แม่มดสาวมุ้งมิ้ง 37 วิญญาณร้าย

Now you are reading แม่มดสาวมุ้งมิ้ง Chapter 37 วิญญาณร้าย at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

แม่มดสาวมุ่งผึ้ง ตอนที่ 37 วิญญาณร้าย

ตอนที่ 37 วิญญาณร้าย

ต่อมาหลังจากที่หน่วยกู้ภัยมานําร่างไร้วิญญาณของเด็กหนุ่มไปแล้ว ทุกคนก็แยกย้ายจากไป ราวกับว่าก่อนหน้านี้ไม่เคยมีเหตุการณ์ระทึกขวัญเกิดขึ้น ดังนั้นจึงเหลือเพียงแม่มดสาวกับเจ้าแมวจอมซ่าส์ที่ยังคงยืนสนทนากันอย่างเมามัน

“คนเรามันถึงที่ตาย…แม้เราจะยื่นมือเข้าไปช่วย แต่เขาก็ไม่เต็มใจที่จะคว้าเอาไว้เ”แมวน้อยกล่าวอย่างเห็นใจ

 

“อันนี้ก็แล้วแต่!” แม่มดสาวกล่าวด้วยน้ําเสียงเยาะเย้ย

แต่ในขณะที่พวกเขากําลังสนทนากันอยู่นั้น เด็กหนุ่มที่ชื่อเหลียงเสี่ยวงื่อก็ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าอย่างกะทันหันและขวางทางเอาไว้

 

“เธอตามมาทําไม?” ฮันเปาเม่ยกล่าวพร้อมกับขมวดคิ้วอย่างหงุดหงิด

“ได้โปรดช่วยผมด้วยนะครับพี่สาวบุญคุณครั้งนี้ผมจะไม่ลืมเลย” เด็กหนุ่มอ้อนวอนอย่างไม่ลดละ

” ทําไมเธอถึงไม่ให้คนในองค์กรของพ่อเธอช่วยล่ะ?”

 

“นับประสาอะไรกับคนในองค์กร เพราะแม้แต่พ่อของผมเองที่เป็นประธานยังไม่สามารถแก้ปัญหานี้ได้เลย!”

 

” แต่ฉันไม่อยากข้องเกี่ยวกับคนขององค์กรนี้!” ฮันเปาเม่ยกล่าวอย่างแน่วแน่

“ถ้าพี่ไม่ชอบองค์การนี้ ผมสามารถถอนตัวจากองค์กรได้ทันที ถ้าพี่ตกลงจะช่วยผม!”

 

“ไม่ช่วยไถ้าเธอไม่มีทรัพย์สินเป็นของตัวเอง ฉันก็จะไม่ช่วย!”

 

“เดี๋ยวก่อน!” แมวน้อยกระตุกชายเสื้อของนายหญิงพร้อมกับกระโดดขึ้นไปบนบ่าและกระซิบอย่างแผ่วเบาว่า

“ถ้าเราช่วยเด็กคนนี้ บางทีพวกที่อยู่ในองค์กรอาจจะช่วยเราหาทางกลับบ้านได้นะ!”

 

” จริงเหรอ?” แม่มดสาวเริ่มมีสีหน้ายุ่งเหยิงขณะที่แมวน้อยแนะนําอีกครั้งว่า

 

“คนพวกนี้สามารถติดต่อกับวิญญาณได้ ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่มีเพียงน้อยนิดบนโลกใบนี้”

“เออ! จริงด้วย!” แม่มดสาวเริ่มเห็นดีเห็นงามด้วย

 

เด็กหนุ่มยืนก้มหน้าด้วยความหวังที่เต็มเปี่ยมในหัวใจ หลังจากนั้นแม่มดสาวก็กระแอมขึ้น

“อะแฮ่ม! เพื่อเห็นแก่หลักมนุษยธรรม! เอาเป็นว่าฉันจะช่วยเธอสักครั้ง แต่ฉันต้องเก็บค่าธรรมเนียมเพิ่มขึ้นสองเท่านะ!”

อันที่จริงอาการป่วยของมารดาเหลียงเสี่ยวจื่อนั้นมีต้นเหตุมาจากตอนที่เธอให้กําเนิดบุตรชายคนนี้และมีความผิดพลาดเกิดขึ้นบาง ประการระหว่างผ่าตัด ซึ่งทําให้เธอเกือบตายและทําให้เธอกลาย เป็นคนที่ดูคล้ายกับคนเสียสตินับตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา

แต่สิ่งที่บิดาของเขาภาคภูมิใจคือเหลียงเสี่ยวจื่อเป็นเด็กอัจฉริยะ โดยไม่เพียงแต่เด็กคนนี้จะมีความสามารถในการฝึกฝนวิชาเท่านั้น

แต่เขายังมีทักษะที่ยอดเยี่ยมตั้งแต่อายุยังน้อย อีกทั้งความสามารถในการจดจําสิ่งต่างๆของเขายังหาผู้ใดเทียบเทียมได้ยาก

ต่อมาหลังจากที่เขาเติบโตขึ้นและทราบอาการเจ็บป่วยของมารดาแล้ว เขาก็เริ่มหาทางแก้ไขอย่างต่อเนื่อง และด้วยเหตุนี้เขาจึงอ่านหนังสือทุกเล่มในองค์กร ซึ่งมีหลายบทความกล่าวว่าพวกแม่มดมีทักษะเร้นลับซึ่งน่าจะเป็นเรื่องจริง

และไม่ว่าค่าธรรมเนียมสําหรับการรักษาจะสูงมากสักเพียงใด เขาก็ยินดีที่จะจ่ายเหมือนกัน!

“ราคาไม่ใช่เรื่องสําคัญผมเพียงต้องการให้แม่ของผมหายเท่านั้น!” เด็กหนุ่มกล่าวยังหนักแน่น

“ฉันไม่ได้บังคับเธอนะ!” แม่มดสาวกล่าวด้วยน้ําเสียงเรียบเฉย

” ผมเข้าใจครับ! ผมเคยอ่านพบในหนังสือว่า แม่มดมักจะใช้ทักษะนี้เพื่อหาเงิน และการรักษาในแต่ละครั้งจะต้องใช้พลังเวทมนตร์ขั้นสูง แต่การฝึกฝนวิชาจะสามารถช่วยฟื้นฟูพลังให้กลับคืนมาได้ในไม่ช้า”

อย่างไรก็ตามนอกจากข้อมูลเหล่านี้แล้วในหนังสือโบราณยังกล่าวอีกว่าสายพันธุ์ของแม่มดได้หายสาบสูญไปจากโลกนี้หลายพันปีแล้ว มันจึงทําให้เขารู้สึกเศร้าใจและเป็นอยู่นาน

ต่อมาเขาเคยมีความคิดที่จะฟื้นฟูทักษะลี้ลับนี้ด้วยตัวเอง แต่น่าเสียดายข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้มีน้อยมากอย่างน่าประหลาดใจ

 

ซึ่งนอกจากเรื่องราวเกี่ยวกับความเป็นมาของเผ่าพันธุ์แม่มดแล้ว เขาก็แทบจะไม่พบทักษะการฝึกฝนเกี่ยวกับเวทย์มนต์เลย

“ถ้าเธอเข้าใจ! ฉันก็ตกลง!” เธอกล่าวด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์

” ขอบคุณมากครับ! แต่ผมอยากรู้ว่าทําไมพี่ถึงไม่ชอบองค์กรที่พ่อของผมเป็นประธานอยู่!”

 

“เรื่องมันยาว!” แม่มดสาวกล่าวพร้อมกับจ้องมองเด็กหนุ่มอย่างครุ่นคิด

 

“อันที่จริงองค์กรของเราบําเพ็ญประโยชน์เพื่อสาธารณะชนนะครับ! องค์กรของเรามีบทบาทคล้ายกับตํารวจ แต่เป็นการควบคุมโลกของวิญญาณ เพราะในช่วงเดือนสิบของทุกๆปีประตูนรกกับเปิด

 

ดังนั้นวิญญาณร้ายจึงออกมาหากินในเวลากลางคืน และหากไม่มีองค์กรของเรา โลกมนุษย์ก็จะวุ่นวายและจะมีความโกลาหลครั้งใหญ่เกิดขึ้น เพราะวิญญาณร้ายเหล่านั้นต้องทําร้ายผู้คน ซึ่งบางกรณีอาจทําให้ผู้คนถึงกับล้มตายได้”

 

หลังจากได้ยินดังนั้นฮันเปาเม่ยก็ครุ่นคิดอยู่นาน ขณะที่เธอเห็น ด้วยกับทุกคํากล่าวของเด็กหนุ่ม

โดยยกตัวอย่างในกรณีของตัวเธอเอง ถ้าเธอต้องการใช้เวทมนตร์ทําร้ายผู้อื่นเธอก็สามารถทําได้ตามอําเภอใจ

แต่เธอไม่ทําเช่นนั้น เนื่องจากเธอพยายามปฏิบัติตามกฎของสถาบันแม่มดอย่างเคร่งครัด และจะไม่ใช้เวทมนต์ทําร้ายผู้อื่นโดยไม่จําเป็น

ทว่าคนอื่นอาจจะมีความคิดไม่เหมือนกับเธอ เนื่องจากจิตใจของผู้คนนั้นเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาและไม่สามารถคาดเดาได้เลย

ดังนั้นความสงบเรียบร้อยในสังคมจึงไม่สามารถอาศัยจิตสํานึกของผู้คนได้ ส่งผลให้ต้องมีกฎหมายของสถาบันบังคับ

เหลียงเสี่ยวจื่อยังคงกล่าวต่อไปอีกว่า

“ใช้กรณีของแม่ผมเป็นตัวอย่างก็ได้ เหตุผลที่ท่านต้องมีสภาพเป็นแบบนี้ก็เพราะการกระทําของวิญญาณร้าย!”

 

เหลียวเสี่ยวจื่อกลืนน้ําลายลงคออย่างยากเย็นก่อนที่จะกล่าวอีก

 

“ในครั้งนั้นมีวิญญาณร้ายที่มีอายุมากกว่าห้าร้อยปีปรากฏตัวขึ้นในเมือง ซึ่งมันโหดร้ายมากและภายในเวลาเพียงครึ่งเดือนมันได้ใช้วิธีที่โหดเหี้ยมฆ่าคนตายไปถึงยี่สิบศพ

ซึ่งเหตุการณ์นี้ทําให้ผู้คนเกิดอาการขวัญผวาจนไม่กล้าออกจากบ้านหลังจากพระอาทิตย์ตกดินแล้ว ขณะที่ตํารวจสงสัยว่าเป็นคดีฆาตกรรม แต่หลังจากการตรวจสอบหลักฐานทั้งหมดแล้วพบว่า คนเหล่านั้นเสียชีวิตโดยไม่ทราบสาเหตุอย่างกะทันหัน

ฮันเปาเม่ยขมวดคิ้วขึ้นขณะที่เด็กหนุ่มยังคงเล่าต่อไป

“ครั้งนั้นพ่อของผมเป็นหัวหน้าทีมตรวจสอบขององค์กร และเขาได้รับคําสั่งให้ตามล่าวิญญาณร้ายตนนั้นโดยมีสมาชิกในทีมสี่คน แต่สามารถรอดชีวิตกลับมาเพียงสองคนเท่านั้น

โดยหนึ่งในคนที่เสียชีวิตถูกวิญญาณร้ายกลืนกินจิตวิญญาณเข้าไป แต่โชคดีก่อนที่เขาจะถูกกลืนกินเขาสามารถทําร้ายเจ้าผีตัวนั้นได้ ทําให้มันหายตัวไปต่อหน้าต่อตาพวกเขา”

” แล้วมันออกไปจากเมืองนี้เลยหรือเปล่า? แม่มดสาวเอ่ยถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น

”เปล่า…สมาชิกในทีมมีทั้งหมดสี่คน และสองคนต้องเสียชีวิตจากเหตุการณ์นี้ ส่วนอีกสองคนรอดชีวิตกลับมาแต่ก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส ซึ่งหนึ่งในนั้นคือพ่อของผม

 

จากนั้นครึ่งเดือนต่อมาอยู่ดีๆ เจ้าผีร้ายตัวนั้นก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง และมาหาพ่อของผมเพื่อแก้แค้น” เด็กหนุ่มดวงตาเบิกกว้างด้วยความหวาดกลัว!

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

แม่มดสาวมุ้งมิ้ง 37 วิญญาณร้าย

Now you are reading แม่มดสาวมุ้งมิ้ง Chapter 37 วิญญาณร้าย at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

แม่มดสาวมุ่งผึ้ง ตอนที่ 37 วิญญาณร้าย

ตอนที่ 37 วิญญาณร้าย

ต่อมาหลังจากที่หน่วยกู้ภัยมานําร่างไร้วิญญาณของเด็กหนุ่มไปแล้ว ทุกคนก็แยกย้ายจากไป ราวกับว่าก่อนหน้านี้ไม่เคยมีเหตุการณ์ระทึกขวัญเกิดขึ้น ดังนั้นจึงเหลือเพียงแม่มดสาวกับเจ้าแมวจอมซ่าส์ที่ยังคงยืนสนทนากันอย่างเมามัน

“คนเรามันถึงที่ตาย…แม้เราจะยื่นมือเข้าไปช่วย แต่เขาก็ไม่เต็มใจที่จะคว้าเอาไว้เ”แมวน้อยกล่าวอย่างเห็นใจ

 

“อันนี้ก็แล้วแต่!” แม่มดสาวกล่าวด้วยน้ําเสียงเยาะเย้ย

แต่ในขณะที่พวกเขากําลังสนทนากันอยู่นั้น เด็กหนุ่มที่ชื่อเหลียงเสี่ยวงื่อก็ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าอย่างกะทันหันและขวางทางเอาไว้

 

“เธอตามมาทําไม?” ฮันเปาเม่ยกล่าวพร้อมกับขมวดคิ้วอย่างหงุดหงิด

“ได้โปรดช่วยผมด้วยนะครับพี่สาวบุญคุณครั้งนี้ผมจะไม่ลืมเลย” เด็กหนุ่มอ้อนวอนอย่างไม่ลดละ

” ทําไมเธอถึงไม่ให้คนในองค์กรของพ่อเธอช่วยล่ะ?”

 

“นับประสาอะไรกับคนในองค์กร เพราะแม้แต่พ่อของผมเองที่เป็นประธานยังไม่สามารถแก้ปัญหานี้ได้เลย!”

 

” แต่ฉันไม่อยากข้องเกี่ยวกับคนขององค์กรนี้!” ฮันเปาเม่ยกล่าวอย่างแน่วแน่

“ถ้าพี่ไม่ชอบองค์การนี้ ผมสามารถถอนตัวจากองค์กรได้ทันที ถ้าพี่ตกลงจะช่วยผม!”

 

“ไม่ช่วยไถ้าเธอไม่มีทรัพย์สินเป็นของตัวเอง ฉันก็จะไม่ช่วย!”

 

“เดี๋ยวก่อน!” แมวน้อยกระตุกชายเสื้อของนายหญิงพร้อมกับกระโดดขึ้นไปบนบ่าและกระซิบอย่างแผ่วเบาว่า

“ถ้าเราช่วยเด็กคนนี้ บางทีพวกที่อยู่ในองค์กรอาจจะช่วยเราหาทางกลับบ้านได้นะ!”

 

” จริงเหรอ?” แม่มดสาวเริ่มมีสีหน้ายุ่งเหยิงขณะที่แมวน้อยแนะนําอีกครั้งว่า

 

“คนพวกนี้สามารถติดต่อกับวิญญาณได้ ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่มีเพียงน้อยนิดบนโลกใบนี้”

“เออ! จริงด้วย!” แม่มดสาวเริ่มเห็นดีเห็นงามด้วย

 

เด็กหนุ่มยืนก้มหน้าด้วยความหวังที่เต็มเปี่ยมในหัวใจ หลังจากนั้นแม่มดสาวก็กระแอมขึ้น

“อะแฮ่ม! เพื่อเห็นแก่หลักมนุษยธรรม! เอาเป็นว่าฉันจะช่วยเธอสักครั้ง แต่ฉันต้องเก็บค่าธรรมเนียมเพิ่มขึ้นสองเท่านะ!”

อันที่จริงอาการป่วยของมารดาเหลียงเสี่ยวจื่อนั้นมีต้นเหตุมาจากตอนที่เธอให้กําเนิดบุตรชายคนนี้และมีความผิดพลาดเกิดขึ้นบาง ประการระหว่างผ่าตัด ซึ่งทําให้เธอเกือบตายและทําให้เธอกลาย เป็นคนที่ดูคล้ายกับคนเสียสตินับตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา

แต่สิ่งที่บิดาของเขาภาคภูมิใจคือเหลียงเสี่ยวจื่อเป็นเด็กอัจฉริยะ โดยไม่เพียงแต่เด็กคนนี้จะมีความสามารถในการฝึกฝนวิชาเท่านั้น

แต่เขายังมีทักษะที่ยอดเยี่ยมตั้งแต่อายุยังน้อย อีกทั้งความสามารถในการจดจําสิ่งต่างๆของเขายังหาผู้ใดเทียบเทียมได้ยาก

ต่อมาหลังจากที่เขาเติบโตขึ้นและทราบอาการเจ็บป่วยของมารดาแล้ว เขาก็เริ่มหาทางแก้ไขอย่างต่อเนื่อง และด้วยเหตุนี้เขาจึงอ่านหนังสือทุกเล่มในองค์กร ซึ่งมีหลายบทความกล่าวว่าพวกแม่มดมีทักษะเร้นลับซึ่งน่าจะเป็นเรื่องจริง

และไม่ว่าค่าธรรมเนียมสําหรับการรักษาจะสูงมากสักเพียงใด เขาก็ยินดีที่จะจ่ายเหมือนกัน!

“ราคาไม่ใช่เรื่องสําคัญผมเพียงต้องการให้แม่ของผมหายเท่านั้น!” เด็กหนุ่มกล่าวยังหนักแน่น

“ฉันไม่ได้บังคับเธอนะ!” แม่มดสาวกล่าวด้วยน้ําเสียงเรียบเฉย

” ผมเข้าใจครับ! ผมเคยอ่านพบในหนังสือว่า แม่มดมักจะใช้ทักษะนี้เพื่อหาเงิน และการรักษาในแต่ละครั้งจะต้องใช้พลังเวทมนตร์ขั้นสูง แต่การฝึกฝนวิชาจะสามารถช่วยฟื้นฟูพลังให้กลับคืนมาได้ในไม่ช้า”

อย่างไรก็ตามนอกจากข้อมูลเหล่านี้แล้วในหนังสือโบราณยังกล่าวอีกว่าสายพันธุ์ของแม่มดได้หายสาบสูญไปจากโลกนี้หลายพันปีแล้ว มันจึงทําให้เขารู้สึกเศร้าใจและเป็นอยู่นาน

ต่อมาเขาเคยมีความคิดที่จะฟื้นฟูทักษะลี้ลับนี้ด้วยตัวเอง แต่น่าเสียดายข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้มีน้อยมากอย่างน่าประหลาดใจ

 

ซึ่งนอกจากเรื่องราวเกี่ยวกับความเป็นมาของเผ่าพันธุ์แม่มดแล้ว เขาก็แทบจะไม่พบทักษะการฝึกฝนเกี่ยวกับเวทย์มนต์เลย

“ถ้าเธอเข้าใจ! ฉันก็ตกลง!” เธอกล่าวด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์

” ขอบคุณมากครับ! แต่ผมอยากรู้ว่าทําไมพี่ถึงไม่ชอบองค์กรที่พ่อของผมเป็นประธานอยู่!”

 

“เรื่องมันยาว!” แม่มดสาวกล่าวพร้อมกับจ้องมองเด็กหนุ่มอย่างครุ่นคิด

 

“อันที่จริงองค์กรของเราบําเพ็ญประโยชน์เพื่อสาธารณะชนนะครับ! องค์กรของเรามีบทบาทคล้ายกับตํารวจ แต่เป็นการควบคุมโลกของวิญญาณ เพราะในช่วงเดือนสิบของทุกๆปีประตูนรกกับเปิด

 

ดังนั้นวิญญาณร้ายจึงออกมาหากินในเวลากลางคืน และหากไม่มีองค์กรของเรา โลกมนุษย์ก็จะวุ่นวายและจะมีความโกลาหลครั้งใหญ่เกิดขึ้น เพราะวิญญาณร้ายเหล่านั้นต้องทําร้ายผู้คน ซึ่งบางกรณีอาจทําให้ผู้คนถึงกับล้มตายได้”

 

หลังจากได้ยินดังนั้นฮันเปาเม่ยก็ครุ่นคิดอยู่นาน ขณะที่เธอเห็น ด้วยกับทุกคํากล่าวของเด็กหนุ่ม

โดยยกตัวอย่างในกรณีของตัวเธอเอง ถ้าเธอต้องการใช้เวทมนตร์ทําร้ายผู้อื่นเธอก็สามารถทําได้ตามอําเภอใจ

แต่เธอไม่ทําเช่นนั้น เนื่องจากเธอพยายามปฏิบัติตามกฎของสถาบันแม่มดอย่างเคร่งครัด และจะไม่ใช้เวทมนต์ทําร้ายผู้อื่นโดยไม่จําเป็น

ทว่าคนอื่นอาจจะมีความคิดไม่เหมือนกับเธอ เนื่องจากจิตใจของผู้คนนั้นเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาและไม่สามารถคาดเดาได้เลย

ดังนั้นความสงบเรียบร้อยในสังคมจึงไม่สามารถอาศัยจิตสํานึกของผู้คนได้ ส่งผลให้ต้องมีกฎหมายของสถาบันบังคับ

เหลียงเสี่ยวจื่อยังคงกล่าวต่อไปอีกว่า

“ใช้กรณีของแม่ผมเป็นตัวอย่างก็ได้ เหตุผลที่ท่านต้องมีสภาพเป็นแบบนี้ก็เพราะการกระทําของวิญญาณร้าย!”

 

เหลียวเสี่ยวจื่อกลืนน้ําลายลงคออย่างยากเย็นก่อนที่จะกล่าวอีก

 

“ในครั้งนั้นมีวิญญาณร้ายที่มีอายุมากกว่าห้าร้อยปีปรากฏตัวขึ้นในเมือง ซึ่งมันโหดร้ายมากและภายในเวลาเพียงครึ่งเดือนมันได้ใช้วิธีที่โหดเหี้ยมฆ่าคนตายไปถึงยี่สิบศพ

ซึ่งเหตุการณ์นี้ทําให้ผู้คนเกิดอาการขวัญผวาจนไม่กล้าออกจากบ้านหลังจากพระอาทิตย์ตกดินแล้ว ขณะที่ตํารวจสงสัยว่าเป็นคดีฆาตกรรม แต่หลังจากการตรวจสอบหลักฐานทั้งหมดแล้วพบว่า คนเหล่านั้นเสียชีวิตโดยไม่ทราบสาเหตุอย่างกะทันหัน

ฮันเปาเม่ยขมวดคิ้วขึ้นขณะที่เด็กหนุ่มยังคงเล่าต่อไป

“ครั้งนั้นพ่อของผมเป็นหัวหน้าทีมตรวจสอบขององค์กร และเขาได้รับคําสั่งให้ตามล่าวิญญาณร้ายตนนั้นโดยมีสมาชิกในทีมสี่คน แต่สามารถรอดชีวิตกลับมาเพียงสองคนเท่านั้น

โดยหนึ่งในคนที่เสียชีวิตถูกวิญญาณร้ายกลืนกินจิตวิญญาณเข้าไป แต่โชคดีก่อนที่เขาจะถูกกลืนกินเขาสามารถทําร้ายเจ้าผีตัวนั้นได้ ทําให้มันหายตัวไปต่อหน้าต่อตาพวกเขา”

” แล้วมันออกไปจากเมืองนี้เลยหรือเปล่า? แม่มดสาวเอ่ยถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น

”เปล่า…สมาชิกในทีมมีทั้งหมดสี่คน และสองคนต้องเสียชีวิตจากเหตุการณ์นี้ ส่วนอีกสองคนรอดชีวิตกลับมาแต่ก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส ซึ่งหนึ่งในนั้นคือพ่อของผม

 

จากนั้นครึ่งเดือนต่อมาอยู่ดีๆ เจ้าผีร้ายตัวนั้นก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง และมาหาพ่อของผมเพื่อแก้แค้น” เด็กหนุ่มดวงตาเบิกกว้างด้วยความหวาดกลัว!

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+