ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记] 199 เก็บเงินไม่ทัน

Now you are reading ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记] Chapter 199 เก็บเงินไม่ทัน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 199 เก็บเงินไม่ทัน

ปีนี้ก็เหมือนกับปีก่อน ที่ต่างไปเห็นจะมีแต่ฉีฉีที่ปีก่อนยังอยู่ในท้องแม่ แต่ตอนนี้กลับหยิบจับของได้และพยายามตั้งไข่ยืนเองอยู่ เขาเดินเตาะแตะไปได้ 2 ก้าวก็ล้มลงไปคลานต่ออย่างร่าเริง

พวกเขาไปเยี่ยมญาติและต้อนรับแขกที่มาหาตามธรรมเนียมเช่นเคย

เพียงแค่ปีนี้ดูจะมีคนแวะมาเยี่ยมเยือนมากกว่าปีก่อนอย่างผิดหูผิดตา

นอกจากคนงานประจำที่สวน ทุกคนต่างก็มาทักทายวันปีใหม่ ซุนต้าซานกับเหอเจี่ยที่คอยดูแลร้านค้าในเมืองมหาวิทยาลัยก็แวะมาหาในวันที่สี่ของเทศกาลและนั่งคุยอยู่นานด้วย

แม้จะรู้จักซุนต้าซานกับเหอเจี่ยมาไม่ถึงปี แต่ก็เห็นว่าพวกเขามีชีวิตชีวากว่าแต่ก่อนมาก

โดยเฉพาะเหอเจี่ยที่มีน้ำมีนวลชวนมองขึ้นไม่น้อย ซุนต้าซานซึ่งเคยผอมแห้งก็มีกล้ามเนื้อขึ้นกว่าปีก่อน อาจเพราะในเมืองมีข้าวปลาอาหารให้กินอย่างอุดมสมบูรณ์

จี้เจี้ยนอวิ๋นให้เงินเดือนพวกเขาคนละ 30 หยวน และเงินค่าอาหารอีก 10 หยวน รวมแล้วได้ถึง 70 หยวน

เพราะพื้นที่ในร้านกว้างขวางพอ ด้านหน้าเป็นส่วนที่ใช้วางขายสินค้า ในขณะที่ด้านหลังสามารถเป็นอยู่อาศัย จึงช่วยให้ทั้งสองประหยัดค่าเช่าบ้านไปได้ เหลือเพียงค่าอาหารที่ต้องใช้จ่ายเท่านั้น

ทั้งเหอเจี่ยและซุนต้าซานเป็นคนมัธยัสถ์ ถึงอย่างไรทั้งสองก็ยังต้องหาเลี้ยงลูก ๆ และผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านอยู่ ซึ่งบีบให้พวกเขาต้องกินอยู่อย่างประหยัด

หากแต่พวกเขาก็ไม่ได้อดมื้อกินมื้อ พวกเขามักได้ทั้งไส้และตับกลับมาตอนที่ไปช่วยเชือดไก่ เพราะคนเมืองไม่ชอบกินเครื่องในเท่าไรนัก รวมถึงส่วนคอด้วย พวกมันจึงตกมาเป็นอาหารของพวกเขาแทน

อีกทั้งยังหาวัตถุดิบทำอาหารได้สะดวกเพราะมีร้านขายผักอยู่ข้าง ๆ ซื้อแค่กำหนึ่งในตอนเช้าพวกเขาก็อยู่ได้ทั้งวันแล้ว

นาน ๆ ทีทั้งสองจะซื้อไข่มาเก็บไว้ทำไข่คน เรียกได้ว่าความเป็นอยู่ที่นี่ค่อนข้างสุขสบาย ส่วนใหญ่ใช้เงินไปแค่เดือนละราว ๆ 4 หยวนเท่านั้น ด้วยขอแค่มีกินไม่ขาดมื้อ และไม่ได้อยู่กินลำบากเกินไปนักก็พอ

ทุกเดือนจึงเหลือเงินถึง 66 หยวน หลังส่งกลับบ้านไป 30 หยวน ก็ยังเหลือติดตัวอีกตั้ง 36 หยวน

ตอนนี้ทั้งซุนต้าซานกับเหอเจี่ยมีการงานมั่นคง เมื่อรวมเงินส่วนที่เก็บออมในช่วงนี้กับส่วนที่มีอยู่แต่เดิมก็เท่ากับเกือบ 500 หยวนแล้ว นับได้ว่าเป็นเงินก้อนใหญ่ทีเดียว

ถึงจะเป็นเงินจำนวนมาก แต่หากต้องการซื้อบ้านในเมืองมหาวิทยาลัยก็ยังไม่เพียงพอ

ตอนที่ซุนต้าซานกับเหอเจี่ยแวะมาทักทายช่วงปีใหม่ จี้เจี้ยนอวิ๋นก็ถามถึงเรื่องนี้ “พวกพี่อยากซื้อบ้านที่เมืองมหาวิทยาลัยกันไหมครับ? แถวร้านมีชุมชนอยู่ ขี่จักรยานไป 15 นาทีก็ถึงร้านแล้ว แถมยังมีโรงเรียนด้วยนะครับ”

จี้เจี้ยนอวิ๋นเองก็รู้สึกผิดที่พวกเขาไม่ได้กลับไปเจอครอบครัวในวันหยุดฤดูหนาวและวันหยุดฤดูร้อน ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นคนงานในความดูแลของตน

ซุนต้าซานกับเหอเจี่ยคิดเรื่องนี้มานานแล้ว พวกเขาอยู่ที่เมืองมหาวิทยาลัยมานาน เห็นว่าเมืองเจริญเพียงไหน ถึงอยากอยู่ต่อไปเรื่อย ๆ อีกทั้งร้านค้าของจี้เจี้ยนอวิ๋นขายดีเป็นเทน้ำเทท่าอย่างนี้ รายได้ของพวกเขาก็คงมั่นคงไม่น้อย

แม้จะคิดเรื่องนี้มานาน หากแต่เงินที่พวกเขาเก็บได้ตอนนี้ก็ยังไม่สามารถซื้อบ้านในเมืองมหาวิทยาลัยได้

จี้เจี้ยนอวิ๋นเสนอเมื่อเห็นท่าทางลำบากใจของคนทั้งคู่ “ถ้าอยากซื้อ เดี๋ยวปีหน้าฉันพอมีเงินเหลือแล้วจะให้ยืมเอง”

“ไม่ได้หรอก” ซุนต้าซานรีบปฏิเสธ

เหอเจี่ยออกปากห้ามเช่นกัน “ไม่ต้องหรอกจ้ะ เราสองคนค่อย ๆ เก็บเงินกันก็ได้ ยังไงเราก็เหลือเงินเก็บมากอยู่แล้ว”

ถ้าเก็บเดือนละ 36 หยวน รวมปีหนึ่งจะได้ราว 400 หยวน ไม่นานก็คงจะเก็บได้ถึงเป้า

“แล้วจะเก็บเงินได้ทันราคาบ้านที่จะขึ้นเหรอคะ?” ซูตานหงบอก “ฉันได้ยินจากพี่หงมาว่าช่วงนี้ภาครัฐกำลังพัฒนาเมือง ดูสิ ขนาดแถวบ้านเรายังมีโรงงานมาตั้งกันเพียบเลยไม่ใช่เหรอคะ?”

ช่วงนี้โรงงานผุดงอกเป็นดอกเห็ดจริง ๆ ทั้งโรงงานทำเสื้อผ้า รองเท้า และอื่น ๆ อีกมากมาย ราคาสินค้าแถบนี้จึงแพงขึ้นมาก

อย่างเนื้อสัตว์ที่ขึ้นราคาในช่วงปีใหม่ปีนี้

ด้วยเหตุนี้จี้เจี้ยนอวิ๋นจึงเห็นโอกาสทางธุรกิจ และตัดสินใจเลี้ยงหมูจาก 21 ตัวเพิ่มเป็น 30 ตัว

ส่วนราคาบ้านก็ปรับขึ้นอีกแล้ว แม้จะไม่มากแต่ก็เป็นไปอย่างต่อเนื่อง

“แต่ว่าตอนนี้ผมยังไม่มีเงิน ถ้าคุณต้องการเดี๋ยวผมจะให้ยืมช่วงกลางปีแล้วกันนะครับ” จี้เจี้ยนอวิ๋นบอก

ช่วงเดือนหกถึงเดือนเจ็ดเป็นฤดูกาลผลไม้ จึงมีรายได้มหาศาลจากการขายผลผลิต หากสองสามีภรรยามีบ้านในเมืองมหาวิทยาลัย ถึงเวลานั้นจะได้ยกครอบครัวมาอยู่ด้วยกันได้ พวกเขาจะได้ไปทำงานได้อย่างสบายใจ

“ได้สิ!”

ซุนต้าซานรับคำทันที

ระหว่างทางกลับมาหาลูก ๆ เหอเจี่ยก็เอ่ยขึ้น“ทำไมคุณถึงตกลงไปล่ะคะ? ถึงตอนนั้นเราก็ยังเก็บเงินกันไม่ได้มากอยู่ดี แล้วก็ต้องยืมเงินเจี้ยนอวิ๋นเพิ่มอีกตั้งเยอะนะคะ!”

หล่อนถึงขั้นต้องนับนิ้ว

ราคาบ้านมันตั้ง 3,000 หยวนเชียวนะ

สมัยนี้เงิน 300 หยวนหรือ 30 หยวนยังถือว่าเยอะแล้ว นับประสาอะไรกับ 3,000 หยวน ใคร ๆ ก็รู้ว่าเป็นเงินก้อนโตขนาดไหน!

“ผมอยากพาพ่อแม่กับลูก ๆ มาอยู่ด้วยกันครับ ผมชอบที่นั่น” ซุนต้าซานบอก

บางวันที่ขายของหมดเร็วเขาก็จะออกไปเดินเล่น และพบว่าชอบเมืองนี้มากกว่าบ้านเกิดของเขา หากมีบ้านก็จะพาครอบครัวย้ายมาอยู่ที่เมืองมหาวิทยาลัยแห่งนี้ได้

เขาเดินสำรวจรอบเมืองแล้ว ที่นี่มีโรงเรียนครบทุกระดับชั้น ตั้งแต่ประถม มัธยมต้น ไปจนถึงมัธยมปลาย อีกทั้งคุณภาพการเรียนการสอนก็ดีกว่ามาก ต่อให้ซื้อบ้านได้แค่หลังเล็ก ๆ ก็ไม่เป็นไร ประเด็นสำคัญคือการได้อยู่ที่เมืองนี้ต่างหาก และเขาก็ไม่คิดจะกลับไปอยู่ที่บ้านเกิดอีกแล้ว

เหอเจี่ยจึงไม่ได้ออกความเห็นอะไร

หล่อนชอบเมืองมหาวิทยาลัยไม่น้อยหลังอยู่มานานเช่นกัน แต่ก็อดเป็นห่วงลูก ๆ ที่บ้านเกิดไม่ได้

“ผมว่าเจี้ยนอวิ๋นคงอยากให้เรายืมเงินจริง ๆ นะ ผมเลยไม่อยากขัด ไว้ค่อยให้เขาหักจากเงินเดือนของเราก็ได้ครับ” ซุนต้าซานว่าขึ้น

สิ่งสำคัญก็คือเขารู้สึกกังวลเมื่อได้ยินเรื่องที่ซูตานหงบอก ต่อให้พวกเขาจะเก็บเงินเร็วแค่ไหนแต่ก็คงไม่ทันราคาบ้านที่พุ่งสูงขึ้น ราคาที่เขารู้มาเมื่อ 5 เดือนก่อนต่างกับราคาปัจจุบันมาก แม้จะขึ้นเพียงตารางเมตรละไม่กี่หยวน แต่สำหรับบ้าน 100 ตารางเมตร เมื่อคูณกันไปราคาก็ขึ้นมาหลายร้อยหยวน ซึ่งเป็นจำนวนเงินพอ ๆ กับที่พวกเขาเก็บได้ทั้งปีเลยทีเดียว!

…………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

เป็นเจ้าของกิจการแล้วยังเป็นเจ้าพ่อเงินกู้ด้วย รวยเละไปเลยค่ะพี่จี้

ไหหม่า(海馬)

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด