กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ 326 พบสหายเก่าในถิ่นศัตรู (4)

Now you are reading กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ Chapter 326 พบสหายเก่าในถิ่นศัตรู (4) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

สายตาของฮ่องเต้พลันแปรเปลี่ยนเป็นตึงเครียดในพริบตา เขาหันมาพยักหน้าให้ซูหลี

ไม่รู้เพราะเหตุใด ได้ยินหยางเซียวพูดเช่นนี้ หัวใจของนางกลับสั่นไหว ถึงขั้นรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาเล็กน้อยอย่างที่ไม่ควรจะเป็น นางบังคับตนเองให้เมินเฉยต่อความรู้สึกนั้น แหงนหน้าขึ้น ทอดมองออกไปนอกกำแพงพระราชวังอันสูงตระหง่านที่ถูกปกคลุมไปด้วยพยับเมฆครึ้ม

เพราะเวลากระชั้นชิด หยางเซียวจึงพาองครักษ์ประจำกายสือไคว่กับสือจิ้งไปเพียงสองคน มุ่งหน้าไปยังชายแดนพร้อมกับพวกซูหลี ม้าเร็วเดินทางเป็นเวลาครึ่งเดือน ในที่สุดก็มาถึงเขตชายแดนของแคว้นเปี้ยนอย่างราบรื่น

ในฐานะที่เป็นแนวป้องกันทางทหารอันสำคัญของแคว้นเปี้ยน แม้เขตแดนแห่งนี้จะรุ่งเรืองและคึกคัก ทว่ากลับมีกฎระเบียบการรักษาความปลอดภัยของบ้านเมืองอย่างเข้มงวด

ทหารรักษาประตูจำหยางเซียวได้ รีบค้อมกายทำความเคารพ “ถวายบังคมองค์ชายสี่พ่ะย่ะค่ะ!”

ยากนักที่จะได้เห็นหยางเซียวทำหน้าเคร่งขรึม เขาโบกมือแล้วถามว่า “เสด็จอาอยู่ที่ใด?”

“ทูลองค์ชาย ท่านอ๋องกำลังหารือกับแม่ทัพจ้งเว่ยที่กระโจมกลางพ่ะย่ะค่ะ”

“นำทางข้าไป”

“พ่ะย่ะค่ะ”

พวกเขาเดินมาถึงกระโจมกลาง ทหารสองนายที่ยืนเฝ้านอกกระโจมรีบเข้ามาขวางทาง “เซียวอ๋องมีรับสั่ง ระหว่างหารือห้ามผู้ใดเข้าไปรบกวนเด็ดขาด!”

หยางเซียวเงยหน้า “บังอาจ แม้แต่ข้าเจ้าก็ยังกล้าขวางทางหรือ? สือจิ้ง”

“พ่ะย่ะค่ะ!” องครักษ์คนหนึ่งที่อยู่ข้างหลังเขารับคำ แล้วโฉบร่างเข้ามายกดาบจ่อคอของคนผู้นั้นทันที หยางเซียวแค่นเสียง ก่อนจะพาพวกซูหลีเดินเชิดหน้าเข้าไปด้านใน

ใบหน้าของเหล่าขุนพลที่กำลังหารือกันอยู่ในกระโจมพลันเปลี่ยนสี ครั้นหันกลับมาเห็นเขา ก็อึ้งงันกันถ้วนหน้า ผู้ที่นั่งอยู่ในตำแหน่งสูงสุด สวมชุดเครื่องแบบนักรบ เมื่ออยู่ท่ามกลางวงล้อมของเหล่าขุนพลที่มีรูปร่างสูงใหญ่กำยำ ใบหน้าหยาบกร้าน ก็ยิ่งขับเน้นให้ใบหน้าเขาดูหล่อเหลาอ่อนโยน แต่รอบกายเขากลับมีกลิ่นอายแข็งกร้าวเยือกเย็น และมีราศีน่าเกรงขามของกษัตริย์แผ่ปกคลุมอยู่ ครั้นเห็นหยางเซียว ใบหน้าของเขาก็เย็นชาลงทันที เขาเหลือบมองคนแปลกหน้าห้าคนที่สวมหน้ากากประหลาดด้านหลังหยางเซียว

ซูหลีเงยหน้า ครั้นเห็นหน้าคนผู้นั้น หัวใจก็สั่นสะท้านเล็กน้อย คนผู้นี้น่าจะเป็นคนที่หยางเซียวเรียกว่าเสด็จอา และก็เป็นคนที่ทหารหน้ากระโจมเรียกว่าเซียวอ๋อง เขามีนามว่า ‘หยางเจิ้น’ เครื่องหน้าทั้งห้าของเขาคล้ายเสด็จแม่ของนางหลายส่วน! ซูหลีอดไม่ได้ที่จะชำเลืองมองเขาหลายครั้ง

“เสด็จอา แม่ทัพจ้งเว่ย ไม่พบกันนาน ทุกท่านสบายดีหรือไม่? ข้าคิดถึงพวกท่านเหลือเกิน!” หยางเซียวทำตัวเหลาะแหละเหมือนเช่นเคย เขาแย้มยิ้มอย่างขี้เล่น ทำให้บรรยากาศเคร่งเครียดจริงจังในกระโจมแห่งนี้กลายเป็นกระอักกระอ่วนในพริบตา

มีคนหลุดขำ แต่ก็ต้องรีบก้มหน้ากลั้นเอาไว้ องค์ชายสี่ผู้นี้ชอบทำตัวกะล่อนและขี้เล่นเสมอ ดูเหมือนเหล่าขุนพลต่างก็เคยชินกับพฤติกรรมเช่นนี้ของเขาแล้ว

“องค์ชายสี่ไม่อยู่ที่พระราชวัง มาทำอะไรที่ชายแดนแห่งนี้?” สายตาคมปลาบดุจเหยี่ยวของหยางเจิ้นจดจ้องมาที่ซูหลี “เจ้าเป็นถึงองค์ชาย กลับพาคนแปลกหน้าเข้ามาในกองทัพ และบุกเข้ามาในกระโจมประชุมตามอำเภอใจ เจ้าคิดว่าตนเองมีความผิดสถานใด?!” น้ำเสียงของเขาเคร่งขรึม เห็นชัดว่าไม่พอใจเป็นอย่างมาก

หยางเซียวทำเหมือนไม่รู้สึก เดินเข้าไปกล่าวด้วยรอยยิ้มเบิกบาน “อ้อ หลานเองก็อยากแสวงหาความสำราญอยู่ในวังเช่นกัน แต่เสด็จพ่อกลับสั่งให้หลานมาถ่ายทอดพระราชโองการน่ะสิพ่ะย่ะค่ะ!” ระหว่างที่พูด เขาล้วงสาสน์จากฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนออกมาจากอกเสื้อ แล้วแกว่งไปมาอย่างไม่แยแส

ทุกคนตกตะลึง รีบคุกเข่าอย่างพร้อมเพรียง

หยางเซียวยิ้มกว้างกว่าเดิม กระดกคิ้วมองหยางเจิ้นแวบหนึ่ง “เซียวอ๋องรับราชโองการ”

แววสงสัยพาดผ่านดวงตาหยางเจิ้น ทว่าสุดท้ายเขาก็ค่อยๆ คุกเข่าลง

“ด้วยโองการแห่งฟ้า ฮ่องเต้จึงมีพระบัญชา ให้องค์ชายสี่หยางเซียวนำคนจากสำนักเฉินเหมินมุ่งหน้าไปยังหุบเขาเร้นลับแห่งเทียนเหมินเพื่อแก้ไขปัญหาเรื่องควันพิษ เซียวอ๋องจงช่วยเหลืออย่างสุดความสามารถ ห้ามผิดพลาดเป็นอันขาด จบราชโองการ”

“กระหม่อม รับพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ” หยางเจิ้นค้อมกายน้อมรับพระราชโองการ ใบหน้าขรึมลงเล็กน้อยจนแทบสังเกตไม่เห็น

“พวกเขาเป็นคนของสำนักเฉินเหมินหรือ?” หยางเจิ้นเก็บพระราชโองการ หันไปมองซูหลี แล้วชะงักเล็กน้อย เขารู้สึกได้ว่าดวงตาที่อยู่ด้านหลังหน้ากากของสตรีนางนี้คมปลาบและเย็นชา พาให้หวาดหวั่นพรั่นพรึง ให้ความรู้สึกคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก

“เฉินเหมิน?” คนผู้หนึ่งร้องขึ้นด้วยความตกใจ ใบหน้าตกตะลึง ถามอย่างครุ่นคิด “กองกำลังนักฆ่าที่มีชื่อเสียงที่สุดในยุทธภพของแคว้นเฉิงหรือ?”

เสียงนี้คุ้นหูมาก ซูหลีเงยหน้า กลับเป็นกุนซือซู่มู่ที่ติดตามฮูเอ่อร์ตูไปยังแคว้นเฉิงในตอนนั้น! เขายืนอยู่ข้างหลังหยางเจิ้น ก่อนหน้านี้ซูหลีจึงไม่ทันสังเกตเห็น

หยางเจิ้นกล่าวเสียงเข้ม “ในเมื่อรับพระบัญชาจากฝ่าบาทมาช่วยเหลือ เหตุใดจึงยังสวมหน้ากาก ไม่กล้าพบปะผู้คนด้วยโฉมหน้าที่แท้จริง? หรือด้านหลังหน้ากากมีความลับที่ไม่อาจให้ผู้ใดล่วงรู้ซ่อนอยู่! ในเมื่อจะอยู่ในกองทัพ ก็จำต้องถอดหน้ากากออก!” เขาสาวเท้ายาวๆ พริบตาเดียวก็มายืนอยู่ตรงหน้าซูหลี

ร่างกายสูงใหญ่พาเอาเงามืดทาบทับลงมาบนกายนางจนแทบมิด ซูหลีไม่ขยับ เพียงเงยหน้าเล็กน้อย มองคนตรงหน้า ที่แท้เขาก็คือญาติสนิทของนาง!

หยางเจิ้นมองนาง สายตาแฝงไว้ด้วยความตกตะลึงระคนสงสัย

หยางเซียวเดินเข้ามาพร้อมกับเสียงหัวเราะเบิกบาน เขายกมือชี้ไปที่หวั่นซินซึ่งยืนอยู่ข้างหลังซูหลี แล้วกล่าวว่า “ท่านผู้นี้คือเฉินเซียง เจ้าสำนักคนใหม่ของสำนักเฉินเหมิน อีกสี่ท่านที่เหลือคือสี่นักฆ่าผู้ยิ่งใหญ่ของเฉินเหมิน คนในสำนักเฉินเหมินไม่เคยเผยโฉมหน้าที่แท้จริงให้คนในยุทธภพเห็น เสด็จอาน่าจะเคยได้ยินมาบ้างกระมัง?! เสด็จพ่ออนุญาตเป็นพิเศษ พวกเขาไม่จำเป็นต้องถอดหน้ากากในการมาช่วยเหลือเราหนนี้”

สายตาของหยางเจิ้นตึงเครียดทันที ทว่ากลับยังคงจ้องหน้าซูหลีไม่วางตา “เป็นเพียงกองกำลังเล็กๆ ในยุทธภพ จะมีปัญญาช่วยอะไรข้าได้? ทหาร นำทางองค์ชายสี่และแขกไปพักผ่อน”

แววเย็นชาพาดผ่านดวงตาหยางเซียว เขายิ้มร่าแล้วกล่าวว่า “ได้ยินเสด็จอาบอกว่าพักผ่อน หลานเดินทางติดต่อกันมาหลายวัน เหนื่อยจนอยากนอนมากแล้วจริงๆ แต่น่าเสียดายที่เสด็จพ่อมีรับสั่ง ขุนพลฮูเอ่อร์ตูเป็นขุนพลอันดับหนึ่งของแคว้นเปี้ยนเรา มิอาจปล่อยให้เขาติดอยู่ในป่าเขาจนตัวตายเด็ดขาด! หลานรับปากเสด็จพ่อเป็นมั่นเป็นเหมาะ หากช่วยขุนพลฮูเอ่อร์ตูออกมาไม่ได้ จะยอมถูกลงโทษทางวินัยทหาร! พอถึงยามนั้นเกรงว่าหลานคงจะได้นอนหลับไปตลอดกาลจริงๆ แล้วละ”

เขาทำหน้าเศร้า แสร้งทำเป็นว่าจนใจสุดแสน ท่ามกลางกลุ่มคนถึงกับมีคนหลุดหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้

“หลานไม่อยากถูกเสด็จพ่อลงโทษ เสด็จอาถือว่าสงสารหลานก็แล้วกัน รีบพาพวกหลานไปส่งที่หุบเขาเร้นลับทีเถิดพ่ะย่ะค่ะ” หยางเซียวคลี่ยิ้มกะล่อน ไม่เหลือเค้าความเหน็ดเหนื่อยเหมือนที่ปากว่า ช่วยคนเป็นเรื่องเร่งด่วน พระบัญชาจากฮ่องเต้ไม่มีผู้ใดกล้าขัดขืน ถึงแม้เขาจะมีศักดิ์เป็นองค์ชายก็ต้องได้รับโทษเช่นกัน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนอื่นๆ ในกระโจม ชั่วขณะหนึ่ง สีหน้าของทุกคนพลันตึงเครียดขึ้นมาทันที

ยามนี้เอง คนผู้หนึ่งที่ยืนอยู่ข้างทางเข้ากระโจมกล่าวขึ้นว่า “องค์ชายสี่อาจยังไม่ทรงทราบ หุบเขาเร้นลับแห่งเทียนเหมินมีควันพิษอยู่ในอากาศ ไม่เคยมีผู้ใดกล้าเข้าไปส่งเดช หากไม่เตรียมตัวให้ดี เกรงว่า…”

“ท่านขุนพลไม่จำเป็นต้องห่วง” หวั่นซินเอ่ยปากด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “พวกเรามาเพื่อแก้ปัญหาเรื่องควันพิษดังกล่าว”

คนผู้นั้นอึ้งไปเล็กน้อย คล้ายประหลาดใจเพราะนึกไม่ถึงว่านางจะเป็นหญิง รีบกล่าวอย่างนอบน้อมทันที “หากท่านสามารถแก้ควันพิษได้จริง เช่นนั้นขุนพลฮูเอ่อร์ตูและทหารสองหมื่นนายของเราก็มีทางรอดแล้ว”

หยางเซียวตบมือ แล้วกล่าวพร้อมเสียงหัวเราะว่า “ดี มิสู้รบกวนขุนพลอวี๋นำทางพวกข้าไปดีกว่ากระมัง”

ขุนพลอวี๋หันไปมองหยางเจิ้นตามสัญชาตญาณ สายตาของหยางเจิ้นเย็นเยียบลงเล็กน้อย เขากล่าวเสียงเย็น “ขุนพลอวี๋ เจ้าจงนำทหารฝีมือดีกลุ่มหนึ่งพาองค์ชายสี่ล่วงหน้าไปยังหุบเขาเร้นลับแห่งเทียนเหมินก่อน”

ขุนพลอวี๋รีบค้อมกายรับคำสั่ง “กระหม่อมรับบัญชาพ่ะย่ะค่ะ”

สายตาคมปลาบพาดผ่านดวงตาของหยางเซียว ทว่ารอยยิ้มกลับยังคงไม่จางหายไป เขาหัวเราะอย่างสำราญใจ “ขอบพระทัยเสด็จอามากพ่ะย่ะค่ะ! เสด็จอาทรงเตรียมสุราและอาหารเลิศรสไว้รอหลานได้เลย หลานจะกลับมาดื่มด่ำในไม่ช้า ลาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

สายตาของหยางเจิ้นขรึมลงเล็กน้อย เขาไม่พูดอะไร เพียงมองส่งคนกลุ่มหนึ่งขึ้นม้า และค่อยๆ ห่างออกไป สายตากลับยังคงจดจ้องไปที่ซูหลี สตรีนางนี้ เหตุใดเขาจึงรู้สึกคุ้นเคยกับนางยิ่งนัก?

…………………………………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ 326 พบสหายเก่าในถิ่นศัตรู (4)

Now you are reading กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ Chapter 326 พบสหายเก่าในถิ่นศัตรู (4) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

สายตาของฮ่องเต้พลันแปรเปลี่ยนเป็นตึงเครียดในพริบตา เขาหันมาพยักหน้าให้ซูหลี

ไม่รู้เพราะเหตุใด ได้ยินหยางเซียวพูดเช่นนี้ หัวใจของนางกลับสั่นไหว ถึงขั้นรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาเล็กน้อยอย่างที่ไม่ควรจะเป็น นางบังคับตนเองให้เมินเฉยต่อความรู้สึกนั้น แหงนหน้าขึ้น ทอดมองออกไปนอกกำแพงพระราชวังอันสูงตระหง่านที่ถูกปกคลุมไปด้วยพยับเมฆครึ้ม

เพราะเวลากระชั้นชิด หยางเซียวจึงพาองครักษ์ประจำกายสือไคว่กับสือจิ้งไปเพียงสองคน มุ่งหน้าไปยังชายแดนพร้อมกับพวกซูหลี ม้าเร็วเดินทางเป็นเวลาครึ่งเดือน ในที่สุดก็มาถึงเขตชายแดนของแคว้นเปี้ยนอย่างราบรื่น

ในฐานะที่เป็นแนวป้องกันทางทหารอันสำคัญของแคว้นเปี้ยน แม้เขตแดนแห่งนี้จะรุ่งเรืองและคึกคัก ทว่ากลับมีกฎระเบียบการรักษาความปลอดภัยของบ้านเมืองอย่างเข้มงวด

ทหารรักษาประตูจำหยางเซียวได้ รีบค้อมกายทำความเคารพ “ถวายบังคมองค์ชายสี่พ่ะย่ะค่ะ!”

ยากนักที่จะได้เห็นหยางเซียวทำหน้าเคร่งขรึม เขาโบกมือแล้วถามว่า “เสด็จอาอยู่ที่ใด?”

“ทูลองค์ชาย ท่านอ๋องกำลังหารือกับแม่ทัพจ้งเว่ยที่กระโจมกลางพ่ะย่ะค่ะ”

“นำทางข้าไป”

“พ่ะย่ะค่ะ”

พวกเขาเดินมาถึงกระโจมกลาง ทหารสองนายที่ยืนเฝ้านอกกระโจมรีบเข้ามาขวางทาง “เซียวอ๋องมีรับสั่ง ระหว่างหารือห้ามผู้ใดเข้าไปรบกวนเด็ดขาด!”

หยางเซียวเงยหน้า “บังอาจ แม้แต่ข้าเจ้าก็ยังกล้าขวางทางหรือ? สือจิ้ง”

“พ่ะย่ะค่ะ!” องครักษ์คนหนึ่งที่อยู่ข้างหลังเขารับคำ แล้วโฉบร่างเข้ามายกดาบจ่อคอของคนผู้นั้นทันที หยางเซียวแค่นเสียง ก่อนจะพาพวกซูหลีเดินเชิดหน้าเข้าไปด้านใน

ใบหน้าของเหล่าขุนพลที่กำลังหารือกันอยู่ในกระโจมพลันเปลี่ยนสี ครั้นหันกลับมาเห็นเขา ก็อึ้งงันกันถ้วนหน้า ผู้ที่นั่งอยู่ในตำแหน่งสูงสุด สวมชุดเครื่องแบบนักรบ เมื่ออยู่ท่ามกลางวงล้อมของเหล่าขุนพลที่มีรูปร่างสูงใหญ่กำยำ ใบหน้าหยาบกร้าน ก็ยิ่งขับเน้นให้ใบหน้าเขาดูหล่อเหลาอ่อนโยน แต่รอบกายเขากลับมีกลิ่นอายแข็งกร้าวเยือกเย็น และมีราศีน่าเกรงขามของกษัตริย์แผ่ปกคลุมอยู่ ครั้นเห็นหยางเซียว ใบหน้าของเขาก็เย็นชาลงทันที เขาเหลือบมองคนแปลกหน้าห้าคนที่สวมหน้ากากประหลาดด้านหลังหยางเซียว

ซูหลีเงยหน้า ครั้นเห็นหน้าคนผู้นั้น หัวใจก็สั่นสะท้านเล็กน้อย คนผู้นี้น่าจะเป็นคนที่หยางเซียวเรียกว่าเสด็จอา และก็เป็นคนที่ทหารหน้ากระโจมเรียกว่าเซียวอ๋อง เขามีนามว่า ‘หยางเจิ้น’ เครื่องหน้าทั้งห้าของเขาคล้ายเสด็จแม่ของนางหลายส่วน! ซูหลีอดไม่ได้ที่จะชำเลืองมองเขาหลายครั้ง

“เสด็จอา แม่ทัพจ้งเว่ย ไม่พบกันนาน ทุกท่านสบายดีหรือไม่? ข้าคิดถึงพวกท่านเหลือเกิน!” หยางเซียวทำตัวเหลาะแหละเหมือนเช่นเคย เขาแย้มยิ้มอย่างขี้เล่น ทำให้บรรยากาศเคร่งเครียดจริงจังในกระโจมแห่งนี้กลายเป็นกระอักกระอ่วนในพริบตา

มีคนหลุดขำ แต่ก็ต้องรีบก้มหน้ากลั้นเอาไว้ องค์ชายสี่ผู้นี้ชอบทำตัวกะล่อนและขี้เล่นเสมอ ดูเหมือนเหล่าขุนพลต่างก็เคยชินกับพฤติกรรมเช่นนี้ของเขาแล้ว

“องค์ชายสี่ไม่อยู่ที่พระราชวัง มาทำอะไรที่ชายแดนแห่งนี้?” สายตาคมปลาบดุจเหยี่ยวของหยางเจิ้นจดจ้องมาที่ซูหลี “เจ้าเป็นถึงองค์ชาย กลับพาคนแปลกหน้าเข้ามาในกองทัพ และบุกเข้ามาในกระโจมประชุมตามอำเภอใจ เจ้าคิดว่าตนเองมีความผิดสถานใด?!” น้ำเสียงของเขาเคร่งขรึม เห็นชัดว่าไม่พอใจเป็นอย่างมาก

หยางเซียวทำเหมือนไม่รู้สึก เดินเข้าไปกล่าวด้วยรอยยิ้มเบิกบาน “อ้อ หลานเองก็อยากแสวงหาความสำราญอยู่ในวังเช่นกัน แต่เสด็จพ่อกลับสั่งให้หลานมาถ่ายทอดพระราชโองการน่ะสิพ่ะย่ะค่ะ!” ระหว่างที่พูด เขาล้วงสาสน์จากฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนออกมาจากอกเสื้อ แล้วแกว่งไปมาอย่างไม่แยแส

ทุกคนตกตะลึง รีบคุกเข่าอย่างพร้อมเพรียง

หยางเซียวยิ้มกว้างกว่าเดิม กระดกคิ้วมองหยางเจิ้นแวบหนึ่ง “เซียวอ๋องรับราชโองการ”

แววสงสัยพาดผ่านดวงตาหยางเจิ้น ทว่าสุดท้ายเขาก็ค่อยๆ คุกเข่าลง

“ด้วยโองการแห่งฟ้า ฮ่องเต้จึงมีพระบัญชา ให้องค์ชายสี่หยางเซียวนำคนจากสำนักเฉินเหมินมุ่งหน้าไปยังหุบเขาเร้นลับแห่งเทียนเหมินเพื่อแก้ไขปัญหาเรื่องควันพิษ เซียวอ๋องจงช่วยเหลืออย่างสุดความสามารถ ห้ามผิดพลาดเป็นอันขาด จบราชโองการ”

“กระหม่อม รับพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ” หยางเจิ้นค้อมกายน้อมรับพระราชโองการ ใบหน้าขรึมลงเล็กน้อยจนแทบสังเกตไม่เห็น

“พวกเขาเป็นคนของสำนักเฉินเหมินหรือ?” หยางเจิ้นเก็บพระราชโองการ หันไปมองซูหลี แล้วชะงักเล็กน้อย เขารู้สึกได้ว่าดวงตาที่อยู่ด้านหลังหน้ากากของสตรีนางนี้คมปลาบและเย็นชา พาให้หวาดหวั่นพรั่นพรึง ให้ความรู้สึกคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก

“เฉินเหมิน?” คนผู้หนึ่งร้องขึ้นด้วยความตกใจ ใบหน้าตกตะลึง ถามอย่างครุ่นคิด “กองกำลังนักฆ่าที่มีชื่อเสียงที่สุดในยุทธภพของแคว้นเฉิงหรือ?”

เสียงนี้คุ้นหูมาก ซูหลีเงยหน้า กลับเป็นกุนซือซู่มู่ที่ติดตามฮูเอ่อร์ตูไปยังแคว้นเฉิงในตอนนั้น! เขายืนอยู่ข้างหลังหยางเจิ้น ก่อนหน้านี้ซูหลีจึงไม่ทันสังเกตเห็น

หยางเจิ้นกล่าวเสียงเข้ม “ในเมื่อรับพระบัญชาจากฝ่าบาทมาช่วยเหลือ เหตุใดจึงยังสวมหน้ากาก ไม่กล้าพบปะผู้คนด้วยโฉมหน้าที่แท้จริง? หรือด้านหลังหน้ากากมีความลับที่ไม่อาจให้ผู้ใดล่วงรู้ซ่อนอยู่! ในเมื่อจะอยู่ในกองทัพ ก็จำต้องถอดหน้ากากออก!” เขาสาวเท้ายาวๆ พริบตาเดียวก็มายืนอยู่ตรงหน้าซูหลี

ร่างกายสูงใหญ่พาเอาเงามืดทาบทับลงมาบนกายนางจนแทบมิด ซูหลีไม่ขยับ เพียงเงยหน้าเล็กน้อย มองคนตรงหน้า ที่แท้เขาก็คือญาติสนิทของนาง!

หยางเจิ้นมองนาง สายตาแฝงไว้ด้วยความตกตะลึงระคนสงสัย

หยางเซียวเดินเข้ามาพร้อมกับเสียงหัวเราะเบิกบาน เขายกมือชี้ไปที่หวั่นซินซึ่งยืนอยู่ข้างหลังซูหลี แล้วกล่าวว่า “ท่านผู้นี้คือเฉินเซียง เจ้าสำนักคนใหม่ของสำนักเฉินเหมิน อีกสี่ท่านที่เหลือคือสี่นักฆ่าผู้ยิ่งใหญ่ของเฉินเหมิน คนในสำนักเฉินเหมินไม่เคยเผยโฉมหน้าที่แท้จริงให้คนในยุทธภพเห็น เสด็จอาน่าจะเคยได้ยินมาบ้างกระมัง?! เสด็จพ่ออนุญาตเป็นพิเศษ พวกเขาไม่จำเป็นต้องถอดหน้ากากในการมาช่วยเหลือเราหนนี้”

สายตาของหยางเจิ้นตึงเครียดทันที ทว่ากลับยังคงจ้องหน้าซูหลีไม่วางตา “เป็นเพียงกองกำลังเล็กๆ ในยุทธภพ จะมีปัญญาช่วยอะไรข้าได้? ทหาร นำทางองค์ชายสี่และแขกไปพักผ่อน”

แววเย็นชาพาดผ่านดวงตาหยางเซียว เขายิ้มร่าแล้วกล่าวว่า “ได้ยินเสด็จอาบอกว่าพักผ่อน หลานเดินทางติดต่อกันมาหลายวัน เหนื่อยจนอยากนอนมากแล้วจริงๆ แต่น่าเสียดายที่เสด็จพ่อมีรับสั่ง ขุนพลฮูเอ่อร์ตูเป็นขุนพลอันดับหนึ่งของแคว้นเปี้ยนเรา มิอาจปล่อยให้เขาติดอยู่ในป่าเขาจนตัวตายเด็ดขาด! หลานรับปากเสด็จพ่อเป็นมั่นเป็นเหมาะ หากช่วยขุนพลฮูเอ่อร์ตูออกมาไม่ได้ จะยอมถูกลงโทษทางวินัยทหาร! พอถึงยามนั้นเกรงว่าหลานคงจะได้นอนหลับไปตลอดกาลจริงๆ แล้วละ”

เขาทำหน้าเศร้า แสร้งทำเป็นว่าจนใจสุดแสน ท่ามกลางกลุ่มคนถึงกับมีคนหลุดหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้

“หลานไม่อยากถูกเสด็จพ่อลงโทษ เสด็จอาถือว่าสงสารหลานก็แล้วกัน รีบพาพวกหลานไปส่งที่หุบเขาเร้นลับทีเถิดพ่ะย่ะค่ะ” หยางเซียวคลี่ยิ้มกะล่อน ไม่เหลือเค้าความเหน็ดเหนื่อยเหมือนที่ปากว่า ช่วยคนเป็นเรื่องเร่งด่วน พระบัญชาจากฮ่องเต้ไม่มีผู้ใดกล้าขัดขืน ถึงแม้เขาจะมีศักดิ์เป็นองค์ชายก็ต้องได้รับโทษเช่นกัน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนอื่นๆ ในกระโจม ชั่วขณะหนึ่ง สีหน้าของทุกคนพลันตึงเครียดขึ้นมาทันที

ยามนี้เอง คนผู้หนึ่งที่ยืนอยู่ข้างทางเข้ากระโจมกล่าวขึ้นว่า “องค์ชายสี่อาจยังไม่ทรงทราบ หุบเขาเร้นลับแห่งเทียนเหมินมีควันพิษอยู่ในอากาศ ไม่เคยมีผู้ใดกล้าเข้าไปส่งเดช หากไม่เตรียมตัวให้ดี เกรงว่า…”

“ท่านขุนพลไม่จำเป็นต้องห่วง” หวั่นซินเอ่ยปากด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “พวกเรามาเพื่อแก้ปัญหาเรื่องควันพิษดังกล่าว”

คนผู้นั้นอึ้งไปเล็กน้อย คล้ายประหลาดใจเพราะนึกไม่ถึงว่านางจะเป็นหญิง รีบกล่าวอย่างนอบน้อมทันที “หากท่านสามารถแก้ควันพิษได้จริง เช่นนั้นขุนพลฮูเอ่อร์ตูและทหารสองหมื่นนายของเราก็มีทางรอดแล้ว”

หยางเซียวตบมือ แล้วกล่าวพร้อมเสียงหัวเราะว่า “ดี มิสู้รบกวนขุนพลอวี๋นำทางพวกข้าไปดีกว่ากระมัง”

ขุนพลอวี๋หันไปมองหยางเจิ้นตามสัญชาตญาณ สายตาของหยางเจิ้นเย็นเยียบลงเล็กน้อย เขากล่าวเสียงเย็น “ขุนพลอวี๋ เจ้าจงนำทหารฝีมือดีกลุ่มหนึ่งพาองค์ชายสี่ล่วงหน้าไปยังหุบเขาเร้นลับแห่งเทียนเหมินก่อน”

ขุนพลอวี๋รีบค้อมกายรับคำสั่ง “กระหม่อมรับบัญชาพ่ะย่ะค่ะ”

สายตาคมปลาบพาดผ่านดวงตาของหยางเซียว ทว่ารอยยิ้มกลับยังคงไม่จางหายไป เขาหัวเราะอย่างสำราญใจ “ขอบพระทัยเสด็จอามากพ่ะย่ะค่ะ! เสด็จอาทรงเตรียมสุราและอาหารเลิศรสไว้รอหลานได้เลย หลานจะกลับมาดื่มด่ำในไม่ช้า ลาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

สายตาของหยางเจิ้นขรึมลงเล็กน้อย เขาไม่พูดอะไร เพียงมองส่งคนกลุ่มหนึ่งขึ้นม้า และค่อยๆ ห่างออกไป สายตากลับยังคงจดจ้องไปที่ซูหลี สตรีนางนี้ เหตุใดเขาจึงรู้สึกคุ้นเคยกับนางยิ่งนัก?

…………………………………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+