ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่หนึ่ง 60.2 คุมหลัง (2)

Now you are reading ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่หนึ่ง Chapter 60.2 คุมหลัง (2) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
ตอนที่ 60 คุมหลัง (2)
โดย

 

เว่ยชิงยังหนุ่ม ยังสามารถรอได้ อย่างไรเสียผู้นำกองทหารเข้าฟาดฟันในสนามรบ ก็จะต้องผ่านความเป็นความตายมาหลายคราจึงสามารถแลกความดีความชอบมาได้ หากในราชสำนักไร้กำลังพล…ดังเช่นโม่ปินเว่ยเป็นตัวอย่าง หากเทียบกับการติดตามเว่ยฉางเฟิง ไม่เพียงเว่ยชิงจะมีโอกาสได้ยืมอ่านตำราเลื่องชื่อซึ่งเป็นสมบัติล้ำค่าในตระกูลเว่ย ที่ส่วนมากนั้นมีเพียงคนระดับเว่ยฉางเฟิงเท่านั้นที่สามารถแตะต้องได้ เช่นตำรายุทธวิธีที่คนยุคก่อนได้จดบันทึกไว้ นอกจากนี้ยังได้รับคำชี้แนะโดยตรงจากเว่ยฮ่วนอยู่ตลอดเวลา เมื่อเทียบกับการเป็นข้ารับใช้ในจวน ในสายตาของเว่ยชิงแล้วสิ่งที่ได้มานี้คุ้มค่ายิ่งนัก

               ด้วยฐานะของเว่ยฉางเฟิง รอบกายเขาไม่มีทางจะมีเว่ยชิงเป็นองครักษ์เพียงผู้เดียว ความจริงแล้วการที่เว่ยชิงมาเป็นองครักษ์ให้เว่ยฉางเฟิงก็เป็นเพียงแค่ตั้งป้ายเอาไว้เท่านั้น…บวกกับทวนยาวที่เว่ยชิงถนัดซึ่งก่อนหน้านี้เอาไว้ใช้ยามเข้ารบนั้น ทั้งหนักและยาวมาก ไม่อาจพกติดตัวให้สง่างามได้เช่นดาบหรือกระบี่…องครักษ์ของหลานชายตระกูลเว่ยที่ต้องเรียกให้คนยกทวนตามไปมาทุกหนแห่งอยู่ทุกวี่วัน ก็เป็นเรื่องไม่สมควร

               แต่หากไม่พกอาวุธ ก็ไม่สมกับฐานะองครักษ์ของเว่ยฉางเฟิง ดังนั้นเว่ยชิงจึงได้เหน็บดาบอวิ๋นโถวเล่มหนึ่งเอาไว้เช่นนั้นเอง… เป็นจริงว่าเขาไม่ถนัดเพลงดาบเลย!

               ลำพังเพียงเรื่องนี้ กระทั่งเว่ยฉางเฟิงที่กำลังสติกระเจิดกระเจงก็ลืมไปเสียสนิท แต่เว่ยฉางอิ๋งกลับดูออกในทันที!

               เว่ยชิงอ้ำอึ้งยากเอ่ยคำ…ความจริงแล้วที่เขาอาสาอยู่คุมหลัง นอกจากจะเป็นความรับผิดชอบในหน้าที่แล้ว ยังเพราะเขาไม่มั่นใจว่าตนจะสามารถพาเว่ยฉางเฟิงเข้าป่าและหนีได้ตลอดรอดฝั่ง ดังคำของเว่ยฉางอิ๋ง เมื่อไม่มีอาวุธที่คุ้นมือ ความสามารถที่แท้จริงของเว่ยชิงย่อมถูกบั่นทอนลงไป… ยิ่งไปกว่านั้นเพราะปณิธานแรงกล้าที่จะเข้ารบในสนามรบ จึงได้ไปร่ำเรียนเพลงทวน จนวรยุทธสามารถช่วยเบิกทางให้เขาได้อย่างใหญ่หลวง แต่ในป่ามีกิ่งไม้ใบทึบไม่เหมาะให้เขาแสดงฝีมือแต่อย่างใด!

               หากจะให้เมื่อถึงยามนั้นขึ้นมา แล้วต้องมาตายอย่างอุดอู้อยู่ภายในป่า มิสู้รบจนตัวตายอยู่บนถนนหลวงที่กว้างใหญ่นี่!

               “หากข้าน้อยเข้าไปในป่าก็คง…” เว่ยชิงนิ่งคิดสั้นๆ สักพัก พลางวาดดาบไปขวางคนชุดดำที่อยู่ข้างหน้า สูดหายใจลึกแล้วบอกไปตามจริงว่า “ในป่านอกป่า ข้าน้อยก็ไม่อาจแสดงฝีมือที่แท้จริงออกมาได้! หากแต่ถนนหลวงกว้างใหญ่ ข้าน้อยสามารถยันไว้ได้นานกว่าในป่า จึงต้องขอให้คุณหนูใหญ่อย่าได้เสียเวลาอีกเลย!”

               “นังแม่เสือสาว เจ้าฆ่าลูกพี่และพวกเราไปหนึ่งคน แล้วก็คิดจะหนีรึ?” เว่ยฉางอิ๋งยังไม่ทันตอบคำ พี่หยางคนก่อนนี้ก็พลันพุ่งตัวเข้ามา หวดกระบี่ลงมาขวางนางไว้ พลางกล่าวและยิ้มเยาะ!

               “พี่หยางอย่าเพิ่งฆ่านางเสียเล่า จับนางกลับขึ้นเขาทั้งเป็นๆ เอาไปบ้านลูกพี่จี้จุน!” หนึ่งในคนชุดดำตะโกนออกมา “นังแม่เสือสาวนี่มันดูไม่เบาเลย ทั้งยังหน้าตาสวยเสียด้วย ระหว่างทางกลับเขา ก็ให้พวกเราได้เสพสุขบ้าง!”

               “นั่นแน่นอน! ฮึๆ ตระกูลเว่ยแห่งเฟิ่งโจว… ไม่รู้ว่าถ้าได้ลิ้มลองคุณหนูใหญ่แห่งตระกูลเว่ยรสชาติจะเป็นเยี่ยงไร?!”

               ยามนี้มีเลือดไหลนองและซากระเกะระกะอยู่เต็มถนนหลวง เมื่อทอดสายตาออกไปไกล นอกจากเว่ยฉางอิ๋ง เว่ยชิง เว่ยฉางเฟิง ลวี่อี ลวี่ฉือแล้ว กลับไม่มีคนเป็นเหลืออยู่อีก!

               คนชุดดำหลายสิบคนนี้ กลับถูกเว่ยฉางอิ๋งชิงลงมือสังหารตัวหัวหน้าไปเสียก่อน แล้วยังใช้ดาบขององครักษ์สังหารพวกพ้องไปอีกหนึ่ง แต่หากเปรียบเทียบด้วยจำนวนคนแล้ว ก็จะรู้สึกว่าคนทั้งห้าล้วนคือตะพาบน้ำที่อยู่ในไห พวกมันโกรธแค้นเว่ยฉางอิ๋งที่สังหารหัวหน้าและพวกพ้อง ทั้งยังเห็นว่านางทั้งสาวทั้งสวย จึงอดจะพากันพูดจาแทะโลมออกมาไม่ได้…โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ฐานะคุณหนูใหญ่ตระกูลเว่ยของเว่ยฉางอิ๋งนั้น หากเป็นก่อนนี้ มิต้องเอ่ยว่าจะพูดจาหยอกล้อต่อหน้า หรือแม้จะพูดจาลับหลังก็ยังต้องคอยระวังไม่ให้มีคนเอาไปฟ้องตระกูลเว่ย

               ยามนี้เห็นว่าคุณหนูใหญ่ผู้นี้ผมเผ้ายุ่งเหยิงเสื้อผ้าหลุดลุ่ย ชายกระโปรงเปื้อนฝุ่น แขนเสื้ออาบเลือดสด แม้จะอยู่สภาพน่าอนาถเพียงนี้หากยังคงกำดาบใบหลิวไว้ในมือ และคอยเฝ้าปกป้องอยู่ข้างหน้าน้องชาย เมื่อนึกภาพว่าจะจับตัวนางกลับไป พวกคนชุดดำก็เกิดความรู้สึกครื้นเครงและกระเหี้ยนกระหือรือที่ยากจะอธิบายได้ขึ้นมาในใจ…

               เว่ยชิงและเว่ยฉางเฟิงแทบจะหลั่งเลือดออกจากตา เมื่อได้ยินพวกมันกล่าวคำพูดลบหลู่เว่ยฉางอิ๋งออกมา!

               เพียงแต่ในยามนี้ตนเป็นฝ่ายเสียเปรียบ คนพวกนี้ดูไปแล้วคล้ายจะยั่วประสาทเว่ยฉางอิ๋ง แต่ก็ยังมีความหวาดกลัวในชาติกำเนิดที่สูงส่งของพวกเขาว่ามีวรยุทธที่ถ่ายทอดมาอย่างครบถ้วน ทั้งในยามปกติก็ยังมีข้าวปลาอาหารหยูกยาเพียงพอมาบำรุงร่างกายหากเกิดการบาดเจ็บ แล้วบนตัวก็ไม่มีอาการบาดเจ็บใด ทั้งยามนี้ก็มีดาบที่คบกริบอยู่ในมือ จึงหวังอาศัยคำพูดเหล่านี้ทำให้ทั้งสองคนเสียสมาธิ จะได้จับพวกเขาได้โดยไม่ต้องสิ้นเปลืองเรี่ยวแรงมากมาย เว่ยชิงบันดาลโทสะ แต่กลับเห็นว่าเว่ยฉางอิ๋งมีท่าทีเหมือนไม่ได้ยินสิ่งใด นางยังคงร่ายดาบใบหลิวจนเป็นดังผืนผ้าสีเงินด้วยสายตามุ่งมั่นแล้วดักขวางพี่หยางผู้นั้นเอาไว้จนไปที่ใดไม่ได้ เว่ยชิงจึงพลันได้สติขึ้นมา แล้วรีบรวบรวมสติเข้าต่อสู้กับศัตรู แต่กลับนึกนับถือคุณหนูใหญ่ผู้นี้อยู่ในใจ… ตัวเว่ยชิงเองยังไม่เคยมีประสบการณ์ประมือกับใครมาก่อน วันนี้จิตใจก็ยังว้าวุ่นเสียสมาธิไปหลายหน ทว่าคุณหนูผู้สูงศักดิ์เช่นเว่ยฉางอิ๋ง ซึ่งเพิ่งจะเคยได้ประสบกับเรื่องราวเช่นนี้ในวันนี้เป็นครั้งแรกกลับสุขุมเยือกเย็นได้ถึงเพียงนี้ !

               พี่น้องบ้านใหญ่คู่นี้ไม่ธรรมจริงๆ ก็มิน่าเล่าจึงได้ทำให้มีคนจงเกลียดจงชังทั้งยังต้องคอยระมัดระวังตัว ยอมพร้อมจะเผชิญหน้ากับความโกรธแค้นดังไฟบรรลัยกัลป์ของเว่ยฮ่วนและแม่เฒ่าซ่งหลังเรื่องนี้เกิดขึ้น แต่ก็ยังจะต้องสังหารคุณหนูและคุณชาย ณ ที่แห่งนี้ให้จงได้!

               … ทว่าประมือกันไปไม่ถึงเค่อ พี่หยางผู้นั้นพลันนึกถึงบางสิ่งขึ้นมาได้ แล้วสะบัดกระบี่สามหนซ้อนจนปัดเว่ยฉางอิ๋งออกไป ตนเองกระโดดไปข้างหลัง หันมองไปรอบทิศ พลางกล่าวอย่างตื่นตระหนกและโกรธเคืองว่า “พลธนูเล่า? ในป่าเหตุใดจึงไม่มีลูกธนูออกมาช่วย!”

               ยังมิทันสิ้นเสียงเขา กลับได้ยินเสียงฟื้ดจากทางด้านหลัง…มีพวกพ้องคนหนึ่งกำลังจะเตือนเขาว่ามีลูกธนูพุ่งออกมา แต่กลับเห็นว่าลูกธนูดอกนั้นหาได้เอนเอียงไปทางใดไม่ หากแต่กลับยิ่งตรงดิ่งเข้ามาปักอยู่ที่แผ่นหลังตรงหัวใจของคนชุดดำคนหนึ่ง ลูกธนูแม่นยำรุนแรง แม้มิได้ทะลุทรวงอกออกมา แต่กลับทำให้คนชุดดำคนนั้นเซไปหลายก้าว หลังจากดิ้นทุรนทุรายอยู่หลายครั้ง ที่สุดก็ลมลงกับพื้นและสิ้นใจตาย!

               การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนี้ทำให้ทุกคนนิ่งเหม่อไปชั่วอึดใจ พี่หยางผู้นั้นโมโหโกรธาขนาดใหญ่ รีบหันหลังกับมาตะโกนว่า “จ้าวชี! เจ้ารนหาที่ตายรึ! ยิ่งไปทางใดกัน!”

               ไม่คิดว่าพลันมีลูกธนูพุ่งออกมาจากในป่าอีกดอก และตรงดิ่งไปที่ใบหน้าของเขา!

               “ไม่ใช่คนของเรา!” ยามนี้ พวกคนชุดดำจึงเพิ่งจะสำเหนียกขึ้นได้ว่า…หากเป็นพลธนูของพวกมัน แล้วจะหันมาลงมือกับพวกตนเองได้อย่างไร? จักต้องเป็นคนตระกูลเว่ย หรืออย่างน้อยก็ต้องเป็นคนที่มาช่วยพวกของเว่ยฉางอิ๋ง!

               บนถนนหลวงไร้ที่กำบัง พลธนูในป่านั้นไม่เพียงมีป่าทึบคอยอำพรางตัว หากยังสามารถหลบซ่อนตัวอยู่บนต้นไม้ เมื่อมองจากที่สูงลงล่างก็สามารถสังหารทุกคนได้ตามใจ… เมื่อครู่นี้พวกองครักษ์ตระกูลเว่ยถูกโจมตีโดยมิทันได้ตั้งตัว แม้จะมีวรยุทธล้ำเลิศ แต่น่าขัดใจเสียจริงที่ยังไม่ทันได้ใช้ก็มาตายลงเสียก่อน หนนี้กลับถึงคราวของคนชุดดำพวกนี้บ้างแล้ว…

               เห็นชัดว่านอกจากตัวหัวหน้าแล้ว พี่หยางผู้นั้นมีบารมีพอสมควรในหมู่โจรกลุ่มนี้ เมื่อเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปเช่นนี้ เขาก็ออกคำสั่งไปอย่างไม่รั้งรอใดๆ ว่า “หันหลังกลับ! ไปป้องกันคนลอบยิงธนูมาทำร้ายเราจากในป่าก่อน!”

               เว่ยฉางอิ๋งและเว่ยชิงสบตากันหนหนึ่ง อาศัยจังหวะที่พวกคนชุดดำตื่นตกใจเพราะลูกธนูจากในป่าและรั้งรอหยุดลงมือ ค่อยๆ ถอยหลังออกไป เมื่อถอยไปจนถึงรถม้า แล้วนางก็ถีบลวี่อี ลวี่ฉือทั้งสองคนเข้าไปในป่าทีละคน  จากนั้นก็หันหลังกลับมาดึงตัวเว่ยฉางเฟิงแล้วกระโจนเข้าไปในป่าอย่างรวดเร็ว!

               ร่างของเว่ยชิงก็ตามนางไปติดๆ และหายลับเข้าไปภายในป่าด้วยเช่นกัน!

__________________________

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด