แม่มดสาวมุ้งมิ้ง 47 น้องชาย

Now you are reading แม่มดสาวมุ้งมิ้ง Chapter 47 น้องชาย at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

นิยาย แม่มดสาวมุ่งมิ่ง

ตอนที่ 47 น้องชาย

จากนั้นความคิดเห็นมากมายก็ผุดขึ้นในสมองของบรรดาพนักงานที่ได้เห็นภาพนี้

[เด็กคนนี้เป็นใคร?]

[เขาเป็นลูกของบอสหรือเปล่า? แต่บอสอายุแค่สามสิบและยังไม่ได้แต่งงานนี่นา..”

[เขาแอบไปมีลูกตั้งแต่เมื่อไหร่? โถ่! ไม่น่าเลย…เสียดายจัง]

เมื่อได้ยินคํากล่าวของเป่ยเหริน โจวถังก็เงยหน้าขึ้นจากเอกสารตรงหน้าและ เห็นว่า เลขาหนุ่มพาเด็กอายุประมาณสิบขวบมาด้วย โดยที่ทั้งสองคนยืนอยู่บริเวณหน้าประตู ทําให้เขาอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วขึ้น

“มีอะไรเหรอ?”

“พี่ครับ” เมื่อโจวเฟิงเห็นใบหน้าพี่ชาย เขาก็สามารถจําโจวถังได้ในทันที ขณะที่ความสุขบนใบหน้าของเด็กชายไม่สามารถซ่อนเร้นได้และก้าวไปข้างหน้า ด้วยความตื่นเต้น

“บอสครับ ผมขอตัวก่อนนะครับ” เป่ยเหรินวางถุงอาหารลงบนโต๊ะและเดินกลับออกไปอย่างรวดเร็ว เพื่อเตรียมเครื่องดื่มสําหรับทั้งสองคนที่อยู่ในห้องโดย ไม่ทันสังเกตเห็นบรรยากาศที่ค่อนข้างอึมครึม

โจวถังยังคงนั่งอยู่ที่โต๊ะทํางานและ จ้องมองไปยังน้องชายของตนเองที่มาปรากฏตัวตรงหน้าอย่างกะทันหัน ซึ่งมันทําให้ชายหนุ่มเกิดความรู้สึกสับสนในใจ เนื่องจากเขาไม่ได้กลับบ้านมาห้าปีแล้ว โดยที่เขาไม่ได้พบกับบิดามารดาด้วยซ้ํา นับประสาอะไรกับน้องชายของตนเอง

เมื่อห้าปีที่แล้วโจวเฟิงมีอายุได้เพียงห้าขวบซึ่งยังไร้เดียงสา และในตอนนั้น พลังฝันร้ายของโจวถังมีความแข็งแกร่งมาก จึงส่งผลให้ผู้คนรอบตัวเขาเกิดภาวะความเครียดสะสมเมื่อพวกเขาเห็นโจวถัง

โจวเฟิงเป็นบุตรชายคนที่สองของบิดามารดาโจวถังเพื่อตอบสนองนโยบายบุคคลที่สองของรัฐบาลและเขาเป็นเด็กปกติซึ่งแตกต่างจากพี่ชายอย่างสิ้นเชิง

ดังนั้นบิดามารดาของโจวถังจึงมอบความรักทั้งหมดให้บุตรชายคนเล็กและ ใช้ชีวิตครอบครัวอย่างมีความสุขเสมอมา ซึ่งความรักแบบนี้เป็นสิ่งที่โจวถังไม่เคยได้สัมผัสกับมันมาก่อน

โชคดีที่ตอนนั้นโจวถังเป็นผู้ใหญ่แล้ว จึงไม่มีความอิจฉาริษยาน้องชายและ เขาไม่สนใจที่จะแย่งความรักจากเด็กอายุห้าขวบขณะที่โจยังไม่มีความประทับใจใด ๆ ในตัวของโจวเฟิงเลยนอกจากเสียงร้องไห้ที่ดังจนแสบแก้วหูทุกครั้งที่ได้พบกัน

โจวถังรู้สึกรําคาญเสียงนั้นมาก แม้กระนั้นเขาก็ไม่กล้าตําหนิเด็กที่กําลังร้องไห้ และเมื่ออยู่ที่บ้านเขามักจะใช้หูฟังเพื่อป้องกันเสียงร้องไห้ของเด็กคนนี้

จนวันหนึ่งเขาตื่นขึ้นมาดื่มน้ํากลางดึก และเดินผ่านห้องของโจวเฟิงทําให้ได้ยินเสียงสนทนาของบิดามารดา

“ที่อาเฟิงร้องไห้บ่อย ๆ เป็นเพราะอาถังอยู่บ้านหรือเปล่า?” มารดาเอ่ยถาม

“ช่วงนี้รู้สึกว่าอารมณ์ของถังจะค่อนข้างแปรปรวนจนบางครั้งก็ดูน่ากลัวมาก” บิดาของโจวถังถอนหายใจอย่างหนัก

“เราจะทํายังไงดี? ถ้าอาเฟิงยังร้องไห้อยู่แบบนี้ สักวันเขาจะต้องล้มป่วย แน่นอน!” มารดากล่าว

“ช่วงนี้คุณพาอาเฟิงกลับไปอยู่บ้านแม่ของคุณก่อนดีมั้ย? เดือนหน้าหลังจากที่อาถังเริ่มทํางานเขาคงจะย้ายไปอยู่ที่อื่น เพราะบ้านเราอยู่ไกลจากที่ทํางานของเขามาก…” บิดาของโจวถังกล่าว

ท้ายที่สุดมารดาของโจวถังก็ไม่ได้พาบุตรชายคนเล็กกลับบ้านเกิด เพราะโจวถังย้ายออกจากบ้านไปก่อน โดยอ้างว่ามีธุระที่จะต้องทําหลายอย่างหลังจากนั้น เขาก็ไม่ได้กลับไปอีกเลย

ในช่วงเทศกาลปีใหม่และวันหยุดยาว บิดามารดาของโจวถังมักจะโทรมาชวนเขาให้กลับไปเยี่ยมบ้านซักสองสามวัน แต่หลังจากโจวถังปฏิเสธกลับไปหลายครั้ง พวกเขาก็ไม่กล้าที่จะชักชวนอีก ซึ่งดูเหมือนทั้งสองฝ่ายจะห่างเหินกันไปโดยปริยาย

เด็กชายโจวเฟิงเติบโตอย่างรวดเร็ว และพวกเขาไม่ได้เจอกันมาห้าปีแล้ว โจวถังแทบจะจํารูปลักษณ์ของน้องชายไม่ได้เมื่อเป่ยเหรินพาเด็กคนนั้นเข้ามา

ใบหน้าของเด็กชายโจวเฟิงแดงระเรื่อขึ้นและรู้สึกประหม่าอยู่ในใจเมื่อเห็น ว่าพี่ชายของเขาไม่ได้กล่าวอะไรออกมาสักคํา แต่ก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวอีกครั้งว่า

“พี่ชายผมคือ…”

ก่อนที่จะโจวเฟิงจะกล่าวจบ โจวถังก็ลุกขึ้นยืนและเดินผ่านเขาออกไปจากห้องทันที

เด็กชายโจวเฟิงรู้สึกงงด้วยความรู้สึกสงสัย

[พี่ชายไม่ชอบเราเหรอ?]

และเขาไม่มีข้อมูลสําหรับติดต่อพี่ชายและโจวถังไม่ได้กลับบ้านนานแล้ว ดังนั้น เด็กชายจึงเดินทางมาหาพี่ชายด้วยตัวเอง…

หรือพี่โจวยังคิดว่าเขาโดดเรียนเพื่อมาที่นี่?

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้โจวเฟิงก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกผิด ทําให้ดวงตาของเด็กชายร้อน ผ่าวและในฉับพลันเขาก็ต้องการจะร้องไห้ออกมา

[ไม่! เราจะร้องไห้ไม่ได้! มิฉะนั้นพี่โจวถังจะรู้สึกแย่เมื่อได้เห็นภาพนั้น]

เมื่อคิดได้ดังนั้นโจวเฟิงจึงเอียงศีรษะ และมองออกไปนอกหน้าต่างเพื่อพยายามสงบสติอารมณ์

“เอ๊ะ! ทําไมมีตุ๊กตาวางอยู่ตรงนี้? ดูเหมือนว่ามันจะตกลงพื้นเมื่อกี้นี้”

โจวเฟิงเป็นเด็กดี ซึ่งแน่นอนว่าเขาต้องช่วยหยิบมันขึ้นมาเมื่อเห็นสิ่งของ ตกลงบนพื้น เด็กชายเดินอย่างใจเย็น และหยิบตุ๊กตาขึ้นมาปัดฝุ่นอย่างแผ่วเบาก่อนที่จะวางเอาไว้บนโซฟาด้านข้าง

หลังจากวางตุ๊กตาแล้วก็เดินกลับไปที่เดิม เพื่อรอให้พี่ชายกลับมาและทันทีที่ เด็กชายหันหลังกลับตุ๊กตาเวทมนตร์ก็แสดงหน้าตาบิดเบี้ยวด้วยท่าทางไม่พอใจ

เมื่อโจวถังเดินออกมาจากห้องทํางาน เขาก็เดินตรงไปหาเบี้ยเหรินที่กําลังเดินมาหาพร้อมกับจานผลไม้

“บอส…”

“เขามาได้ยังไง?” โจวถังเอ่ยถาม

“ใครครับ?…อ๋อ! น้องชายของคุณนะหรือครับ? ผม…ผมเห็นน้องยืนอยู่ที่หน้าประตูรั้วและบอกว่าต้องการพบ คณ…ผมก็เลยพาเขาเข้ามา”

แม้เป่ยเหรินจะเป็นคนที่ค่อนข้างซื่อ แต่ไม่ว่าเขาจะฉลาดน้อยแค่ไหน เขาก็ทราบว่าตอนนี้เจ้านายของตนเองกําลังโกรธ

[นี่เราทําอะไรผิดหรือเปล่า?]

[เด็กคนนั้นเป็นน้องชายของคุณโจวถังไม่ใช่เหรอ?]

โจวถังพยายามระงับความโกรธเคือง และเหลือบมองจานผลไม้ในมือของเป่ยเหรินพลางกล่าวอย่างเคร่งขรึม

“ไม่ต้องเอาจานนั้นเข้าไป รีบพาเด็กกลับไปส่งที่บ้าน! นี่กุญแจรถ!” โจวถังกล่าวพร้อมกับยื่นกุญแจรถยนต์ของตนเองให้กับเลขาหนุ่ม

“ครับผม…” เป่ยเหริยนตอบกลับ แต่ในใจยังคงรู้สึกสงสัย

โจวถังเดินกลับเข้าไปในห้องทํางานส่วนตัว แต่ก่อนที่ชายหนุ่มจะอ้าปากเพื่อ กล่าวอะไรบางอย่าง น้องชายของเขาก็กล่าวขึ้นมาว่า

“ผมไม่ได้โดดเรียนนะครับ วันนี้ตอนบ่ายคุณครูมีประชุม”

“……” โจวถังไม่ได้สนใจว่าเขาโดดเรียนหรือไม่ และเขาเอ่ยถามขึ้นมาอย่าง ไม่อดทนว่า

“แล้วมาทําอะไรที่นี่?”

“ผม…ผมมาถามว่าพี่จะกลับบ้านตอนเทศกาลวันไหว้พระจันทร์หรือเปล่า?” เด็กชายโจวเฟิงเอ่ยถามด้วยท่าทางกังวลใจ

โจวถังรู้สึกตกใจกับคําถามนี้ และเขาแน่ใจว่าเด็กชายคงไม่ได้มาที่นี่ด้วย ความคิดของตนเอง

“พ่อแม่บอกให้เธอมาที่นี่หรือ?”

ดวงตาของเด็กชายกระพริบเล็กน้อย ก่อนที่จะพยักหน้าอย่างจริงจัง ขณะที่มีการเยาะเย้ยฉายผ่านแววตาตาของโจวถัง

“กลับไปซะ! ฉันจะให้คนพาเธอกลับบ้าน!”

“พี่ถังครับ พี่จะกลับบ้านช่วงเทศกาลไหว้พระจันทร์หรือเปล่า?”

เด็กชายเอ่ยถามพร้อมกับก้าวข้างหน้าอย่างตื่นเต้น แต่เมื่อเขาขยับร่างกายโจวถังก็ถอยห่างออกไปทันที ซึ่งมีความ มายว่าชายหนุ่มไม่ต้องการให้โจวเฟิง เข้าใกล้ตนเอง ซึ่งมันทําให้เด็กชายรู้สึกเจ็บปวดและโดดเดี่ยว

“กลับไปซะ! แล้วไม่ต้องมาที่นี่อีก!” โจวถังเปิดประตูและส่งสัญญาณมือให้น้องชายออกไปจากห้อง

“พี่เกลียดผมเหรอ?” โจวเฟิงไม่สามารถเก็บซ่อนความคับข้องใจของเขาได้ และเงยหน้าขึ้นอย่างดื้อรั้นด้วยดวงตาแดง

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

แม่มดสาวมุ้งมิ้ง 47 น้องชาย

Now you are reading แม่มดสาวมุ้งมิ้ง Chapter 47 น้องชาย at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

นิยาย แม่มดสาวมุ่งมิ่ง

ตอนที่ 47 น้องชาย

จากนั้นความคิดเห็นมากมายก็ผุดขึ้นในสมองของบรรดาพนักงานที่ได้เห็นภาพนี้

[เด็กคนนี้เป็นใคร?]

[เขาเป็นลูกของบอสหรือเปล่า? แต่บอสอายุแค่สามสิบและยังไม่ได้แต่งงานนี่นา..”

[เขาแอบไปมีลูกตั้งแต่เมื่อไหร่? โถ่! ไม่น่าเลย…เสียดายจัง]

เมื่อได้ยินคํากล่าวของเป่ยเหริน โจวถังก็เงยหน้าขึ้นจากเอกสารตรงหน้าและ เห็นว่า เลขาหนุ่มพาเด็กอายุประมาณสิบขวบมาด้วย โดยที่ทั้งสองคนยืนอยู่บริเวณหน้าประตู ทําให้เขาอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วขึ้น

“มีอะไรเหรอ?”

“พี่ครับ” เมื่อโจวเฟิงเห็นใบหน้าพี่ชาย เขาก็สามารถจําโจวถังได้ในทันที ขณะที่ความสุขบนใบหน้าของเด็กชายไม่สามารถซ่อนเร้นได้และก้าวไปข้างหน้า ด้วยความตื่นเต้น

“บอสครับ ผมขอตัวก่อนนะครับ” เป่ยเหรินวางถุงอาหารลงบนโต๊ะและเดินกลับออกไปอย่างรวดเร็ว เพื่อเตรียมเครื่องดื่มสําหรับทั้งสองคนที่อยู่ในห้องโดย ไม่ทันสังเกตเห็นบรรยากาศที่ค่อนข้างอึมครึม

โจวถังยังคงนั่งอยู่ที่โต๊ะทํางานและ จ้องมองไปยังน้องชายของตนเองที่มาปรากฏตัวตรงหน้าอย่างกะทันหัน ซึ่งมันทําให้ชายหนุ่มเกิดความรู้สึกสับสนในใจ เนื่องจากเขาไม่ได้กลับบ้านมาห้าปีแล้ว โดยที่เขาไม่ได้พบกับบิดามารดาด้วยซ้ํา นับประสาอะไรกับน้องชายของตนเอง

เมื่อห้าปีที่แล้วโจวเฟิงมีอายุได้เพียงห้าขวบซึ่งยังไร้เดียงสา และในตอนนั้น พลังฝันร้ายของโจวถังมีความแข็งแกร่งมาก จึงส่งผลให้ผู้คนรอบตัวเขาเกิดภาวะความเครียดสะสมเมื่อพวกเขาเห็นโจวถัง

โจวเฟิงเป็นบุตรชายคนที่สองของบิดามารดาโจวถังเพื่อตอบสนองนโยบายบุคคลที่สองของรัฐบาลและเขาเป็นเด็กปกติซึ่งแตกต่างจากพี่ชายอย่างสิ้นเชิง

ดังนั้นบิดามารดาของโจวถังจึงมอบความรักทั้งหมดให้บุตรชายคนเล็กและ ใช้ชีวิตครอบครัวอย่างมีความสุขเสมอมา ซึ่งความรักแบบนี้เป็นสิ่งที่โจวถังไม่เคยได้สัมผัสกับมันมาก่อน

โชคดีที่ตอนนั้นโจวถังเป็นผู้ใหญ่แล้ว จึงไม่มีความอิจฉาริษยาน้องชายและ เขาไม่สนใจที่จะแย่งความรักจากเด็กอายุห้าขวบขณะที่โจยังไม่มีความประทับใจใด ๆ ในตัวของโจวเฟิงเลยนอกจากเสียงร้องไห้ที่ดังจนแสบแก้วหูทุกครั้งที่ได้พบกัน

โจวถังรู้สึกรําคาญเสียงนั้นมาก แม้กระนั้นเขาก็ไม่กล้าตําหนิเด็กที่กําลังร้องไห้ และเมื่ออยู่ที่บ้านเขามักจะใช้หูฟังเพื่อป้องกันเสียงร้องไห้ของเด็กคนนี้

จนวันหนึ่งเขาตื่นขึ้นมาดื่มน้ํากลางดึก และเดินผ่านห้องของโจวเฟิงทําให้ได้ยินเสียงสนทนาของบิดามารดา

“ที่อาเฟิงร้องไห้บ่อย ๆ เป็นเพราะอาถังอยู่บ้านหรือเปล่า?” มารดาเอ่ยถาม

“ช่วงนี้รู้สึกว่าอารมณ์ของถังจะค่อนข้างแปรปรวนจนบางครั้งก็ดูน่ากลัวมาก” บิดาของโจวถังถอนหายใจอย่างหนัก

“เราจะทํายังไงดี? ถ้าอาเฟิงยังร้องไห้อยู่แบบนี้ สักวันเขาจะต้องล้มป่วย แน่นอน!” มารดากล่าว

“ช่วงนี้คุณพาอาเฟิงกลับไปอยู่บ้านแม่ของคุณก่อนดีมั้ย? เดือนหน้าหลังจากที่อาถังเริ่มทํางานเขาคงจะย้ายไปอยู่ที่อื่น เพราะบ้านเราอยู่ไกลจากที่ทํางานของเขามาก…” บิดาของโจวถังกล่าว

ท้ายที่สุดมารดาของโจวถังก็ไม่ได้พาบุตรชายคนเล็กกลับบ้านเกิด เพราะโจวถังย้ายออกจากบ้านไปก่อน โดยอ้างว่ามีธุระที่จะต้องทําหลายอย่างหลังจากนั้น เขาก็ไม่ได้กลับไปอีกเลย

ในช่วงเทศกาลปีใหม่และวันหยุดยาว บิดามารดาของโจวถังมักจะโทรมาชวนเขาให้กลับไปเยี่ยมบ้านซักสองสามวัน แต่หลังจากโจวถังปฏิเสธกลับไปหลายครั้ง พวกเขาก็ไม่กล้าที่จะชักชวนอีก ซึ่งดูเหมือนทั้งสองฝ่ายจะห่างเหินกันไปโดยปริยาย

เด็กชายโจวเฟิงเติบโตอย่างรวดเร็ว และพวกเขาไม่ได้เจอกันมาห้าปีแล้ว โจวถังแทบจะจํารูปลักษณ์ของน้องชายไม่ได้เมื่อเป่ยเหรินพาเด็กคนนั้นเข้ามา

ใบหน้าของเด็กชายโจวเฟิงแดงระเรื่อขึ้นและรู้สึกประหม่าอยู่ในใจเมื่อเห็น ว่าพี่ชายของเขาไม่ได้กล่าวอะไรออกมาสักคํา แต่ก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวอีกครั้งว่า

“พี่ชายผมคือ…”

ก่อนที่จะโจวเฟิงจะกล่าวจบ โจวถังก็ลุกขึ้นยืนและเดินผ่านเขาออกไปจากห้องทันที

เด็กชายโจวเฟิงรู้สึกงงด้วยความรู้สึกสงสัย

[พี่ชายไม่ชอบเราเหรอ?]

และเขาไม่มีข้อมูลสําหรับติดต่อพี่ชายและโจวถังไม่ได้กลับบ้านนานแล้ว ดังนั้น เด็กชายจึงเดินทางมาหาพี่ชายด้วยตัวเอง…

หรือพี่โจวยังคิดว่าเขาโดดเรียนเพื่อมาที่นี่?

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้โจวเฟิงก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกผิด ทําให้ดวงตาของเด็กชายร้อน ผ่าวและในฉับพลันเขาก็ต้องการจะร้องไห้ออกมา

[ไม่! เราจะร้องไห้ไม่ได้! มิฉะนั้นพี่โจวถังจะรู้สึกแย่เมื่อได้เห็นภาพนั้น]

เมื่อคิดได้ดังนั้นโจวเฟิงจึงเอียงศีรษะ และมองออกไปนอกหน้าต่างเพื่อพยายามสงบสติอารมณ์

“เอ๊ะ! ทําไมมีตุ๊กตาวางอยู่ตรงนี้? ดูเหมือนว่ามันจะตกลงพื้นเมื่อกี้นี้”

โจวเฟิงเป็นเด็กดี ซึ่งแน่นอนว่าเขาต้องช่วยหยิบมันขึ้นมาเมื่อเห็นสิ่งของ ตกลงบนพื้น เด็กชายเดินอย่างใจเย็น และหยิบตุ๊กตาขึ้นมาปัดฝุ่นอย่างแผ่วเบาก่อนที่จะวางเอาไว้บนโซฟาด้านข้าง

หลังจากวางตุ๊กตาแล้วก็เดินกลับไปที่เดิม เพื่อรอให้พี่ชายกลับมาและทันทีที่ เด็กชายหันหลังกลับตุ๊กตาเวทมนตร์ก็แสดงหน้าตาบิดเบี้ยวด้วยท่าทางไม่พอใจ

เมื่อโจวถังเดินออกมาจากห้องทํางาน เขาก็เดินตรงไปหาเบี้ยเหรินที่กําลังเดินมาหาพร้อมกับจานผลไม้

“บอส…”

“เขามาได้ยังไง?” โจวถังเอ่ยถาม

“ใครครับ?…อ๋อ! น้องชายของคุณนะหรือครับ? ผม…ผมเห็นน้องยืนอยู่ที่หน้าประตูรั้วและบอกว่าต้องการพบ คณ…ผมก็เลยพาเขาเข้ามา”

แม้เป่ยเหรินจะเป็นคนที่ค่อนข้างซื่อ แต่ไม่ว่าเขาจะฉลาดน้อยแค่ไหน เขาก็ทราบว่าตอนนี้เจ้านายของตนเองกําลังโกรธ

[นี่เราทําอะไรผิดหรือเปล่า?]

[เด็กคนนั้นเป็นน้องชายของคุณโจวถังไม่ใช่เหรอ?]

โจวถังพยายามระงับความโกรธเคือง และเหลือบมองจานผลไม้ในมือของเป่ยเหรินพลางกล่าวอย่างเคร่งขรึม

“ไม่ต้องเอาจานนั้นเข้าไป รีบพาเด็กกลับไปส่งที่บ้าน! นี่กุญแจรถ!” โจวถังกล่าวพร้อมกับยื่นกุญแจรถยนต์ของตนเองให้กับเลขาหนุ่ม

“ครับผม…” เป่ยเหริยนตอบกลับ แต่ในใจยังคงรู้สึกสงสัย

โจวถังเดินกลับเข้าไปในห้องทํางานส่วนตัว แต่ก่อนที่ชายหนุ่มจะอ้าปากเพื่อ กล่าวอะไรบางอย่าง น้องชายของเขาก็กล่าวขึ้นมาว่า

“ผมไม่ได้โดดเรียนนะครับ วันนี้ตอนบ่ายคุณครูมีประชุม”

“……” โจวถังไม่ได้สนใจว่าเขาโดดเรียนหรือไม่ และเขาเอ่ยถามขึ้นมาอย่าง ไม่อดทนว่า

“แล้วมาทําอะไรที่นี่?”

“ผม…ผมมาถามว่าพี่จะกลับบ้านตอนเทศกาลวันไหว้พระจันทร์หรือเปล่า?” เด็กชายโจวเฟิงเอ่ยถามด้วยท่าทางกังวลใจ

โจวถังรู้สึกตกใจกับคําถามนี้ และเขาแน่ใจว่าเด็กชายคงไม่ได้มาที่นี่ด้วย ความคิดของตนเอง

“พ่อแม่บอกให้เธอมาที่นี่หรือ?”

ดวงตาของเด็กชายกระพริบเล็กน้อย ก่อนที่จะพยักหน้าอย่างจริงจัง ขณะที่มีการเยาะเย้ยฉายผ่านแววตาตาของโจวถัง

“กลับไปซะ! ฉันจะให้คนพาเธอกลับบ้าน!”

“พี่ถังครับ พี่จะกลับบ้านช่วงเทศกาลไหว้พระจันทร์หรือเปล่า?”

เด็กชายเอ่ยถามพร้อมกับก้าวข้างหน้าอย่างตื่นเต้น แต่เมื่อเขาขยับร่างกายโจวถังก็ถอยห่างออกไปทันที ซึ่งมีความ มายว่าชายหนุ่มไม่ต้องการให้โจวเฟิง เข้าใกล้ตนเอง ซึ่งมันทําให้เด็กชายรู้สึกเจ็บปวดและโดดเดี่ยว

“กลับไปซะ! แล้วไม่ต้องมาที่นี่อีก!” โจวถังเปิดประตูและส่งสัญญาณมือให้น้องชายออกไปจากห้อง

“พี่เกลียดผมเหรอ?” โจวเฟิงไม่สามารถเก็บซ่อนความคับข้องใจของเขาได้ และเงยหน้าขึ้นอย่างดื้อรั้นด้วยดวงตาแดง

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+