กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ 244 ช่วยเขาพลิกคดี (1)

Now you are reading กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ Chapter 244 ช่วยเขาพลิกคดี (1) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ซูหลีพิจารณาตุ๊กตาในมืออย่างครุ่นคิด ไม่ยอมปล่อยผ่านแม้แต่รายละเอียดเล็กน้อย พลันนั้น นัยน์ตานางไหวระริก จดจ้องไปที่ท้องของตุ๊กตา ตรงนั้นสลักอักษร ‘ฝู[1]’ เอาไว้ ลวดลายนูนเด่นขึ้นมา ครั้นลองลูบดู ก็พบว่าหลวมกว่าส่วนอื่นเล็กน้อย เหมือนเป็นประตูบานเล็กๆ บานหนึ่ง

นางพลันสะดุดใจ รีบสังเกตตุ๊กตาทุกซอกทุกมุม ทว่ากลับไม่พบกลไกเปิด หวั่นซินเองก็มองหาอย่างละเอียด แต่ก็ไม่พบเบาะแสใดเช่นกัน

ในยามนี้เอง เซิ่งฉินมาถึงอย่างเร่งรีบ ครั้นเห็นศพของเจวี้ยนเอ๋อร์ ก็อดตกตะลึงไม่ได้

ซูหลีรีบกล่าวเสียงเข้มทันที “เจวี้ยนเอ๋อร์ถูกฮองเฮาฆ่าปิดปากแล้ว นางไม่มีทางปล่อยเถียนหย่งให้รอดไปได้แน่นอน”

“ท่านหญิงโปรดวางใจ คนของพวกเราคอยจับตาดูเถียนหย่งอยู่ ไม่มีทางเกิดเรื่องอะไรขึ้นแน่ขอรับ”

“เช่นนั้นก็ดี เรื่องนี้ไม่อาจชักช้าได้อีก เจ้ารีบนำศพของเจวี้ยนเอ๋อร์ไปหาเถียนหย่ง กลไกที่ซ่อนอยู่ในตุ๊กตาตัวนี้ เกรงว่าคงมีแค่เขาคนเดียวที่สามารถเปิดได้!”

จะแพ้หรือชนะขึ้นอยู่กับเรื่องนี้แล้ว วันพรุ่งนี้ การเดิมพันที่ใหญ่ยิ่งกว่าเดิมกำลังจะเริ่มขึ้น!

ค่ำคืนนี้ซูหลีกระสับกระส่าย นอนไม่หลับแม้แต่น้อย หลังเที่ยงคืนพายุจากทิศตะวันตกเฉียงเหนือพลันก่อตัว ลมพัดแรงจนเหมือนจะกลืนทุกอย่างในโลกใบนี้ให้หายไป เสียงลมกระโชกแรงรบกวนการหลับฝัน ชั่วขณะหนึ่งซูหลีจมดิ่งสู่ห้วงภวังค์ เหตุการณ์นี้ราวกับย้อนกลับไปในคืนก่อนวันพลิกคดีของหลีซู ถึงแม้เรื่องที่กำลังจะมาถึง นางกับตงฟางเจ๋อได้วางแผนอย่างรัดกุมที่สุดแล้ว แต่ความเสี่ยงที่มี พวกเขาย่อมรู้ดีที่สุด หากไม่ระวังแม้เพียงเล็กน้อย ก็จะนำพาความตายมาสู่ตนเองได้

ถึงแม้อย่างนั้น ชะตาชีวิตของนางกับเขา ก็ถูกผูกไว้ด้วยกันแต่แรกแล้ว นางไม่อาจหันหลังกลับ และจะไม่มีทางหันหลังกลับอีกต่อไป

ยามรุ่งสาง พายุสงบลงแล้ว ครั้นเปิดหน้าต่าง อากาศหนาวยะเยือกและแห้งผากพัดปะทะใบหน้า ซูหลีสูดหายใจลึกๆ ตั้งสติให้มั่น กำชับบ่าวรับใช้ให้เตรียมรถม้า มุ่งหน้าเข้าวังหลวงทันที

ณ ตำหนักฉางชุน ฮองเฮากำลังเสวยอาหารเช้า เมื่อเห็นซูหลี ก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย คล้ายคาดไม่ถึงว่านางจะเข้าวังมาให้คำตอบเร็วถึงเพียงนี้

“ท่านหญิงหมิงซีกินข้าวแล้วหรือยัง?” ฮองเฮาถามเสียงเรียบ

“ยังเพคะ” ซูหลีตอบเสียงเบา “หมิงซียังไม่ได้นอน ครุ่นคิดถึงวาจาที่ฮองเฮาทรงกล่าวอย่างละเอียดแล้ว ก็รู้สึกสะท้อนใจอย่างยิ่ง ฉะนั้นเมื่อฟ้าสว่างจึงรีบมาเข้าเฝ้าฮองเฮาเพคะ”

ฮองเฮาก้มหน้าเสวยอาหารต่อ กลีบปากเผยรอยยิ้มบางๆ อย่างปิดไม่อยู่ สถานการณ์ตรงหน้านี้ ไม่ว่าผู้ใดล้วนคาดการณ์ได้ว่าวันนี้ตงฟางเจ๋อจะมีจุดจบเช่นไร ต่อหน้าความจริงอันโหดร้าย แม้แต่สตรีที่สูงส่งและเย่อหยิ่งเช่นซูหลี ก็ยังต้องรีบร้อนมาแสดงความจำนนต่อนางโดยไม่เลือกเวลาเช่นนี้! ยามนี้ นางอยากพาซูหลีไปยืนต่อหน้าตงฟางเจ๋อ แล้วตะโกนดังๆ บอกเรื่องนี้ให้เขารู้จนแทบทนไม่ไหว! ความรู้สึกนั้น จะต้องยอดเยี่ยมมากแน่ๆ!

เหอะ เขามั่นใจนักมิใช่หรือว่าจะควบคุมทุกอย่างได้? แต่ครั้นไตร่ตรองอีกที ฮองเฮาขมวดคิ้วแน่น สตรีนางนี้ฉลาดเกินไปแล้ว! หากมิใช่ว่าจั๋วเอ๋อร์หลงใหลได้ปลื้มในตัวนางขนาดนี้ ก็ไม่สมควรเก็บไว้! ภายหน้า คงต้องอบรมสั่งสอนให้ดีๆ เสียแล้ว

ฮองเฮายกมือเล็กน้อย เป็นเชิงบอกให้นางไปนั่งได้ ซูหลีนั่งเงียบๆ ตอบคำถามเท่าที่จำเป็นด้วยท่าทีนบนอบ ฮองเฮาเผยสีหน้าย่ามใจเป็นระยะ ไม่ปกปิดเอาไว้แม้แต่น้อย

ซูหลีลอบแสยะยิ้มเย็นชา กู้หยวนถง ยิ่งเจ้าได้ใจ ก็ยิ่งผ่อนคลายความระวัง ไม่นานขันทีผู้หนึ่งก็เข้ามาถ่ายทอดรับสั่งของฮ่องเต้ ให้ฮองเฮาไปเข้าเฝ้าที่ตำหนัก

ฮองเฮาชะงักไปเล็กน้อย พลันสังหรณ์ใจขึ้นมารางๆ นางอดหันไปมองซูหลีไม่ได้

ซูหลีรีบกล่าวขึ้น “ฝ่าบาทมีรับสั่งหาฮองเฮา เช่นนั้น…หมิงซีทูลลาเพคะ”

“ไม่ต้อง” ฮองเฮาหรี่ตาเล็กน้อย รีบลุกขึ้นยืน แล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้มเย็นชา “เจ้าตามข้าไป แล้วคอยดูให้ดี ว่าตงฟางเจ๋อจะพบกับจุดจบเช่นไร!”

ซูหลีหลุบตาต่ำ ราวกับไม่รู้สึกอะไร เพียงเดินตามหลังฮองเฮามุ่งหน้าไปยังตำหนักจินหลวนเงียบๆ

หลังจากถูกฮ่องเต้เรียกตัวกะทันหัน ไม่นานฮองเฮาก็สงบสติอารมณ์ได้ นางเชิดหน้าเล็กน้อย สีหน้าราบเรียบ ฝีเท้าสง่างามมั่นคง ภายใต้สายตาคมปลาบของฮ่องเต้ที่จ้องมองมา นางก้าวเท้าเข้าไปในตำหนักอย่างแช่มช้า มองไม่เห็นความแตกตื่นลนลานสักนิด

ซูหลียังไม่ทันก้าวเข้าไป ก็มองเห็นเงาร่างสูงใหญ่ของตงฟางเจ๋อ เขายืนอยู่กลางตำหนัก หนักแน่นดั่งขุนเขา ยังคงสวมอาภรณ์สีดำทั้งตัว ข้างกายเขามีชายสวมชุดนักโทษ เท้าถูกล่ามโซ่ผู้หนึ่งคุกเข่าอยู่ คงเป็นเถียนหย่ง

ชั่วขณะหนึ่ง นอกจากเสียงฝีเท้าบางเบา ในตำหนักใหญ่แห่งนี้กลับเงียบงันจนแทบไม่ได้ยินเสียงหายใจ

ใบหน้าฮ่องเต้ไร้อารมณ์ นัยน์ตาเย็นชาจ้องมองไปยังฮองเฮาที่เดินมาถึงหน้าพระที่นั่ง

ซูหลีหยุดยืน อดไม่ได้ที่จะหันไปมองตงฟางเจ๋อ สายตาของเขาหนักแน่นมั่นคง แฝงไว้ด้วยความมั่นใจที่ไม่มีวันเสื่อมคลาย ทั้งสองสบตากันอย่างเงียบงัน ตงฟางเจ๋อกระดกมุมปากเล็กน้อย นัยน์ตาที่เดิมคมปลาบไร้อารมณ์ของเขาปรากฏแววอบอุ่นรางๆ

หัวใจนางสั่นไหว พลันรู้สึกยินดีปรีดายิ่งนัก ระหว่างเขากับนาง มีหลายครั้งที่ไม่ต้องใช้วาจาสื่อสาร ขอเพียงสบตา ก็เข้าใจความคิดของอีกฝ่ายแล้ว

“ไม่ทราบว่าฝ่าบาทรับสั่งหาหม่อมฉัน มีเรื่องใดหรือเพคะ?” ฮองเฮากล่าวอย่างใจเย็น

ครั้นได้ยินเสียงของนาง เสียงโซ่ตรวนกระทบกันพลันดังขึ้น ซูหลีหันไปมอง ที่แท้ก็เป็นเถียนหย่ง ดวงตาของเขาแดงก่ำ แผ่รังสีอำมหิตจนน่ากลัว เขาจ้องฮองเฮาเขม็ง ราวกับจะจับนางฉีกร่างเป็นชิ้นๆ

ฮ่องเต้กล่าวเสียงเย็นชา “แม่ทัพจั้น”

แม่ทัพทหารม้าจั้นอู๋จี๋หนึ่งในสามผู้ร่วมพิจารณาคดีเดินออกจากแถว แล้วกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “ฮองเฮาพ่ะย่ะค่ะ เถียนหย่งซึ่งเป็นตัวการในคดีลอบปลงพระชนม์ จู่ๆ ก็กลับคำให้การเมื่อคืนที่ผ่านมา บอกว่าผู้อยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมดไม่ใช่เจิ้นหนิงอ๋อง แต่เป็นผู้อื่น”

“อ้อ? เป็นผู้อื่นเช่นนั้นหรือ? ผู้ใดใจกล้าเยี่ยงนี้ ถึงขั้นกล้าลอบสังหารข้า?” ฮองเฮาย้อนถามเสียงดังทันที

จั้นอู๋จี๋นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง “เถียนหย่งให้การว่า ผู้อยู่เบื้องหลังก็คือ…ตัวพระนางเองพ่ะย่ะค่ะ”

ฮองเฮาคล้ายอึ้งงันไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหลุดหัวเราะ “แม่ทัพจั้น ข้าไม่ได้ฟังผิดไปกระมัง? นี่หมายความว่า…ข้าจ้างวานนักฆ่ามาลอบสังหารตนเอง?”

“นี่เป็นคำสารภาพจากคนร้าย ตัวคนร้ายเถียนหย่งอยู่ในที่แห่งนี้ด้วย หากมีคำถาม ฮองเฮาทรงถามให้กระจ่างได้เลยพ่ะย่ะค่ะ” จั้นอู๋จี๋เอ่ยด้วยสีหน้าไม่แสดงอารมณ์

ฮองเฮาตวัดสายตาเย็นชาดุดันไปยังเถียนหย่ง พิจารณาเขาอย่างละเอียด “เจ้าก็คือเถียนหย่งหรือ ข้ากับเจ้าไร้ซึ่งความแค้นต่อกัน ไม่เคยพบหน้า เหตุใดจึงกล่าววาจาเช่นนั้นออกมา?”

ซูหลีเหลือบมอง ฮองเฮามีใบหน้าตกใจระคนสงสัย ราวกับไม่รู้เรื่องจริงๆ

เถียนหย่งตาแดงก่ำจนเหมือนจะมีเลือดไหลออกมา กัดฟันกล่าวว่า “ไร้ซึ่งความแค้นงั้นหรือ? หากไม่ใช่เจ้าคิดแผนชั่ว ใช้ชีวิตของเจวี้ยนเอ๋อร์กับลูกในท้องมาบีบบังคับข้า ข้าเถียนหย่งจะทรยศเจิ้นหนิงอ๋อง เลือกเดินเส้นทางอันตรายได้อย่างไร! ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นแผนการของเจ้า!”

ฮองเฮาจ้องหน้าเขาอย่างเย็นชาอยู่นาน จู่ๆ ก็พลันหัวเราะ แล้วกล่าวว่า “เช่นนั้นเจ้าลองว่ามา ข้าบงการเจ้าเช่นไรบ้าง?”

เถียนหย่งตั้งสติ หันไปเล่าเรื่องให้ฮ่องเต้ฟังด้วยเสียงโศกเศร้า “ฝ่าบาท ว่าที่ภรรยาของกระหม่อม นางชื่อเจวี้ยนเอ๋อร์ นางกับกระหม่อมเป็นสหายกันมาตั้งแต่เด็ก สายสัมพันธ์ลึกซึ้ง เดิมทีได้หมั้นหมายกันไว้แล้ว แต่ต่อมาเกิดเหตุไม่คาดคิด จึงขาดการติดต่อกันไป ประมาณครึ่งปีก่อน กระหม่อมบังเอิญพบนางอีกครั้ง หลังจากได้พูดคุยกัน จึงทราบว่านางเข้าวังไปเป็นนางกำนัล ทำงานอยู่ในตำหนักฉางชุน เพราะได้พบกันอีกครั้งหลังจากพลัดพรากมานาน พวกกระหม่อมจึงดีใจยิ่งนัก ปรึกษากันว่าเมื่อนางมีอายุครบและออกจากวัง พวกเราก็จะแต่งงานกัน”

…………………………………………………..

[1] ฝู (福) แปลว่า มงคล ความสุข

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด