กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ 413 พระราชวังเปี้ยนพลิกผัน ผู้ใดเป็นเจ้าแผ่นดิน? (4)

Now you are reading กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ Chapter 413 พระราชวังเปี้ยนพลิกผัน ผู้ใดเป็นเจ้าแผ่นดิน? (4) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หยางเจิ้นอึ้งงัน คล้ายไม่อยากเชื่อ เขาตำหนิเสียงเกรี้ยว “เหลวไหลทั้งเพ! ในวังหลวงมีองครักษ์เข้มงวดถึงเพียงนี้ ผู้ใดจะสามารถบุกเข้ามาทำเรื่องเลวทรามเช่นนั้นในห้องบรรทมได้?”

หัวหน้าสำนักหมอหลวงรีบคุกเข่าแล้วกล่าวว่า “กระหม่อมจะกล้าโกหกได้เช่นไรเล่าพ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง! กระหม่อมขอรับประกันด้วยหัวบนบ่า ว่าที่กราบทูลไปเป็นความจริง! ท่านอ๋องโปรดพิจารณาอย่างปราดเปรื่องด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”

“มิใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้นะเพคะ” ซูหลีพลันเอ่ยแทรกขึ้น นัยน์ตาเย็นชากวาดมองรอบทิศ นางมองไปที่ใด หัวใจของทุกคนสั่นสะท้าน ได้ยินเพียงนางกล่าวเสียงเคร่งขรึม “บางทีคนร้ายอาจอยู่ในห้องบรรทมแต่แรก อาจไม่ใช่คนจากนอกวังก็ได้ นอกจากนี้ เป็นไปได้มากว่าคนผู้นี้เป็นคนที่ฝ่าบาททรงไว้วางพระทัยมาก พระองค์จึงมิได้ระวังตัว”

“ถึงแม้มิได้ระวังตัว แต่คนที่ขาดอากาศหายใจจนสิ้นลมจะไม่มีร่องรอยการขัดขืนเลยได้เช่นไรกัน?” หยางเจิ้นตั้งข้อสงสัย

ทุกคนเงยหน้ามอง ผ้าห่มบนเตียงมังกรเรียบร้อยเป็นระเบียบ ไม่มีร่องรอยของการต่อสู้ดังคาด

สายตาของซูหลีพลันเย็นชา นางกล่าวด้วยน้ำเสียงตึงเครียด “เพราะว่า คนร้ายมีวรยุทธ์เพคะ คนผู้นี้ฉวยโอกาสสกัดจุดฝ่าบาทก่อน หลังจากกระทำเรื่องชั่วร้ายก็ค่อยคลายจุด ฉะนั้นฝ่าบาทจึงไม่มีกำลังต่อสู้ ย่อมไม่มีทางขัดขืนหรือร้องขอความช่วยเหลือได้เลยเพคะ”

“หา?!” เสียงสูดหายใจดังมาจากรอบด้าน เหล่าขุนนางหน้าเปลี่ยนสี คนที่อยู่ด้านหน้าสุดตะโกนอย่างเดือดดาล “ผู้ใดกันอาจหาญและชั่วร้ายถึงเพียงนี้?”

ซูหลีหันไปมอง ผู้พูดอยู่ห่างออกไปห้าสิบจั้ง หนวดเคราสีขาว เขาก็คืออัครเสนาบดีฉีมู่เอ่อร์นั่นเอง ซูหลีได้ยินมานาน คนผู้นี้มีกิตติศัพท์ด้านความภักดีอย่างแท้จริง จึงได้รับความไว้วางใจจากฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนอย่างมาก หากกล่าวถึงเรื่องบารมี ในราชสำนักก็มีเพียงเขาเท่านั้นที่เทียบเคียงกับเสด็จน้าได้

ครั้นเขาเอ่ยปาก เหล่าขุนนางต่างพยักหน้าอย่างเห็นด้วย และโกรธเกรี้ยวสุดแสน ยามนี้นางกำนัลนามว่าหรูอวิ๋นถูกองครักษ์จับตัวกลับเข้ามาในตำหนักแล้ว นางตกใจจนหน้าซีด พูดอะไรไม่ออก

ฉีมู่เอ่อร์สาวเท้าไปหานางอย่างแช่มช้า แล้วกล่าวเสียงดุดัน “เจ้าชื่ออะไร?”

นางตอบเสียงสั่นเครือ “เรียนท่านอัครเสนาบดี บ่าวชื่อ…หรูอวิ๋นเจ้าค่ะ”

ฉีมู่เอ่อร์กล่าวต่ออีกว่า “เจ้าเป็นคนแรกที่พบว่าฝ่าบาทมีอาการผิดปกติใช่หรือไม่?”

หรูอวิ๋นพยักหน้าด้วยแววตาตื่นตระหนก

ฉีมู่เอ่อร์กล่าวเสียงเข้ม “หลังมื้อเย็น ผู้ใดมาที่ห้องบรรทมบ้าง รั้งอยู่เป็นเวลานานเท่าใด กระทำเรื่องใดบ้าง แล้วเจ้ารู้ได้เช่นไรว่าฝ่าบาทมีอาการผิดปกติ จงบอกเรื่องราวทั้งหมดนี้มาให้ละเอียด อย่าได้ตกหล่นไปแม้แต่น้อย!”

ซูหลีอดรู้สึกชื่นชมเขาไม่ได้ สมแล้วที่ฉีมู่เอ่อร์เป็นผู้นำขุนนางของแคว้นเปี้ยน ยามเผชิญหน้ากับปัญหาเขาไม่แตกตื่นลนลาน กลับมีความคิดความอ่านกระจ่างชัด

“เรียนท่านอัครเสนาบดี หลังจากเสวยพระกระยาหารเย็น พระอาการของฝ่าบาทดูดีขึ้นกว่าสองวันก่อนมาก ครั้นเห็นว่าอาการประชวรของฝ่าบาทดีขึ้นสวีกงกงก็ดีใจมาก บอกว่าจะไปต้มยาให้ฝ่าบาทด้วยตนเอง แล้วสั่งให้บ่าวไปช่วย ระหว่างนี้ เสี่ยวหลินจื่อกับเสี่ยวหยวนจื่อเฝ้าอยู่ที่นี่ บ่าวไม่รู้ว่าเกิดเรื่องใดขึ้นบ้าง บ่าวรู้เพียงว่า หลังจากสวีกงกงต้มยาเสร็จ บ่าวก็นำไปถวายให้ฝ่าบาท นึกไม่ถึงว่า…ฝ่าบาททรง…ทรง…”

หรูอวิ๋นยังกล่าวไม่ทันจบ ก็ร้องไห้เสียงดัง

สายตาของฉีมู่เอ่อร์ตวัดมองไปที่ขันทีสองคนที่คุกเข่าอยู่ด้านหนึ่ง สองคนนั้นตัวสั่นทันใด

เสี่ยวหยวนจื่อรีบกล่าวทันที “เรียนท่านอัครเสนาบดี หลังจากที่สวีกงกงกับหรูอวิ๋นออกไป นอกจาก…นอกจากองค์ชายสี่ ก็ไม่มีผู้ใดเข้ามาในนี้อีก บ่าวกับเสี่ยวหลินจื่อเฝ้าอยู่นอกประตูตลอด ไม่พบอะไรผิดปกติเลยขอรับ…”

เสี่ยวหลินจื่อเองก็พยักหน้าตามหลายครั้ง เหล่าองครักษ์ที่เฝ้าอยู่นอกห้องบรรทมเองก็ยืนยันความจริงให้กับคำพูดของเสี่ยวหยวนจื่อ

ครานี้ สายตาของทุกคนจับจ้องไปที่หยางเซียวเป็นตาเดียว ระหว่างที่เกิดเรื่องขึ้นมีเขาเข้ามาในห้องบรรทมแต่เพียงผู้เดียว คนร้ายมีวรยุทธ์ ซ้ำยังเป็นคนที่ฝ่าบาททรงไว้วางพระทัยมากที่สุด สถานการณ์ในยามนี้ คล้ายมีความเกี่ยวข้องกับเขาอย่างไม่อาจปฏิเสธ!

แต่ทว่า ทุกคนล้วนรู้ดี องค์ชายสี่ได้รับความโปรดปราน ซ้ำยังเป็นองค์ชายที่เหลืออยู่เพียงองค์เดียว ช้าเร็วบัลลังก์ก็ต้องตกเป็นของเขา เขาไม่น่าจะทำเรื่องเลวร้ายเช่นการสังหารบิดาแล้วแย่งชิงตำแหน่งเช่นนี้!

เหล่าขุนนางกระซิบกระซาบกัน เสียงวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ นานาดังไม่ขาดสาย

หยางเซียวแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน เขายังคงคุกเข่าอยู่ข้างเตียงฮ่องเต้แคว้นเปี้ยน สองมือกุมนิ้วมือที่เคยอบอุ่นแต่ยามนี้กลับเย็นชืดของเสด็จพ่อไว้แน่น ไม่ยอมขยับเขยื้อนไปไหน

แสงเทียนไหวกระเพื่อมไปมา ใบหน้าหล่อเหลาถูกเงามืดบดบัง ทำให้มิอาจมองเห็นสีหน้าของเขาได้อย่างชัดเจน แต่ซูหลีกลับรู้สึกได้ว่าความโกรธแค้นที่อัดแน่นอยู่ในหัวใจเขา กำลังแผ่กระจายไปทั่วตำหนักอย่างเงียบงัน

บุรุษที่ในยามปกติมักชอบหัวเราะและพูดจาหยอกล้อพลันประสบเหตุการณ์ไม่คาดฝันครั้งใหญ่ แต่เขากลับใจเย็นจนน่ากลัว เขายังไม่ทันปรับอารมณ์ และตั้งสติใหม่ ก็ถูกสงสัยว่าเป็นผู้สังหารบิดาของตนเองแล้ว!

ความเจ็บปวดจากการสูญเสียครอบครัว เป็นเรื่องที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิตแล้ว ทว่าการถูกตราหน้าว่าเป็นผู้สังหารบิดาของตนเอง เป็นความเจ็บปวดที่มากยิ่งกว่า!

ซูหลีอดปวดใจไม่ได้ ไม่ว่าอย่างไรนางก็ไม่เชื่อว่าหยางเซียวคือคนร้าย แต่การตายของฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนผิดธรรมชาติมากจริงๆ จากคำบอกเล่าของนางกำนัลและขันทีเมื่อครู่ หากไม่ใช่มีคนที่มีวิชาหายตัวได้ เช่นนั้นหนึ่งในคนเหล่านี้ที่กำลังโกหก คือใครกันแน่?

ขณะนางกำลังครุ่นคิดอย่างหนัก หยางเจิ้นก็เดินเข้ามาจับข้อมือของฮ่องเต้แคว้นเปี้ยน สีหน้าของเขาพลันแปรเปลี่ยน ตะโกนออกมาด้วยความตื่นตะลึง “ทวนวัฏจักร?! นี่เป็นวิชาสกัดจุดเฉพาะของสกุลหยางเรา! เหตุใดคนร้ายจึงใช้วิชานี้เป็นด้วย?”

ซูหลีตื่นตะลึง นางถามทันที “เสด็จน้ารู้ได้เช่นไรเพคะว่าฝ่าบาททรงถูกวิชาสกัดจุด?”

“ผู้ใดก็ตามที่ถูกสกัดจุดด้วยวิชานี้ เลือดในกายจะไหลย้อนกลับ!” หยางเจิ้นสับสน สายตากลับจดจ้องใบหน้าซูหลีแน่นิ่ง นางตกตะลึง ยื่นมือไปตรวจจับชีพจรของฮ่องเต้แคว้นเปี้ยน ค้นพบว่าเลือดของเขากำลังไหลย้อนกลับจริงๆ!

ซูหลีใบหน้าเรียบเฉย ถามเสียงเข้ม “ในราชวงศ์มีผู้ใดเคยร่ำเรียนวิชานี้บ้างเพคะ?”

หยางเจิ้นกล่าวว่า “การฝึกฝนวิชาทวนวัฏจักรไม่ใช่เรื่องง่าย ยามนี้ในหมู่ราชนิกุล มีเพียงสามคนเท่านี้ที่ใช้วิชานี้เป็น หนึ่งคือข้า สองคือฝ่าบาท แล้วยังมี…องค์ชายสี่”

เหล่าขุนนางแตกตื่นฮือฮา คำตอบชัดเจนถึงเพียงนี้แล้ว ฮ่องเต้ไม่มีทางสกัดจุดตนเองได้แน่นอน หยางเจิ้นเองก็อยู่กับเหล่าขุนนางนอกวังในเวลานั้น เช่นนั้นผู้ต้องสงสัยก็เหลือเพียงหยางเซียวเท่านั้น!

เหล่าขุนนางต่างมองหยางเซียวด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ สายตาสงสัยเมื่อครู่ได้แปรเปลี่ยนเป็นดูแคลนอย่างไม่คิดปกปิด อัครเสนาบดีฉีมู่เอ่อร์ขมวดคิ้วแน่น นิ่วหน้าใช้ความคิด

หยางเจิ้นมองหยางเซียว แล้วกล่าวตำหนิด้วยเสียงปวดใจ “เสียแรงที่ฝ่าบาททรงรักเจ้านักหนา เจ้ากลับโหดเหี้ยมถึงเพียงนี้ กระทำเรื่องเลวทรามเช่นการสังหารบิดาเพื่อชิงบัลลังก์เช่นนี้?!”

ครั้นวาจานี้หลุดออกไป เหล่าขุนนางพลันโกรธแค้น พากันกล่าวเสริมอย่างเห็นด้วย “เป็นถึงองค์ชาย กลับสังหารบิดาตนเอง ภายหน้าจะมีคุณสมบัติเป็นเจ้าแห่งแผ่นดินได้เช่นไร?”

หัวหน้าองครักษ์ปาต๋าที่ยืนมองเหตุการณ์อยู่ขมวดคิ้วแน่น มือยกขึ้นกำด้ามกระบี่ตรงเอวโดยสัญชาตญาณ แล้วมองไปยังหยางเซียวที่ยังคงคุกเข่าอยู่ข้างเตียงมังกร สายตาเต็มไปด้วยความกังวล

หยางเซียวยังคงไม่ยอมพูดอะไร ราวกับคนที่ถูกทุกคนวิพากษ์วิจารณ์อยู่ในยามนี้ไม่ใช่ตัวเขา เขาเงียบงันถึงเพียงนี้ เงียบงันจนไม่เหมือนเขา และยิ่งเขาใจเย็นเท่าใด คนเหล่านั้นที่อยู่ข้างหลังเขาก็ยิ่งเหมือนตัวตลกมากขึ้นเท่านั้น คนที่ต้องทนแบกรับความเจ็บปวดจากการสูญเสียไม่ใช่พวกเขา แต่เหตุใดพวกเขาจึงโกรธแค้นถึงเพียงนี้?

ช่างน่าขำยิ่งนัก

เขากระดกมุมปากเล็กน้อย เผยให้เห็นรอยยิ้มเย็นชาจับขั้วหัวใจ แสงเทียนพลันไหววูบหลายครั้ง ก่อนจะดับมืดลงไป ในที่สุดเขาก็ค่อยๆ ลุกขึ้นยืน หมุนกายหันกลับมา แล้วมองเหล่าขุนนางที่กำลังไม่พอใจด้วยใบหน้าเรียบเฉยไม่บ่งบอกอารมณ์

เขาไม่พูดอะไร เพียงมองด้วยสายตาเย็นชา ครั้นสบตากับเขา เหล่าขุนนางก็รู้สึกเย็นสันหลังวาบ พากันหุบปากทันที ไม่มีผู้ใดเคยเห็นหยางเซียวที่เป็นเช่นในตอนนี้ เขาไม่พูดไม่จา สีหน้าเรียบเฉยมองไม่เห็นความโศกเศร้าและความทุกข์ตรม สิ่งเดียวที่เหลืออยู่ คือความเย็นชาดั่งน้ำแข็งพันปี

…………………………

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ 413 พระราชวังเปี้ยนพลิกผัน ผู้ใดเป็นเจ้าแผ่นดิน? (4)

Now you are reading กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ Chapter 413 พระราชวังเปี้ยนพลิกผัน ผู้ใดเป็นเจ้าแผ่นดิน? (4) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หยางเจิ้นอึ้งงัน คล้ายไม่อยากเชื่อ เขาตำหนิเสียงเกรี้ยว “เหลวไหลทั้งเพ! ในวังหลวงมีองครักษ์เข้มงวดถึงเพียงนี้ ผู้ใดจะสามารถบุกเข้ามาทำเรื่องเลวทรามเช่นนั้นในห้องบรรทมได้?”

หัวหน้าสำนักหมอหลวงรีบคุกเข่าแล้วกล่าวว่า “กระหม่อมจะกล้าโกหกได้เช่นไรเล่าพ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง! กระหม่อมขอรับประกันด้วยหัวบนบ่า ว่าที่กราบทูลไปเป็นความจริง! ท่านอ๋องโปรดพิจารณาอย่างปราดเปรื่องด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”

“มิใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้นะเพคะ” ซูหลีพลันเอ่ยแทรกขึ้น นัยน์ตาเย็นชากวาดมองรอบทิศ นางมองไปที่ใด หัวใจของทุกคนสั่นสะท้าน ได้ยินเพียงนางกล่าวเสียงเคร่งขรึม “บางทีคนร้ายอาจอยู่ในห้องบรรทมแต่แรก อาจไม่ใช่คนจากนอกวังก็ได้ นอกจากนี้ เป็นไปได้มากว่าคนผู้นี้เป็นคนที่ฝ่าบาททรงไว้วางพระทัยมาก พระองค์จึงมิได้ระวังตัว”

“ถึงแม้มิได้ระวังตัว แต่คนที่ขาดอากาศหายใจจนสิ้นลมจะไม่มีร่องรอยการขัดขืนเลยได้เช่นไรกัน?” หยางเจิ้นตั้งข้อสงสัย

ทุกคนเงยหน้ามอง ผ้าห่มบนเตียงมังกรเรียบร้อยเป็นระเบียบ ไม่มีร่องรอยของการต่อสู้ดังคาด

สายตาของซูหลีพลันเย็นชา นางกล่าวด้วยน้ำเสียงตึงเครียด “เพราะว่า คนร้ายมีวรยุทธ์เพคะ คนผู้นี้ฉวยโอกาสสกัดจุดฝ่าบาทก่อน หลังจากกระทำเรื่องชั่วร้ายก็ค่อยคลายจุด ฉะนั้นฝ่าบาทจึงไม่มีกำลังต่อสู้ ย่อมไม่มีทางขัดขืนหรือร้องขอความช่วยเหลือได้เลยเพคะ”

“หา?!” เสียงสูดหายใจดังมาจากรอบด้าน เหล่าขุนนางหน้าเปลี่ยนสี คนที่อยู่ด้านหน้าสุดตะโกนอย่างเดือดดาล “ผู้ใดกันอาจหาญและชั่วร้ายถึงเพียงนี้?”

ซูหลีหันไปมอง ผู้พูดอยู่ห่างออกไปห้าสิบจั้ง หนวดเคราสีขาว เขาก็คืออัครเสนาบดีฉีมู่เอ่อร์นั่นเอง ซูหลีได้ยินมานาน คนผู้นี้มีกิตติศัพท์ด้านความภักดีอย่างแท้จริง จึงได้รับความไว้วางใจจากฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนอย่างมาก หากกล่าวถึงเรื่องบารมี ในราชสำนักก็มีเพียงเขาเท่านั้นที่เทียบเคียงกับเสด็จน้าได้

ครั้นเขาเอ่ยปาก เหล่าขุนนางต่างพยักหน้าอย่างเห็นด้วย และโกรธเกรี้ยวสุดแสน ยามนี้นางกำนัลนามว่าหรูอวิ๋นถูกองครักษ์จับตัวกลับเข้ามาในตำหนักแล้ว นางตกใจจนหน้าซีด พูดอะไรไม่ออก

ฉีมู่เอ่อร์สาวเท้าไปหานางอย่างแช่มช้า แล้วกล่าวเสียงดุดัน “เจ้าชื่ออะไร?”

นางตอบเสียงสั่นเครือ “เรียนท่านอัครเสนาบดี บ่าวชื่อ…หรูอวิ๋นเจ้าค่ะ”

ฉีมู่เอ่อร์กล่าวต่ออีกว่า “เจ้าเป็นคนแรกที่พบว่าฝ่าบาทมีอาการผิดปกติใช่หรือไม่?”

หรูอวิ๋นพยักหน้าด้วยแววตาตื่นตระหนก

ฉีมู่เอ่อร์กล่าวเสียงเข้ม “หลังมื้อเย็น ผู้ใดมาที่ห้องบรรทมบ้าง รั้งอยู่เป็นเวลานานเท่าใด กระทำเรื่องใดบ้าง แล้วเจ้ารู้ได้เช่นไรว่าฝ่าบาทมีอาการผิดปกติ จงบอกเรื่องราวทั้งหมดนี้มาให้ละเอียด อย่าได้ตกหล่นไปแม้แต่น้อย!”

ซูหลีอดรู้สึกชื่นชมเขาไม่ได้ สมแล้วที่ฉีมู่เอ่อร์เป็นผู้นำขุนนางของแคว้นเปี้ยน ยามเผชิญหน้ากับปัญหาเขาไม่แตกตื่นลนลาน กลับมีความคิดความอ่านกระจ่างชัด

“เรียนท่านอัครเสนาบดี หลังจากเสวยพระกระยาหารเย็น พระอาการของฝ่าบาทดูดีขึ้นกว่าสองวันก่อนมาก ครั้นเห็นว่าอาการประชวรของฝ่าบาทดีขึ้นสวีกงกงก็ดีใจมาก บอกว่าจะไปต้มยาให้ฝ่าบาทด้วยตนเอง แล้วสั่งให้บ่าวไปช่วย ระหว่างนี้ เสี่ยวหลินจื่อกับเสี่ยวหยวนจื่อเฝ้าอยู่ที่นี่ บ่าวไม่รู้ว่าเกิดเรื่องใดขึ้นบ้าง บ่าวรู้เพียงว่า หลังจากสวีกงกงต้มยาเสร็จ บ่าวก็นำไปถวายให้ฝ่าบาท นึกไม่ถึงว่า…ฝ่าบาททรง…ทรง…”

หรูอวิ๋นยังกล่าวไม่ทันจบ ก็ร้องไห้เสียงดัง

สายตาของฉีมู่เอ่อร์ตวัดมองไปที่ขันทีสองคนที่คุกเข่าอยู่ด้านหนึ่ง สองคนนั้นตัวสั่นทันใด

เสี่ยวหยวนจื่อรีบกล่าวทันที “เรียนท่านอัครเสนาบดี หลังจากที่สวีกงกงกับหรูอวิ๋นออกไป นอกจาก…นอกจากองค์ชายสี่ ก็ไม่มีผู้ใดเข้ามาในนี้อีก บ่าวกับเสี่ยวหลินจื่อเฝ้าอยู่นอกประตูตลอด ไม่พบอะไรผิดปกติเลยขอรับ…”

เสี่ยวหลินจื่อเองก็พยักหน้าตามหลายครั้ง เหล่าองครักษ์ที่เฝ้าอยู่นอกห้องบรรทมเองก็ยืนยันความจริงให้กับคำพูดของเสี่ยวหยวนจื่อ

ครานี้ สายตาของทุกคนจับจ้องไปที่หยางเซียวเป็นตาเดียว ระหว่างที่เกิดเรื่องขึ้นมีเขาเข้ามาในห้องบรรทมแต่เพียงผู้เดียว คนร้ายมีวรยุทธ์ ซ้ำยังเป็นคนที่ฝ่าบาททรงไว้วางพระทัยมากที่สุด สถานการณ์ในยามนี้ คล้ายมีความเกี่ยวข้องกับเขาอย่างไม่อาจปฏิเสธ!

แต่ทว่า ทุกคนล้วนรู้ดี องค์ชายสี่ได้รับความโปรดปราน ซ้ำยังเป็นองค์ชายที่เหลืออยู่เพียงองค์เดียว ช้าเร็วบัลลังก์ก็ต้องตกเป็นของเขา เขาไม่น่าจะทำเรื่องเลวร้ายเช่นการสังหารบิดาแล้วแย่งชิงตำแหน่งเช่นนี้!

เหล่าขุนนางกระซิบกระซาบกัน เสียงวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ นานาดังไม่ขาดสาย

หยางเซียวแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน เขายังคงคุกเข่าอยู่ข้างเตียงฮ่องเต้แคว้นเปี้ยน สองมือกุมนิ้วมือที่เคยอบอุ่นแต่ยามนี้กลับเย็นชืดของเสด็จพ่อไว้แน่น ไม่ยอมขยับเขยื้อนไปไหน

แสงเทียนไหวกระเพื่อมไปมา ใบหน้าหล่อเหลาถูกเงามืดบดบัง ทำให้มิอาจมองเห็นสีหน้าของเขาได้อย่างชัดเจน แต่ซูหลีกลับรู้สึกได้ว่าความโกรธแค้นที่อัดแน่นอยู่ในหัวใจเขา กำลังแผ่กระจายไปทั่วตำหนักอย่างเงียบงัน

บุรุษที่ในยามปกติมักชอบหัวเราะและพูดจาหยอกล้อพลันประสบเหตุการณ์ไม่คาดฝันครั้งใหญ่ แต่เขากลับใจเย็นจนน่ากลัว เขายังไม่ทันปรับอารมณ์ และตั้งสติใหม่ ก็ถูกสงสัยว่าเป็นผู้สังหารบิดาของตนเองแล้ว!

ความเจ็บปวดจากการสูญเสียครอบครัว เป็นเรื่องที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิตแล้ว ทว่าการถูกตราหน้าว่าเป็นผู้สังหารบิดาของตนเอง เป็นความเจ็บปวดที่มากยิ่งกว่า!

ซูหลีอดปวดใจไม่ได้ ไม่ว่าอย่างไรนางก็ไม่เชื่อว่าหยางเซียวคือคนร้าย แต่การตายของฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนผิดธรรมชาติมากจริงๆ จากคำบอกเล่าของนางกำนัลและขันทีเมื่อครู่ หากไม่ใช่มีคนที่มีวิชาหายตัวได้ เช่นนั้นหนึ่งในคนเหล่านี้ที่กำลังโกหก คือใครกันแน่?

ขณะนางกำลังครุ่นคิดอย่างหนัก หยางเจิ้นก็เดินเข้ามาจับข้อมือของฮ่องเต้แคว้นเปี้ยน สีหน้าของเขาพลันแปรเปลี่ยน ตะโกนออกมาด้วยความตื่นตะลึง “ทวนวัฏจักร?! นี่เป็นวิชาสกัดจุดเฉพาะของสกุลหยางเรา! เหตุใดคนร้ายจึงใช้วิชานี้เป็นด้วย?”

ซูหลีตื่นตะลึง นางถามทันที “เสด็จน้ารู้ได้เช่นไรเพคะว่าฝ่าบาททรงถูกวิชาสกัดจุด?”

“ผู้ใดก็ตามที่ถูกสกัดจุดด้วยวิชานี้ เลือดในกายจะไหลย้อนกลับ!” หยางเจิ้นสับสน สายตากลับจดจ้องใบหน้าซูหลีแน่นิ่ง นางตกตะลึง ยื่นมือไปตรวจจับชีพจรของฮ่องเต้แคว้นเปี้ยน ค้นพบว่าเลือดของเขากำลังไหลย้อนกลับจริงๆ!

ซูหลีใบหน้าเรียบเฉย ถามเสียงเข้ม “ในราชวงศ์มีผู้ใดเคยร่ำเรียนวิชานี้บ้างเพคะ?”

หยางเจิ้นกล่าวว่า “การฝึกฝนวิชาทวนวัฏจักรไม่ใช่เรื่องง่าย ยามนี้ในหมู่ราชนิกุล มีเพียงสามคนเท่านี้ที่ใช้วิชานี้เป็น หนึ่งคือข้า สองคือฝ่าบาท แล้วยังมี…องค์ชายสี่”

เหล่าขุนนางแตกตื่นฮือฮา คำตอบชัดเจนถึงเพียงนี้แล้ว ฮ่องเต้ไม่มีทางสกัดจุดตนเองได้แน่นอน หยางเจิ้นเองก็อยู่กับเหล่าขุนนางนอกวังในเวลานั้น เช่นนั้นผู้ต้องสงสัยก็เหลือเพียงหยางเซียวเท่านั้น!

เหล่าขุนนางต่างมองหยางเซียวด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ สายตาสงสัยเมื่อครู่ได้แปรเปลี่ยนเป็นดูแคลนอย่างไม่คิดปกปิด อัครเสนาบดีฉีมู่เอ่อร์ขมวดคิ้วแน่น นิ่วหน้าใช้ความคิด

หยางเจิ้นมองหยางเซียว แล้วกล่าวตำหนิด้วยเสียงปวดใจ “เสียแรงที่ฝ่าบาททรงรักเจ้านักหนา เจ้ากลับโหดเหี้ยมถึงเพียงนี้ กระทำเรื่องเลวทรามเช่นการสังหารบิดาเพื่อชิงบัลลังก์เช่นนี้?!”

ครั้นวาจานี้หลุดออกไป เหล่าขุนนางพลันโกรธแค้น พากันกล่าวเสริมอย่างเห็นด้วย “เป็นถึงองค์ชาย กลับสังหารบิดาตนเอง ภายหน้าจะมีคุณสมบัติเป็นเจ้าแห่งแผ่นดินได้เช่นไร?”

หัวหน้าองครักษ์ปาต๋าที่ยืนมองเหตุการณ์อยู่ขมวดคิ้วแน่น มือยกขึ้นกำด้ามกระบี่ตรงเอวโดยสัญชาตญาณ แล้วมองไปยังหยางเซียวที่ยังคงคุกเข่าอยู่ข้างเตียงมังกร สายตาเต็มไปด้วยความกังวล

หยางเซียวยังคงไม่ยอมพูดอะไร ราวกับคนที่ถูกทุกคนวิพากษ์วิจารณ์อยู่ในยามนี้ไม่ใช่ตัวเขา เขาเงียบงันถึงเพียงนี้ เงียบงันจนไม่เหมือนเขา และยิ่งเขาใจเย็นเท่าใด คนเหล่านั้นที่อยู่ข้างหลังเขาก็ยิ่งเหมือนตัวตลกมากขึ้นเท่านั้น คนที่ต้องทนแบกรับความเจ็บปวดจากการสูญเสียไม่ใช่พวกเขา แต่เหตุใดพวกเขาจึงโกรธแค้นถึงเพียงนี้?

ช่างน่าขำยิ่งนัก

เขากระดกมุมปากเล็กน้อย เผยให้เห็นรอยยิ้มเย็นชาจับขั้วหัวใจ แสงเทียนพลันไหววูบหลายครั้ง ก่อนจะดับมืดลงไป ในที่สุดเขาก็ค่อยๆ ลุกขึ้นยืน หมุนกายหันกลับมา แล้วมองเหล่าขุนนางที่กำลังไม่พอใจด้วยใบหน้าเรียบเฉยไม่บ่งบอกอารมณ์

เขาไม่พูดอะไร เพียงมองด้วยสายตาเย็นชา ครั้นสบตากับเขา เหล่าขุนนางก็รู้สึกเย็นสันหลังวาบ พากันหุบปากทันที ไม่มีผู้ใดเคยเห็นหยางเซียวที่เป็นเช่นในตอนนี้ เขาไม่พูดไม่จา สีหน้าเรียบเฉยมองไม่เห็นความโศกเศร้าและความทุกข์ตรม สิ่งเดียวที่เหลืออยู่ คือความเย็นชาดั่งน้ำแข็งพันปี

…………………………

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+