ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记] 263 ไม่ชอบทำงานกับญาติที่ไม่คุ้นเคย

Now you are reading ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记] Chapter 263 ไม่ชอบทำงานกับญาติที่ไม่คุ้นเคย at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 263 ไม่ชอบทำงานกับญาติที่ไม่คุ้นเคย

หลังจากเปิดร้านในมืองไปแล้ว ในทุกสัปดาห์ช่วงแรก ๆ จี้เจี้ยนอวิ๋นก็เข้าไปที่ร้านทุกวัน

รอให้จี้เฟิงกับย่าของเขาทำงานได้ลงตัวในหลาย ๆ อย่างก่อน จากนั้นก็แค่สั่งคนให้เอาของออกไปส่ง

สองย่าหลานย้ายมาอาศัยอยู่ที่ร้านแล้ว เพราะในร้านสามารถให้คนอาศัยอยู่ได้ ภายในร้านก็มีข้าวของเครื่องใช้ครบครัน

สองย่าหลานได้เงินเดือน 50 หยวน สำหรับพวกเขาทั้งสองแล้วนั่นถือว่าเป็นเงินที่เยอะมาก แต่จี้เจี้ยนอวิ๋นกลับยังคิดว่ามันอาจจะยังไม่เหมาะสม

ร้านนี้ไม่ได้ขายดีมาก แต่ก็ไม่ได้แย่อะไร กำไรสุทธิในหนึ่งเดือนอยู่ที่ประมาณ 100 หยวน และหลังจากหัก 50 หยวนจากเงินเดือนของพวกเขาไปแล้ว จี้เจี้ยนอวิ๋นก็ยังมีเงินเหลืออยู่ครึ่งหนึ่ง

มันเป็นเงินเล็ก ๆ น้อย ๆ สำหรับจี้เจี้ยนอวิ๋น ซึ่งเขาไม่ได้สนใจมากนัก เพราะเขาแค่ต้องการซื้อทรัพย์สินเพิ่มเพื่อเก็บสะสมไว้

นอกจากนี้ในปีหน้าสวนผลไม้แห่งที่ 3 ก็จะสร้างฟาร์มไก่ขนาดใหญ่ ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าสวนผลไม้แห่งที่ 1 และ 2

เนื่องจากคุณพ่อจี้และคุณแม่จี้อาศัยอยู่ในสวนผลไม้แห่งแรก จี้เจี้ยนอวิ๋นจึงไม่กล้าเลี้ยงไก่มากเกินไปเพราะกลิ่นค่อนข้างแรง ดังนั้นที่นั่นจึงมีไก่ไม่มากนัก แค่ร้อยกว่าตัวเท่านั้น ขณะที่สวนผลไม้แห่งที่ 2 ก็มีการเลี้ยงไก่อยู่บ้าง แตกต่างตรงที่สวนผลไม้แห่งแรกเลี้ยงแพะมากกว่า 20 ตัว สวนผลไม้ที่ 2 จึงเพิ่มหมูมาอีก 10 ตัว

แต่สวนผลไม้แห่งที่ 3 นี้เขาไม่คิดจะเลี้ยงอะไรอย่างอื่นนอกจากไก่

ช่วงนี้ค่อนข้างยุ่ง ผลไม้ทุกชนิดบนภูเขาก็อุดมสมบูรณ์ แต่ถึงอย่างนั้นจี้เจี้ยนอวิ๋นก็เชิญคนขายเนื้อหลี่มาเชือดหมู 10 ตัวของเขาในช่วงเวลานี้

คนขายเนื้อหลี่ไม่ค่อยเข้าใจนัก ตอนนี้หมูกำลังอยู่ในช่วงเริ่มโต ทำไมถึงให้เขามาเชือดแล้วล่ะ?

จี้เจี้ยนอวิ๋นไม่คิดจะปิดบังเขา เพราะที่บ้านของคนขายเนื้อหลี่ก็มีหมูอยู่ 2 ตัว “ตอนนี้ราคาเนื้อหมูกำลังดี ขายได้ก็อยากจะขาย ถ้ารอถึงตรุษจีนแล้วกลัวว่าราคามันจะตกลงมาน่ะครับ”

“ไม่มีเหตุผลอะไรที่ราคาหมูจะตกในช่วงตรุษจีนหรอก ขนาดปีที่แล้วหมูยังราคาขึ้นสูงมากเลยนะ” คนขายเนื้อหลี่กล่าว

“ปีที่แล้วก็คือปีที่แล้ว แต่ตลาดของปีนี้ลุงต้องเชื่อผมนะครับ กลับไปถึงบ้านลุงก็เชือดหมูแล้วเอาเนื้อไปขายเลย ตอนนี้มันทำเงินสุด ๆ แล้ว” จี้เจี้ยนอวิ๋นว่า

ราคาเนื้อหมูตอนนี้ถือว่าแพงอยู่มาก หนึ่งชั่งก็ปาเข้าไป 1.6 ถึง 1.7 หยวน มันราคาลงลดมากจากเดือนที่แล้วที่ราคา 2 กว่าหยวนต่อหนึ่งชั่ง

จี้เจี้ยนอวิ๋นรู้สึกว่าราคามันจะลดลงไปทุกวันเช่นนี้เรื่อย ๆ

ดังนั้นถ้ารีบเชือดหมูของเขาได้ก็ควรจะรีบเชือดมันเสีย

หมู 10 ตัวใช้เวลาเชือด 3 วัน เพียงแค่เดี๋ยวเดียวก็เชือดหมดแล้ว จากนั้นก็เหลือเนื้อบางส่วนเอาไว้กิน ส่วนอื่น ๆ นั้นนำออกขายจนหมดอย่างรวดเร็ว เนื้อของเขาล้วนถูกส่งเข้าไปที่เมืองมหาวิทยาลัย จึงไม่ต้องกังวลเรื่องการขายแต่อย่างใด

เมื่อคนในหมู่บ้านเห็นว่าจี้เจี้ยนอวิ๋นล้มหมู ก็มีคนไม่น้อยที่เข้ามาถาม จี้เจี้ยนอวิ๋นจึงพูดว่าเขาคาดเดาไว้เช่นนี้ เลยตัดสินใจเชือดหมูก่อน

มีสองครอบครัวที่เชื่อมั่นในตัวของจี้เจี้ยนอวิ๋น จึงจัดการเชือดหมูทุกตัวที่บ้านของตัวเองไปขาย จี้เจี้ยนอวิ๋นทำอะไรพวกเขาก็จะทำตามแบบนั้น!

แต่ก็มีเพียงแค่สองครอบครัวเท่านั้นที่ทำ ส่วนคนอื่น ๆ ที่เหลือไม่ได้ทำตาม

น่าตลกสิ้นดี หมูกำลังอยู่ในช่วงกำลังโต จะเชือดเลยมันน่าเสียดายจะตายไป

อวิ๋นลี่ลี่ก็ได้โทรไปหาแม่ของหล่อนก่อนที่พี่สามีสามของตนจะเชือดหมู ก่อนหน้านี้ที่ซูตานหงบอก หล่อนก็โทรไปหาแล้วครั้งหนึ่ง ครั้งนี้จึงเป็นครั้งที่ 2 ที่เป็นการสั่งให้แม่ของหล่อนเชือดหมู

แต่ในครั้งนี้แม่ของหล่อนเรียกพี่ใหญ่ให้มารับสาย

“พี่ใหญ่ ฉันบอกกับพี่เลยนะ พรุ่งนี้พี่สามีสามของฉันจะเชือดหมู เชือดหมดเลยทั้ง 10 ตัว เพราะเขาคาดว่าต่อไปราคาหมูจะตก พี่กับพี่รองรีบไปเชือดหมูกันเถอะ!” อวิ๋นลี่ลี่กล่าว

เธอเองก็เชื่อในวิสัยทัศน์ของพี่สามีสาม ธุรกิจอยู่ในมือเขามากมายขนาดนี้ เขาจะดูไม่ออกได้อย่างไรล่ะ?

“ตอนนี้ราคาหมูลดลงมาไม่น้อยเลย นี่ก็เชือดเยอะแล้วนะ” พี่ชายใหญ่อวิ๋นกล่าว

“พี่ใหญ่ พี่ลองฟังความคิดพี่สามีสามของฉันก็ไม่ผิดอะไรนะคะ พี่รีบเชือดเลยเถอะ เพราะคนที่คิดแบบพี่มีเยอะมาก ถ้าถึงตอนนั้นที่มีแต่เนื้อหมูเต็มตลาด พี่คิดดูสิว่าราคาเนื้อหมูมันจะสูงไปได้ขนาดไหนเชียว? ถ้าเชือดตอนนี้พี่ก็ยังพอได้ต้นทุนที่ลำบากทุ่มเทเลี้ยงพวกมันคืนมาบ้าง แต่ถ้าไม่เชือดตอนนี้ก็จะต้องขาดทุนไปอีกเยอะเลยนะคะ!” อวิ๋นลี่ลี่กล่าว

ก่อนหน้านี้พี่ชายใหญ่อวิ๋นอยากจะบอกน้องสาวว่าไม่ต้องโทรมาคุยเรื่องเชือดหมูอีกแล้ว แต่พอได้ยินสิ่งที่หล่อนพูดผ่านโทรศัพท์ก็เกิดความลังเล

ปีที่แล้วน้องสามจี้ทำเงินได้เยอะมาก อาจจะถึง 1 หรือ 2 หมื่นหยวนเลยด้วยซ้ำ แต่พอมาปีนี้ขนาดหมู 10 ตัวเขาก็ยังเชือดทิ้ง นี่อาจจะเป็นสัญญาณอะไรบางอย่างจริง ๆ

เมื่อพี่ใหญ่อวิ๋นกลับมาพูดเรื่องนี้ สะใภ้ใหญ่อวิ๋นเองก็เริ่มลังเล

ความลังเลกินเวลาไป 4 ถึง 5 วัน ช่วงเวลานั้นเองราคาเนื้อหมูก็ลดลงมาเรื่อย ๆ แต่ลดลงมาค่อนข้างน้อย ซึ่งในเมืองเจียงสุ่ยยังมีราคาอยู่ที่ 1.6 ถึง 1.7 หยวน

ถ้าเชือดหมูตอนนี้ก็เท่ากับเป็นการตัดตอนความพยายามที่พวกเขาทำมาครึ่งปี หากตัดทิ้งเรื่องเงินทุนไป ก็จะสามารถทำเงินได้หลายร้อยหยวนเลยทีเดียว

“หรือว่าเราควรรอไปอีกสักพักแล้วค่อยเชือดดีคะ?” สะใภ้ใหญ่อวิ๋นขบฟันพูด

“ไม่ เชือดตอนนี้เลย!” พี่ใหญ่อวิ๋นส่ายหัว

เขาจินตนาการว่าหากราคาเนื้อหมูลดลงต่ำกว่าหนึ่งหยวนต่อชั่งในช่วงสิ้นปีเมื่อใด แม้แต่เงินทุนก็อาจจะไม่ได้คืนด้วยซ้ำ ถึงตอนนั้นบ้านเขาต้องล้มละลายแน่นอน!

ไม่เพียงแค่เขาเองที่จะเชือดหมู เขายังไปหาน้องชายรอง อยากจะให้เชือดไปพร้อม ๆ กัน

“พี่ใหญ่โง่หรือเปล่า หมูมันกำลังโต พี่จะเชือดมันเลยเหรอ?” พี่ชายรองอวิ๋นตอบอย่างไม่เห็นด้วย

พี่ใหญ่อวิ๋นจึงเล่าเรื่องที่อวิ๋นลี่ลี่พูดทางโทรศัพท์ให้ฟังอีกครั้ง พี่รองอวิ๋นโบกมือไปมา “ถ้าพี่จะเชือดก็เชือดไปเถอะ ผมไม่เชือดหรอก!”

ในที่สุดพี่ใหญ่อวิ๋นจึงเชือดหมูของเขาไป หลังจากคำนวณเงินทั้งหมดก็พบว่านอกจากต้นทุนแล้วเขาก็ทำเงินได้มากกว่า 100 หยวน ซึ่งถือเป็นรายได้ที่ต่ำมาก ถึงอย่างนั้นเขาก็มีหมูอยู่แค่ไม่กี่ตัว

แต่ไม่รู้ว่าทำไม หลังจากที่หมูถูกเชือด เขากลับรู้สึกมั่นใจ

หลังจากนั้นเขาก็นำเงินทุน 250 หยวนคืนให้กับคุณพ่ออวิ๋นคุณแม่อวิ๋น ซึ่งเป็นเงินที่ทั้งสองให้เขายืมมาลงทุนก่อนหน้านี้ ตอนนี้ก็ถือว่าได้คืนทุนแล้ว

ก่อนหน้านี้สะใภ้ใหญ่อวิ๋นยุ่งทั้งวัน พอตอนนี้ไม่ต้องเลี้ยงหมูแล้วก็ว่างขึ้นมาทันที จึงเอ่ยขึ้นว่า “ตอนนี้เราจะหาอะไรมาเลี้ยงดีล่ะ?”

“ผมได้ยินลี่ลี่พูดว่าพี่สามน้องเขยให้ค่าจ้างคนงานตั้ง 40 หยวนต่อเดือนแน่ะ” พี่ใหญ่อวิ๋นพูด

“คุณอยากไปทำงานที่ชนบทเหรอ?” สะใภ้ใหญ่อวิ๋นพูดสวนขึ้นมาทันที

“ชนบทแล้วยังไง ผมมองว่าชนบทก็ไม่ได้แย่ไปกว่าที่เราอยู่หรอก!” พี่ใหญ่อวิ๋นขึ้นเสียง “ผมแค่อยากจะลองไปดู ถ้ามันได้ ค่อยมารับคุณไปด้วย ส่วนลูกเราก็ให้อยู่กับคุณพ่อคุณแม่ที่นี่”

“งั้นคุณก็โทรหาน้องสาวคุณเลยค่ะ” สะใภ้ใหญ่อวิ๋นกล่าว

โชคดีที่ถึงแม้หล่อนจะเคยเห็นหน้าน้องสาวของสามีอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้ฉีกหน้าอีกฝ่าย ไม่อย่างนั้นจะไปคาดหวังอะไรในตอนนี้ได้อีก?

อวิ๋นลี่ลี่ได้รับโทรศัพท์แล้วก็มีอาการกังวลเล็กน้อย พี่ชายใหญ่ของหล่อนเชือดหมูแล้วถือเป็นเรื่องที่ดี แต่การที่พี่ใหญ่ของหล่อนจะมาทำงานกับพี่สามของสามีที่นี่ มัน…

“ฉันขอไปถามเขาก่อน แต่พี่ใหญ่อย่าคาดหวังมากนะ เพราะที่นี่มีคนเยอะมากเลยค่ะ” อวิ๋นลี่ลี่กล่าว

“ได้ เธอไปถามก่อนแล้วกัน” พี่ใหญ่อวิ๋นตอบ

อวิ๋นลี่ลี่รู้สึกเกรงใจ แต่พี่ชายคนโตของหล่อนไม่ได้อยู่สุขสบายเลย เขาแต่งงานไว มีลูก 3 คนตั้งแต่ตอนที่ยังไม่มีการวางแผนครอบครัว เป็นลูกชาย 2 คนลูกสาว 1 คน กำลังอยู่ในวัยเข้าโรงเรียนทั้งหมด นับเป็นความกดดันไม่น้อย

ในที่สุด อวิ๋นลี่ลี่ก็มาพูดกับซูตานหง

ซูตานหงไม่ได้เอ่ยคำพูดตกลงอะไร อันที่จริงถ้าเธอตัดสินใจแล้ว เธอจะปฏิเสธโดยไม่พูดอะไร เพราะเธอไม่ชอบทำงานกับญาติที่ไม่คุ้นเคย

เธอไม่รู้จักพี่ชายคนโตของและพี่สะใภ้ใหญ่ของอวิ๋นลี่ลี่

ตั้งแต่ตอนที่จี้เจี้ยนเหวินกลับมายืมเงิน 500 หยวนเพื่อไปใช้หนี้ให้ทางบ้านแม่ของหล่อน ก็ไม่มีเรื่องไหนที่จะเข้าหน้ากันติดเลย

ไม่เช่นนั้นจี้เจี้ยนเหวินจะสามารถนำเงินไปคืนได้เหรอ? มันใช้เวลาเพียงครึ่งปีเองนะ

แต่เธอก็ไม่ได้หักหาญน้ำใจไปแบบนั้น พูดแค่ว่า “รอจี้เจี้ยนอวิ๋นกลับมาก่อน พี่จะไปพูดกับเขาให้นะจ๊ะ”

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

รู้สึกถึงความยุ่งเหยิงที่จะเกิดขึ้นในวันข้างหน้าอย่างไรไม่รู้ พี่ชายลี่ลี่นี่จะดีไหมนะ ทำไมมันสังหรณ์ใจแปลก ๆ

ไหหม่า(海馬)

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด