยสาเหตุบางประการ จึงได้ถูกคัดเลือกให้มาประจำการที่รุ่นอวี่ถังนี่เป็นพิเศษ รับหน้าที่เป็นองครักษ์ข้างกายคุณชายห้าเจ้าค่ะ”

               ท่านจิ้งผิงกงผู้เฒ่า เป็นปู่ทวดแท้ๆ ของสองพี่น้องเว่ยฉางอิ๋งและเว่ยฉางเฟิง ฉะนั้น เหลนของน้องชายต่างมารดาของเขา ก็เป็นคนในรุ่นเดียวกับสองพี่น้องพอดี เพราะปู่ทวดเป็นพี่น้องกัน… นอกจากคนในตระกูลสามสายใหญ่ของรุ่ยอวี่ถังที่เห็นในปัจจุบันแล้ว ความสัมพันธ์สายนี้ก็ถือว่าใกล้ชิดที่สุด

               เมื่อเว่ยฉางอิ๋งได้ฟังแล้วสีหน้าจึงได้คลายความกังวลลง และมองไปยังเว่ยชิงผู้นั้นอีกครา เอ่ยว่า “ญาติผู้นี้ไม่คุ้นหน้ายิ่งนัก เขาอยู่ข้างกายฉางเฟิงตลอดเลยรึ? ข้ากลับมิเคยได้ยินเลย”

———————————————————–

[1] “จั้ง” เป็นหน่วยวัดความยาวของจีนโบราณ มีความยาวประมาณ (+ -) 10 ฟุต

[2] ‘ฉ่าวซู  ’ เป็นการเขียนอักษรด้วยพู่กันจีนแบบหนึ่ง โดยจะใช้เทคนิคเขียนอย่างรวดเร็ว ลากเส้นต่อเนื่องกัน เหมือนลายมือแบบหวัด

[3] ดาบอวิ๋นโถว มีความหมายว่า “หัวเมฆ” มีปลายดาบป้านหนา สุดปลายดาบเชิดงอขึ้นข้างบน

[4] จิ้งผิงกง คือ ผู้ครองแคว้นซึ่งมีแซ่จิ้ง

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด