ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记] 96 บทเรียนจากอดีต

Now you are reading ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记] Chapter 96 บทเรียนจากอดีต at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 96 บทเรียนจากอดีต แต่ละวันดูแจ่มใสปลอดโปร่งมากขึ้นเรื่อย ๆ ทันทีที่เห็นว่าวันไหนอากาศดี ซูตานหงก็ย้ายกระถางเบญจมาศจากบ้านคุณป้าหูออกมารับแดด หลังการฟูมฟักในโรงเรือนช่วงฤดูหนาว เบญจมาศเหล่านี้ที่เคยมีสภาพไม่สมประกอบก็มีลำต้นชะลูดขึ้นพร้อมกับแตกกิ่งก้านใบแลดูแข็งแรงงดงามเขียวชอุ่ม ช่างดูดีอย่างมากทีเดียว “ตานหง เบญจมาศพวกนี้คืออะไรน่ะ?” คุณแม่จี้เห็นกระถางเบญจมาศที่วางตั้งรับแดดเข้าพอดีหลังจากนำเนื้อไปส่งให้สองครอบครัวนั้นเสร็จ แล้วนางก็นึกขึ้นได้ว่าที่บ้านนี้มีเบญจมาศอยู่หลายกระถางทีเดียว เรื่องนี้ถือว่าเป็นเรื่องดีเช่นกัน หากปลูกเลี้ยงได้ดีก็จะมีโอกาสได้ร่วมงานกับตระกูลหูในอนาคต ซึ่งมันก็เป็นวิธีหาเงินที่ดีอีกวิธีหนึ่งใช่ไหมล่ะ? ตอนนี้ในครอบครัวมีทั้งเด็กโตและเด็กเล็กอาศัยอยู่จึงมีค่าใช้จ่ายเป็นจำนวนมาก ดังนั้นการหาเงินให้มากขึ้นถือเป็นเรื่องสำคัญไม่ใช่หรือ? ครั้นได้ยินคำถามของคุณแม่จี้ ซูตานหงก็มองเบญจมาศพวกนี้อย่างละเอียด แล้วกล่าวว่า “ถ้าฉันคิดไม่ผิด กระถางนี้น่าจะเป็นพันธุ์หงฉิว ส่วนกระถางนี้น่าจะเป็นพันธุ์จิ๋นอวิ๋น แล้วก็กระถางนี้น่าจะเป็นพันธุ์เทียนโฉ่วน่ะค่ะ” “แล้วกระถางนี้ล่ะ? กระถางที่สี่นี่ดูโตช้าที่สุดเลยนะ อีกสามกระถางสูงชะลูดกันหมดแล้ว แต่เบญจมาศต้นนี้กลับไม่ค่อยโตเลย!” คุณแม่จี้ไม่มีความรู้เรื่องนี้ นางจึงไม่เห็นความแตกต่างระหว่างเบญจมาศทั้งสี่กระถาง เมื่อเห็นเบญจมาศกระถางที่สี่มีลักษณะด้อยกว่ากระถางอื่นนางก็มองว่ามันเป็นเบญจมาศกระถางที่นางห่วงมากที่สุด ต้องทราบก่อนว่าตานหงพนันกับคุณป้าหูเอาไว้ว่าถ้าปลูกเลี้ยงเบญจมาศให้เติบโตดีทั้งหมดไม่ได้ ฝ่ายนางจะแพ้พนัน ซึ่งถ้าพวกนางไม่ชนะพนันแต่เป็นฝ่ายแพ้ล่ะก็ รายได้ร้อยละยี่สิบของสวนผลไม้คงต้องเสียไป “คุณแม่ไม่ต้องกังวลไปค่ะ ต้นนี้น่าจะเป็นพันธุ์ไอ๋เจี่ยวหวง พันธุ์นี้จะมีลักษณะเตี้ยแคระแบบนี้แหละค่ะ รอให้ดอกของมันบานก่อน เมื่อถึงตอนนั้นมันจะดูดีและสวยกว่านี้แน่นอนค่ะ ไม่ต้องกังวลนะคะ” คุณแม่จี้ได้ยินที่เธอพูดก็เห็นว่ามันสมเหตุสมผลและมีหลักการดี จากนั้นนางก็มองเบญจมาศกระถางนั้นอีกครั้ง ต่อให้โตช้ากว่าต้นอื่นเล็กน้อย แต่มันก็เจริญเติบโตดีเช่นกัน ส่วนสาเหตุที่ว่าทำไมซูตานหงถึงรู้เรื่องนี้ คุณแม่จี้ก็คิดว่าเป็นเพราะเซียนจิ้งจอกที่บอกเรื่องนี้ นางจึงไม่ได้ถามอะไรมากนัก เพียงแต่ถอนหายใจ “งั้นเธอก็อย่าปล่อยให้เยียนเอ๋อร์หรือคนอื่น ๆ มาหักเล่นแล้วกัน” ซูตานหงน่าจะกันไว้อยู่ เพราะทั้งเยียนเอ๋อร์กับเหรินเหรินต่างไม่มาที่สวนหลังบ้านนี้เลย พูดถึงเหรินเหรินแล้ว ตอนนี้เด็กชายอายุได้เกือบหกเดือนพอดี เป็นเพราะได้รับการเลี้ยงดูมาอย่างพิถีพิถันจากซูตานหงผู้เป็นแม่ เด็กชายตัวน้อยผู้อ้วนท้วนคนนี้จึงมีลักษณะที่ดีมาก โดยทั่วไปแล้วเด็กเล็กจะนั่งได้ดีเมื่อถูกสอนให้นั่ง ซึ่งเขาก็นั่งได้อย่างเรียบร้อย แต่ก็ซุกซนอยู่ไม่สุขเช่นกัน หลังนั่งไปได้ครู่หนึ่งเขาก็อยากจะออกไปสำรวจทุกหนทุกแห่ง แต่โชคไม่ดีที่เขายังเล็กอยู่ ดังนั้นไม่ว่าเขาจะพยายามลุกขึ้นเดินอย่างไร เขาก็จะล้มคะมำลงทุกครั้ง แต่โชคดีที่บนเตียงมีเบาะกันกระแทกอยู่ เขาจึงไม่ร้องไห้เมื่อหกล้มลงบนเตียงเตา ส่วนเยียนเอ๋อร์ที่ถูกเลี้ยงที่นี่ก็พูดได้คล่องขึ้น แต่ก็มีปัญหาหนึ่งที่แก้ไม่ตกคือการที่เด็กหญิงยังเรียกเธอว่าแม่อยู่ “คุณแม่คะ แอปเปิลที่บ้านหมดแล้วค่ะ ถ้าแม่มีเวลาก็บอกกับพี่ชายรองของฉันให้ไปซื้อมาให้อีกลังหน่อยนะคะ” ซูตานหงเอ่ยกับคุณแม่จี้ การมีพี่ชายรองซูมาอยู่ที่นี่ทำให้เธอสามารถซื้อของเข้าบ้านได้สะดวกสบายมากขึ้น ตอนนี้นอกจากจะขายไก่กับไข่แล้ว พี่ชายรองซูยังมาที่หมู่บ้านของเธอตั้งแต่เช้าตรู่เพื่อมารับผักผลไม้ตามฤดูกาลไปขายอีกด้วย ดังนั้นถ้าอยากจะซื้อเนื้อหรือของอะไรสักอย่าง เธอก็สามารถฝากให้เขาซื้อได้ และเขาจะซื้อกลับมาให้ในเช้าอีกวันหนึ่ง ถ้าเกิดมีของที่เขาต้องการจะซื้อ เขาก็สามารถนำกลับไปที่บ้านได้ ถึงตอนนี้แม้แต่คุณแม่จี้ก็ยังบอกว่ารถสามล้อนี้ใช้งานได้คุ้มค่าจริง ๆ แม้ในยุคนี้ผู้คนจะยังใช้วิธีเดินเท้าได้ และถนนที่จะไปสู่เมืองก็ไม่ได้ไกลขนาดนั้น แต่มันก็ใช้เวลาไปกลับราวหนึ่งชั่วโมงเลยทีเดียว บวกกับเวลาที่ซื้อหรือขายของแล้ว มันก็ต้องใช้เวลาไปอีกหนึ่งชั่วโมงครึ่ง เสียเวลาไปมากขนาดไหนกัน? ยิ่งไปกว่านั้น จำนวนไก่ที่นำไปขายในเมืองก็ค่อนข้างคงที่ โดยเฉลี่ยแล้วจะอยู่ที่สามตัวต่อวัน และทำรายได้เกือบสิบหยวนต่อวัน ซึ่งซูจิ้นตั๋งกันออกไปหนึ่งหยวน ก็จะเหลือเงินราวแปดถึงเก้าหยวนต่อวัน คิดเป็นต่อเดือนคือมากกว่าสองร้อยหยวน นี่ก็เป็นเพราะให้พี่ชายที่ไว้วางใจเป็นคนทำบัญชี หากมอบงานนี้ให้คนอื่นแล้วผลลัพธ์จะเป็นแบบนี้เหรอ? และด้วยนิสัยของซูจิ้นตั๋งแล้ว เขาก็เห็นคุณพ่อจี้กับคุณแม่จี้ในสายตาด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ซูจิ้นตั๋งยังจำทุกบัญชีได้อย่างแม่นยำ เขาจึงทำการแยกบัญชีออกเป็นสองเล่ม ต่อให้เป็นพี่ชายน้องสาวกัน พวกเขาก็ต้องทำบัญชีแยกกันให้ชัดเจน มีพี่ชายรองที่เข้าใจอะไรแบบนี้แล้วซูตานหงก็รู้สึกพอใจเช่นกัน เพราะพี่ชายรองของเธอรู้ดีว่าต่อให้ปฏิบัติกับคุณแม่จี้อย่างแม่สามี นางก็ไม่ใช่คนเข้าหายากขนาดนั้น เธอสามารถแสดงบัญชีให้คุณแม่จี้ดูโดยตรงได้เลย คุณแม่จี้เองก็เคยเรียนหนังสือในตอนยังสาวอยู่เหมือนกัน นางจึงอ่านบัญชีออกและเข้าใจในรายการต่าง ๆ บนบัญชีได้แตกฉาน หญิงชราเองก็พอใจกับความคิดของซูจิ้นตั๋ง เมื่อเห็นลูกสะใภ้แสดงรายการบัญชีให้ดูว่าในครอบครัวมีรายรับมากเท่าใดในแต่ละเดือนโดยไม่ปิดบัง นางก็ยิ่งอึ้งไร้คำพูดไป “เธอเป็นคนดูบัญชีนี้เองเถอะ คราวหลังไม่ต้องเอามาให้แม่ดูก็ได้ แม่รู้ว่าครอบครัวเธอเป็นคนขยัน” คุณแม่จี้บอก ลูกสะใภ้ให้การเคารพนับถือนางขนาดนี้ ทำให้นางไม่อาจเข้าไปยุ่งเรื่องของเธอได้มากนัก อย่างที่ตาเฒ่าของนางบอกไว้ว่าให้แต่ละคนใช้ชีวิตของตัวเองไปก็พอ ไม่ต้องห่วงชีวิตคนอื่น ลูก ๆในตอนนี้ก็ไม่ได้ทำเรื่องผิดพลาดใหญ่อะไร ไม่ใช่ว่าชีวิตในทุกวันนี้กำลังจะดีขึ้นหรอกหรือ? ซูตานหงพยักหน้าเมื่อเห็นว่านางเชื่อใจเธอจริง ๆ “วันนี้โหวหวาจือไม่มาหาเหรอคะ ฉันยังเหลือน้ำแกงกระดูกหมูอยู่ในหม้อครึ่งหนึ่งน่ะค่ะ” ซูตานหงเอ่ย “เขาบอกว่าจะมาหาวันนี้นี่” คุณแม่จี้ตอบ ในตอนเย็น โหวหวาจือก็ได้กลับมาจากโรงเรียน ซูตานหงจึงให้หมั่นโถวสองลูกใหญ่กับตักน้ำแกงกระดูกหมูชามหนึ่งให้เขา แล้วเอ่ยขึ้น “ถ้าดื่มหมดแล้วก็มาตักได้อีกนะ ในหม้อยังเหลืออยู่ครึ่งหนึ่ง เธอกินได้หมดเลยจ้ะ” หลายวันมานี้โหวหวาจือไม่ได้แวะมาหา เมื่อได้ดื่มน้ำแกงกระดูกหมูและกินคู่กับหมั่นโถวไปด้วย เขาก็ถอนหายใจ “นี่สิการใช้ชีวิต” ซูตานหงได้ยินก็รู้สึกขบขัน ส่วนคุณแม่จี้ก็บอกว่า “เธอเป็นลูกคนเดียวของแม่นะ แม่เธอไม่ได้ให้กินอะไรหรือยังไง?” “ไม่ใช่ว่าผมไม่ได้กินหรอกนะครับ แต่อาหารที่แม่ทำมันไม่มีเนื้อเลยต่างหาก ผมกินโจ๊กไปสองชามโดยที่ไม่ได้ฉี่ออกมาเลย แล้วก็หิวตลอดทั้งวันที่อยู่ที่โรงเรียน” โหวหวาจือพูด ความจริงแล้วชีวิตในตอนนี้กำลังเป็นไปด้วยดีเพราะมีซูตานหงอยู่ที่นี่ จะมีใครคนอื่นในหมู่บ้านที่เป็นแบบนี้อีกบ้าง? สิ่งที่พอจะเป็นเนื้อได้ก็มีปลากับไข่ ส่วนเนื้อนั้นเป็นของหายากยิ่ง เห็นดังนี้แล้วซูตานหงก็ไม่รู้จะพูดอะไร เฝิงฟางฟางสะใภ้ใหญ่ช่างวางแผนการใช้ชีวิตได้ดี ทำให้หล่อนสามารถอยู่อย่างประหยัดได้ ยิ่งกว่านั้นเป็นเพราะเธอกับเจี้ยนอวิ๋นยกร้านค้าในเมืองให้อยู่ในความดูแลของซูจิ้นตั๋ง ทำให้หล่อนเองก็มีความคิดหนึ่งขึ้นมา ทำไมเธอไม่ดูแลครอบครัวของพี่ชายและแม่ของเธอบ้างล่ะ? แต่ไม่พูดดีกว่า ต่อให้เธอกับเฝิงฟางฟางจะญาติดีต่อกันเมื่อก่อนหน้านี้ แต่มันก็คงอยู่แค่ชั่วคราวเพียงชั่วก้านธูป เทียบกับเฝิงฟางฟางแล้ว เธอเชื่อใจพี่ชายรองของเธอยังจะดีกว่า กับพี่ชายรองซูเธอสามารถเปิดใจคุยกันได้ในทุกเรื่องที่ทำ แต่กับเฝิงฟางฟางนั้นไม่อาจรับประกันอะไรได้ ถ้าไม่พอใจเพราะเรื่องเงินในคราวนั้น นั่นก็เป็นเรื่องที่ไม่ค่อยดีนัก แทนที่จะทำเช่นนี้ สู้ไม่จ้างคนเป็นญาติตัวเองตั้งแต่แรกจะดีกว่า! จี้เจี้ยนอวิ๋นเองก็เห็นด้วยกับคำพูดของเธอ เขาจึงไม่อยากให้ญาติพี่น้องของเขามาก้าวก่ายอะไรกับเรื่องนี้มากนัก พี่น้องกันสามารถช่วยเหลือเกื้อกูลกันได้ แต่อย่าให้ทุกคนมาทำอย่างเดียวกัน ไม่ช้าก็เร็วจะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีกมากภายในหมู่บ้าน ซึ่งล้วนแต่เป็นบทเรียนจากอดีตทั้งนั้น ………………………………………………

ตอนที่ 96 บทเรียนจากอดีต

แต่ละวันดูแจ่มใสปลอดโปร่งมากขึ้นเรื่อย ๆ ทันทีที่เห็นว่าวันไหนอากาศดี ซูตานหงก็ย้ายกระถางเบญจมาศจากบ้านคุณป้าหูออกมารับแดด

หลังการฟูมฟักในโรงเรือนช่วงฤดูหนาว เบญจมาศเหล่านี้ที่เคยมีสภาพไม่สมประกอบก็มีลำต้นชะลูดขึ้นพร้อมกับแตกกิ่งก้านใบแลดูแข็งแรงงดงามเขียวชอุ่ม ช่างดูดีอย่างมากทีเดียว

“ตานหง เบญจมาศพวกนี้คืออะไรน่ะ?”

คุณแม่จี้เห็นกระถางเบญจมาศที่วางตั้งรับแดดเข้าพอดีหลังจากนำเนื้อไปส่งให้สองครอบครัวนั้นเสร็จ แล้วนางก็นึกขึ้นได้ว่าที่บ้านนี้มีเบญจมาศอยู่หลายกระถางทีเดียว

เรื่องนี้ถือว่าเป็นเรื่องดีเช่นกัน หากปลูกเลี้ยงได้ดีก็จะมีโอกาสได้ร่วมงานกับตระกูลหูในอนาคต ซึ่งมันก็เป็นวิธีหาเงินที่ดีอีกวิธีหนึ่งใช่ไหมล่ะ?

ตอนนี้ในครอบครัวมีทั้งเด็กโตและเด็กเล็กอาศัยอยู่จึงมีค่าใช้จ่ายเป็นจำนวนมาก ดังนั้นการหาเงินให้มากขึ้นถือเป็นเรื่องสำคัญไม่ใช่หรือ?

ครั้นได้ยินคำถามของคุณแม่จี้ ซูตานหงก็มองเบญจมาศพวกนี้อย่างละเอียด แล้วกล่าวว่า “ถ้าฉันคิดไม่ผิด กระถางนี้น่าจะเป็นพันธุ์หงฉิว ส่วนกระถางนี้น่าจะเป็นพันธุ์จิ๋นอวิ๋น แล้วก็กระถางนี้น่าจะเป็นพันธุ์เทียนโฉ่วน่ะค่ะ”

“แล้วกระถางนี้ล่ะ? กระถางที่สี่นี่ดูโตช้าที่สุดเลยนะ อีกสามกระถางสูงชะลูดกันหมดแล้ว แต่เบญจมาศต้นนี้กลับไม่ค่อยโตเลย!” คุณแม่จี้ไม่มีความรู้เรื่องนี้ นางจึงไม่เห็นความแตกต่างระหว่างเบญจมาศทั้งสี่กระถาง เมื่อเห็นเบญจมาศกระถางที่สี่มีลักษณะด้อยกว่ากระถางอื่นนางก็มองว่ามันเป็นเบญจมาศกระถางที่นางห่วงมากที่สุด

ต้องทราบก่อนว่าตานหงพนันกับคุณป้าหูเอาไว้ว่าถ้าปลูกเลี้ยงเบญจมาศให้เติบโตดีทั้งหมดไม่ได้ ฝ่ายนางจะแพ้พนัน ซึ่งถ้าพวกนางไม่ชนะพนันแต่เป็นฝ่ายแพ้ล่ะก็ รายได้ร้อยละยี่สิบของสวนผลไม้คงต้องเสียไป

“คุณแม่ไม่ต้องกังวลไปค่ะ ต้นนี้น่าจะเป็นพันธุ์ไอ๋เจี่ยวหวง พันธุ์นี้จะมีลักษณะเตี้ยแคระแบบนี้แหละค่ะ รอให้ดอกของมันบานก่อน เมื่อถึงตอนนั้นมันจะดูดีและสวยกว่านี้แน่นอนค่ะ ไม่ต้องกังวลนะคะ”

คุณแม่จี้ได้ยินที่เธอพูดก็เห็นว่ามันสมเหตุสมผลและมีหลักการดี จากนั้นนางก็มองเบญจมาศกระถางนั้นอีกครั้ง ต่อให้โตช้ากว่าต้นอื่นเล็กน้อย แต่มันก็เจริญเติบโตดีเช่นกัน

ส่วนสาเหตุที่ว่าทำไมซูตานหงถึงรู้เรื่องนี้ คุณแม่จี้ก็คิดว่าเป็นเพราะเซียนจิ้งจอกที่บอกเรื่องนี้ นางจึงไม่ได้ถามอะไรมากนัก เพียงแต่ถอนหายใจ “งั้นเธอก็อย่าปล่อยให้เยียนเอ๋อร์หรือคนอื่น ๆ มาหักเล่นแล้วกัน”

ซูตานหงน่าจะกันไว้อยู่ เพราะทั้งเยียนเอ๋อร์กับเหรินเหรินต่างไม่มาที่สวนหลังบ้านนี้เลย

พูดถึงเหรินเหรินแล้ว ตอนนี้เด็กชายอายุได้เกือบหกเดือนพอดี เป็นเพราะได้รับการเลี้ยงดูมาอย่างพิถีพิถันจากซูตานหงผู้เป็นแม่ เด็กชายตัวน้อยผู้อ้วนท้วนคนนี้จึงมีลักษณะที่ดีมาก โดยทั่วไปแล้วเด็กเล็กจะนั่งได้ดีเมื่อถูกสอนให้นั่ง ซึ่งเขาก็นั่งได้อย่างเรียบร้อย แต่ก็ซุกซนอยู่ไม่สุขเช่นกัน หลังนั่งไปได้ครู่หนึ่งเขาก็อยากจะออกไปสำรวจทุกหนทุกแห่ง แต่โชคไม่ดีที่เขายังเล็กอยู่ ดังนั้นไม่ว่าเขาจะพยายามลุกขึ้นเดินอย่างไร เขาก็จะล้มคะมำลงทุกครั้ง

แต่โชคดีที่บนเตียงมีเบาะกันกระแทกอยู่ เขาจึงไม่ร้องไห้เมื่อหกล้มลงบนเตียงเตา

ส่วนเยียนเอ๋อร์ที่ถูกเลี้ยงที่นี่ก็พูดได้คล่องขึ้น แต่ก็มีปัญหาหนึ่งที่แก้ไม่ตกคือการที่เด็กหญิงยังเรียกเธอว่าแม่อยู่

“คุณแม่คะ แอปเปิลที่บ้านหมดแล้วค่ะ ถ้าแม่มีเวลาก็บอกกับพี่ชายรองของฉันให้ไปซื้อมาให้อีกลังหน่อยนะคะ” ซูตานหงเอ่ยกับคุณแม่จี้

การมีพี่ชายรองซูมาอยู่ที่นี่ทำให้เธอสามารถซื้อของเข้าบ้านได้สะดวกสบายมากขึ้น ตอนนี้นอกจากจะขายไก่กับไข่แล้ว พี่ชายรองซูยังมาที่หมู่บ้านของเธอตั้งแต่เช้าตรู่เพื่อมารับผักผลไม้ตามฤดูกาลไปขายอีกด้วย ดังนั้นถ้าอยากจะซื้อเนื้อหรือของอะไรสักอย่าง เธอก็สามารถฝากให้เขาซื้อได้ และเขาจะซื้อกลับมาให้ในเช้าอีกวันหนึ่ง

ถ้าเกิดมีของที่เขาต้องการจะซื้อ เขาก็สามารถนำกลับไปที่บ้านได้

ถึงตอนนี้แม้แต่คุณแม่จี้ก็ยังบอกว่ารถสามล้อนี้ใช้งานได้คุ้มค่าจริง ๆ

แม้ในยุคนี้ผู้คนจะยังใช้วิธีเดินเท้าได้ และถนนที่จะไปสู่เมืองก็ไม่ได้ไกลขนาดนั้น แต่มันก็ใช้เวลาไปกลับราวหนึ่งชั่วโมงเลยทีเดียว บวกกับเวลาที่ซื้อหรือขายของแล้ว มันก็ต้องใช้เวลาไปอีกหนึ่งชั่วโมงครึ่ง เสียเวลาไปมากขนาดไหนกัน?

ยิ่งไปกว่านั้น จำนวนไก่ที่นำไปขายในเมืองก็ค่อนข้างคงที่ โดยเฉลี่ยแล้วจะอยู่ที่สามตัวต่อวัน และทำรายได้เกือบสิบหยวนต่อวัน ซึ่งซูจิ้นตั๋งกันออกไปหนึ่งหยวน ก็จะเหลือเงินราวแปดถึงเก้าหยวนต่อวัน คิดเป็นต่อเดือนคือมากกว่าสองร้อยหยวน

นี่ก็เป็นเพราะให้พี่ชายที่ไว้วางใจเป็นคนทำบัญชี หากมอบงานนี้ให้คนอื่นแล้วผลลัพธ์จะเป็นแบบนี้เหรอ?

และด้วยนิสัยของซูจิ้นตั๋งแล้ว เขาก็เห็นคุณพ่อจี้กับคุณแม่จี้ในสายตาด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ซูจิ้นตั๋งยังจำทุกบัญชีได้อย่างแม่นยำ เขาจึงทำการแยกบัญชีออกเป็นสองเล่ม ต่อให้เป็นพี่ชายน้องสาวกัน พวกเขาก็ต้องทำบัญชีแยกกันให้ชัดเจน

มีพี่ชายรองที่เข้าใจอะไรแบบนี้แล้วซูตานหงก็รู้สึกพอใจเช่นกัน เพราะพี่ชายรองของเธอรู้ดีว่าต่อให้ปฏิบัติกับคุณแม่จี้อย่างแม่สามี นางก็ไม่ใช่คนเข้าหายากขนาดนั้น เธอสามารถแสดงบัญชีให้คุณแม่จี้ดูโดยตรงได้เลย คุณแม่จี้เองก็เคยเรียนหนังสือในตอนยังสาวอยู่เหมือนกัน นางจึงอ่านบัญชีออกและเข้าใจในรายการต่าง ๆ บนบัญชีได้แตกฉาน

หญิงชราเองก็พอใจกับความคิดของซูจิ้นตั๋ง เมื่อเห็นลูกสะใภ้แสดงรายการบัญชีให้ดูว่าในครอบครัวมีรายรับมากเท่าใดในแต่ละเดือนโดยไม่ปิดบัง นางก็ยิ่งอึ้งไร้คำพูดไป

“เธอเป็นคนดูบัญชีนี้เองเถอะ คราวหลังไม่ต้องเอามาให้แม่ดูก็ได้ แม่รู้ว่าครอบครัวเธอเป็นคนขยัน” คุณแม่จี้บอก

ลูกสะใภ้ให้การเคารพนับถือนางขนาดนี้ ทำให้นางไม่อาจเข้าไปยุ่งเรื่องของเธอได้มากนัก อย่างที่ตาเฒ่าของนางบอกไว้ว่าให้แต่ละคนใช้ชีวิตของตัวเองไปก็พอ ไม่ต้องห่วงชีวิตคนอื่น ลูก ๆในตอนนี้ก็ไม่ได้ทำเรื่องผิดพลาดใหญ่อะไร ไม่ใช่ว่าชีวิตในทุกวันนี้กำลังจะดีขึ้นหรอกหรือ?

ซูตานหงพยักหน้าเมื่อเห็นว่านางเชื่อใจเธอจริง ๆ

“วันนี้โหวหวาจือไม่มาหาเหรอคะ ฉันยังเหลือน้ำแกงกระดูกหมูอยู่ในหม้อครึ่งหนึ่งน่ะค่ะ” ซูตานหงเอ่ย

“เขาบอกว่าจะมาหาวันนี้นี่” คุณแม่จี้ตอบ

ในตอนเย็น โหวหวาจือก็ได้กลับมาจากโรงเรียน ซูตานหงจึงให้หมั่นโถวสองลูกใหญ่กับตักน้ำแกงกระดูกหมูชามหนึ่งให้เขา แล้วเอ่ยขึ้น “ถ้าดื่มหมดแล้วก็มาตักได้อีกนะ ในหม้อยังเหลืออยู่ครึ่งหนึ่ง เธอกินได้หมดเลยจ้ะ”

หลายวันมานี้โหวหวาจือไม่ได้แวะมาหา เมื่อได้ดื่มน้ำแกงกระดูกหมูและกินคู่กับหมั่นโถวไปด้วย เขาก็ถอนหายใจ “นี่สิการใช้ชีวิต”

ซูตานหงได้ยินก็รู้สึกขบขัน ส่วนคุณแม่จี้ก็บอกว่า “เธอเป็นลูกคนเดียวของแม่นะ แม่เธอไม่ได้ให้กินอะไรหรือยังไง?”

“ไม่ใช่ว่าผมไม่ได้กินหรอกนะครับ แต่อาหารที่แม่ทำมันไม่มีเนื้อเลยต่างหาก ผมกินโจ๊กไปสองชามโดยที่ไม่ได้ฉี่ออกมาเลย แล้วก็หิวตลอดทั้งวันที่อยู่ที่โรงเรียน” โหวหวาจือพูด

ความจริงแล้วชีวิตในตอนนี้กำลังเป็นไปด้วยดีเพราะมีซูตานหงอยู่ที่นี่ จะมีใครคนอื่นในหมู่บ้านที่เป็นแบบนี้อีกบ้าง? สิ่งที่พอจะเป็นเนื้อได้ก็มีปลากับไข่ ส่วนเนื้อนั้นเป็นของหายากยิ่ง

เห็นดังนี้แล้วซูตานหงก็ไม่รู้จะพูดอะไร เฝิงฟางฟางสะใภ้ใหญ่ช่างวางแผนการใช้ชีวิตได้ดี ทำให้หล่อนสามารถอยู่อย่างประหยัดได้ ยิ่งกว่านั้นเป็นเพราะเธอกับเจี้ยนอวิ๋นยกร้านค้าในเมืองให้อยู่ในความดูแลของซูจิ้นตั๋ง ทำให้หล่อนเองก็มีความคิดหนึ่งขึ้นมา

ทำไมเธอไม่ดูแลครอบครัวของพี่ชายและแม่ของเธอบ้างล่ะ?

แต่ไม่พูดดีกว่า ต่อให้เธอกับเฝิงฟางฟางจะญาติดีต่อกันเมื่อก่อนหน้านี้ แต่มันก็คงอยู่แค่ชั่วคราวเพียงชั่วก้านธูป เทียบกับเฝิงฟางฟางแล้ว เธอเชื่อใจพี่ชายรองของเธอยังจะดีกว่า

กับพี่ชายรองซูเธอสามารถเปิดใจคุยกันได้ในทุกเรื่องที่ทำ แต่กับเฝิงฟางฟางนั้นไม่อาจรับประกันอะไรได้

ถ้าไม่พอใจเพราะเรื่องเงินในคราวนั้น นั่นก็เป็นเรื่องที่ไม่ค่อยดีนัก แทนที่จะทำเช่นนี้ สู้ไม่จ้างคนเป็นญาติตัวเองตั้งแต่แรกจะดีกว่า!

จี้เจี้ยนอวิ๋นเองก็เห็นด้วยกับคำพูดของเธอ เขาจึงไม่อยากให้ญาติพี่น้องของเขามาก้าวก่ายอะไรกับเรื่องนี้มากนัก

พี่น้องกันสามารถช่วยเหลือเกื้อกูลกันได้ แต่อย่าให้ทุกคนมาทำอย่างเดียวกัน ไม่ช้าก็เร็วจะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีกมากภายในหมู่บ้าน ซึ่งล้วนแต่เป็นบทเรียนจากอดีตทั้งนั้น

………………………………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด