กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ 439 เป็นฮองเฮาของข้าเถิด (5)

Now you are reading กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ Chapter 439 เป็นฮองเฮาของข้าเถิด (5) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ยามนี้ บนเส้นทางใกล้ยอดเขา เสียงกีบเท้าม้ากระทบพื้นพลันดังขึ้น ผ่านไปไม่นาน ก็ปรากฏเงายอดอาชาสี่ตัวกำลังวิ่งทะยานด้วยความเร็ว หนึ่งในนั้น สวมชุดผาวสีดำรัดเกล้าสีทอง และเสื้อคลุมขนเตียวสีดำ เครื่องหน้าทั้งห้าหล่อเหลางดงาม นัยน์ตาดั่งดวงดารา เขาคือตงฟางเจ๋อนั่นเอง สามคนที่ตามหลังมาติดๆ ก็คือหลินเทียนเจิ้ง อวี๋เชียนจี และเซิ่งฉินองครักษ์ประจำกายของเขา

พวกเขาห้อตะบึงมุ่งหน้าขึ้นสู่ยอดเขาเสวี่ยหลงมาตลอดเส้นทาง จนมาถึงจุดที่มีหิมะหนาแน่น มิอาจขี่ม้าข้ามไปได้ ทั้งสี่คนจึงลงจากม้า เดินย่ำชั้นหิมะที่ลึกถึงน่องไปข้างหน้า เดินไปได้ประมาณครึ่งชั่วยาม ก็เห็นปากทางเข้าหุบเขาแคบๆ แห่งหนึ่งอยู่ด้านหน้า ตงฟางเจ๋อเร่งฝีเท้าทันที ครั้นเดินเข้าไปในหุบเขา พวกเขาทั้งสี่คนก็ตะลึงงัน ด้านหน้ามีสระน้ำแข็งอยู่หนึ่งสระ น้ำสีครามในสระลึกมาก ผิวน้ำเรียบดั่งกระจกแก้ว ขับเน้นให้ยอดเขาหิมะรอบด้าน ยิ่งงดงามจนเกินคำบรรยาย

อวี๋เชียนจีมองดูภาพทิวทัศน์งดงามเบื้องหน้า พลางพึมพำว่า “หากมิใช่เห็นกับตา ข้าคงไม่อยากเชื่อว่า แคว้นเปี้ยนยังมีสถานที่ที่งดงามกว่าแท่นบูชาหลักของลัทธิธิดาเทพอยู่อีก!”

“ทิวทัศน์งดงามไม่ธรรมดาจริงๆ แต่นอกจากจากชื่นชม ก็ใช้ประโยชน์อย่างอื่นไม่ได้” ตงฟาเจ๋อกวาดมองรอบด้านอย่างละเอียด

หลินเทียนเจิ้งถอนหายใจ แล้วเอ่ยว่า “ภายในที่ดินพระราชทานของหยางเจิ้น แปดในสิบส่วนล้วนเป็นภูเขาที่ปลูกพืชผักไม่ขึ้น ที่เหลืออีกสองส่วนก็มีเพียงส่วนเดียวเท่านั้นที่สามารถทำไร่นาได้ หยางเฉียนมอบที่ดินผืนนี้ให้หยางเจิ้น ถือเป็นการคิดการณ์ไกล”

ตงฟางเจ๋อแค่นหัวเราะเย็นชา กล่าวว่า “ตอนนั้นเขาอาจใช้วิธีสกปรกบางอย่างจริงๆ จึงจำต้องคิดการณ์ไกลเผื่อเอาไว้ด้วยความระแวง”

สายลมบนภูเขาพัดผ่าน เกล็ดน้ำแข็งแวววาวระยิบระยับมากมายถูกพัดโปรยปรายลงมาจากยอดเขา กระทบใส่ใบหน้า ไอเย็นแผ่ลามถึงหัวใจ อวี๋เชียนจีอดตัวสั่นไม่ได้ นางดึงแขนหลินเทียนเจิ้งมากอดไว้ “หนาวจัง พวกเรารีบตามหาหญ้าหานซินเร็วเข้าเถิด หากใช้เวลานาน เกรงว่าจะไม่เป็นผลดีต่อพระวรกายของฝ่าบาท”

ตอนแรกที่นางตามหลินเทียนเจิ้งไปพบตงฟางเจ๋อ นางตกตะลึงมาก นึกไม่ถึงว่านายของหลินเทียนเจิ้งกลับเป็นฮ่องเต้พระองค์ใหม่ของแคว้นเฉิง! ครั้นนึกถึงตอนที่ตนเองใช้เสน่หาล่อลวงเขาที่ปลอมเป็นเซี่ยฝูอันอยู่ในลัทธิธิดาเทพ ก็อดรู้สึกกระอักกระอ่วนไม่ได้ โชคดีที่ตงฟางเจ๋อรู้วิธีใช้ประโยชน์จากคน เขาไม่ได้ถือสาหาความ นางจึงวางใจในที่สุด หลังจากพบกันหลายครั้ง นางก็เริ่มรู้จักนิสัยใจคอของตงฟางเจ๋อมากขึ้น ลึกๆ ในใจอดเลื่อมใสไม่ได้ ต่อมาจึงภักดีต่อเขาโดยไม่คิดมีใจเป็นอื่นอีก

หลินเทียนเจิ้งกล่าวด้วยสีหน้าครุ่นคิด “ตามที่บันทึกไว้ในตำรา หญ้าหานซินน่าจะขึ้นตามผนังน้ำแข็ง พันปีจะขึ้นครั้งหนึ่ง ถึงแม้หุบเขาแห่งนี้จะมีหิมะปกคลุมหนาแน่น แต่กลับไม่มีชั้นน้ำแข็ง”

“หรือตำราบันทึกไว้ผิด?” อวี๋เชียนจีกล่าว

ความหวังที่อยู่ใกล้แค่เอื้อม พลันหายลับไปกับตา ทุกคนเงียบงัน หากตำราบันทึกผิดจริงๆ แล้วพวกเขาควรเริ่มตามหาหญ้าหานซินจากที่ใดกันเล่า?

ตงฟางเจ๋อค่อยๆ เยื้องย่างไปข้างสระน้ำแข็ง แล้วเพ่งมองอย่างละเอียด ราวกับถูกเงาผิวน้ำที่ประเดี๋ยวลึกประเดี๋ยวตื้นดึงดูดสายตา ปลาตัวหนึ่งว่ายผ่านไปอย่างรวดเร็ว เกิดเป็นเงาพาดผ่าน เขาพลันสะดุดใจ ซัดฝ่ามือออกไปทันที! หยาดน้ำสาดกระเซ็นสูงกว่าหนึ่งจั้ง เสี้ยววินาทีที่น้ำในสระแหวกเปิด เขามองเห็นผืนดินที่อยู่ใต้สระอย่างชัดเจน!

“ทางเข้าอยู่ใต้สระ!”

หลินเทียนเจิ้งนั่งลงแล้วใช้มือลองแตะน้ำในสระ ไอเย็นที่เสียดแทงไปถึงกระดูกทำให้เขาตัวสั่นทันที เขาขมวดคิ้วเอ่ยว่า “น้ำในสระนี้สมคำร่ำลือจริงๆ หนาวเย็นยิ่งกว่าหิมะในเดือนสิบสองเสียอีก”

ตงฟางเจ๋อกล่าว “หนาวก็ถูกแล้ว มีความเป็นไปได้ถึงแปดเก้าส่วนที่หญ้าหานซินจะอยู่ในถ้ำด้านล่างนี้!”

น้ำเสียงของเขากระตือรือร้นอย่างปิดไม่มิด ลืมไปจนสิ้นว่าตนเองมีพิษเย็นอยู่ในร่างกาย หลินเทียนเจิ้งมองเขาอย่างเหนื่อยหน่ายใจ “สถานการณ์ใต้น้ำเป็นเช่นไรยังไม่แน่ชัด ฝ่าบาทอย่าเพิ่งเสด็จลงน้ำส่งเดชจะดีกว่านะพ่ะย่ะค่ะ”

เซิ่งฉินกล่าวเสริมทันที “กระหม่อมจะลงไปสำรวจสถานการณ์เองพ่ะย่ะค่ะ” เอ่ยจบ ก็ถอดเสื้อตัวนอกออก แล้วกระโดดลงไปในสระน้ำทันที

เหนือผิวน้ำสีฟ้าคราม มองเห็นเงาร่างของเซิ่งฉินค่อยๆ จมลงไปใต้น้ำอย่างเลือนราง เขาเข้าใกล้ปากถ้ำที่อยู่ใต้สระหลายต่อหลายครั้งแต่ก็ทำไม่สำเร็จเสียที เวลาประมาณหนึ่งเค่อผ่านไป เขาก็ว่ายขึ้นมาเหนือผิวน้ำ ทั้งสามตกตะลึง เห็นเพียงกลีบปากของเขาซีดเซียว เส้นผมกลับมีน้ำแข็งจับตัวกันเป็นชั้นบางๆ!

หลินเทียนเจิ้งเห็นเช่นนั้นก็รีบเข้าไปดึงเขาออกจากสระน้ำ เซิ่งฉินหุ้มเสื้อคลุมอย่างแน่นหนา ร่างกายยังคงหนาวสั่น เขารายงานเสียงสั่นๆ ว่า “ใต้น้ำไม่มีอะไรผิดปกติ เพียงแต่ถ้ำแห่งนั้น ตรงปากถ้ำมีพลังต้านทานอยู่ขุมหนึ่ง ทำให้ยากจะเข้าใกล้พ่ะย่ะค่ะ””

ตงฟางเจ๋อตัดสินใจถอดเสื้อคลุมออก เผยให้เห็นชุดดำน้ำหนังปลาฉลามสีดำด้านใน ที่ขับเน้นให้เงาร่างสูงใหญ่ดูสมบูรณ์แบบ เขายื่นมือไปทางหลินเทียนเจิ้ง “ยาอัคคีสีชาด”

หลินเทียนเจิ้นลังเลเล็กน้อย พยายามห้ามปรามเขา “ไอเย็นจากสระน้ำแห่งนี้ไม่ธรรมดา ฝ่าบาทจำต้องเสี่ยงอันตรายด้วยพระองค์เองจริงหรือพ่ะย่ะค่ะ?”

“ข้าตัดสินใจแล้ว ไม่จำเป็นต้องพูดมาก”

หลินเทียนเจิ้งทำได้เพียงถอนหายใจ แล้วล้วงยาอัคคีสีชาดที่ปรุงเตรียมไว้แล้วออกมา สีหน้าเขาหนักใจกว่าปกติ กล่าวกำชับอีกครั้งว่า “ยาอัคคีสีชาดแม้สามารถลดไอเย็นได้ แต่ก็มีผลข้างเคียงต่อร่างกายเช่นกัน ฝ่าบาททรงจำไว้ให้ดี หากรู้สึกว่าร่างกายมีอาการผิดปกติเมื่อใด ให้รีบกลับมาทันทีนะพ่ะย่ะค่ะ มิเช่นนั้นหากพิษเย็นในร่างกายส่งผลร้ายแรงกว่าเดิม เทียนเจิ้งคงจนปัญญาแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”

ความเป็นห่วงของเขาจริงใจถึงเพียงนี้ ตงฟางเจ๋อเองก็อดหวั่นไหวไม่ได้ เดิมเป็นเพียงการช่วยเหลือโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่กลับได้มาซึ่งการติดตามอย่างจงรักภักดีของเขา หลายปีมานี้ หลินเทียนเจิ้งปิดบังตัวตน และลอบช่วยเหลือเขาอย่างลับๆ สายสัมพันธ์ของพวกเขามากกว่าคำว่านายบ่าว เรื่องเหล่านี้เขาล้วนจำขึ้นใจ

มิใช่ว่าเขาไม่รักตัวกลัวตาย เพียงแต่เรื่องบางเรื่อง เขาจำเป็นต้องทำ! เม็ดยาสีแดงสมชื่อถูกกลืนลงท้อง คลื่นความร้อนพลันพลุ่งพล่านไปทั่วทั้งร่างกาย อวัยวะภายในร้อนรุ่มเหมือนถูกไฟเผาก็ไม่ปาน! เขาไม่รอช้า รีบกระโดดลงสระน้ำแข็งพร้อมกับเซิ่งฉินและอวี๋เชียนจี มีเพียงหลินเทียนเจิ้งที่ว่ายน้ำไม่เก่งยืนรออยู่บนริมฝั่งคนเดียว

ไอเย็นที่เสียดแทงไปถึงกระดูกห้อมล้อมเข้ามา อุณหภูมิร้อนรุ่มในกายพลันถูกไอเย็นต้านทานทันที ตงฟางเจ๋อดำดิ่งลงไปข้างล่างอย่างรวดเร็ว พลังต้านทานตรงปากถ้ำดีดเขาออกมา เขารวบรวมพลังชี่ไว้ที่จุดตันเถียน[1] พยายามอยู่หลายครั้งจนในที่สุดก็ฝ่าพลังต้านทานเข้าไปข้างในได้สำเร็จเป็นคนแรก เซิ่งฉินกับอวี๋เชียนจีก็ใช้วิธีเดียวกัน ดำน้ำตามเข้าไปติดๆ

‘พรวด’ ทั้งสามลอยขึ้นเหนือผิวน้ำอีกครั้ง เบื้องหน้ากลับมืดมิดไปหมด

“ระวัง” เสียงทุ้มต่ำของบุรุษดังสะท้อนอยู่เหนือผิวน้ำเบาๆ เป็นเสียงของตงฟางเจ๋อนั่นเอง ทั้งสามไม่ได้เคลื่อนไหวทันที หลังจากเงี่ยหูฟังอย่างละเอียด ก็ไม่ได้ยินเสียงใดอีกเลย ตงฟางเจ๋อรวบรวมกำลังภายใน ตั้งสมาธิเพ่งมอง ท่ามกลางความมืดมิด เห็นเพียงประกายระยิบระยับของผิวน้ำที่กระเพื่อมไหวรางๆ ห่างออกไปไม่ไกลด้านหน้าคือพื้นดินของถ้ำแห่งนี้

ทั้งสามคนเคลื่อนตัวไปข้างหน้าอย่างระมัดระวัง รู้สึกได้ว่าผิวน้ำใต้ร่างลดต่ำลงเรื่อยๆ กระทั่งเท้าย่ำลงบนพื้นดินอันแข็งแกร่งมั่นคง เซิ่งฉินจึงหยิบตะบันไฟออกมาจุด แสงไฟอ่อนๆ ส่องให้เห็นภาพทิวทัศน์เบื้องหน้า พวกเขาต่างตะลึงงันไปทันที

อวี๋เชียนจีอุทานออกมาด้วยความตกตะลึง “นี่มัน งดงามเหลือเกิน!”

ท่ามกลางแสงไฟสลัวที่วูบไหวไปมา พวกเขาเห็นโลกแห่งผลึกน้ำแข็งอันขาวผุดผ่องไร้ตำหนิใบหนึ่ง ด้านหลังเป็นสระน้ำขนาดเล็กสระหนึ่ง ซึ่งสามารถทะลุผ่านไปยังสระน้ำแข็งนอกถ้ำได้ ผนังถ้ำทั้งสี่ด้านถูกปกคลุมด้วยชั้นน้ำแข็งอันหนาแน่น จนมิอาจแยกแยะสีเดิมของศิลาที่อยู่ใต้ชั้นน้ำแข็งได้แล้ว

บนเพดานถ้ำที่อยู่สูงขึ้นไปมีเสาน้ำแข็งปลายแหลมเหมือนกระบี่ห้อยย้อยลงมามากมาย บางจุดมีเสาน้ำแข็งหนาแน่นหรือเชื่อมต่อจนกลายเป็นแผ่นเดียวกัน มิอาจเดินผ่านไปได้ บางจุดก็กว้างขวางมีเสาน้ำแข็งบ้างประปราย พอให้คนเดินผ่านไปได้ เสมือนดงกระบี่ก็มิปาน บนผลึกน้ำแข็งใสบริสุทธิ์ แสงไฟสลัวสีเหลืองกระเพื่อมไหวไปมา เหมือนดั่งภาพฝันมายา ยิ่งทำให้ที่แห่งนี้ดูงดงามเหนือคำบรรยาย ไม่รู้ต้องใช้เวลานานเท่าใดกว่าจะก่อเกิดเป็นทิวทัศน์อันงดงามตระการตาเช่นนี้ได้

จู่ๆ เซิ่งฉินก็กล่าวขึ้นด้วยความตกใจ “ดูทางนั้น!” ตงฟางเจ๋อกับอวี๋เชียนจีหันมองตามไปทันที เห็นเพียงด้านล่างเสาน้ำแข็งขนาดใหญ่แท่งหนึ่ง มีโครงกระดูกถูกหุ้มด้วยผลึกน้ำแข็งอยู่หนึ่งร่าง ตรงบริเวณหน้าอกของโครงกระดูกโครงนั้น ถูกแท่งน้ำแข็งปลายแหลมๆ เจาะทะลุ จนกลายเป็นหนึ่งเดียวกันไปนานแล้ว!

……………………………………………

[1] จุดตันเถียน หมายถึง จุดเลือดลมที่อยู่ใต้สะดือประมาณสามนิ้ว

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ 439 เป็นฮองเฮาของข้าเถิด (5)

Now you are reading กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ Chapter 439 เป็นฮองเฮาของข้าเถิด (5) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ยามนี้ บนเส้นทางใกล้ยอดเขา เสียงกีบเท้าม้ากระทบพื้นพลันดังขึ้น ผ่านไปไม่นาน ก็ปรากฏเงายอดอาชาสี่ตัวกำลังวิ่งทะยานด้วยความเร็ว หนึ่งในนั้น สวมชุดผาวสีดำรัดเกล้าสีทอง และเสื้อคลุมขนเตียวสีดำ เครื่องหน้าทั้งห้าหล่อเหลางดงาม นัยน์ตาดั่งดวงดารา เขาคือตงฟางเจ๋อนั่นเอง สามคนที่ตามหลังมาติดๆ ก็คือหลินเทียนเจิ้ง อวี๋เชียนจี และเซิ่งฉินองครักษ์ประจำกายของเขา

พวกเขาห้อตะบึงมุ่งหน้าขึ้นสู่ยอดเขาเสวี่ยหลงมาตลอดเส้นทาง จนมาถึงจุดที่มีหิมะหนาแน่น มิอาจขี่ม้าข้ามไปได้ ทั้งสี่คนจึงลงจากม้า เดินย่ำชั้นหิมะที่ลึกถึงน่องไปข้างหน้า เดินไปได้ประมาณครึ่งชั่วยาม ก็เห็นปากทางเข้าหุบเขาแคบๆ แห่งหนึ่งอยู่ด้านหน้า ตงฟางเจ๋อเร่งฝีเท้าทันที ครั้นเดินเข้าไปในหุบเขา พวกเขาทั้งสี่คนก็ตะลึงงัน ด้านหน้ามีสระน้ำแข็งอยู่หนึ่งสระ น้ำสีครามในสระลึกมาก ผิวน้ำเรียบดั่งกระจกแก้ว ขับเน้นให้ยอดเขาหิมะรอบด้าน ยิ่งงดงามจนเกินคำบรรยาย

อวี๋เชียนจีมองดูภาพทิวทัศน์งดงามเบื้องหน้า พลางพึมพำว่า “หากมิใช่เห็นกับตา ข้าคงไม่อยากเชื่อว่า แคว้นเปี้ยนยังมีสถานที่ที่งดงามกว่าแท่นบูชาหลักของลัทธิธิดาเทพอยู่อีก!”

“ทิวทัศน์งดงามไม่ธรรมดาจริงๆ แต่นอกจากจากชื่นชม ก็ใช้ประโยชน์อย่างอื่นไม่ได้” ตงฟาเจ๋อกวาดมองรอบด้านอย่างละเอียด

หลินเทียนเจิ้งถอนหายใจ แล้วเอ่ยว่า “ภายในที่ดินพระราชทานของหยางเจิ้น แปดในสิบส่วนล้วนเป็นภูเขาที่ปลูกพืชผักไม่ขึ้น ที่เหลืออีกสองส่วนก็มีเพียงส่วนเดียวเท่านั้นที่สามารถทำไร่นาได้ หยางเฉียนมอบที่ดินผืนนี้ให้หยางเจิ้น ถือเป็นการคิดการณ์ไกล”

ตงฟางเจ๋อแค่นหัวเราะเย็นชา กล่าวว่า “ตอนนั้นเขาอาจใช้วิธีสกปรกบางอย่างจริงๆ จึงจำต้องคิดการณ์ไกลเผื่อเอาไว้ด้วยความระแวง”

สายลมบนภูเขาพัดผ่าน เกล็ดน้ำแข็งแวววาวระยิบระยับมากมายถูกพัดโปรยปรายลงมาจากยอดเขา กระทบใส่ใบหน้า ไอเย็นแผ่ลามถึงหัวใจ อวี๋เชียนจีอดตัวสั่นไม่ได้ นางดึงแขนหลินเทียนเจิ้งมากอดไว้ “หนาวจัง พวกเรารีบตามหาหญ้าหานซินเร็วเข้าเถิด หากใช้เวลานาน เกรงว่าจะไม่เป็นผลดีต่อพระวรกายของฝ่าบาท”

ตอนแรกที่นางตามหลินเทียนเจิ้งไปพบตงฟางเจ๋อ นางตกตะลึงมาก นึกไม่ถึงว่านายของหลินเทียนเจิ้งกลับเป็นฮ่องเต้พระองค์ใหม่ของแคว้นเฉิง! ครั้นนึกถึงตอนที่ตนเองใช้เสน่หาล่อลวงเขาที่ปลอมเป็นเซี่ยฝูอันอยู่ในลัทธิธิดาเทพ ก็อดรู้สึกกระอักกระอ่วนไม่ได้ โชคดีที่ตงฟางเจ๋อรู้วิธีใช้ประโยชน์จากคน เขาไม่ได้ถือสาหาความ นางจึงวางใจในที่สุด หลังจากพบกันหลายครั้ง นางก็เริ่มรู้จักนิสัยใจคอของตงฟางเจ๋อมากขึ้น ลึกๆ ในใจอดเลื่อมใสไม่ได้ ต่อมาจึงภักดีต่อเขาโดยไม่คิดมีใจเป็นอื่นอีก

หลินเทียนเจิ้งกล่าวด้วยสีหน้าครุ่นคิด “ตามที่บันทึกไว้ในตำรา หญ้าหานซินน่าจะขึ้นตามผนังน้ำแข็ง พันปีจะขึ้นครั้งหนึ่ง ถึงแม้หุบเขาแห่งนี้จะมีหิมะปกคลุมหนาแน่น แต่กลับไม่มีชั้นน้ำแข็ง”

“หรือตำราบันทึกไว้ผิด?” อวี๋เชียนจีกล่าว

ความหวังที่อยู่ใกล้แค่เอื้อม พลันหายลับไปกับตา ทุกคนเงียบงัน หากตำราบันทึกผิดจริงๆ แล้วพวกเขาควรเริ่มตามหาหญ้าหานซินจากที่ใดกันเล่า?

ตงฟางเจ๋อค่อยๆ เยื้องย่างไปข้างสระน้ำแข็ง แล้วเพ่งมองอย่างละเอียด ราวกับถูกเงาผิวน้ำที่ประเดี๋ยวลึกประเดี๋ยวตื้นดึงดูดสายตา ปลาตัวหนึ่งว่ายผ่านไปอย่างรวดเร็ว เกิดเป็นเงาพาดผ่าน เขาพลันสะดุดใจ ซัดฝ่ามือออกไปทันที! หยาดน้ำสาดกระเซ็นสูงกว่าหนึ่งจั้ง เสี้ยววินาทีที่น้ำในสระแหวกเปิด เขามองเห็นผืนดินที่อยู่ใต้สระอย่างชัดเจน!

“ทางเข้าอยู่ใต้สระ!”

หลินเทียนเจิ้งนั่งลงแล้วใช้มือลองแตะน้ำในสระ ไอเย็นที่เสียดแทงไปถึงกระดูกทำให้เขาตัวสั่นทันที เขาขมวดคิ้วเอ่ยว่า “น้ำในสระนี้สมคำร่ำลือจริงๆ หนาวเย็นยิ่งกว่าหิมะในเดือนสิบสองเสียอีก”

ตงฟางเจ๋อกล่าว “หนาวก็ถูกแล้ว มีความเป็นไปได้ถึงแปดเก้าส่วนที่หญ้าหานซินจะอยู่ในถ้ำด้านล่างนี้!”

น้ำเสียงของเขากระตือรือร้นอย่างปิดไม่มิด ลืมไปจนสิ้นว่าตนเองมีพิษเย็นอยู่ในร่างกาย หลินเทียนเจิ้งมองเขาอย่างเหนื่อยหน่ายใจ “สถานการณ์ใต้น้ำเป็นเช่นไรยังไม่แน่ชัด ฝ่าบาทอย่าเพิ่งเสด็จลงน้ำส่งเดชจะดีกว่านะพ่ะย่ะค่ะ”

เซิ่งฉินกล่าวเสริมทันที “กระหม่อมจะลงไปสำรวจสถานการณ์เองพ่ะย่ะค่ะ” เอ่ยจบ ก็ถอดเสื้อตัวนอกออก แล้วกระโดดลงไปในสระน้ำทันที

เหนือผิวน้ำสีฟ้าคราม มองเห็นเงาร่างของเซิ่งฉินค่อยๆ จมลงไปใต้น้ำอย่างเลือนราง เขาเข้าใกล้ปากถ้ำที่อยู่ใต้สระหลายต่อหลายครั้งแต่ก็ทำไม่สำเร็จเสียที เวลาประมาณหนึ่งเค่อผ่านไป เขาก็ว่ายขึ้นมาเหนือผิวน้ำ ทั้งสามตกตะลึง เห็นเพียงกลีบปากของเขาซีดเซียว เส้นผมกลับมีน้ำแข็งจับตัวกันเป็นชั้นบางๆ!

หลินเทียนเจิ้งเห็นเช่นนั้นก็รีบเข้าไปดึงเขาออกจากสระน้ำ เซิ่งฉินหุ้มเสื้อคลุมอย่างแน่นหนา ร่างกายยังคงหนาวสั่น เขารายงานเสียงสั่นๆ ว่า “ใต้น้ำไม่มีอะไรผิดปกติ เพียงแต่ถ้ำแห่งนั้น ตรงปากถ้ำมีพลังต้านทานอยู่ขุมหนึ่ง ทำให้ยากจะเข้าใกล้พ่ะย่ะค่ะ””

ตงฟางเจ๋อตัดสินใจถอดเสื้อคลุมออก เผยให้เห็นชุดดำน้ำหนังปลาฉลามสีดำด้านใน ที่ขับเน้นให้เงาร่างสูงใหญ่ดูสมบูรณ์แบบ เขายื่นมือไปทางหลินเทียนเจิ้ง “ยาอัคคีสีชาด”

หลินเทียนเจิ้นลังเลเล็กน้อย พยายามห้ามปรามเขา “ไอเย็นจากสระน้ำแห่งนี้ไม่ธรรมดา ฝ่าบาทจำต้องเสี่ยงอันตรายด้วยพระองค์เองจริงหรือพ่ะย่ะค่ะ?”

“ข้าตัดสินใจแล้ว ไม่จำเป็นต้องพูดมาก”

หลินเทียนเจิ้งทำได้เพียงถอนหายใจ แล้วล้วงยาอัคคีสีชาดที่ปรุงเตรียมไว้แล้วออกมา สีหน้าเขาหนักใจกว่าปกติ กล่าวกำชับอีกครั้งว่า “ยาอัคคีสีชาดแม้สามารถลดไอเย็นได้ แต่ก็มีผลข้างเคียงต่อร่างกายเช่นกัน ฝ่าบาททรงจำไว้ให้ดี หากรู้สึกว่าร่างกายมีอาการผิดปกติเมื่อใด ให้รีบกลับมาทันทีนะพ่ะย่ะค่ะ มิเช่นนั้นหากพิษเย็นในร่างกายส่งผลร้ายแรงกว่าเดิม เทียนเจิ้งคงจนปัญญาแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”

ความเป็นห่วงของเขาจริงใจถึงเพียงนี้ ตงฟางเจ๋อเองก็อดหวั่นไหวไม่ได้ เดิมเป็นเพียงการช่วยเหลือโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่กลับได้มาซึ่งการติดตามอย่างจงรักภักดีของเขา หลายปีมานี้ หลินเทียนเจิ้งปิดบังตัวตน และลอบช่วยเหลือเขาอย่างลับๆ สายสัมพันธ์ของพวกเขามากกว่าคำว่านายบ่าว เรื่องเหล่านี้เขาล้วนจำขึ้นใจ

มิใช่ว่าเขาไม่รักตัวกลัวตาย เพียงแต่เรื่องบางเรื่อง เขาจำเป็นต้องทำ! เม็ดยาสีแดงสมชื่อถูกกลืนลงท้อง คลื่นความร้อนพลันพลุ่งพล่านไปทั่วทั้งร่างกาย อวัยวะภายในร้อนรุ่มเหมือนถูกไฟเผาก็ไม่ปาน! เขาไม่รอช้า รีบกระโดดลงสระน้ำแข็งพร้อมกับเซิ่งฉินและอวี๋เชียนจี มีเพียงหลินเทียนเจิ้งที่ว่ายน้ำไม่เก่งยืนรออยู่บนริมฝั่งคนเดียว

ไอเย็นที่เสียดแทงไปถึงกระดูกห้อมล้อมเข้ามา อุณหภูมิร้อนรุ่มในกายพลันถูกไอเย็นต้านทานทันที ตงฟางเจ๋อดำดิ่งลงไปข้างล่างอย่างรวดเร็ว พลังต้านทานตรงปากถ้ำดีดเขาออกมา เขารวบรวมพลังชี่ไว้ที่จุดตันเถียน[1] พยายามอยู่หลายครั้งจนในที่สุดก็ฝ่าพลังต้านทานเข้าไปข้างในได้สำเร็จเป็นคนแรก เซิ่งฉินกับอวี๋เชียนจีก็ใช้วิธีเดียวกัน ดำน้ำตามเข้าไปติดๆ

‘พรวด’ ทั้งสามลอยขึ้นเหนือผิวน้ำอีกครั้ง เบื้องหน้ากลับมืดมิดไปหมด

“ระวัง” เสียงทุ้มต่ำของบุรุษดังสะท้อนอยู่เหนือผิวน้ำเบาๆ เป็นเสียงของตงฟางเจ๋อนั่นเอง ทั้งสามไม่ได้เคลื่อนไหวทันที หลังจากเงี่ยหูฟังอย่างละเอียด ก็ไม่ได้ยินเสียงใดอีกเลย ตงฟางเจ๋อรวบรวมกำลังภายใน ตั้งสมาธิเพ่งมอง ท่ามกลางความมืดมิด เห็นเพียงประกายระยิบระยับของผิวน้ำที่กระเพื่อมไหวรางๆ ห่างออกไปไม่ไกลด้านหน้าคือพื้นดินของถ้ำแห่งนี้

ทั้งสามคนเคลื่อนตัวไปข้างหน้าอย่างระมัดระวัง รู้สึกได้ว่าผิวน้ำใต้ร่างลดต่ำลงเรื่อยๆ กระทั่งเท้าย่ำลงบนพื้นดินอันแข็งแกร่งมั่นคง เซิ่งฉินจึงหยิบตะบันไฟออกมาจุด แสงไฟอ่อนๆ ส่องให้เห็นภาพทิวทัศน์เบื้องหน้า พวกเขาต่างตะลึงงันไปทันที

อวี๋เชียนจีอุทานออกมาด้วยความตกตะลึง “นี่มัน งดงามเหลือเกิน!”

ท่ามกลางแสงไฟสลัวที่วูบไหวไปมา พวกเขาเห็นโลกแห่งผลึกน้ำแข็งอันขาวผุดผ่องไร้ตำหนิใบหนึ่ง ด้านหลังเป็นสระน้ำขนาดเล็กสระหนึ่ง ซึ่งสามารถทะลุผ่านไปยังสระน้ำแข็งนอกถ้ำได้ ผนังถ้ำทั้งสี่ด้านถูกปกคลุมด้วยชั้นน้ำแข็งอันหนาแน่น จนมิอาจแยกแยะสีเดิมของศิลาที่อยู่ใต้ชั้นน้ำแข็งได้แล้ว

บนเพดานถ้ำที่อยู่สูงขึ้นไปมีเสาน้ำแข็งปลายแหลมเหมือนกระบี่ห้อยย้อยลงมามากมาย บางจุดมีเสาน้ำแข็งหนาแน่นหรือเชื่อมต่อจนกลายเป็นแผ่นเดียวกัน มิอาจเดินผ่านไปได้ บางจุดก็กว้างขวางมีเสาน้ำแข็งบ้างประปราย พอให้คนเดินผ่านไปได้ เสมือนดงกระบี่ก็มิปาน บนผลึกน้ำแข็งใสบริสุทธิ์ แสงไฟสลัวสีเหลืองกระเพื่อมไหวไปมา เหมือนดั่งภาพฝันมายา ยิ่งทำให้ที่แห่งนี้ดูงดงามเหนือคำบรรยาย ไม่รู้ต้องใช้เวลานานเท่าใดกว่าจะก่อเกิดเป็นทิวทัศน์อันงดงามตระการตาเช่นนี้ได้

จู่ๆ เซิ่งฉินก็กล่าวขึ้นด้วยความตกใจ “ดูทางนั้น!” ตงฟางเจ๋อกับอวี๋เชียนจีหันมองตามไปทันที เห็นเพียงด้านล่างเสาน้ำแข็งขนาดใหญ่แท่งหนึ่ง มีโครงกระดูกถูกหุ้มด้วยผลึกน้ำแข็งอยู่หนึ่งร่าง ตรงบริเวณหน้าอกของโครงกระดูกโครงนั้น ถูกแท่งน้ำแข็งปลายแหลมๆ เจาะทะลุ จนกลายเป็นหนึ่งเดียวกันไปนานแล้ว!

……………………………………………

[1] จุดตันเถียน หมายถึง จุดเลือดลมที่อยู่ใต้สะดือประมาณสามนิ้ว

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+