กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ 63 หญิงอัปลักษณ์ไม่เป็นมงคล

Now you are reading กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ Chapter 63 หญิงอัปลักษณ์ไม่เป็นมงคล at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“นางคือซูหลีคุณหนูแห่งจวนอัครเสนาบดี เซี่ยงหลีเจ้าพอใจหรือยัง?” เสียงกังวานทรงพลังดังขึ้น ทั้งลานอารามเงียบลงทันใด

ซูหลีสะดุ้งตกใจ เห็นเพียงฝูงชนแหวกออก เงาร่างสูงใหญ่สาวเท้าเดินเข้ามาจากประตู สวมชุดผาวสีดำรัดเกล้าสีทอง หล่อเหลาไม่มีใครเทียม นั่นก็คือเจิ้นหนิงอ๋อง ตงฟางเจ๋อ!

ตงฟางเจ๋อเดินเข้าประตูมา มองไปยังมือของเซี่ยงหลีที่อยู่บนไหล่ซูหลีด้วยสายตาเย็นเฉียบ

คุณชายมากรักอันดับหนึ่งในใต้หล้าใบหน้าเคร่งขรึม จิ้งอันอ๋องหงุดหงิดง่าย เจิ้นหนิงอ๋องเจ้าแผนการ แกล้งหยอกคนขี้หงุดหงิดนั้นสนุก แต่ยั่วยุคนเจ้าแผนการนั้นเป็นการกระทำที่ไม่ฉลาดอย่างยิ่ง เขารีบถอยหลังทันที พลางโบกพัดและเอ่ย “คารวะเจิ้นหนิงอ๋อง เซี่ยงหลีเสียมารยาทเองพ่ะย่ะค่ะ”

ตงฟางจั๋วรีบเหยียดแขนยาวดึงซูหลีไปหลบด้านหลังตนเอง พร้อมแค่นเสียงเย็นชา “ใจกล้าเท่าฟ้าอาจหาญคุกคามสตรี  ชั่วช้าสามานย์ยิ่งนัก!”

เซี่ยงหลีหัวเราะด้วยความแปลกใจ “กระหม่อมมิรู้ว่าแม่นางคือคุณหนูซูที่เลื่องลือกันว่าหน้าตาอัปลักษณ์ไม่เป็นมงคล หากรู้แต่แรก กระหม่อมคง…” เขาตั้งใจตัดประโยคหลังทิ้ง ดวงตาดอกท้อเหลือบมองตงฟางจั๋วอย่างมีนัย หญิงอัปลักษณ์เพียงคนเดียวควรค่าให้องค์ชายแห่งราชวงค์ปัจจุบันเสียสติเช่นนี้เลยหรือ? เขามีเจตนาเหยียดหยามอย่างชัดเจน

ชั่วขณะนั้นทุกสายตาพลันหันไปมองซูหลี คุณหนูรองบุตรีของท่านอัครเสนาบดีซูหน้าตาอัปลักษณ์ไม่เป็นมงคล เป็นที่เลื่องลือไปทั่วเมืองหลวง เวลานี้เห็นนางคลุมหน้าด้วยผ้าโปร่งสีขาว ทุกคนต่างพากันก้มหน้าก้มตาซุบซิบด้วยสายตาแตกต่างกันไป

ตงฟางจั๋วแววตาบึ้งตึงเอ่ยอย่างโกรธขึ้ง “เซี่ยงหลี! เจ้าพูดมากไปแล้ว!” แววตามืดสลัว ภายใต้คำเตือนนั้นมีแรงขุ่นเคืองปะทุออกมาอย่างไม่ปกปิด

หลางฉ่างเอ่ยอย่างไม่พอใจเช่นกัน “พิจารณาคนที่รูปร่างหน้าตา มิใช่สิ่งที่สุภาพบุรุษพึงกระทำ คำพูดของคุณชายเซี่ยงไม่ถูกต้อง”

“สตรีมีรูปโฉมงดงาม บุรุษมากความสามารถ กระหม่อมพิจารณาคนที่รูปร่างหน้าตา เหตุใดจึงไม่ควร?” บุรุษผู้นั้นยิ้มชั่วร้ายหน้าระรื่น รอยยิ้มในยามนี้ไม่จริงจังอย่างยิ่ง ชั่วขณะนั้นไม่สามารถคาดเดาได้ว่าประโยคที่เขากล่าวเป็นเรื่องจริงหรือเป็นเรื่องล้อเล่นกันแน่

หวั่นซินที่ยืนอยู่ด้านข้างขมวดคิ้ว กำลังจะปริปากพูดก็เห็นซูหลียกมือเลิกผ้าโปร่งบางขึ้น แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มเรียบเฉย “ซูหลีทำให้คุณชายเซี่ยงตกใจ ต้องขออภัยนะเจ้าคะ!”

ทันใดนั้นภายในลานวัดก็ตกอยู่ในความเงียบ ทุกคนต่างมองหญิงสาวตรงหน้าด้วยสีหน้าอึ้งงัน ผิวของนางอมชมพู หน้าตาดุจภาพวาด ริมฝีปากสีแดงได้รูปแต้มรอยยิ้ม ผมสยายทิ้งตัวดุจม่านน้ำตก นางมีรูปโฉมงดงาม! รอยยิ้มบนใบหน้าเซี่ยงหลีมลายหายไปทันที

“เจ้าคือซูหลีจริงหรือ?!” เขาตกอยู่ในภวังค์ครู่หนึ่ง “ข่าวลือเป็นเรื่องเข้าใจผิด!”

ซูหลียิ้มอ่อนๆ จะยกมือปาดเส้นผมบนหน้าผากออก แต่กลับถูกบางคนคว้ามือเอาไว้

“เวลานี้เซี่ยงหลีนึกเสียใจแล้วใช่หรือไม่?” คนที่พูดคือตงฟางเจ๋อ ไม่รู้ว่าเขาเดินไปอยู่ข้างกายซูหลีตั้งแต่เมื่อใด ขณะนี้เขากำลังหันหน้าไปส่งยิ้มบางๆ ให้นาง

“เสียใจๆ หากรู้แต่แรกกระหม่อมจะรีบส่งคนไปสู่ขอที่จวนอัครเสนาบดี!” รอยยิ้มของเขาปรากฏบนใบหน้าอีกครั้ง แต่แววตากลับมองไปยังตงฟางเจ๋อ

ซูหลีฟังออกว่าประโยคนี้ไม่ได้พูดจากใจจริง ก็ก้มหน้าหัวเราะทันที “ขอบคุณคุณชายเซี่ยงที่เมตตา เกรงว่าซูหลีคงไม่มีวาสนาที่จะรับไว้เจ้าค่ะ”

“ซูซูมีศีลธรรมและความสามารถล้ำเลิศ บุรุษในใต้หล้าเห็นเป็นต้องเลื่อมใส ถือเป็นบุญวาสนา เหตุใดจึงไม่คู่ควรที่จะรับไว้?” ตงฟางเจ๋อมองนางด้วยแววตาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เผยความรู้สึกออกมาอย่างไร้ซึ่งการปิดบัง

ซูหลีอึ้งงัน นางสามารถรับรู้ได้ว่าที่เซี่ยงหลีหยอกล้อนั้นเป็นจริงหรือเท็จได้อย่างง่ายดาย แต่กลับไม่สามารถแยกแยะความหมายในคำพูดของบุรุษตรงหน้านี้ได้เลย เขาไม่ยอมให้นางเผยปานที่ไม่เป็นมงคล เพราะมีจุดประสงค์บางอย่างหรือ?

ตงฟางจั๋วสีหน้ามืดครึ้มสุดขีด ในที่สุดก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป พลันเอ่ยเสียงทุ้ม “วันนี้พระอาจารย์ฮุ่ยกวงขึ้นเทศน์พระธรรม น้องหกตั้งใจมาฟังพระธรรมหรือมาก่อเรื่องวุ่นวาย?”

ตงฟางเจ๋อเก็บมือกลับอย่างไม่เป็นที่ผิดสังเกต หันไปมองตงฟางจั๋วและเอ่ย “ข้ามาย่อมมีธุระอยู่แล้ว เข้ามา!”

เสียงของเขาแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา ยกมือขึ้นโบกเบาๆ กลุ่มองครักษ์ถือดาบก็บุกประชิดเข้ามาจากทางด้านหลัง ปิดล้อมลานทั้งหมดอย่างรวดเร็วด้วยสีหน้าเคร่งขรึมน่าเกรงขาม ถือดาบตั้งท่าเตรียมพร้อม

ทุกคนในลานพลันสะดุ้งตกใจกับกำลังพลเหล่านี้ ผู้ใดกระทำผิด? เจิ้นหนิงอ๋องถึงกับต้องออกโรงจับด้วยตนเอง!

ซูหลีสบตากับหวั่นซินอย่างรวดเร็ว ในใจตั้งสติระมัดระวังเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว

ตงฟางจั๋วเอ่ยถามเสียงเยือกเย็น “น้องหกจัดกำลังพลมาเช่นนี้ จะจับใครงั้นหรือ?”

ตงฟางเจ๋อเอามือไพล่หลังไม่ตอบคำ เพียงออกคำสั่งเสียงเฉียบคม “พาตัวมา”

“พ่ะย่ะค่ะ” เว่ยซู่ขานรับพลางเดินขึ้นไปด้านหน้าพร้อมกับคุมตัวคนผู้หนึ่งมาด้วย ก่อนจะกดตัวคนผู้นั้นให้คุกเข่าลงกับพื้น ซูหลีมองอย่างละเอียด คนผู้นั้นเป็นพระภิกษุอายุน้อยซึ่งกำลังก้มหน้าด้วยท่าทางโกรธขึ้ง ไม่ส่งเสียงใดๆ

ตงฟางจั๋วขมวดคิ้วถาม “เขาคือใคร?”

“สายของเฉินเหมิน! เว่ยซู่ทำให้เขาพูดออกมาว่าในนี้ยังมีใครอีกที่เป็นคนของเฉินเหมิน” ตงฟางเจ๋อออกคำสั่งเสียงหนักแน่น แววตาเย็นเฉียบ กวาดตามองใบหน้าซูหลีและตงฟางจั๋ว ก่อนจะหยุดนิ่งอยู่ที่ใบหน้าหวั่นซิน

คนรอบๆ เมื่อได้ยินคำว่า ‘เฉินเหมิน’ ต่างก็กลั้นหายใจ กรีดร้องด้วยความประหลาดใจ สำนักที่เป็นที่หนึ่งในยุทธภพด้านการสังหาร ทุกคนต่างมีวิทยายุทธ์แข็งแกร่ง ฆ่าคนได้ในชั่วพริบตา! โดยเฉพาะสี่มือสังหารของเจ้าสำนักที่ผู้คนขนามนามว่าเป็นยมราชจากขุมนรก เมื่อได้รับคำสั่งไม่เคยผิดพลาดสักครั้ง ทุกคนสะดุ้งตกใจพากันถอยกรูดไปด้านหลัง

อารามฝอกวงมีคนของเฉินเหมินซ่อนตัวอยู่งั้นหรือ? เหตุใดจึงถูกเขาจับได้?! ซูหลีตกใจเล็กน้อย หางตาเหลือบมองไปยังหวั่นซิน เห็นใบหน้าของนางเป็นปกติ ท่าทางสงบมั่นคง

เว่ยซู่ใช้กระบี่ช้อนเข้าไปใต้ขากรรไกรของพระภิกษุ บังคับให้เขาเงยหน้า ประกายกระบี่เย็นยะเยือกชวนสั่นสะท้าน ส่องสะท้อนทำเอาพระภิกษุรูปนั้นสีหน้าซีดขาวดุจแผ่นกระดาษ แต่กลับเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “เจิ้นหนิงอ๋องอย่าใส่ความผู้อื่น อาตมาเป็นเพียงลูกศิษย์คนหนึ่งในอารามฝอกวง ไม่รู้ว่าเฉินเหมินคือสิ่งใด”

ตงฟางเจ๋อแสยะยิ้มเยือกเย็น “ไม่รู้งั้นหรือ? เว่ยซู่!”

“พ่ะย่ะค่ะ” กระบี่แหลมคมค่อยๆ กรีดเข้าไปที่เส้นเลือดบนมือของพระภิกษุ พระภิกษุตัวสั่นเทาทันใด ประกายโหดเหี้ยมพาดผ่านแววตาไปอย่างรวดเร็ว ปลายลิ้นพลันขยับหมายจะกัดบางสิ่ง

ตงฟางเจ๋อมีสีหน้าตระหนก ตวัดเท้าเข้าที่ขากรรไกรของคนผู้นั้นอย่างแรง

กระดูกขาไกรแหลกร้าว ฟันสามสี่ซี่ที่อาบย้อมไปด้วยเลือดตกกระทบพื้น หนึ่งในฟันเหล่านั้นมียาลูกกลอนสีดำเม็ดเล็กๆ สอดอยู่เม็ดหนึ่ง สีหน้าหวั่นซินเปลี่ยนไปเล็กน้อย เว่ยซู่เก็บเอายาเม็ดนั้นยื่นไปให้ตงฟางเจ๋อ

ตงฟางเจ๋อแววตาขึงขัง หัวเราะเสียงเบา “ยาสูตรลับ ‘จบชีพ’ ที่มีเฉพาะในสำนักเฉินเหมิน ใช้ฆ่าตัวตายในกรณีที่ภารกิจล้มเหลว ยังกล้าพูดว่าตัวเองไม่ใช่คนของเฉินเหมินอีกงั้นหรือ?”

ท้องฟ้าเดือนห้า แสงแดดส่องสว่าง สาดส่องอย่างอบอุ่น แต่อารมฝอกวงในยามนี้กลับปกคลุมไปด้วยความหนาวเหน็บ ความเย็นเข้าจู่โจมผู้คน ล้วนแต่ลือกันว่าจิ้งอันอ๋องเวลาโมโหนั้นน่าเกรงกลัว แต่ไม่มีผู้ใดรู้ว่าเวลาที่เจิ้นหนิงอ๋องยิ้มเช่นนี้ทำให้คนอกสั่นขวัญแขวนยิ่งกว่า กายใจสั่นสะท้านจนอวัยวะต่างๆ แทบจะแหลกร้าว

พระภิกษุเลือดท่วมปาก เจ็บจนดีดดิ้นกลิ้งไปทั่วพื้น พูดอะไรไม่ออก ทำได้เพียงจ้องเขาอย่างเกลียดชัง

ตงฟางเจ๋อแสยะยิ้มเย็นชา “ว่ามา ในนี้ยังมีใครอีก? เจ้าชี้มาหนึ่งคนข้าก็จะเหลือมือไว้ให้เจ้าหนึ่งข้าง มิเช่นนั้นข้าจะตัดให้ขาดทั้งแขนและขา ข้าจะทำให้เจ้าใช้ชีวิตอย่างอยู่ไม่สู้ตาย”

คนผู้นั้นถลึงตา ดวงตาทั้งคู่กวาดมองไปยังฝูงชนโดยอัตโนมัติ ซูหลีขมวดคิ้ว ตอนที่เหลือบมองหวั่นซินนางพบว่าแขนเสื้อของเซี่ยงหลีที่ยืนอยู่ข้างๆ กระเพื่อมเล็กน้อย ดวงตาจับจ้องไปที่พระภิกษุรูปนั้น สายตาที่กวาดมองมีไอสังหารเย็นเยียบพาดผ่านไปอย่างรวดเร็ว และหายไปทันทีที่กะพริบตา

นางตกตะลึงเล็กน้อย ความรู้สึกเมื่อครู่ดูคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก ไม่ทันได้ครุ่นคิดไปมากกว่านี้ แสงสีขาวเย็นยะเยือกอันน่าหวาดผวาก็แหวกอากาศเข้ามา พุ่งตรงไปทางพระภิกษุบนพื้นด้วยความเร็วอันน่าตกใจ

ทุกคนอยู่ในอาการตกตะลึง ตงฟางจั๋วและหลางฉ่างขยับตัวพร้อมกัน ขวางกั้นอยู่ด้านหน้าซูหลี หวั่นซินที่อยู่ด้านหลังรวบรวมลมปราณไว้บนฝ่ามือ คุ้มกันอยู่ข้างกายนาง

……………………………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด