กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ 418 พระราชวังเปี้ยนพลิกผัน ผู้ใดเป็นเจ้าแผ่นดิน? (9)

Now you are reading กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ Chapter 418 พระราชวังเปี้ยนพลิกผัน ผู้ใดเป็นเจ้าแผ่นดิน? (9) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เขากล่าวพลางงัดปากหรูอวิ๋นให้เปิดออก ทุกคนสูดหายใจด้วยความตกตะลึง ในช่องปากของหรูอวิ๋นเต็มไปด้วยเลือดเนื้อเหวอะหวะ

เหล่าขุนนางเสียวสันหลังวาบ เหงื่อเย็นไหลซึมไปทั่วกาย พยานถูกฆ่าปิดปากต่อหน้าธารกำนัล ไม่มีใครรู้ว่าอีกฝ่ายลงมือเมื่อใด

หลินเทียนเจิ้งพลิกศพหรูอวิ๋น ค้นพบเข็มเงินที่ถูกฝังอยู่บนต้นคอนางอย่างแม่นยำ ปลายเข็มดำเมี่ยม มีขนาดบางดั่งขนวัว

เข็มเล็กๆ ที่ดูเหมือนเข็มธรรมดาเล่มหนึ่ง กลับสามารถคร่าชีวิตคน โดยที่ไม่เปิดเผยตัวตนผู้ร้ายได้!

หัวใจของซูหลีเย็นเยียบดั่งน้ำแข็ง นางเงยหน้ามองไฉฟางองครักษ์ประจำกายของหยางเจิ้นที่แอบยืนอยู่ข้างหลังหรูอวิ๋นอย่างแนบเนียน จากนั้นก็หันไปมองหยางเจิ้น

สายตาของไฉฟางสั่นระริก ฝีเท้าแผ่วเบา ค่อยๆ ถอยหลังอย่างเงียบเชียบ พลันนั้น เขารู้สึกหนักอึ้งที่หัวไหล่ คนผู้หนึ่งวางมือบนไหล่เขา แล้วหัวเราะเสียงเบา “เจ้าจะไปไหนหรือ?”

เสียงนี้ฟังคุ้นหูยิ่งนัก เป็นเซิ่งฉินนั่นเอง หัวใจของซูหลีสั่นสะท้าน วันนี้ตงฟางเจ๋อเตรียมการมาอย่างดี! เขาทำเช่นนี้ เพียงเพื่อให้นางเลือกเท่านั้นจริงๆ หรือ? หรือว่ามีจุดประสงค์อื่น? จู่ๆ นางก็ไม่กล้าคิดต่อไปอีก

ไฉฟางพลันเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว พยายามฉวยโอกาสในการโจมตีก่อนโดยการสกัดจุดที่เอวเซิ่งฉิน

เซิ่งฉินรับมืออย่างรวดเร็ว พลิกฝ่ามือต้านรับการโจมตีของเขา ขณะเดียวกันก็ใช้มืออีกข้างคว้าไปที่ลำคอของเขา!

ใบหน้าของไฉฟางแปรเปลี่ยนเป็นตื่นตระหนกในที่สุด ยิ่งร้อนรนเขาก็ยิ่งแตกตื่น ถูกเซิ่งฉินกดร่างไว้กับพื้นในพริบตา! ใบหน้าหม่นหมองสิ้นหวัง แต่กลับกัดฟันแน่น แม้ตายก็ไม่ยอมเปิดปาก

เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย จ้าวหลู่ไม่กล้าสอบปากคำด้วยวิธีการทรมานอีก เขาตะโกนอย่างเจ็บใจ “เมื่อครู่มีเพียงเขาที่ยืนอยู่ข้างหลังหรูอวิ๋น ต้องเป็นฝีมือเขาแน่นอน!”

ฉีมู่เอ่อร์เอ่ยว่า “คนผู้นี้เป็นองครักษ์ประจำกายของเซียวอ๋อง เซียวอ๋องตรัสอะไรหน่อยดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”

ใบหน้าของหยางเจิ้นเรียบนิ่ง เขาเอ่ยเสียงเย็นชา “เรื่องนี้เกี่ยวอันใดกับข้า?”

ฉีมู่เอ่อร์กล่าว “ในเมื่อไม่เกี่ยวกับท่านอ๋อง เช่นนั้นเหตุใดองครักษ์ประจำกายของพระองค์จึงต้องฆ่าคนปิดปากด้วยเล่าพ่ะย่ะค่ะ?”

หยางเจิ้นแค่นหัวเราะเย็นชา “น่าขัน ในตำหนักมีคนตั้งมากมาย ท่านอัครเสนาบดีฉีมั่นใจได้อย่างไรว่าใครเป็นคนลงมือ? ไม่มีหลักฐานแน่ชัด ผู้ใดกล้าป้ายสีข้า อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจเล่า!” ครั้นเอ่ยถึงประโยคสุดท้าย น้ำเสียงของเขาแปรเปลี่ยนเป็นเย็นยะเยือก แฝงแววข่มขู่รางๆ!

ฉีมู่เอ่อร์ขมวดคิ้วแน่น ถึงกับพูดไม่ออกไปชั่วขณะ

ในยามนั้นเอง มีคนผู้หนึ่งเดินออกมาจากข้างหลังจางฝู่ เขาแฝงตัวอยู่ท่ามกลางฝูงชนมาโดยตลอด ก้มหน้าก้มตาไม่พูดสักคำ จึงไม่มีใครสังเกตเห็นเขา ยามนี้เขาค่อยๆ เงยหน้าขึ้น เผยให้เห็นดวงตาคมปลาบที่เต็มไปด้วยแววเคียดแค้น คนผู้นั้นกล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำ “ข้ายืนยันได้ ว่าทั้งหมดนี้เป็นฝีมือหยางเจิ้น”

ครั้นได้ยินเสียงนี้ ใบหน้าของหยางเจิ้นพลันเปลี่ยนสี เขาหันไปมองคนผู้นั้นทันที

ซูหลีเองก็อึ้งไปเช่นกัน คนผู้นี้กลับเป็นผู้อาวุโสเสวียนฟงที่หายตัวไปจากลัทธิธิดาเทพ! นางพลันนึกอะไรออก หันไปมองตงฟางเจ๋อทันที เขาเพียงแย้มยิ้มเล็กน้อยเพื่อยืนยันความคิดของนาง ที่แท้ก็เป็นเขาที่ช่วยเสวียนฟง! มิน่าเล่าตอนที่ออกจากแคว้นเปี้ยน หยางเซียวถึงได้ยอมปล่อยเขาไป และเขาก็ไม่กลัวการถูกเปิดเผยตัวตนในการมาเยือนแคว้นเปี้ยนอีกครั้ง ที่แท้ก็มีเบี้ยอยู่ในมือนี่เอง!

สายตาสับสนวุ่นวายพาดผ่านใบหน้านาง

“ซูซู อย่าได้คิดมากไปเลย”

เสียงทุ้มลึกของเขาดังขึ้นข้างหู ซูหลีสะดุ้งเล็กน้อย นางมัวแต่คิดใคร่ครวญเรื่องราวต่างๆ จนไม่ทันสังเกตว่าเขาเดินเข้ามาใกล้แล้ว มืออันอบอุ่นของเขากุมมือเรียวบางเอาไว้ นางได้ยินเขากล่าวด้วยเสียงอันแผ่วเบา “เจ้าได้เลือกไปแล้ว ต่อไปเพียงยืนดูเงียบๆ ก็พอ”

ซูหลีไม่พูดอะไร นางรู้ เรื่องบางเรื่องหากตัดสินใจเลือกไปแล้ว ก็ไม่มีโอกาสให้หันหลังกลับอีกต่อไป ความทะเยอทะยานของหยางเจิ้นไม่ใช่สิ่งที่นางสามารถควบคุมได้ ช้าเร็วอย่างไรนางก็ต้องเผชิญสถานการณ์เช่นนี้เข้าสักวัน เพียงแต่ จนถึงตอนนี้นางก็ยังคงประหลาดใจ และรู้สึกเหลือเชื่อ เขาซ่อนตัวตนอยู่ในต่างแคว้น กลับสามารถพลิกฝ่ามือควบคุมเมฆ หมุนฝ่ามือบังคับฝนได้อย่างง่ายดายเช่นนี้! ความคิดอันยากแท้หยั่งถึงของเขา ช่าง…น่ากลัวยิ่งนัก!

“เจ้าเป็นผู้ใด?” ฉีมู่เอ่อร์ถามด้วยความสงสัย

“ผู้อาวุโสเสวียนฟงแห่งลัทธิธิดาเทพ”

ฝูงชนแตกฮืออีกครั้ง ลัทธิธิดาเทพคือกองกำลังสังหารที่ลึกลับที่สุดในยุทธภพมิใช่หรือ? เหตุใดจึงมีความเกี่ยวข้องกับเซียวอ๋องได้เล่า?

“ผู้อาวุโสของลัทธิธิดาเทพกลับแฝงตัวเข้ามาในวังพร้อมกับทูตจากแคว้นเฉิง พวกเจ้าคิดจะรวมหัวกระทำสิ่งใดกันแน่?” หยางเจิ้นตั้งคำถามควบคุมสถานการณ์ก่อน สายตากลับจดจ้องบุรุษชุดดำที่ยืนอยู่ข้างกายซูหลีไม่ห่าง

เขาปรากฏกายพร้อมกับคณะทูตหลายครั้ง แต่กลับเปิดปากพูดน้อยครั้งมาก ทูตจางฝู่ผู้นั้นกระทำเรื่องใดมักสังเกตสีหน้าเขาก่อนเสมอ เขาต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่นอน!

เขาเป็นใครกันแน่? เหตุใดพระราชโองการจึงไปอยู่ในมือของทูต? แล้วเขายังมอบพระราชโองการให้ซูหลีเปล่าๆ อีก? พวกเขาสองคนเหมือนรู้จักกันมานาน และมีสายสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดาต่อกัน

ตงฟางเจ๋อเอ่ยปากด้วยน้ำเสียงไม่ยี่หระ “เขามิใช่คนที่เซียวอ๋องต้องการตัวหรอกหรือ? วันนั้นบนโขดหินเชียนเตี๋ย ท่านอ๋องฆ่าคนปิดปากไม่สำเร็จ วันนี้พวกข้าพาเขามา ก็ย่อมต้องเป็นเพราะต้องการเปิดโอกาสให้ท่านอ๋องอีกครั้ง”

“เป็นเจ้างั้นหรือ?!” หยางเจิ้นตกตะลึง ตะโกนด้วยความประหลาดใจ “เจ้าไม่ใช่คนของลัทธิธิดาเทพหรือ? เหตุใดจึงร่วมมือกับทูตจากแคว้นเฉิง?”

ตงฟางเจ๋อกล่าว “ท่านอ๋องเข้าใจผิดแล้ว ข้ามิใช่คนของลัทธิธิดาเทพ ที่ปลอมตัวเป็นเสวียนฟง ก็เพียงเพื่อต้องการช่วยท่านธิดาเทพพิสูจน์ว่าท่านใช่คนร้ายที่ลอบวางยาพิษสังหารองค์ชายสี่หรือไม่เท่านั้น”

“อะไรนะ? เซียวอ๋องลอบวางยาพิษสังหารองค์ชายสี่?” เสียงวิพากษ์วิจารณ์ของเหล่าขุนนางเดือดพล่านอีกครั้ง

“แท้จริงแล้วลัทธิธิดาเทพไม่ใช่กองกำลังลับในยุทธภพ แต่เป็นกองกำลังที่รับคำสั่งจากฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนโดยตรง” เสวียนฟงล้วงป้ายทองคำแผ่นหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ ด้านบนมีลวดลายอันประณีตและสลับซับซ้อนอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของลัทธิธิดาเทพสลักอยู่ “นี่เป็นป้ายพระราชทานจากฝ่าบาท ผู้ที่มีป้ายนี้ในครอบครอง หากมีเรื่องสำคัญใด สามารถเข้าเฝ้าฝ่าบาทได้ทุกเมื่อ”

เหล่าขุนนางยังตั้งสติไม่ได้ ไม่มีใครคาดคิดว่าลัทธิธิดาเทพอันมีชื่อเสียงโด่งดังในยุทธภพ กลับทำงานรับใช้ฝ่าบาท!

“ธิดาเทพคนใหม่ของเราเพิ่งขึ้นสืบทอดตำแหน่งได้ไม่นาน องค์ชายสี่ได้รับพระบัญชาให้ช่วยเหลือธิดาเทพ หยางเจิ้นรู้เรื่องนี้ จึงสั่งให้ข้าลอบวางยาพิษสังหารองค์ชายสี่ แล้วป้ายความผิดให้ผู้อาวุโสเสวียนจิ้ง และยังสั่งให้ข้าส่งข่าวกลับเข้ามาในวังอย่างลับๆ หวังให้การตายขององค์ชายสี่กระตุ้นให้อาการประชวรของฝ่าบาทกำเริบ! หลังจากนั้น สายลับของเขาที่อยู่ในวังก็จะสามารถมองหาโอกาสลงมือลอบปลงพระชนม์ฝ่าบาทได้ เมื่อเป็นเช่นนั้น เขาก็จะสามารถขึ้นครองบัลลังก์ได้!”

“มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ?!” เหล่าขุนนางตื่นตะลึงกันถ้วนหน้า

ฉีมู่เอ่อร์เองก็คล้ายประหลาดใจมากเช่นกัน เขาอดกล่าวไม่ได้ “ในเมื่อเจ้ามีป้ายเข้าเฝ้าฝ่าบาท เหตุใดจึงต้องฟังคำสั่งของเซียวอ๋อง?”

เสวียนฟงถอนหายใจแรงๆ แล้วกล่าวด้วยความเคียดแค้น “เขาใช้ชีวิตลูกชายมาข่มขู่ข้า ข้าจะไม่ฟังคำสั่งเขาได้เช่นไร? โชคดีที่ท่านธิดาเทพรู้เรื่องนี้ จึงใช้แผนการหนามยอกเอาหนามบ่ง จึงสามารถปกป้ององค์ชายสี่ไว้ได้! หลังแผนชั่วล้มเหลว ข้าถูกขังในห้องลับ หยางเจิ้นส่งคนมาฆ่าข้า ยามนั้นมีคุณชายหลายท่านมาช่วยไว้ เสวียนฟงจึงรอดชีวิตมาได้เช่นนี้!”

ฉีมู่เอ่อร์ถาม “ธิดาเทพคือผู้ใด?”

เสวียนฟงหันมามองซูหลี เหล่าขุนนางพลันตระหนักได้ในทันที มิน่าเล่าสตรีนางนี้จึงสามารถเข้าออกวังได้อย่างอิสระ ทั้งที่ไม่มีตำแหน่งหรือยศใดๆ ในวังเลย ที่แท้นางก็คือธิดาเทพคนใหม่ของลัทธิธิดาเทพนั่นเอง!

“เหลวไหลทั้งเพ! วาจาเพ้อฝันเช่นนี้ พวกท่านกลับเชื่อว่าเป็นเรื่องจริงงั้นหรือ!” หยางเจิ้นหัวเราะเยือกเย็น ย่างกรายไปหาเสวียนฟง ขณะเดียวกันก็ควงพู่หยกสีขาวชิ้นหนึ่งในมือ

ซูหลีเห็นอักษร ‘กัง’ บนพู่หยกอย่างชัดเจน เหมือนพู่หยกที่อวี๋เชียนจีถือไว้ในมือขณะสอบปากคำเสวียนฟงในตำหนักธิดาเทพไม่มีผิด!

…………………………

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ 418 พระราชวังเปี้ยนพลิกผัน ผู้ใดเป็นเจ้าแผ่นดิน? (9)

Now you are reading กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ Chapter 418 พระราชวังเปี้ยนพลิกผัน ผู้ใดเป็นเจ้าแผ่นดิน? (9) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เขากล่าวพลางงัดปากหรูอวิ๋นให้เปิดออก ทุกคนสูดหายใจด้วยความตกตะลึง ในช่องปากของหรูอวิ๋นเต็มไปด้วยเลือดเนื้อเหวอะหวะ

เหล่าขุนนางเสียวสันหลังวาบ เหงื่อเย็นไหลซึมไปทั่วกาย พยานถูกฆ่าปิดปากต่อหน้าธารกำนัล ไม่มีใครรู้ว่าอีกฝ่ายลงมือเมื่อใด

หลินเทียนเจิ้งพลิกศพหรูอวิ๋น ค้นพบเข็มเงินที่ถูกฝังอยู่บนต้นคอนางอย่างแม่นยำ ปลายเข็มดำเมี่ยม มีขนาดบางดั่งขนวัว

เข็มเล็กๆ ที่ดูเหมือนเข็มธรรมดาเล่มหนึ่ง กลับสามารถคร่าชีวิตคน โดยที่ไม่เปิดเผยตัวตนผู้ร้ายได้!

หัวใจของซูหลีเย็นเยียบดั่งน้ำแข็ง นางเงยหน้ามองไฉฟางองครักษ์ประจำกายของหยางเจิ้นที่แอบยืนอยู่ข้างหลังหรูอวิ๋นอย่างแนบเนียน จากนั้นก็หันไปมองหยางเจิ้น

สายตาของไฉฟางสั่นระริก ฝีเท้าแผ่วเบา ค่อยๆ ถอยหลังอย่างเงียบเชียบ พลันนั้น เขารู้สึกหนักอึ้งที่หัวไหล่ คนผู้หนึ่งวางมือบนไหล่เขา แล้วหัวเราะเสียงเบา “เจ้าจะไปไหนหรือ?”

เสียงนี้ฟังคุ้นหูยิ่งนัก เป็นเซิ่งฉินนั่นเอง หัวใจของซูหลีสั่นสะท้าน วันนี้ตงฟางเจ๋อเตรียมการมาอย่างดี! เขาทำเช่นนี้ เพียงเพื่อให้นางเลือกเท่านั้นจริงๆ หรือ? หรือว่ามีจุดประสงค์อื่น? จู่ๆ นางก็ไม่กล้าคิดต่อไปอีก

ไฉฟางพลันเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว พยายามฉวยโอกาสในการโจมตีก่อนโดยการสกัดจุดที่เอวเซิ่งฉิน

เซิ่งฉินรับมืออย่างรวดเร็ว พลิกฝ่ามือต้านรับการโจมตีของเขา ขณะเดียวกันก็ใช้มืออีกข้างคว้าไปที่ลำคอของเขา!

ใบหน้าของไฉฟางแปรเปลี่ยนเป็นตื่นตระหนกในที่สุด ยิ่งร้อนรนเขาก็ยิ่งแตกตื่น ถูกเซิ่งฉินกดร่างไว้กับพื้นในพริบตา! ใบหน้าหม่นหมองสิ้นหวัง แต่กลับกัดฟันแน่น แม้ตายก็ไม่ยอมเปิดปาก

เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย จ้าวหลู่ไม่กล้าสอบปากคำด้วยวิธีการทรมานอีก เขาตะโกนอย่างเจ็บใจ “เมื่อครู่มีเพียงเขาที่ยืนอยู่ข้างหลังหรูอวิ๋น ต้องเป็นฝีมือเขาแน่นอน!”

ฉีมู่เอ่อร์เอ่ยว่า “คนผู้นี้เป็นองครักษ์ประจำกายของเซียวอ๋อง เซียวอ๋องตรัสอะไรหน่อยดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”

ใบหน้าของหยางเจิ้นเรียบนิ่ง เขาเอ่ยเสียงเย็นชา “เรื่องนี้เกี่ยวอันใดกับข้า?”

ฉีมู่เอ่อร์กล่าว “ในเมื่อไม่เกี่ยวกับท่านอ๋อง เช่นนั้นเหตุใดองครักษ์ประจำกายของพระองค์จึงต้องฆ่าคนปิดปากด้วยเล่าพ่ะย่ะค่ะ?”

หยางเจิ้นแค่นหัวเราะเย็นชา “น่าขัน ในตำหนักมีคนตั้งมากมาย ท่านอัครเสนาบดีฉีมั่นใจได้อย่างไรว่าใครเป็นคนลงมือ? ไม่มีหลักฐานแน่ชัด ผู้ใดกล้าป้ายสีข้า อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจเล่า!” ครั้นเอ่ยถึงประโยคสุดท้าย น้ำเสียงของเขาแปรเปลี่ยนเป็นเย็นยะเยือก แฝงแววข่มขู่รางๆ!

ฉีมู่เอ่อร์ขมวดคิ้วแน่น ถึงกับพูดไม่ออกไปชั่วขณะ

ในยามนั้นเอง มีคนผู้หนึ่งเดินออกมาจากข้างหลังจางฝู่ เขาแฝงตัวอยู่ท่ามกลางฝูงชนมาโดยตลอด ก้มหน้าก้มตาไม่พูดสักคำ จึงไม่มีใครสังเกตเห็นเขา ยามนี้เขาค่อยๆ เงยหน้าขึ้น เผยให้เห็นดวงตาคมปลาบที่เต็มไปด้วยแววเคียดแค้น คนผู้นั้นกล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำ “ข้ายืนยันได้ ว่าทั้งหมดนี้เป็นฝีมือหยางเจิ้น”

ครั้นได้ยินเสียงนี้ ใบหน้าของหยางเจิ้นพลันเปลี่ยนสี เขาหันไปมองคนผู้นั้นทันที

ซูหลีเองก็อึ้งไปเช่นกัน คนผู้นี้กลับเป็นผู้อาวุโสเสวียนฟงที่หายตัวไปจากลัทธิธิดาเทพ! นางพลันนึกอะไรออก หันไปมองตงฟางเจ๋อทันที เขาเพียงแย้มยิ้มเล็กน้อยเพื่อยืนยันความคิดของนาง ที่แท้ก็เป็นเขาที่ช่วยเสวียนฟง! มิน่าเล่าตอนที่ออกจากแคว้นเปี้ยน หยางเซียวถึงได้ยอมปล่อยเขาไป และเขาก็ไม่กลัวการถูกเปิดเผยตัวตนในการมาเยือนแคว้นเปี้ยนอีกครั้ง ที่แท้ก็มีเบี้ยอยู่ในมือนี่เอง!

สายตาสับสนวุ่นวายพาดผ่านใบหน้านาง

“ซูซู อย่าได้คิดมากไปเลย”

เสียงทุ้มลึกของเขาดังขึ้นข้างหู ซูหลีสะดุ้งเล็กน้อย นางมัวแต่คิดใคร่ครวญเรื่องราวต่างๆ จนไม่ทันสังเกตว่าเขาเดินเข้ามาใกล้แล้ว มืออันอบอุ่นของเขากุมมือเรียวบางเอาไว้ นางได้ยินเขากล่าวด้วยเสียงอันแผ่วเบา “เจ้าได้เลือกไปแล้ว ต่อไปเพียงยืนดูเงียบๆ ก็พอ”

ซูหลีไม่พูดอะไร นางรู้ เรื่องบางเรื่องหากตัดสินใจเลือกไปแล้ว ก็ไม่มีโอกาสให้หันหลังกลับอีกต่อไป ความทะเยอทะยานของหยางเจิ้นไม่ใช่สิ่งที่นางสามารถควบคุมได้ ช้าเร็วอย่างไรนางก็ต้องเผชิญสถานการณ์เช่นนี้เข้าสักวัน เพียงแต่ จนถึงตอนนี้นางก็ยังคงประหลาดใจ และรู้สึกเหลือเชื่อ เขาซ่อนตัวตนอยู่ในต่างแคว้น กลับสามารถพลิกฝ่ามือควบคุมเมฆ หมุนฝ่ามือบังคับฝนได้อย่างง่ายดายเช่นนี้! ความคิดอันยากแท้หยั่งถึงของเขา ช่าง…น่ากลัวยิ่งนัก!

“เจ้าเป็นผู้ใด?” ฉีมู่เอ่อร์ถามด้วยความสงสัย

“ผู้อาวุโสเสวียนฟงแห่งลัทธิธิดาเทพ”

ฝูงชนแตกฮืออีกครั้ง ลัทธิธิดาเทพคือกองกำลังสังหารที่ลึกลับที่สุดในยุทธภพมิใช่หรือ? เหตุใดจึงมีความเกี่ยวข้องกับเซียวอ๋องได้เล่า?

“ผู้อาวุโสของลัทธิธิดาเทพกลับแฝงตัวเข้ามาในวังพร้อมกับทูตจากแคว้นเฉิง พวกเจ้าคิดจะรวมหัวกระทำสิ่งใดกันแน่?” หยางเจิ้นตั้งคำถามควบคุมสถานการณ์ก่อน สายตากลับจดจ้องบุรุษชุดดำที่ยืนอยู่ข้างกายซูหลีไม่ห่าง

เขาปรากฏกายพร้อมกับคณะทูตหลายครั้ง แต่กลับเปิดปากพูดน้อยครั้งมาก ทูตจางฝู่ผู้นั้นกระทำเรื่องใดมักสังเกตสีหน้าเขาก่อนเสมอ เขาต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่นอน!

เขาเป็นใครกันแน่? เหตุใดพระราชโองการจึงไปอยู่ในมือของทูต? แล้วเขายังมอบพระราชโองการให้ซูหลีเปล่าๆ อีก? พวกเขาสองคนเหมือนรู้จักกันมานาน และมีสายสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดาต่อกัน

ตงฟางเจ๋อเอ่ยปากด้วยน้ำเสียงไม่ยี่หระ “เขามิใช่คนที่เซียวอ๋องต้องการตัวหรอกหรือ? วันนั้นบนโขดหินเชียนเตี๋ย ท่านอ๋องฆ่าคนปิดปากไม่สำเร็จ วันนี้พวกข้าพาเขามา ก็ย่อมต้องเป็นเพราะต้องการเปิดโอกาสให้ท่านอ๋องอีกครั้ง”

“เป็นเจ้างั้นหรือ?!” หยางเจิ้นตกตะลึง ตะโกนด้วยความประหลาดใจ “เจ้าไม่ใช่คนของลัทธิธิดาเทพหรือ? เหตุใดจึงร่วมมือกับทูตจากแคว้นเฉิง?”

ตงฟางเจ๋อกล่าว “ท่านอ๋องเข้าใจผิดแล้ว ข้ามิใช่คนของลัทธิธิดาเทพ ที่ปลอมตัวเป็นเสวียนฟง ก็เพียงเพื่อต้องการช่วยท่านธิดาเทพพิสูจน์ว่าท่านใช่คนร้ายที่ลอบวางยาพิษสังหารองค์ชายสี่หรือไม่เท่านั้น”

“อะไรนะ? เซียวอ๋องลอบวางยาพิษสังหารองค์ชายสี่?” เสียงวิพากษ์วิจารณ์ของเหล่าขุนนางเดือดพล่านอีกครั้ง

“แท้จริงแล้วลัทธิธิดาเทพไม่ใช่กองกำลังลับในยุทธภพ แต่เป็นกองกำลังที่รับคำสั่งจากฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนโดยตรง” เสวียนฟงล้วงป้ายทองคำแผ่นหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ ด้านบนมีลวดลายอันประณีตและสลับซับซ้อนอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของลัทธิธิดาเทพสลักอยู่ “นี่เป็นป้ายพระราชทานจากฝ่าบาท ผู้ที่มีป้ายนี้ในครอบครอง หากมีเรื่องสำคัญใด สามารถเข้าเฝ้าฝ่าบาทได้ทุกเมื่อ”

เหล่าขุนนางยังตั้งสติไม่ได้ ไม่มีใครคาดคิดว่าลัทธิธิดาเทพอันมีชื่อเสียงโด่งดังในยุทธภพ กลับทำงานรับใช้ฝ่าบาท!

“ธิดาเทพคนใหม่ของเราเพิ่งขึ้นสืบทอดตำแหน่งได้ไม่นาน องค์ชายสี่ได้รับพระบัญชาให้ช่วยเหลือธิดาเทพ หยางเจิ้นรู้เรื่องนี้ จึงสั่งให้ข้าลอบวางยาพิษสังหารองค์ชายสี่ แล้วป้ายความผิดให้ผู้อาวุโสเสวียนจิ้ง และยังสั่งให้ข้าส่งข่าวกลับเข้ามาในวังอย่างลับๆ หวังให้การตายขององค์ชายสี่กระตุ้นให้อาการประชวรของฝ่าบาทกำเริบ! หลังจากนั้น สายลับของเขาที่อยู่ในวังก็จะสามารถมองหาโอกาสลงมือลอบปลงพระชนม์ฝ่าบาทได้ เมื่อเป็นเช่นนั้น เขาก็จะสามารถขึ้นครองบัลลังก์ได้!”

“มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ?!” เหล่าขุนนางตื่นตะลึงกันถ้วนหน้า

ฉีมู่เอ่อร์เองก็คล้ายประหลาดใจมากเช่นกัน เขาอดกล่าวไม่ได้ “ในเมื่อเจ้ามีป้ายเข้าเฝ้าฝ่าบาท เหตุใดจึงต้องฟังคำสั่งของเซียวอ๋อง?”

เสวียนฟงถอนหายใจแรงๆ แล้วกล่าวด้วยความเคียดแค้น “เขาใช้ชีวิตลูกชายมาข่มขู่ข้า ข้าจะไม่ฟังคำสั่งเขาได้เช่นไร? โชคดีที่ท่านธิดาเทพรู้เรื่องนี้ จึงใช้แผนการหนามยอกเอาหนามบ่ง จึงสามารถปกป้ององค์ชายสี่ไว้ได้! หลังแผนชั่วล้มเหลว ข้าถูกขังในห้องลับ หยางเจิ้นส่งคนมาฆ่าข้า ยามนั้นมีคุณชายหลายท่านมาช่วยไว้ เสวียนฟงจึงรอดชีวิตมาได้เช่นนี้!”

ฉีมู่เอ่อร์ถาม “ธิดาเทพคือผู้ใด?”

เสวียนฟงหันมามองซูหลี เหล่าขุนนางพลันตระหนักได้ในทันที มิน่าเล่าสตรีนางนี้จึงสามารถเข้าออกวังได้อย่างอิสระ ทั้งที่ไม่มีตำแหน่งหรือยศใดๆ ในวังเลย ที่แท้นางก็คือธิดาเทพคนใหม่ของลัทธิธิดาเทพนั่นเอง!

“เหลวไหลทั้งเพ! วาจาเพ้อฝันเช่นนี้ พวกท่านกลับเชื่อว่าเป็นเรื่องจริงงั้นหรือ!” หยางเจิ้นหัวเราะเยือกเย็น ย่างกรายไปหาเสวียนฟง ขณะเดียวกันก็ควงพู่หยกสีขาวชิ้นหนึ่งในมือ

ซูหลีเห็นอักษร ‘กัง’ บนพู่หยกอย่างชัดเจน เหมือนพู่หยกที่อวี๋เชียนจีถือไว้ในมือขณะสอบปากคำเสวียนฟงในตำหนักธิดาเทพไม่มีผิด!

…………………………

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+