แม่มดสาวมุ้งมิ้ง 50 พุ่งชน

Now you are reading แม่มดสาวมุ้งมิ้ง Chapter 50 พุ่งชน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

นิยาย แม่มดสาวมุ่งผึ้ง

ตอนที่ 50 พุ่งชน

ความสามารถพิเศษของโจวถึงนั้นเป็นที่ทราบกันดีในหมู่เพื่อน ๆ สมาชิกในองค์กรจิตวิญญาณเกี่ยวกับเรื่องที่เขาสามารถเข้าไปในดินแดนความทรงจําของผู้คนได้ในยามที่ผู้คนหลับใหล

ดังนั้นเมื่อฉางหาวได้ยินว่าโจวถังกล่าวเช่นนั้นเขาจึงไม่รู้สึกแปลกใจเลยรวมถึงพฤติกรรมของตุ๊กตาเวทมนตร์เมื่อครู่ด้วยเนื่องจากเขารับทราบเรื่องราวเกี่ยวกับฮันเป่าเม่ยและตุ๊กตาตัวนี้มา ซักระยะหนึ่งแล้ว

แต่สิ่งที่รู้สึกสงสัยคือ ทําไมตุ๊กตาเวทมนตร์ถึงมานอนอาบแดดอยู่ที่ห้องทํางานของโจวถึง!

สําหรับเหตุผลที่โจวถังต้องบุกรุกเข้าไปยังดินแดนแห่งความทรงจําของเบี้ยเหรินในคืนวันศุกร์ที่แล้วก็เป็นเพราะเขาต้องการทราบว่าในตอนที่เลขาคนนี้ไปส่งโจวเฟิงนั้นน้องชายของเขากล่าวอะ ไรเกี่ยวกับตนเองบ้าง!

แต่สิ่งที่เขาได้เห็นคือภาพเหตุการณ์ที่ดูคล้ายจะเป็นอุบัติเหตุทั้งสองเหตุการณ์นั้นคือตอนที่รถยนต์คันสีดํากําลังจะพุ่งชนเป่ยเหรินและตอนที่กระถางต้นไม้ขนาดใหญ่ตกลงมาจากระเบียงชั้นห้า ของอาคารที่เลขาของเขาพักอยู่

หลังจากที่ฉางหาวได้รับฟังเรื่องราวทั้งหมดแล้วก็รู้สึกปวดใจและสงสารเด็กหนุ่มคนนี้อย่างมากที่เขาเกือบจะตายถึงสองครั้งโดยที่เป่ยเหรินไม่รู้ตัวด้วยซ้ําว่ามีคนคิดจะฆ่าเขา

“คุณเคยถามเขาไหมว่า ช่วงนี้เขามีเรื่องกับใครบ้างหรือเปล่า?” โจวถังพยายามหาข้อมูล

“อาทิตย์ก่อนผมเคยถามเขาแล้วหลังจากที่สังเกตเห็นเงาดําอยู่รอบตัวแต่เขาบอกว่าทุกอย่างเป็นปกติดี”ฉางหาวกล่าวยืนยันอีกว่า

“เป่ยเหรินเป็นเด็กกําพร้าโดยมีชีวิตที่เรียบง่ายมากและเขาไม่ค่อยใส่ใจกับผู้คนในเมืองนี้มากนักดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะไปมีเรื่องกับใคร?”

โจวถังขมวดคิ้วขึ้นก่อนที่จะกล่าวว่า

“เมื่อวันศุกร์ที่แล้วที่สี่แยกย่านชุมชนที่เขาอาศัยอยู่มีรถฮอนด้าสีดําพุ่งตรงเข้าหาเขา!เราลองตรวจสอบดูว่าจะหาข้อมูลหลักฐานอะไรได้บ้าง?!”

“ผมมีเพื่อนเป็นสารวัตรอยู่ที่กองปราบ!เขาน่าจะช่วยเราได้บ้าง?” ฉางหาวกล่าว

“อย่างนั้นรีบไปจัดการด่วน!” โจวถึงกล่าวอย่างจริงจัง

ฉางหาวเดินกลับไปที่โต๊ะทํางานและตรวจสอบเวลาที่เป่ยเหรินเดินออกจากบ้านพักคนชราจากกล้องวงจรปิดและเมื่อนํามันมาเทียบกับตารางเดินรถประจําทางแล้วเขาก็สามารถทราบเวลา อย่างคร่าว ๆ ได้

เมื่อคํานวณเรียบร้อยแล้วเขาก็รีบโทรหาสารวัตรหมิงเทียนทันที หลังจากรอสายเชื่อมต่ออยู่ครู่หนึ่งในที่สุดสารวัตรหนุ่มมาดเข้มก็รับสาย

“อ้าว! อาหาวเป็นยังไงบ้าง? ไม่ได้เจอกันซะนาน…โทรมาชวนฉันไปดื่มเหรอ? ที่ไหนดีล่ะ?” หมิงเทียนกล่าวอย่าง อารมณ์ดี

“ใช่! ไม่ได้เจอกันตั้งนานแกสบายดีหรือเปล่าวะ?”

“สบายดี…แล้วแกล่ะ? เป็นยังไงบ้าง?” หมิงเทียนเอ่ยถามบ้าง

“ก็ดีนะ…แต่..?” ฉางหาวเริ่มดึงบทสนทนาเข้าเรื่องที่เขาต้องการทราบ

“มีอะไรก็ว่ามาเลย! ไม่ต้องอึ้งหรอก…เรามันคนกันเอง!” สารวัตรหมิงเทียนกล่าวด้วยน้ําเสียงจริงใจ

“ฉันมีเพื่อนรุ่นน้องที่ทํางานคนหนึ่งชื่อว่าเป็นเหรินและดูเหมือนว่าเขาจะตกเป็นเป้าหมายของใครบางคน แต่ยังไม่มี หลักฐานแน่ชัด..ก็เลยอยากให้แก่ช่วยตรวจสอบรถคันนั้นหน่อยจะได้หรือเปล่า?”

ฉางหาวกล่าวด้วยความรู้สึกเกรงใจอีกว่า

“ฉันรู้สึกว่าคําขอนี้อาจเป็นเรื่องยากที่จะจัดการแต่แกเป็นตํารวจ…จึงน่าจะจัดการได้!แค่…”

“ทํางานอยู่ที่บ้านพักคนชราหรือ?” สารวัตรหมิงเทียนขัดจังหวะขึ้น

“ใช่ ๆ “ฉางหาวตอบกลับด้วยความหวัง

“โอเค! บอกรายละเอียดมาเลยเดี๋ยวฉันเช็คให้!”

“ขอบคุณมากเพื่อนรัก!” ฉางหาวกล่าวด้วยน้ําเสียงยินดี

เรื่องนี้ได้มอบหมายให้สารวัตรหมิงเทียนเป็นคนจัดการแล้วดังนั้นฉางหาวจึงรู้สึกโล่งใจขึ้นมาบ้างนอกจากนี้เปยเหรินยังคงพักอยู่ที่บ้านพักคนชราทุกวันจึงไม่น่าจะมีอันตรายเกิดขึ้นกับเขา

ดังนั้นฉางหาวจึงไม่ใส่ใจเรื่องนี้อีกต่อไปและทุ่มเทความสนใจทั้งหมดไปกับการจัดเตรียมสิ่งของสําหรับงานเทศกาลวันไหว้พระจันทร์ที่กําลังจะมาถึงในไม่ช้า

เวลาสามวันผ่านไปอย่างรวดเร็วและเบี้ยเหรินยังคงพักอยู่ที่บ้านพักคนชรานอกจากตอนที่ฉางหาวขับรถพาเขากลับไปขนเสื้อผ้าและเครื่องใช้ที่จําเป็นในวันแรกแล้วเขาก็แทบจะไม่ได้ก้าวออกไปนอกประตูรั้วด้วยซ้ํา

สําหรับฉางหาวเขายังคงเฝ้ารอการติดต่อกลับมาจากสารวัตรหมิงเทียนและในบ่ายวันนั้นเสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์มือถือส่วนตัวก็ดังขึ้นเมื่อเขาเหลือบมองไปเห็นชื่อผู้ที่ติดต่อเข้ามาเขาก็คว้าโทรศัพท์และเดินออกไปจากโต๊ะทํางานทันทีเพื่อไปรับสายด้านนอก

“เฮ้! สารวัตรได้ข่าวหรือยัง?”

เมื่อส่งข้อมูลให้กับสารวัตรหมิงเทียนในวันนั้นแล้วหมายเลขทะเบียนของรถฮอนด้าก็ถูกส่งไปตรวจที่กรมการขนส่งทางบกหลังจากการตรวจสอบหมายเลขแผ่นป้ายทะเบียนจากกล้องวงจรปิดที่บริเวณสี่แยกซึ่งเป็นสถานที่เกิดเหตุ

โดยผู้เชี่ยวชาญในการสืบสวนคดีอย่างสารวัตรหมิงเทียนสามารถระบุได้ในทันทีว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องที่จงใจมากกว่าบังเอิญ แต่ก่อนที่เขาจะติดต่อกลับมาเขาต้องการตรวจสอบให้ แน่ชัดเสียก่อน

“คนขับรถยนต์ฮอนด้าสีดําคันนั้นรับสารภาพว่ามีคนจ้างวานให้เขาขับรถไปที่สี่แยกนั้นเพื่อชนคุณเป่ยเหรินและได้รับค่าตอบแทนเป็นเงินหนึ่งล้านเหรียญ”

สารวัตรหมิงเทียนกล่าวต่อไปว่า

“ตอนนี้ผมกําลังสืบหาคนที่จ้างวานฆ่าและคิดว่าอีกไม่นานคงจะทราบผล ดังนั้นตอนนี้คงต้องให้คุณเป่ยเหรินเดินทางมาแจ้งความที่สถานีตํารวจเพื่อทางเราจะได้ดําเนินการในขั้นตอนต่อไป”

“โอเค!”ฉางหาวรู้สึกตกใจมากเมื่อได้ยินเรื่องราวเหล่านั้นแต่ก็ทําได้เพียงสูงสารเด็กหนุ่มคนนี้

[ใครที่ต้องการฆ่าเด็กคนนี้?]

แม้ว่าทุกเดือนเป่ยเหรินจะได้รับเงินเดือนเป็นจํานวนมากแต่เงินส่วนใหญ่ที่เขาได้รับจะถูกส่งไปยังสถานสงเคราะห์เด็กกําพร้าที่เขาเคยอาศัยอยู่และถ้าไม่ใช่ด้วยเหตุผลนี้คนที่มีเงินเดือนห้า หมื่นเหรียญแบบเขาคงจะได้พักอาศัยในคอนโดหรูที่สะดวกสบายและหรูหรากว่านี้

ก่อนหน้านี้ฉางหาวเคยแนะนําให้เปียเหรินส่งเงินไปบ้านเด็กกําพร้าเพียงครึ่งเดียวของเงินเดือนและเก็บส่วนที่เหลือไว้ใช้เองแต่เด็กหนุ่มคนนี้มักจะกล่าวเสมอว่าเขายังไม่มีแฟนดังนั้นเขาจึงไม่มี รายจ่ายมาก

ต่อมาเมื่อฉางหาววางสายโทรศัพท์จากสารวัตรหมิงเทียนแล้วเขาก็ใคร่ครวญว่าจะเกลี้ยกล่อมให้เปยเหรินไปแจ้งความที่สถานีตํารวจอย่างไรดี

ไม่นานนักฉางหาวก็มีความคิดที่บรรเจิดผุดขึ้นมาในสมองจากนั้นจึงค้นหาหมายเลขติดต่อแอดมินของเวบเพจอดังที่รู้จักกันและต้องการตกลงกันในทางลับโดยมีการโอนเงินเป็นค่าตอบแทนสําหรับการอัปโหลดวิดิโอ

หลังจากผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมงจํานวนโพสต์ซ้ําภาพวีดีโอนั้นก็มีจํานวน เกินหนึ่งหมื่นครั้งและในเวลานั้นฉางหาวก็แสร้งทําเป็นหยิบโทรศัพท์มือถือของตนเองขึ้นมาคลิกเข้าไปที่เพจชื่อก่อนที่จะแกล้งทําเป็นแปลกใจและร้องตะโกนไปทางเบี้ยเหรินว่า

“เป้ยเหริน! นี่ใช่แกหรือเปล่า?”

“อะ…อะไรครับ?” เป่ยเหรินเอียงหน้ามาเอ่ยถามด้วยความสงสัย

“ในวีดีโอนี้มีคนเกือบถูกรถชนและดูเหมือนแกมากเลย!” ฉางหาวกล่าวและเมื่อเพื่อนร่วมงานหลายคนได้ยินพวกเขาก็มารวมตัวกันที่โต๊ะทํางานของฉางหาวรวมทั้งเปยเหรินด้วยจากนั้นเมื่อได้ดูคลิปวีดีโอแล้วทุกคนก็กล่าวเป็นเสียงเดียวกัน

“นี่มันเป่ยเหรินชัด ๆ ฉันจําได้ว่าเขาใส่เสื้อตัวนี้เมื่อวันศุกร์ที่แล้ว” พนักงานสาวที่ยืนอยู่ในกลุ่มยืนยันอย่างหนักแน่น

“ใช่ ๆ ดูท่าเดินสิ! เบี้ยเหรินแน่นอน!”

ในเวลานี้เป่ยเหรินถึงกับสะดุ้งเพราะเมื่อเห็นภาพในวีดีโอไม่ว่าจะเป็นสี่แยกไฟแดงที่คุ้นเคยหรือร้านขายบะหมี่ที่เขาเป็นลูกค้าประจํา ซึ่งมันเป็นสถานที่ที่เขาต้องเดินผ่านทุกวัน

และที่สําคัญผู้ชายคนที่เกือบจะถูกรถชนก็คือตัวเขาเอง!

“โชคดีที่ไม่ได้เป็นอะไร! ถ้าคุณไม่หันหลังกลับ…ป่านนี้เราคงไม่ได้เจอกันแล้ว!”เพื่อนพนักงานกล่าวด้วยความรู้สึกหวาดกลัว หลังจากที่เห็นภาพเหตุการณ์ในคลิปวีดีโอ

“ไม่ใช่แค่นั้นนะ! ลองดูนี่สิ!ตอนแรกรถคันนี้จอดอยู่ที่ข้างถนนดี ๆ พอสัญญาณให้คนข้ามถนนเป็นสีเขียวรถคันนั้นกลับเกือบคันเร่ง…เห็นได้ชัดว่ามันจงใจที่จะพุ่งชนเบี้ยเหริน!”ฉางหาวแสดงความคิดเห็น

เวลานี้ฉางหาวจงใจที่จะคลิกเข้าไปในช่องแสดงความคิดเห็นที่อยู่ในคลิปวีดีโอและอ่านความคิดเห็นเหล่านั้น

“ดูสิ! ชาวเน็ตบอกว่ารถคันนี้จงใจที่จะชนและหลายคนแนะนําให้ไปแจ้งความด้วย”

“เรื่องนี้อาจจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ได้นะถ้าเธอไม่หันหลังกลับไปในจังหวะนั้นพอดี…” พนักงานสาวกล่าวอย่างตื่นเต้น

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

แม่มดสาวมุ้งมิ้ง 50 พุ่งชน

Now you are reading แม่มดสาวมุ้งมิ้ง Chapter 50 พุ่งชน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

นิยาย แม่มดสาวมุ่งผึ้ง

ตอนที่ 50 พุ่งชน

ความสามารถพิเศษของโจวถึงนั้นเป็นที่ทราบกันดีในหมู่เพื่อน ๆ สมาชิกในองค์กรจิตวิญญาณเกี่ยวกับเรื่องที่เขาสามารถเข้าไปในดินแดนความทรงจําของผู้คนได้ในยามที่ผู้คนหลับใหล

ดังนั้นเมื่อฉางหาวได้ยินว่าโจวถังกล่าวเช่นนั้นเขาจึงไม่รู้สึกแปลกใจเลยรวมถึงพฤติกรรมของตุ๊กตาเวทมนตร์เมื่อครู่ด้วยเนื่องจากเขารับทราบเรื่องราวเกี่ยวกับฮันเป่าเม่ยและตุ๊กตาตัวนี้มา ซักระยะหนึ่งแล้ว

แต่สิ่งที่รู้สึกสงสัยคือ ทําไมตุ๊กตาเวทมนตร์ถึงมานอนอาบแดดอยู่ที่ห้องทํางานของโจวถึง!

สําหรับเหตุผลที่โจวถังต้องบุกรุกเข้าไปยังดินแดนแห่งความทรงจําของเบี้ยเหรินในคืนวันศุกร์ที่แล้วก็เป็นเพราะเขาต้องการทราบว่าในตอนที่เลขาคนนี้ไปส่งโจวเฟิงนั้นน้องชายของเขากล่าวอะ ไรเกี่ยวกับตนเองบ้าง!

แต่สิ่งที่เขาได้เห็นคือภาพเหตุการณ์ที่ดูคล้ายจะเป็นอุบัติเหตุทั้งสองเหตุการณ์นั้นคือตอนที่รถยนต์คันสีดํากําลังจะพุ่งชนเป่ยเหรินและตอนที่กระถางต้นไม้ขนาดใหญ่ตกลงมาจากระเบียงชั้นห้า ของอาคารที่เลขาของเขาพักอยู่

หลังจากที่ฉางหาวได้รับฟังเรื่องราวทั้งหมดแล้วก็รู้สึกปวดใจและสงสารเด็กหนุ่มคนนี้อย่างมากที่เขาเกือบจะตายถึงสองครั้งโดยที่เป่ยเหรินไม่รู้ตัวด้วยซ้ําว่ามีคนคิดจะฆ่าเขา

“คุณเคยถามเขาไหมว่า ช่วงนี้เขามีเรื่องกับใครบ้างหรือเปล่า?” โจวถังพยายามหาข้อมูล

“อาทิตย์ก่อนผมเคยถามเขาแล้วหลังจากที่สังเกตเห็นเงาดําอยู่รอบตัวแต่เขาบอกว่าทุกอย่างเป็นปกติดี”ฉางหาวกล่าวยืนยันอีกว่า

“เป่ยเหรินเป็นเด็กกําพร้าโดยมีชีวิตที่เรียบง่ายมากและเขาไม่ค่อยใส่ใจกับผู้คนในเมืองนี้มากนักดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะไปมีเรื่องกับใคร?”

โจวถังขมวดคิ้วขึ้นก่อนที่จะกล่าวว่า

“เมื่อวันศุกร์ที่แล้วที่สี่แยกย่านชุมชนที่เขาอาศัยอยู่มีรถฮอนด้าสีดําพุ่งตรงเข้าหาเขา!เราลองตรวจสอบดูว่าจะหาข้อมูลหลักฐานอะไรได้บ้าง?!”

“ผมมีเพื่อนเป็นสารวัตรอยู่ที่กองปราบ!เขาน่าจะช่วยเราได้บ้าง?” ฉางหาวกล่าว

“อย่างนั้นรีบไปจัดการด่วน!” โจวถึงกล่าวอย่างจริงจัง

ฉางหาวเดินกลับไปที่โต๊ะทํางานและตรวจสอบเวลาที่เป่ยเหรินเดินออกจากบ้านพักคนชราจากกล้องวงจรปิดและเมื่อนํามันมาเทียบกับตารางเดินรถประจําทางแล้วเขาก็สามารถทราบเวลา อย่างคร่าว ๆ ได้

เมื่อคํานวณเรียบร้อยแล้วเขาก็รีบโทรหาสารวัตรหมิงเทียนทันที หลังจากรอสายเชื่อมต่ออยู่ครู่หนึ่งในที่สุดสารวัตรหนุ่มมาดเข้มก็รับสาย

“อ้าว! อาหาวเป็นยังไงบ้าง? ไม่ได้เจอกันซะนาน…โทรมาชวนฉันไปดื่มเหรอ? ที่ไหนดีล่ะ?” หมิงเทียนกล่าวอย่าง อารมณ์ดี

“ใช่! ไม่ได้เจอกันตั้งนานแกสบายดีหรือเปล่าวะ?”

“สบายดี…แล้วแกล่ะ? เป็นยังไงบ้าง?” หมิงเทียนเอ่ยถามบ้าง

“ก็ดีนะ…แต่..?” ฉางหาวเริ่มดึงบทสนทนาเข้าเรื่องที่เขาต้องการทราบ

“มีอะไรก็ว่ามาเลย! ไม่ต้องอึ้งหรอก…เรามันคนกันเอง!” สารวัตรหมิงเทียนกล่าวด้วยน้ําเสียงจริงใจ

“ฉันมีเพื่อนรุ่นน้องที่ทํางานคนหนึ่งชื่อว่าเป็นเหรินและดูเหมือนว่าเขาจะตกเป็นเป้าหมายของใครบางคน แต่ยังไม่มี หลักฐานแน่ชัด..ก็เลยอยากให้แก่ช่วยตรวจสอบรถคันนั้นหน่อยจะได้หรือเปล่า?”

ฉางหาวกล่าวด้วยความรู้สึกเกรงใจอีกว่า

“ฉันรู้สึกว่าคําขอนี้อาจเป็นเรื่องยากที่จะจัดการแต่แกเป็นตํารวจ…จึงน่าจะจัดการได้!แค่…”

“ทํางานอยู่ที่บ้านพักคนชราหรือ?” สารวัตรหมิงเทียนขัดจังหวะขึ้น

“ใช่ ๆ “ฉางหาวตอบกลับด้วยความหวัง

“โอเค! บอกรายละเอียดมาเลยเดี๋ยวฉันเช็คให้!”

“ขอบคุณมากเพื่อนรัก!” ฉางหาวกล่าวด้วยน้ําเสียงยินดี

เรื่องนี้ได้มอบหมายให้สารวัตรหมิงเทียนเป็นคนจัดการแล้วดังนั้นฉางหาวจึงรู้สึกโล่งใจขึ้นมาบ้างนอกจากนี้เปยเหรินยังคงพักอยู่ที่บ้านพักคนชราทุกวันจึงไม่น่าจะมีอันตรายเกิดขึ้นกับเขา

ดังนั้นฉางหาวจึงไม่ใส่ใจเรื่องนี้อีกต่อไปและทุ่มเทความสนใจทั้งหมดไปกับการจัดเตรียมสิ่งของสําหรับงานเทศกาลวันไหว้พระจันทร์ที่กําลังจะมาถึงในไม่ช้า

เวลาสามวันผ่านไปอย่างรวดเร็วและเบี้ยเหรินยังคงพักอยู่ที่บ้านพักคนชรานอกจากตอนที่ฉางหาวขับรถพาเขากลับไปขนเสื้อผ้าและเครื่องใช้ที่จําเป็นในวันแรกแล้วเขาก็แทบจะไม่ได้ก้าวออกไปนอกประตูรั้วด้วยซ้ํา

สําหรับฉางหาวเขายังคงเฝ้ารอการติดต่อกลับมาจากสารวัตรหมิงเทียนและในบ่ายวันนั้นเสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์มือถือส่วนตัวก็ดังขึ้นเมื่อเขาเหลือบมองไปเห็นชื่อผู้ที่ติดต่อเข้ามาเขาก็คว้าโทรศัพท์และเดินออกไปจากโต๊ะทํางานทันทีเพื่อไปรับสายด้านนอก

“เฮ้! สารวัตรได้ข่าวหรือยัง?”

เมื่อส่งข้อมูลให้กับสารวัตรหมิงเทียนในวันนั้นแล้วหมายเลขทะเบียนของรถฮอนด้าก็ถูกส่งไปตรวจที่กรมการขนส่งทางบกหลังจากการตรวจสอบหมายเลขแผ่นป้ายทะเบียนจากกล้องวงจรปิดที่บริเวณสี่แยกซึ่งเป็นสถานที่เกิดเหตุ

โดยผู้เชี่ยวชาญในการสืบสวนคดีอย่างสารวัตรหมิงเทียนสามารถระบุได้ในทันทีว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องที่จงใจมากกว่าบังเอิญ แต่ก่อนที่เขาจะติดต่อกลับมาเขาต้องการตรวจสอบให้ แน่ชัดเสียก่อน

“คนขับรถยนต์ฮอนด้าสีดําคันนั้นรับสารภาพว่ามีคนจ้างวานให้เขาขับรถไปที่สี่แยกนั้นเพื่อชนคุณเป่ยเหรินและได้รับค่าตอบแทนเป็นเงินหนึ่งล้านเหรียญ”

สารวัตรหมิงเทียนกล่าวต่อไปว่า

“ตอนนี้ผมกําลังสืบหาคนที่จ้างวานฆ่าและคิดว่าอีกไม่นานคงจะทราบผล ดังนั้นตอนนี้คงต้องให้คุณเป่ยเหรินเดินทางมาแจ้งความที่สถานีตํารวจเพื่อทางเราจะได้ดําเนินการในขั้นตอนต่อไป”

“โอเค!”ฉางหาวรู้สึกตกใจมากเมื่อได้ยินเรื่องราวเหล่านั้นแต่ก็ทําได้เพียงสูงสารเด็กหนุ่มคนนี้

[ใครที่ต้องการฆ่าเด็กคนนี้?]

แม้ว่าทุกเดือนเป่ยเหรินจะได้รับเงินเดือนเป็นจํานวนมากแต่เงินส่วนใหญ่ที่เขาได้รับจะถูกส่งไปยังสถานสงเคราะห์เด็กกําพร้าที่เขาเคยอาศัยอยู่และถ้าไม่ใช่ด้วยเหตุผลนี้คนที่มีเงินเดือนห้า หมื่นเหรียญแบบเขาคงจะได้พักอาศัยในคอนโดหรูที่สะดวกสบายและหรูหรากว่านี้

ก่อนหน้านี้ฉางหาวเคยแนะนําให้เปียเหรินส่งเงินไปบ้านเด็กกําพร้าเพียงครึ่งเดียวของเงินเดือนและเก็บส่วนที่เหลือไว้ใช้เองแต่เด็กหนุ่มคนนี้มักจะกล่าวเสมอว่าเขายังไม่มีแฟนดังนั้นเขาจึงไม่มี รายจ่ายมาก

ต่อมาเมื่อฉางหาววางสายโทรศัพท์จากสารวัตรหมิงเทียนแล้วเขาก็ใคร่ครวญว่าจะเกลี้ยกล่อมให้เปยเหรินไปแจ้งความที่สถานีตํารวจอย่างไรดี

ไม่นานนักฉางหาวก็มีความคิดที่บรรเจิดผุดขึ้นมาในสมองจากนั้นจึงค้นหาหมายเลขติดต่อแอดมินของเวบเพจอดังที่รู้จักกันและต้องการตกลงกันในทางลับโดยมีการโอนเงินเป็นค่าตอบแทนสําหรับการอัปโหลดวิดิโอ

หลังจากผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมงจํานวนโพสต์ซ้ําภาพวีดีโอนั้นก็มีจํานวน เกินหนึ่งหมื่นครั้งและในเวลานั้นฉางหาวก็แสร้งทําเป็นหยิบโทรศัพท์มือถือของตนเองขึ้นมาคลิกเข้าไปที่เพจชื่อก่อนที่จะแกล้งทําเป็นแปลกใจและร้องตะโกนไปทางเบี้ยเหรินว่า

“เป้ยเหริน! นี่ใช่แกหรือเปล่า?”

“อะ…อะไรครับ?” เป่ยเหรินเอียงหน้ามาเอ่ยถามด้วยความสงสัย

“ในวีดีโอนี้มีคนเกือบถูกรถชนและดูเหมือนแกมากเลย!” ฉางหาวกล่าวและเมื่อเพื่อนร่วมงานหลายคนได้ยินพวกเขาก็มารวมตัวกันที่โต๊ะทํางานของฉางหาวรวมทั้งเปยเหรินด้วยจากนั้นเมื่อได้ดูคลิปวีดีโอแล้วทุกคนก็กล่าวเป็นเสียงเดียวกัน

“นี่มันเป่ยเหรินชัด ๆ ฉันจําได้ว่าเขาใส่เสื้อตัวนี้เมื่อวันศุกร์ที่แล้ว” พนักงานสาวที่ยืนอยู่ในกลุ่มยืนยันอย่างหนักแน่น

“ใช่ ๆ ดูท่าเดินสิ! เบี้ยเหรินแน่นอน!”

ในเวลานี้เป่ยเหรินถึงกับสะดุ้งเพราะเมื่อเห็นภาพในวีดีโอไม่ว่าจะเป็นสี่แยกไฟแดงที่คุ้นเคยหรือร้านขายบะหมี่ที่เขาเป็นลูกค้าประจํา ซึ่งมันเป็นสถานที่ที่เขาต้องเดินผ่านทุกวัน

และที่สําคัญผู้ชายคนที่เกือบจะถูกรถชนก็คือตัวเขาเอง!

“โชคดีที่ไม่ได้เป็นอะไร! ถ้าคุณไม่หันหลังกลับ…ป่านนี้เราคงไม่ได้เจอกันแล้ว!”เพื่อนพนักงานกล่าวด้วยความรู้สึกหวาดกลัว หลังจากที่เห็นภาพเหตุการณ์ในคลิปวีดีโอ

“ไม่ใช่แค่นั้นนะ! ลองดูนี่สิ!ตอนแรกรถคันนี้จอดอยู่ที่ข้างถนนดี ๆ พอสัญญาณให้คนข้ามถนนเป็นสีเขียวรถคันนั้นกลับเกือบคันเร่ง…เห็นได้ชัดว่ามันจงใจที่จะพุ่งชนเบี้ยเหริน!”ฉางหาวแสดงความคิดเห็น

เวลานี้ฉางหาวจงใจที่จะคลิกเข้าไปในช่องแสดงความคิดเห็นที่อยู่ในคลิปวีดีโอและอ่านความคิดเห็นเหล่านั้น

“ดูสิ! ชาวเน็ตบอกว่ารถคันนี้จงใจที่จะชนและหลายคนแนะนําให้ไปแจ้งความด้วย”

“เรื่องนี้อาจจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ได้นะถ้าเธอไม่หันหลังกลับไปในจังหวะนั้นพอดี…” พนักงานสาวกล่าวอย่างตื่นเต้น

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+