ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล 129 คำพูดโป้ปดครั้งแล้วครั้งเล่า

Now you are reading ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล Chapter 129 คำพูดโป้ปดครั้งแล้วครั้งเล่า at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 129 คำพูดโป้ปดครั้งแล้วครั้งเล่า

ปี 1938 อย่างนั้นหรือ

โจวเจ๋อมองสาวน้อย จากนั้นก็มองไปที่สวี่ชิงหล่างและเอ่ยขึ้น

“ปีศาจเข้ามาที่ทงเฉิงในปี 1938 ใช่ไหม”

สวี่ชิงหล่างครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบว่า “ดูเหมือนว่าจะเข้ามาเมืองทงเฉิงในเดือนมีนาคมปี 1938 นะ”

ในเมื่อเป็นอย่างนี้ ก็เป็นไปได้มากที่หมู่บ้านซานเซียงจะเกิดโศกนาฏกรรมขึ้นในยุคนั้น หมู่บ้านนี้น่าจะถูกกวาดเรียบในช่วงที่ปีศาจเข้ามาที่ทงเฉิง คนทั้งหมู่บ้านรวมทั้งสาวน้อยคนนี้ต่างก็ไม่มีใครเหลือรอด และนั่นก็หมายความว่าคุณย่าของคนที่โพสต์ข้อความโชคดีมาตั้งแต่แรก จึงหลีกเลี่ยงมาได้

จวบจนถึงทุกวันนี้ กระทั่งในตอนนี้ไม่มีทางที่จะค้นหาข้อมูลอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับหมู่บ้านซานเซียงได้เลย และก็ไม่มีการบันทึกของทางการอีกด้วย

นี่ไม่ใช่ความเกียจคร้านของทางการแต่อย่างใด แต่ในยุคนั้นมีโศกนาฏกรรมที่คล้ายกันมากมายนับไม่ถ้วน และสถานการณ์ก็วุ่นวายต่อเนื่องปีแล้วปีเล่า อันที่จริงผู้คนมากมายที่เสียชีวิตอย่างน่าสังเวชต่างก็ถูกลืมเลือนไปแล้ว

“นั่นก็หมายความว่า คนทั้งหมู่บ้านที่เสียชีวิตในช่วงสงครามยังไม่ได้ไปเวียนว่ายตายเกิดกันทั้งหมดเลยใช่ไหม”

โจวเจ๋อขมวดคิ้ว

ตั้งแปดสิบปีเชียวนะ เกินหกสิบปีไปตั้งเยอะ วิญญาณของผู้เสียชีวิตทั้งหมู่บ้านยังคงอยู่ที่เดิมหรือ

“ไม่แน่ใจ แต่ดูสาวน้อยคนนี้แล้วน่าจะเป็นแบบนี้นะ เอาอย่างนี้แล้วกัน ผมจะไปตรวจสอบบันทึกประวัติท้องถิ่นที่ห้องสมุดประจำเมือง ไปดูว่าสถานที่ตั้งของหมู่บ้านซานเซียงที่แน่ชัดอยู่ตรงไหน หรือไม่ก็จะไปสอบถามคนที่เกี่ยวข้องสักหน่อย”

สวี่ชิงหล่างลุกขึ้นหยิบกุญแจรถแล้วออกไปทันที

เขากระตือรือร้นในเรื่องนี้มาก ความกระตือรือร้นของเขาแตกต่างจากโจวเจ๋อ นั่นก็คือโจวเจ๋อยังมีเหตุผลเรื่องคะแนนผลงานอยู่ในนั้น แต่เขาแค่อยากจะทำเรื่องอะไรบางอย่างจากใจเขา

จะว่าไปแล้ว ต่างก็เป็นคนบ้านเกิดเดียวกัน

โจวเจ๋อนั่งลงบนเก้าอี้ข้างๆ ชี้นิ้วไปที่นักพรตเฒ่าแล้วพูดว่า “ดูเธอหน่อย”

นักพรตเฒ่าพยักหน้า และมองไปที่สาวน้อยกับเจ้าลิงน้อย

สาวน้อยงุนงงเล็กน้อย ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เพียงแค่ยืนอยู่ตรงนั้นตามสัญชาตญาณ และไม่กล้าขยับตัว

เจ้าลิงยื่นมือ ราวกับอยากจะลองสัมผัสวิญญาณของเด็กสาว แต่กลับถูกนักพรตเฒ่าฟาดมือลงทันที พร้อมกับดุว่า

“จะจับอะไร คนเขาอายุมากกว่าความกว้างของหน้าผากเสียอีก”

ถ้าหากสาวน้อยยังไม่ตาย นับๆ ดูแล้วตอนนี้เธอก็คงจะอายุเก้าสิบปีแล้ว

แต่เธอยังคงไร้เดียงสาเหมือนเคย สติปัญญายังคงเดิมเหมือนก่อนตาย นี่เป็นหนึ่งในสิ่งที่โจวเจ๋อสงสัยที่สุด โจวเจ๋อเดาว่าอาจจะเกิดปัญหาอะไรบางอย่างในหมู่บ้าน ทำให้วิญญาณของผู้เสียชีวิตทั้งหมู่บ้านติดอยู่ในนั้นไม่สามารถออกมาได้ ทุกคนติดอยู่ตรงนั้น ไม่รู้วันไม่รู้เวลา ไม่รู้เดือนไม่รู้ตะวัน

แต่ถึงอย่างไร สถานการณ์จริงๆ ต้องรอจนกว่าสวี่ชิงหล่างจะได้รับข้อมูลที่แน่นอนก่อนถึงจะสามารถยืนยันได้

โจวเจ๋อหยิบโทรศัพท์มือถือของเขาออกมา แล้วเลื่อนสไลด์ไปเรื่อยเปื่อย ปกติแล้วเขาไม่ค่อยใช้พวกวีแชตและคิวคิวสักเท่าไร เพราะมันเป็นเครือข่ายสังคมออนไลน์ในก่อนหน้านี้ของสวีเล่อทั้งหมด ซึ่งนี่มันก็ช่วยไม่ได้เช่นกัน ถึงอย่างไรก็เอาบัญชีก่อนหน้านี้ของตัวเองกลับมาไม่ได้อยู่ดี จะไปยื่นคำร้องนั้นก็เป็นไปได้ยากมาก

หลังจากเลื่อนๆ ดูโมเมนต์ของเพื่อน โจวเจ๋อก็บังเอิญไปเห็นไป๋อิงอิงแชร์เรื่อง ‘เรื่องบนเตียงของเหล่าทหารในกองทัพ!’

โจวเจ๋อตะลึงไปครู่หนึ่ง

ดูเหมือนว่าศพผีสาวตนนี้จะวิ่งอยู่บนเส้นทางของเด็กสาววัยรุ่นมัธยมต้นชั้นปีที่สอง ยิ่งวิ่งไปก็ยิ่งไกลขึ้นเรื่อยๆ

เหมือนว่าเขาจะต้องหาเวลาคุยกับเธอเสียแล้ว ไม่ควรไปแตะต้องของแบบนี้ มันเป็นสิ่งต้องห้าม

ในเวลานี้ ไป๋อิงอิงทำงานเสร็จแล้ว และกำลังเล่นเกมพับจีอยู่ในห้องชั้นบน ไม่ได้อยู่ที่ชั้นล่าง

โจวเจ๋อจึงลุกขึ้นเดินขึ้นบันไดไป ขณะเดินก็กดเข้าลิงก์ที่แชร์ไปด้วย

อืม

จะสั่งสอนนักเรียนมัธยมต้นชั้นปีที่สอง จะต้องใช้ยาที่ถูกกับโรค รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง

หลังจากกดเข้าไปแล้ว

มันเป็นรูปสีขาวและสีเขียวเต็มไปหมด

จากนั้นมันดันเป็นการแข่งขันพับผ้าห่มในโรงงานแห่งหนึ่ง และผู้ชนะสามอันดับแรกก็คือผู้เชี่ยวชาญที่เคยเป็นทหารมาก่อน

จั่วพาดหัวได้น่าเกลียดมาก

โจวเจ๋อวางโทรศัพท์ลงและผลักประตูห้องนอน

‘สาหร่ายทะเล สาหร่ายทะเล โบกสะบัดพลิ้วไหวไปตามคลื่น

สาหร่ายทะเล สาหร่ายทะเล เต้นรำอยู่ในเกลียวคลื่น!’

ไป๋อิงอิงนอนอวดเท้าเปล่าที่ขาวสะอาดทั้งสองข้างอยู่บนเตียง เท้าทั้งสองข้างแกว่งไปมา และกำลังปัดคลิปวิดีโอในมือ ปัดไปด้วยหัวเราะเอิ๊กอ๊ากไปด้วย

แม้แต่ตอนที่โจวเจ๋อเดินเข้ามา เธอก็ไม่ได้สังเกตเสียด้วยซ้ำ

จากนั้นโจวเจ๋อก็นั่งลงริมขอบเตียงของเธอ

“ฮ่าๆๆๆ…”

ไป๋อิงอิงหัวเราะพลางพลิกตัวหงายกลับ จากนั้นทั้งร่างของเธอก็นอนเกยอยู่บนตักของโจวเจ๋อในทันที

ทันใดนั้น ขนตางอนยาวสั่นกระพือ ริมฝีปากสีแดงเย้ายวนหุบลงเล็กน้อยๆ และเผยอออกอีกครั้ง ผิวบางละเอียดค่อยๆ แดงระเรื่อขึ้นมา

บรรยากาศในตอนนี้ตกอยู่ในภวังค์อันแสนงดงาม

แต่ทว่า สมแล้วที่โจวเจ๋อได้ชื่อว่าฮิปสเตอร์ผู้ทำลายล้าง เขาเอ่ยขึ้นทันที

“ฉันบอกเธอตั้งหลายครั้งแล้วนะว่าหลังจากตื่นนอนแล้วถ้าไม่อาบน้ำล้างเท้าให้เรียบร้อย ก็ห้ามขึ้นไปบนเตียงเด็ดขาดน่ะ”

พูดไป โจวเจ๋อก็มองดูเท้าเรียวยาวอันน่าหลงใหลไม่มีที่สิ้นสุดที่เปลือยเปล่าอยู่ด้านนอกคู่นั้นแล้วขมวดคิ้วไปด้วย

“สกปรก”

ไป๋อิงอิงลุกจากเตียงมาสวมรองเท้าแตะทันที แล้วกุมมือประสานกันไว้ด้านหน้า ก้มศีรษะลงตรงหน้าโจวเจ๋อ วางท่าพร้อมรับการถูกตำหนิอย่างดี

นางค่อนข้างคุ้นเคยกับท่าทางนี้ดี

“ซักผ้าปูที่นอนด้วย” โจวเจ๋อเอ่ย

“เจ้าค่ะ เถ้าแก่”

ไป๋อิงอิงเก็บผ้าปูที่นอนลงไป ส่วนโจวเจ๋อนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ เปิดหน้าเว็บและเริ่มค้นหาเรื่องราวเกี่ยวกับหมู่บ้านซานเซียงอีกครั้ง

ก่อนหน้านี้สวี่ชิงหล่างใช้โทรศัพท์มือถือค้นหา เผื่อจะมีบางอย่างตกหล่นไป

แต่น่าเสียดาย อย่างน้อยที่สุดบนอินเทอร์เน็ต นอกจากกระทู้สนทนาอันนั้นแล้ว ก็ไม่มีข้อมูลอื่นๆ เกี่ยวกับหมู่บ้านนั้นแล้ว

โจวเจ๋อคลิกเปิดกระทู้ที่สวี่ชิงหล่างเคยอ่านมาก่อนหน้านี้ กระทู้ดังกล่าวถูกโพสต์ในฟอรัมท้องถิ่นของทงเฉิงในปี 2009

โจวเจ๋ออ่านสองข้อความตอบกลับของคนที่บอกว่าคุณย่ามาจากซานเซียงก่อนหนึ่งรอบ แต่ก็ไม่พบอะไรเลย หลังจากนั้นโจวเจ๋อก็เลือกกลับไปอ่านหัวข้อนี้อีกครั้ง ในกระทู้นี้ จริงๆ แล้วมีคนที่รู้เรื่องราววงในอยู่สองคน

แน่นอนว่าคนหนึ่งเป็นคนที่ตอบกลับคนนั้น แต่คนที่ตอบกลับได้บอกในสิ่งควรบอกไปหมดแล้ว และอีกคนก็คือเจ้าของคำถามนี้

ในเมื่อผู้คนต่างก็ลืมเลือนหมู่บ้านซานเซียงไปแล้ว กระทั่งไม่มีแม้แต่ในบันทึก มันมีอยู่ในคำบอกเล่าในอดีตของคุณย่าเท่านั้น ถ้าอย่างนั้นทำไมจู่ๆ เจ้าของกระทู้ถึงได้ถามคำถามเกี่ยวกับสถานที่นี้ออกมาได้ล่ะ

โจวเจ๋อคลิกเปิดรูปโปรไฟล์ของเจ้าของกระทู้ และพบว่าหลังจากปี 2009 เจ้าของกระทู้ก็ไม่ได้โพสต์อะไรอีกเลย โจวเจ๋อคัดลอกไอดีของเจ้าของกระทู้ไป

ไอดีมีชื่อว่า ‘นอนฟืนแข็งกินดีขมทหารสามพันเอาชนะอู๋ 19800201’

ด้านหน้าดูคุ้นเคยมาก แต่ตัวเลขทั้งชุดด้านหลังนั้นโจวเจ๋อวิเคราะห์ว่าอาจเป็นวันเกิดของอีกฝ่าย

จากนั้นโจวเจ๋อก็ค้นหาไอดีนี้อีกครั้ง และพบว่าค้นหาเจอกระทู้หนึ่งจริงๆ กระทู้นี้ถูกโพสต์ในหมวดเรื่องผีเผิงไหลของฟอรัมไหเจี่ยว

เจ้าของกระทู้ยังคงเป็น ‘นอนฟืนแข็งกินดีขมทหารสามพันเอาชนะอู๋ 19800201’ และเวลาโพสต์ก็ยังเป็นปี 2009

กระทู้นี้ไม่ได้รับความนิยมมากนัก และการตอบกลับก็มีไม่มาก

แน่นอนว่าหมายเลขไอดีด้านหลังก็ยังเหมือนกัน นี่หมายความว่าคนที่เคยโพสต์ถามเกี่ยวกับหมูบ้านซานเซียงในฟอรัมท้องถิ่นของทงเฉิงเป็นคนเดียวกันกับที่โพสต์เรื่องราวในฟอรัมไหเจี่ยวนี้อีกด้วย

โจวเจ๋อเลื่อนลงมาดู นี่เป็นเรื่องเล่า

คำพูดเริ่มต้นของเจ้าของกระทู้มีอยู่ว่า

‘นี่เป็นเรื่องจากประสบการณ์ส่วนตัวของผม แม้ว่ามันจะดูแปลกและดูไร้สาระมาก แต่ผมเชื่อว่านี่ไม่ใช่ความฝัน และไม่ใช่เพราะผมเห็นภาพหลอน แต่นี่เป็นเรื่องเล่าจริงๆ ของผม’

เป็นการเปิดหัวเรื่องในแบบเดิมๆ

เมื่อสิบปีที่แล้วเป็นที่นิยมอย่างมากในการเล่าเรื่องผี เริ่มต้นด้วยการเน้นที่มาแต่อุบเรื่องราวไว้ก่อน

โจวเจ๋อเลื่อนดูด้านล่างต่อไปเรื่อยๆ

‘ในเดือนมีนาคมของปีนี้ ผมขับรถจากสถานีจ่ายไฟตำบลเขากวนอินเพื่อกลับบ้าน อืม ผมทำงานอยู่ที่สถานีจ่ายไฟ แต่ผมอาศัยอยู่แถวข้างๆ สนามบินซิ่งตง

ระหว่างทางกลับบ้านผมผ่านตำบลซิ่งเหริน และลงจากทางยกระดับฝั่งนั้นก่อน เพราะว่าวันนั้นผมจะไปรับเสื้อผ้าที่ผมนำไปซักแห้งไว้ตอนที่มาทำงานในตอนเช้า

ร้านซักแห้งแห่งนั้นอยู่ริมถนนตำบลซิ่งเหริน และอยู่ตรงข้ามโรงเรียนประถมซิ่งเหริน

ตอนที่ผมขับรถผ่านก็เป็นเวลาสามทุ่มแล้ว มีคนบนถนนเพียงน้อยนิด แต่ตอนที่ผมจอดรถหน้าประตูร้านซักแห้งและเปิดประตูรถเดินออกมา เมื่อย่ำเท้าลงไปก็ล้มลงทันที

ตอนแรกผมแค่คิดว่าวันนี้ช่างโชคร้ายจริงๆ แต่แท้จริงแล้วมันเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น เพราะหลังจากตอนที่ผมล้มลงกับพื้น จู่ๆ ก็พบว่าถนนและตึกสูงรอบๆ ตัวผมหายไป ใต้ตัวผมไม่ใช่ถนน แต่กลับเป็นคันนาที่เป็นดินโคลนเส้นหนึ่ง และฝั่งตรงข้ามก็ไม่ใช่ร้านซักแห้ง แต่เป็นบ้านที่ฉาบด้วยดินเรียงรายเป็นแถวๆ

ผมตกตะลึง หันกลับไปมองรถของผมก็พบว่ารถของผมกลายเป็นกองหญ้าแห้ง

ตอนนั้นผมรู้สึกกลัวมากจริงๆ ผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ผมอยู่นั่งบนพื้นประมาณสิบห้านาที และคิดอยู่ตลอดว่านี่เป็นความฝัน หวังว่าตัวเองจะตื่นขึ้นมาโดยเร็ว

แต่ผมไม่ได้ตื่นขึ้น จากนั้นผมเห็นชายชราคนหนึ่งจูงสาวน้อยคนหนึ่งเดินมาทางผม มีจอบพาดอยู่บนไหล่ของชายชรา และสาวน้อยกำลังเล่นกับขนมน้ำตาลปั้นรูปคนที่อยู่ในมือ

พวกเขาใกล้เข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ และพวกเขาก็กำลังคุยกัน แถมยังพูดสำเนียงทงเฉิง

ผมรีบถามพวกเขาทันทีว่าที่นี่คือที่ไหน

พวกเขาก็มองผมด้วยความสงสัย และชายชราคนนั้นก็ตอบว่าที่นี่คือ ‘หมู่บ้านซานเซียง’

หมู่บ้านซานเซียงอยู่ที่ไหน

ผมไม่เคยยินมาก่อนเลย

จากนั้นผมก็ยืนขึ้นทันทีและถามพวกเขาว่าผมจะออกไปได้อย่างไร

คาดว่าชายชราคงคิดว่าผมเป็นบ้าและสมองมีปัญหา ดังนั้นจึงรีบลากหลานสาวออกไปทันที

ผมไม่มีทางเลือกจึงเดินเข้าไปในหมู่บ้านคนเดียว ตอนนั้นผมถึงกับคิดว่าตัวเองถูกวางยาและโดนลักพาตัวมาขายในเขาลึกป่าดงดิบสักที่หนึ่งหรือไม่ แต่ผมก็คิดว่ามันไร้สาระมาก ผมเป็นผู้ชายอกสามศอก จะลักพาตัวผมไปขายทำไม

ผมคลอดลูกไม่ได้เสียหน่อย

บ้านทุกหลังต่างก็ปิดประตูจนหมด และบางครั้งมีเงาของคนในบ้านที่เปิดไฟอยู่ข้างใน ผมไม่กล้าเคาะประตูเพื่อเข้าไป เพียงแค่เดินอย่างระมัดระวังไปที่หน้าบ้านแต่ละหลัง

ผมได้ยินคนในบ้านหลายๆ หลังพูดคุยกัน และพวกเขาต่างก็ตะโกนร้องว่าหิว

ภรรยาตะโกนบอกสามีว่าหิว

ลูกตะโกนบอกพ่อแม่ว่าหิว

พ่อแม่ที่แก่หง่อมตะโกนบอกลูกสะใภ้ว่าหิว

คนในหมู่บ้านนี้ล้วนหิวโหยกันมาก

พวกเขาคุยแต่เรื่อง ‘หิวมาก หิวจังเลย’ อยู่ในบ้านตอนกลางคืน

ตอนนั้นผมยิ่งเดินก็ยิ่งคิดไปต่างๆ นานา

ผมมีความรู้สึกอย่างหนึ่ง ในเมื่อพวกเขาหิวขนาดนี้ คงไม่ใช่ว่าอีกสักครู่จะวิ่งออกมาจับผมไปต้มกินให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยหรอกนะ

ผมเริ่มวิ่ง วิ่งเร็วราวกับจะบินอยู่แล้ว ผมสัมผัสได้ถึงอันตรายตามสัญชาตญาณ

ผมอยากจะรีบออกไปจากที่นี่ก่อนที่พวกเขาจะวิ่งออกมาจับผม

ไม่ว่าผมจะวิ่งไปที่ไหน สุดท้ายแล้วผมก็อยากจะหนีห่างจากหมู่บ้านบ้าๆ นี้ยิ่งไกลยิ่งดี

ผมไม่รู้ว่าผมวิ่งมานานแค่ไหนแล้ว จนท้ายที่สุด ผมก็ลืมมันไปแล้ว…

จากนั้นพอตื่นขึ้นมาในวันรุ่งขึ้น ผมก็พบว่าตัวเองนั่งหลับอยู่บนเบาะคนขับตลอดทั้งคืน

แต่นี่ไม่ใช่ความฝันเด็ดขาด ความฝันไม่สามารถเหมือนจริงได้ขนาดนั้น!

อีกทั้งเสื้อผ้าและกางเกงของผมก็เต็มไปด้วยโคลน และที่คอกับเส้นผมก็ยังมีเศษหญ้าหลงเหลืออยู่

หมู่บ้านซานเซียง จะต้องมีสถานที่แห่งนี้อยู่แน่ๆ จะต้องมีอยู่จริงๆ!’

เจ้าของกระทู้ยังโพสต์รูปถ่ายของตัวเองในขณะนั้นด้วย มีทั้งเสื้อผ้าที่เปื้อนโคลนรวมถึงเศษหญ้าด้วย

แต่การตอบกลับของคนด้านล่างเห็นได้ชัดว่าไม่เชื่อและกล่าวว่า

‘เรื่องผีเรื่องนี้แต่งได้ไร้สาระเกินไปแล้ว’

‘ต้นทุนการผลิตต่ำมากเช่นกัน ทำเสื้อผ้าสกปรกแล้วถ่ายรูปก็สามารถเล่นเกมฝึกพูดตามภาพอย่างนั้นสินะ’

‘เปิดเรื่องด้วยรูปภาพ นอกนั้นแต่งเอาหมดเลย เจ้าของกระทู้ไม่ใส่ใจ ไม่ใส่ใจจริงๆ เลย’

‘เจ้าของกระทู้ ตอนนั้นคุณมีโทรศัพท์มือถือติดตัวด้วยไม่ใช่หรือไง ทำไมถึงไม่บันทึกวิดีโอเอาไว้ล่ะ’

โจวเจ๋อพลิกดูหน้าถัดไปต่อ

โชคดีที่มีการตอบกลับไม่มากนัก เพราะเรื่องผีแบบนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่จริงๆ และไม่สามารถเรียกได้ว่าโดดเด่นอะไร

แต่โจวเจ๋อเห็นการตอบกลับของเจ้าของกระทู้อยู่ด้านล่างโพสต์หนึ่ง

‘รอก่อนเถอะ ผมจะต้องหาวิธีไปอีกครั้งอย่างแน่นอน และครั้งนี้ผมจะกลับมาพร้อมหลักฐานเพื่อพิสูจน์ว่าผมไม่ได้แต่งเรื่องขึ้นมา’

การตอบกลับถัดไปเป็นปี 2010 ซึ่งก็คือหนึ่งปีต่อมา

‘หนึ่งปีแล้วนะ เจ้าของกระทู้เรื่องเล่าบ้าๆ ของคุณล่ะ ยังแต่งไม่เสร็จหรือไง ผมเก็บไว้ในรายการโปรดตลอดเลยนะ’

จากนั้นปี 2011 ก็มีการตอบกลับหนึ่งโพสต์

‘สองปีผ่านไปแล้วนะ สรุปว่าเจ้าของกระทู้กลับไปอีกหรือยัง’

การตอบกลับโพสต์สุดท้ายเป็นปี 2012

‘ทุกคนแยกย้ายกันเถอะ เจ้าของกระทู้เงียบหายไปแล้ว’

โจวเจ๋อดูไปเรื่อยๆ จากนั้นก็ตกตะลึงไปชั่วขณะ

จู่ๆ ก็มีประโยคหนึ่งปรากฏขึ้นในหัวของเขา

‘หลิวจื่อจี้จากหนานหยาง ผู้สันโดษที่มีความทะเยอทะยานสูงส่ง ได้ยินเรื่องนี้และวางแผนที่จะไปที่นั่นอย่างดีอกดีใจ แต่ไม่เป็นไปดั่งหวัง ไม่นานเขาเสียชีวิตด้วยอาการป่วย และหลังจากนั้นไม่มีใครถามถึงอีกเลย’

………………………………………………………………………

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล 129 คำพูดโป้ปดครั้งแล้วครั้งเล่า

Now you are reading ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล Chapter 129 คำพูดโป้ปดครั้งแล้วครั้งเล่า at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 129 คำพูดโป้ปดครั้งแล้วครั้งเล่า

ปี 1938 อย่างนั้นหรือ

โจวเจ๋อมองสาวน้อย จากนั้นก็มองไปที่สวี่ชิงหล่างและเอ่ยขึ้น

“ปีศาจเข้ามาที่ทงเฉิงในปี 1938 ใช่ไหม”

สวี่ชิงหล่างครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบว่า “ดูเหมือนว่าจะเข้ามาเมืองทงเฉิงในเดือนมีนาคมปี 1938 นะ”

ในเมื่อเป็นอย่างนี้ ก็เป็นไปได้มากที่หมู่บ้านซานเซียงจะเกิดโศกนาฏกรรมขึ้นในยุคนั้น หมู่บ้านนี้น่าจะถูกกวาดเรียบในช่วงที่ปีศาจเข้ามาที่ทงเฉิง คนทั้งหมู่บ้านรวมทั้งสาวน้อยคนนี้ต่างก็ไม่มีใครเหลือรอด และนั่นก็หมายความว่าคุณย่าของคนที่โพสต์ข้อความโชคดีมาตั้งแต่แรก จึงหลีกเลี่ยงมาได้

จวบจนถึงทุกวันนี้ กระทั่งในตอนนี้ไม่มีทางที่จะค้นหาข้อมูลอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับหมู่บ้านซานเซียงได้เลย และก็ไม่มีการบันทึกของทางการอีกด้วย

นี่ไม่ใช่ความเกียจคร้านของทางการแต่อย่างใด แต่ในยุคนั้นมีโศกนาฏกรรมที่คล้ายกันมากมายนับไม่ถ้วน และสถานการณ์ก็วุ่นวายต่อเนื่องปีแล้วปีเล่า อันที่จริงผู้คนมากมายที่เสียชีวิตอย่างน่าสังเวชต่างก็ถูกลืมเลือนไปแล้ว

“นั่นก็หมายความว่า คนทั้งหมู่บ้านที่เสียชีวิตในช่วงสงครามยังไม่ได้ไปเวียนว่ายตายเกิดกันทั้งหมดเลยใช่ไหม”

โจวเจ๋อขมวดคิ้ว

ตั้งแปดสิบปีเชียวนะ เกินหกสิบปีไปตั้งเยอะ วิญญาณของผู้เสียชีวิตทั้งหมู่บ้านยังคงอยู่ที่เดิมหรือ

“ไม่แน่ใจ แต่ดูสาวน้อยคนนี้แล้วน่าจะเป็นแบบนี้นะ เอาอย่างนี้แล้วกัน ผมจะไปตรวจสอบบันทึกประวัติท้องถิ่นที่ห้องสมุดประจำเมือง ไปดูว่าสถานที่ตั้งของหมู่บ้านซานเซียงที่แน่ชัดอยู่ตรงไหน หรือไม่ก็จะไปสอบถามคนที่เกี่ยวข้องสักหน่อย”

สวี่ชิงหล่างลุกขึ้นหยิบกุญแจรถแล้วออกไปทันที

เขากระตือรือร้นในเรื่องนี้มาก ความกระตือรือร้นของเขาแตกต่างจากโจวเจ๋อ นั่นก็คือโจวเจ๋อยังมีเหตุผลเรื่องคะแนนผลงานอยู่ในนั้น แต่เขาแค่อยากจะทำเรื่องอะไรบางอย่างจากใจเขา

จะว่าไปแล้ว ต่างก็เป็นคนบ้านเกิดเดียวกัน

โจวเจ๋อนั่งลงบนเก้าอี้ข้างๆ ชี้นิ้วไปที่นักพรตเฒ่าแล้วพูดว่า “ดูเธอหน่อย”

นักพรตเฒ่าพยักหน้า และมองไปที่สาวน้อยกับเจ้าลิงน้อย

สาวน้อยงุนงงเล็กน้อย ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เพียงแค่ยืนอยู่ตรงนั้นตามสัญชาตญาณ และไม่กล้าขยับตัว

เจ้าลิงยื่นมือ ราวกับอยากจะลองสัมผัสวิญญาณของเด็กสาว แต่กลับถูกนักพรตเฒ่าฟาดมือลงทันที พร้อมกับดุว่า

“จะจับอะไร คนเขาอายุมากกว่าความกว้างของหน้าผากเสียอีก”

ถ้าหากสาวน้อยยังไม่ตาย นับๆ ดูแล้วตอนนี้เธอก็คงจะอายุเก้าสิบปีแล้ว

แต่เธอยังคงไร้เดียงสาเหมือนเคย สติปัญญายังคงเดิมเหมือนก่อนตาย นี่เป็นหนึ่งในสิ่งที่โจวเจ๋อสงสัยที่สุด โจวเจ๋อเดาว่าอาจจะเกิดปัญหาอะไรบางอย่างในหมู่บ้าน ทำให้วิญญาณของผู้เสียชีวิตทั้งหมู่บ้านติดอยู่ในนั้นไม่สามารถออกมาได้ ทุกคนติดอยู่ตรงนั้น ไม่รู้วันไม่รู้เวลา ไม่รู้เดือนไม่รู้ตะวัน

แต่ถึงอย่างไร สถานการณ์จริงๆ ต้องรอจนกว่าสวี่ชิงหล่างจะได้รับข้อมูลที่แน่นอนก่อนถึงจะสามารถยืนยันได้

โจวเจ๋อหยิบโทรศัพท์มือถือของเขาออกมา แล้วเลื่อนสไลด์ไปเรื่อยเปื่อย ปกติแล้วเขาไม่ค่อยใช้พวกวีแชตและคิวคิวสักเท่าไร เพราะมันเป็นเครือข่ายสังคมออนไลน์ในก่อนหน้านี้ของสวีเล่อทั้งหมด ซึ่งนี่มันก็ช่วยไม่ได้เช่นกัน ถึงอย่างไรก็เอาบัญชีก่อนหน้านี้ของตัวเองกลับมาไม่ได้อยู่ดี จะไปยื่นคำร้องนั้นก็เป็นไปได้ยากมาก

หลังจากเลื่อนๆ ดูโมเมนต์ของเพื่อน โจวเจ๋อก็บังเอิญไปเห็นไป๋อิงอิงแชร์เรื่อง ‘เรื่องบนเตียงของเหล่าทหารในกองทัพ!’

โจวเจ๋อตะลึงไปครู่หนึ่ง

ดูเหมือนว่าศพผีสาวตนนี้จะวิ่งอยู่บนเส้นทางของเด็กสาววัยรุ่นมัธยมต้นชั้นปีที่สอง ยิ่งวิ่งไปก็ยิ่งไกลขึ้นเรื่อยๆ

เหมือนว่าเขาจะต้องหาเวลาคุยกับเธอเสียแล้ว ไม่ควรไปแตะต้องของแบบนี้ มันเป็นสิ่งต้องห้าม

ในเวลานี้ ไป๋อิงอิงทำงานเสร็จแล้ว และกำลังเล่นเกมพับจีอยู่ในห้องชั้นบน ไม่ได้อยู่ที่ชั้นล่าง

โจวเจ๋อจึงลุกขึ้นเดินขึ้นบันไดไป ขณะเดินก็กดเข้าลิงก์ที่แชร์ไปด้วย

อืม

จะสั่งสอนนักเรียนมัธยมต้นชั้นปีที่สอง จะต้องใช้ยาที่ถูกกับโรค รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง

หลังจากกดเข้าไปแล้ว

มันเป็นรูปสีขาวและสีเขียวเต็มไปหมด

จากนั้นมันดันเป็นการแข่งขันพับผ้าห่มในโรงงานแห่งหนึ่ง และผู้ชนะสามอันดับแรกก็คือผู้เชี่ยวชาญที่เคยเป็นทหารมาก่อน

จั่วพาดหัวได้น่าเกลียดมาก

โจวเจ๋อวางโทรศัพท์ลงและผลักประตูห้องนอน

‘สาหร่ายทะเล สาหร่ายทะเล โบกสะบัดพลิ้วไหวไปตามคลื่น

สาหร่ายทะเล สาหร่ายทะเล เต้นรำอยู่ในเกลียวคลื่น!’

ไป๋อิงอิงนอนอวดเท้าเปล่าที่ขาวสะอาดทั้งสองข้างอยู่บนเตียง เท้าทั้งสองข้างแกว่งไปมา และกำลังปัดคลิปวิดีโอในมือ ปัดไปด้วยหัวเราะเอิ๊กอ๊ากไปด้วย

แม้แต่ตอนที่โจวเจ๋อเดินเข้ามา เธอก็ไม่ได้สังเกตเสียด้วยซ้ำ

จากนั้นโจวเจ๋อก็นั่งลงริมขอบเตียงของเธอ

“ฮ่าๆๆๆ…”

ไป๋อิงอิงหัวเราะพลางพลิกตัวหงายกลับ จากนั้นทั้งร่างของเธอก็นอนเกยอยู่บนตักของโจวเจ๋อในทันที

ทันใดนั้น ขนตางอนยาวสั่นกระพือ ริมฝีปากสีแดงเย้ายวนหุบลงเล็กน้อยๆ และเผยอออกอีกครั้ง ผิวบางละเอียดค่อยๆ แดงระเรื่อขึ้นมา

บรรยากาศในตอนนี้ตกอยู่ในภวังค์อันแสนงดงาม

แต่ทว่า สมแล้วที่โจวเจ๋อได้ชื่อว่าฮิปสเตอร์ผู้ทำลายล้าง เขาเอ่ยขึ้นทันที

“ฉันบอกเธอตั้งหลายครั้งแล้วนะว่าหลังจากตื่นนอนแล้วถ้าไม่อาบน้ำล้างเท้าให้เรียบร้อย ก็ห้ามขึ้นไปบนเตียงเด็ดขาดน่ะ”

พูดไป โจวเจ๋อก็มองดูเท้าเรียวยาวอันน่าหลงใหลไม่มีที่สิ้นสุดที่เปลือยเปล่าอยู่ด้านนอกคู่นั้นแล้วขมวดคิ้วไปด้วย

“สกปรก”

ไป๋อิงอิงลุกจากเตียงมาสวมรองเท้าแตะทันที แล้วกุมมือประสานกันไว้ด้านหน้า ก้มศีรษะลงตรงหน้าโจวเจ๋อ วางท่าพร้อมรับการถูกตำหนิอย่างดี

นางค่อนข้างคุ้นเคยกับท่าทางนี้ดี

“ซักผ้าปูที่นอนด้วย” โจวเจ๋อเอ่ย

“เจ้าค่ะ เถ้าแก่”

ไป๋อิงอิงเก็บผ้าปูที่นอนลงไป ส่วนโจวเจ๋อนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ เปิดหน้าเว็บและเริ่มค้นหาเรื่องราวเกี่ยวกับหมู่บ้านซานเซียงอีกครั้ง

ก่อนหน้านี้สวี่ชิงหล่างใช้โทรศัพท์มือถือค้นหา เผื่อจะมีบางอย่างตกหล่นไป

แต่น่าเสียดาย อย่างน้อยที่สุดบนอินเทอร์เน็ต นอกจากกระทู้สนทนาอันนั้นแล้ว ก็ไม่มีข้อมูลอื่นๆ เกี่ยวกับหมู่บ้านนั้นแล้ว

โจวเจ๋อคลิกเปิดกระทู้ที่สวี่ชิงหล่างเคยอ่านมาก่อนหน้านี้ กระทู้ดังกล่าวถูกโพสต์ในฟอรัมท้องถิ่นของทงเฉิงในปี 2009

โจวเจ๋ออ่านสองข้อความตอบกลับของคนที่บอกว่าคุณย่ามาจากซานเซียงก่อนหนึ่งรอบ แต่ก็ไม่พบอะไรเลย หลังจากนั้นโจวเจ๋อก็เลือกกลับไปอ่านหัวข้อนี้อีกครั้ง ในกระทู้นี้ จริงๆ แล้วมีคนที่รู้เรื่องราววงในอยู่สองคน

แน่นอนว่าคนหนึ่งเป็นคนที่ตอบกลับคนนั้น แต่คนที่ตอบกลับได้บอกในสิ่งควรบอกไปหมดแล้ว และอีกคนก็คือเจ้าของคำถามนี้

ในเมื่อผู้คนต่างก็ลืมเลือนหมู่บ้านซานเซียงไปแล้ว กระทั่งไม่มีแม้แต่ในบันทึก มันมีอยู่ในคำบอกเล่าในอดีตของคุณย่าเท่านั้น ถ้าอย่างนั้นทำไมจู่ๆ เจ้าของกระทู้ถึงได้ถามคำถามเกี่ยวกับสถานที่นี้ออกมาได้ล่ะ

โจวเจ๋อคลิกเปิดรูปโปรไฟล์ของเจ้าของกระทู้ และพบว่าหลังจากปี 2009 เจ้าของกระทู้ก็ไม่ได้โพสต์อะไรอีกเลย โจวเจ๋อคัดลอกไอดีของเจ้าของกระทู้ไป

ไอดีมีชื่อว่า ‘นอนฟืนแข็งกินดีขมทหารสามพันเอาชนะอู๋ 19800201’

ด้านหน้าดูคุ้นเคยมาก แต่ตัวเลขทั้งชุดด้านหลังนั้นโจวเจ๋อวิเคราะห์ว่าอาจเป็นวันเกิดของอีกฝ่าย

จากนั้นโจวเจ๋อก็ค้นหาไอดีนี้อีกครั้ง และพบว่าค้นหาเจอกระทู้หนึ่งจริงๆ กระทู้นี้ถูกโพสต์ในหมวดเรื่องผีเผิงไหลของฟอรัมไหเจี่ยว

เจ้าของกระทู้ยังคงเป็น ‘นอนฟืนแข็งกินดีขมทหารสามพันเอาชนะอู๋ 19800201’ และเวลาโพสต์ก็ยังเป็นปี 2009

กระทู้นี้ไม่ได้รับความนิยมมากนัก และการตอบกลับก็มีไม่มาก

แน่นอนว่าหมายเลขไอดีด้านหลังก็ยังเหมือนกัน นี่หมายความว่าคนที่เคยโพสต์ถามเกี่ยวกับหมูบ้านซานเซียงในฟอรัมท้องถิ่นของทงเฉิงเป็นคนเดียวกันกับที่โพสต์เรื่องราวในฟอรัมไหเจี่ยวนี้อีกด้วย

โจวเจ๋อเลื่อนลงมาดู นี่เป็นเรื่องเล่า

คำพูดเริ่มต้นของเจ้าของกระทู้มีอยู่ว่า

‘นี่เป็นเรื่องจากประสบการณ์ส่วนตัวของผม แม้ว่ามันจะดูแปลกและดูไร้สาระมาก แต่ผมเชื่อว่านี่ไม่ใช่ความฝัน และไม่ใช่เพราะผมเห็นภาพหลอน แต่นี่เป็นเรื่องเล่าจริงๆ ของผม’

เป็นการเปิดหัวเรื่องในแบบเดิมๆ

เมื่อสิบปีที่แล้วเป็นที่นิยมอย่างมากในการเล่าเรื่องผี เริ่มต้นด้วยการเน้นที่มาแต่อุบเรื่องราวไว้ก่อน

โจวเจ๋อเลื่อนดูด้านล่างต่อไปเรื่อยๆ

‘ในเดือนมีนาคมของปีนี้ ผมขับรถจากสถานีจ่ายไฟตำบลเขากวนอินเพื่อกลับบ้าน อืม ผมทำงานอยู่ที่สถานีจ่ายไฟ แต่ผมอาศัยอยู่แถวข้างๆ สนามบินซิ่งตง

ระหว่างทางกลับบ้านผมผ่านตำบลซิ่งเหริน และลงจากทางยกระดับฝั่งนั้นก่อน เพราะว่าวันนั้นผมจะไปรับเสื้อผ้าที่ผมนำไปซักแห้งไว้ตอนที่มาทำงานในตอนเช้า

ร้านซักแห้งแห่งนั้นอยู่ริมถนนตำบลซิ่งเหริน และอยู่ตรงข้ามโรงเรียนประถมซิ่งเหริน

ตอนที่ผมขับรถผ่านก็เป็นเวลาสามทุ่มแล้ว มีคนบนถนนเพียงน้อยนิด แต่ตอนที่ผมจอดรถหน้าประตูร้านซักแห้งและเปิดประตูรถเดินออกมา เมื่อย่ำเท้าลงไปก็ล้มลงทันที

ตอนแรกผมแค่คิดว่าวันนี้ช่างโชคร้ายจริงๆ แต่แท้จริงแล้วมันเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น เพราะหลังจากตอนที่ผมล้มลงกับพื้น จู่ๆ ก็พบว่าถนนและตึกสูงรอบๆ ตัวผมหายไป ใต้ตัวผมไม่ใช่ถนน แต่กลับเป็นคันนาที่เป็นดินโคลนเส้นหนึ่ง และฝั่งตรงข้ามก็ไม่ใช่ร้านซักแห้ง แต่เป็นบ้านที่ฉาบด้วยดินเรียงรายเป็นแถวๆ

ผมตกตะลึง หันกลับไปมองรถของผมก็พบว่ารถของผมกลายเป็นกองหญ้าแห้ง

ตอนนั้นผมรู้สึกกลัวมากจริงๆ ผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ผมอยู่นั่งบนพื้นประมาณสิบห้านาที และคิดอยู่ตลอดว่านี่เป็นความฝัน หวังว่าตัวเองจะตื่นขึ้นมาโดยเร็ว

แต่ผมไม่ได้ตื่นขึ้น จากนั้นผมเห็นชายชราคนหนึ่งจูงสาวน้อยคนหนึ่งเดินมาทางผม มีจอบพาดอยู่บนไหล่ของชายชรา และสาวน้อยกำลังเล่นกับขนมน้ำตาลปั้นรูปคนที่อยู่ในมือ

พวกเขาใกล้เข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ และพวกเขาก็กำลังคุยกัน แถมยังพูดสำเนียงทงเฉิง

ผมรีบถามพวกเขาทันทีว่าที่นี่คือที่ไหน

พวกเขาก็มองผมด้วยความสงสัย และชายชราคนนั้นก็ตอบว่าที่นี่คือ ‘หมู่บ้านซานเซียง’

หมู่บ้านซานเซียงอยู่ที่ไหน

ผมไม่เคยยินมาก่อนเลย

จากนั้นผมก็ยืนขึ้นทันทีและถามพวกเขาว่าผมจะออกไปได้อย่างไร

คาดว่าชายชราคงคิดว่าผมเป็นบ้าและสมองมีปัญหา ดังนั้นจึงรีบลากหลานสาวออกไปทันที

ผมไม่มีทางเลือกจึงเดินเข้าไปในหมู่บ้านคนเดียว ตอนนั้นผมถึงกับคิดว่าตัวเองถูกวางยาและโดนลักพาตัวมาขายในเขาลึกป่าดงดิบสักที่หนึ่งหรือไม่ แต่ผมก็คิดว่ามันไร้สาระมาก ผมเป็นผู้ชายอกสามศอก จะลักพาตัวผมไปขายทำไม

ผมคลอดลูกไม่ได้เสียหน่อย

บ้านทุกหลังต่างก็ปิดประตูจนหมด และบางครั้งมีเงาของคนในบ้านที่เปิดไฟอยู่ข้างใน ผมไม่กล้าเคาะประตูเพื่อเข้าไป เพียงแค่เดินอย่างระมัดระวังไปที่หน้าบ้านแต่ละหลัง

ผมได้ยินคนในบ้านหลายๆ หลังพูดคุยกัน และพวกเขาต่างก็ตะโกนร้องว่าหิว

ภรรยาตะโกนบอกสามีว่าหิว

ลูกตะโกนบอกพ่อแม่ว่าหิว

พ่อแม่ที่แก่หง่อมตะโกนบอกลูกสะใภ้ว่าหิว

คนในหมู่บ้านนี้ล้วนหิวโหยกันมาก

พวกเขาคุยแต่เรื่อง ‘หิวมาก หิวจังเลย’ อยู่ในบ้านตอนกลางคืน

ตอนนั้นผมยิ่งเดินก็ยิ่งคิดไปต่างๆ นานา

ผมมีความรู้สึกอย่างหนึ่ง ในเมื่อพวกเขาหิวขนาดนี้ คงไม่ใช่ว่าอีกสักครู่จะวิ่งออกมาจับผมไปต้มกินให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยหรอกนะ

ผมเริ่มวิ่ง วิ่งเร็วราวกับจะบินอยู่แล้ว ผมสัมผัสได้ถึงอันตรายตามสัญชาตญาณ

ผมอยากจะรีบออกไปจากที่นี่ก่อนที่พวกเขาจะวิ่งออกมาจับผม

ไม่ว่าผมจะวิ่งไปที่ไหน สุดท้ายแล้วผมก็อยากจะหนีห่างจากหมู่บ้านบ้าๆ นี้ยิ่งไกลยิ่งดี

ผมไม่รู้ว่าผมวิ่งมานานแค่ไหนแล้ว จนท้ายที่สุด ผมก็ลืมมันไปแล้ว…

จากนั้นพอตื่นขึ้นมาในวันรุ่งขึ้น ผมก็พบว่าตัวเองนั่งหลับอยู่บนเบาะคนขับตลอดทั้งคืน

แต่นี่ไม่ใช่ความฝันเด็ดขาด ความฝันไม่สามารถเหมือนจริงได้ขนาดนั้น!

อีกทั้งเสื้อผ้าและกางเกงของผมก็เต็มไปด้วยโคลน และที่คอกับเส้นผมก็ยังมีเศษหญ้าหลงเหลืออยู่

หมู่บ้านซานเซียง จะต้องมีสถานที่แห่งนี้อยู่แน่ๆ จะต้องมีอยู่จริงๆ!’

เจ้าของกระทู้ยังโพสต์รูปถ่ายของตัวเองในขณะนั้นด้วย มีทั้งเสื้อผ้าที่เปื้อนโคลนรวมถึงเศษหญ้าด้วย

แต่การตอบกลับของคนด้านล่างเห็นได้ชัดว่าไม่เชื่อและกล่าวว่า

‘เรื่องผีเรื่องนี้แต่งได้ไร้สาระเกินไปแล้ว’

‘ต้นทุนการผลิตต่ำมากเช่นกัน ทำเสื้อผ้าสกปรกแล้วถ่ายรูปก็สามารถเล่นเกมฝึกพูดตามภาพอย่างนั้นสินะ’

‘เปิดเรื่องด้วยรูปภาพ นอกนั้นแต่งเอาหมดเลย เจ้าของกระทู้ไม่ใส่ใจ ไม่ใส่ใจจริงๆ เลย’

‘เจ้าของกระทู้ ตอนนั้นคุณมีโทรศัพท์มือถือติดตัวด้วยไม่ใช่หรือไง ทำไมถึงไม่บันทึกวิดีโอเอาไว้ล่ะ’

โจวเจ๋อพลิกดูหน้าถัดไปต่อ

โชคดีที่มีการตอบกลับไม่มากนัก เพราะเรื่องผีแบบนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่จริงๆ และไม่สามารถเรียกได้ว่าโดดเด่นอะไร

แต่โจวเจ๋อเห็นการตอบกลับของเจ้าของกระทู้อยู่ด้านล่างโพสต์หนึ่ง

‘รอก่อนเถอะ ผมจะต้องหาวิธีไปอีกครั้งอย่างแน่นอน และครั้งนี้ผมจะกลับมาพร้อมหลักฐานเพื่อพิสูจน์ว่าผมไม่ได้แต่งเรื่องขึ้นมา’

การตอบกลับถัดไปเป็นปี 2010 ซึ่งก็คือหนึ่งปีต่อมา

‘หนึ่งปีแล้วนะ เจ้าของกระทู้เรื่องเล่าบ้าๆ ของคุณล่ะ ยังแต่งไม่เสร็จหรือไง ผมเก็บไว้ในรายการโปรดตลอดเลยนะ’

จากนั้นปี 2011 ก็มีการตอบกลับหนึ่งโพสต์

‘สองปีผ่านไปแล้วนะ สรุปว่าเจ้าของกระทู้กลับไปอีกหรือยัง’

การตอบกลับโพสต์สุดท้ายเป็นปี 2012

‘ทุกคนแยกย้ายกันเถอะ เจ้าของกระทู้เงียบหายไปแล้ว’

โจวเจ๋อดูไปเรื่อยๆ จากนั้นก็ตกตะลึงไปชั่วขณะ

จู่ๆ ก็มีประโยคหนึ่งปรากฏขึ้นในหัวของเขา

‘หลิวจื่อจี้จากหนานหยาง ผู้สันโดษที่มีความทะเยอทะยานสูงส่ง ได้ยินเรื่องนี้และวางแผนที่จะไปที่นั่นอย่างดีอกดีใจ แต่ไม่เป็นไปดั่งหวัง ไม่นานเขาเสียชีวิตด้วยอาการป่วย และหลังจากนั้นไม่มีใครถามถึงอีกเลย’

………………………………………………………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล 129 คำพูดโป้ปดครั้งแล้วครั้งเล่า

Now you are reading ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล Chapter 129 คำพูดโป้ปดครั้งแล้วครั้งเล่า at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 129 คำพูดโป้ปดครั้งแล้วครั้งเล่า

ปี 1938 อย่างนั้นหรือ

โจวเจ๋อมองสาวน้อย จากนั้นก็มองไปที่สวี่ชิงหล่างและเอ่ยขึ้น

“ปีศาจเข้ามาที่ทงเฉิงในปี 1938 ใช่ไหม”

สวี่ชิงหล่างครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบว่า “ดูเหมือนว่าจะเข้ามาเมืองทงเฉิงในเดือนมีนาคมปี 1938 นะ”

ในเมื่อเป็นอย่างนี้ ก็เป็นไปได้มากที่หมู่บ้านซานเซียงจะเกิดโศกนาฏกรรมขึ้นในยุคนั้น หมู่บ้านนี้น่าจะถูกกวาดเรียบในช่วงที่ปีศาจเข้ามาที่ทงเฉิง คนทั้งหมู่บ้านรวมทั้งสาวน้อยคนนี้ต่างก็ไม่มีใครเหลือรอด และนั่นก็หมายความว่าคุณย่าของคนที่โพสต์ข้อความโชคดีมาตั้งแต่แรก จึงหลีกเลี่ยงมาได้

จวบจนถึงทุกวันนี้ กระทั่งในตอนนี้ไม่มีทางที่จะค้นหาข้อมูลอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับหมู่บ้านซานเซียงได้เลย และก็ไม่มีการบันทึกของทางการอีกด้วย

นี่ไม่ใช่ความเกียจคร้านของทางการแต่อย่างใด แต่ในยุคนั้นมีโศกนาฏกรรมที่คล้ายกันมากมายนับไม่ถ้วน และสถานการณ์ก็วุ่นวายต่อเนื่องปีแล้วปีเล่า อันที่จริงผู้คนมากมายที่เสียชีวิตอย่างน่าสังเวชต่างก็ถูกลืมเลือนไปแล้ว

“นั่นก็หมายความว่า คนทั้งหมู่บ้านที่เสียชีวิตในช่วงสงครามยังไม่ได้ไปเวียนว่ายตายเกิดกันทั้งหมดเลยใช่ไหม”

โจวเจ๋อขมวดคิ้ว

ตั้งแปดสิบปีเชียวนะ เกินหกสิบปีไปตั้งเยอะ วิญญาณของผู้เสียชีวิตทั้งหมู่บ้านยังคงอยู่ที่เดิมหรือ

“ไม่แน่ใจ แต่ดูสาวน้อยคนนี้แล้วน่าจะเป็นแบบนี้นะ เอาอย่างนี้แล้วกัน ผมจะไปตรวจสอบบันทึกประวัติท้องถิ่นที่ห้องสมุดประจำเมือง ไปดูว่าสถานที่ตั้งของหมู่บ้านซานเซียงที่แน่ชัดอยู่ตรงไหน หรือไม่ก็จะไปสอบถามคนที่เกี่ยวข้องสักหน่อย”

สวี่ชิงหล่างลุกขึ้นหยิบกุญแจรถแล้วออกไปทันที

เขากระตือรือร้นในเรื่องนี้มาก ความกระตือรือร้นของเขาแตกต่างจากโจวเจ๋อ นั่นก็คือโจวเจ๋อยังมีเหตุผลเรื่องคะแนนผลงานอยู่ในนั้น แต่เขาแค่อยากจะทำเรื่องอะไรบางอย่างจากใจเขา

จะว่าไปแล้ว ต่างก็เป็นคนบ้านเกิดเดียวกัน

โจวเจ๋อนั่งลงบนเก้าอี้ข้างๆ ชี้นิ้วไปที่นักพรตเฒ่าแล้วพูดว่า “ดูเธอหน่อย”

นักพรตเฒ่าพยักหน้า และมองไปที่สาวน้อยกับเจ้าลิงน้อย

สาวน้อยงุนงงเล็กน้อย ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เพียงแค่ยืนอยู่ตรงนั้นตามสัญชาตญาณ และไม่กล้าขยับตัว

เจ้าลิงยื่นมือ ราวกับอยากจะลองสัมผัสวิญญาณของเด็กสาว แต่กลับถูกนักพรตเฒ่าฟาดมือลงทันที พร้อมกับดุว่า

“จะจับอะไร คนเขาอายุมากกว่าความกว้างของหน้าผากเสียอีก”

ถ้าหากสาวน้อยยังไม่ตาย นับๆ ดูแล้วตอนนี้เธอก็คงจะอายุเก้าสิบปีแล้ว

แต่เธอยังคงไร้เดียงสาเหมือนเคย สติปัญญายังคงเดิมเหมือนก่อนตาย นี่เป็นหนึ่งในสิ่งที่โจวเจ๋อสงสัยที่สุด โจวเจ๋อเดาว่าอาจจะเกิดปัญหาอะไรบางอย่างในหมู่บ้าน ทำให้วิญญาณของผู้เสียชีวิตทั้งหมู่บ้านติดอยู่ในนั้นไม่สามารถออกมาได้ ทุกคนติดอยู่ตรงนั้น ไม่รู้วันไม่รู้เวลา ไม่รู้เดือนไม่รู้ตะวัน

แต่ถึงอย่างไร สถานการณ์จริงๆ ต้องรอจนกว่าสวี่ชิงหล่างจะได้รับข้อมูลที่แน่นอนก่อนถึงจะสามารถยืนยันได้

โจวเจ๋อหยิบโทรศัพท์มือถือของเขาออกมา แล้วเลื่อนสไลด์ไปเรื่อยเปื่อย ปกติแล้วเขาไม่ค่อยใช้พวกวีแชตและคิวคิวสักเท่าไร เพราะมันเป็นเครือข่ายสังคมออนไลน์ในก่อนหน้านี้ของสวีเล่อทั้งหมด ซึ่งนี่มันก็ช่วยไม่ได้เช่นกัน ถึงอย่างไรก็เอาบัญชีก่อนหน้านี้ของตัวเองกลับมาไม่ได้อยู่ดี จะไปยื่นคำร้องนั้นก็เป็นไปได้ยากมาก

หลังจากเลื่อนๆ ดูโมเมนต์ของเพื่อน โจวเจ๋อก็บังเอิญไปเห็นไป๋อิงอิงแชร์เรื่อง ‘เรื่องบนเตียงของเหล่าทหารในกองทัพ!’

โจวเจ๋อตะลึงไปครู่หนึ่ง

ดูเหมือนว่าศพผีสาวตนนี้จะวิ่งอยู่บนเส้นทางของเด็กสาววัยรุ่นมัธยมต้นชั้นปีที่สอง ยิ่งวิ่งไปก็ยิ่งไกลขึ้นเรื่อยๆ

เหมือนว่าเขาจะต้องหาเวลาคุยกับเธอเสียแล้ว ไม่ควรไปแตะต้องของแบบนี้ มันเป็นสิ่งต้องห้าม

ในเวลานี้ ไป๋อิงอิงทำงานเสร็จแล้ว และกำลังเล่นเกมพับจีอยู่ในห้องชั้นบน ไม่ได้อยู่ที่ชั้นล่าง

โจวเจ๋อจึงลุกขึ้นเดินขึ้นบันไดไป ขณะเดินก็กดเข้าลิงก์ที่แชร์ไปด้วย

อืม

จะสั่งสอนนักเรียนมัธยมต้นชั้นปีที่สอง จะต้องใช้ยาที่ถูกกับโรค รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง

หลังจากกดเข้าไปแล้ว

มันเป็นรูปสีขาวและสีเขียวเต็มไปหมด

จากนั้นมันดันเป็นการแข่งขันพับผ้าห่มในโรงงานแห่งหนึ่ง และผู้ชนะสามอันดับแรกก็คือผู้เชี่ยวชาญที่เคยเป็นทหารมาก่อน

จั่วพาดหัวได้น่าเกลียดมาก

โจวเจ๋อวางโทรศัพท์ลงและผลักประตูห้องนอน

‘สาหร่ายทะเล สาหร่ายทะเล โบกสะบัดพลิ้วไหวไปตามคลื่น

สาหร่ายทะเล สาหร่ายทะเล เต้นรำอยู่ในเกลียวคลื่น!’

ไป๋อิงอิงนอนอวดเท้าเปล่าที่ขาวสะอาดทั้งสองข้างอยู่บนเตียง เท้าทั้งสองข้างแกว่งไปมา และกำลังปัดคลิปวิดีโอในมือ ปัดไปด้วยหัวเราะเอิ๊กอ๊ากไปด้วย

แม้แต่ตอนที่โจวเจ๋อเดินเข้ามา เธอก็ไม่ได้สังเกตเสียด้วยซ้ำ

จากนั้นโจวเจ๋อก็นั่งลงริมขอบเตียงของเธอ

“ฮ่าๆๆๆ…”

ไป๋อิงอิงหัวเราะพลางพลิกตัวหงายกลับ จากนั้นทั้งร่างของเธอก็นอนเกยอยู่บนตักของโจวเจ๋อในทันที

ทันใดนั้น ขนตางอนยาวสั่นกระพือ ริมฝีปากสีแดงเย้ายวนหุบลงเล็กน้อยๆ และเผยอออกอีกครั้ง ผิวบางละเอียดค่อยๆ แดงระเรื่อขึ้นมา

บรรยากาศในตอนนี้ตกอยู่ในภวังค์อันแสนงดงาม

แต่ทว่า สมแล้วที่โจวเจ๋อได้ชื่อว่าฮิปสเตอร์ผู้ทำลายล้าง เขาเอ่ยขึ้นทันที

“ฉันบอกเธอตั้งหลายครั้งแล้วนะว่าหลังจากตื่นนอนแล้วถ้าไม่อาบน้ำล้างเท้าให้เรียบร้อย ก็ห้ามขึ้นไปบนเตียงเด็ดขาดน่ะ”

พูดไป โจวเจ๋อก็มองดูเท้าเรียวยาวอันน่าหลงใหลไม่มีที่สิ้นสุดที่เปลือยเปล่าอยู่ด้านนอกคู่นั้นแล้วขมวดคิ้วไปด้วย

“สกปรก”

ไป๋อิงอิงลุกจากเตียงมาสวมรองเท้าแตะทันที แล้วกุมมือประสานกันไว้ด้านหน้า ก้มศีรษะลงตรงหน้าโจวเจ๋อ วางท่าพร้อมรับการถูกตำหนิอย่างดี

นางค่อนข้างคุ้นเคยกับท่าทางนี้ดี

“ซักผ้าปูที่นอนด้วย” โจวเจ๋อเอ่ย

“เจ้าค่ะ เถ้าแก่”

ไป๋อิงอิงเก็บผ้าปูที่นอนลงไป ส่วนโจวเจ๋อนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ เปิดหน้าเว็บและเริ่มค้นหาเรื่องราวเกี่ยวกับหมู่บ้านซานเซียงอีกครั้ง

ก่อนหน้านี้สวี่ชิงหล่างใช้โทรศัพท์มือถือค้นหา เผื่อจะมีบางอย่างตกหล่นไป

แต่น่าเสียดาย อย่างน้อยที่สุดบนอินเทอร์เน็ต นอกจากกระทู้สนทนาอันนั้นแล้ว ก็ไม่มีข้อมูลอื่นๆ เกี่ยวกับหมู่บ้านนั้นแล้ว

โจวเจ๋อคลิกเปิดกระทู้ที่สวี่ชิงหล่างเคยอ่านมาก่อนหน้านี้ กระทู้ดังกล่าวถูกโพสต์ในฟอรัมท้องถิ่นของทงเฉิงในปี 2009

โจวเจ๋ออ่านสองข้อความตอบกลับของคนที่บอกว่าคุณย่ามาจากซานเซียงก่อนหนึ่งรอบ แต่ก็ไม่พบอะไรเลย หลังจากนั้นโจวเจ๋อก็เลือกกลับไปอ่านหัวข้อนี้อีกครั้ง ในกระทู้นี้ จริงๆ แล้วมีคนที่รู้เรื่องราววงในอยู่สองคน

แน่นอนว่าคนหนึ่งเป็นคนที่ตอบกลับคนนั้น แต่คนที่ตอบกลับได้บอกในสิ่งควรบอกไปหมดแล้ว และอีกคนก็คือเจ้าของคำถามนี้

ในเมื่อผู้คนต่างก็ลืมเลือนหมู่บ้านซานเซียงไปแล้ว กระทั่งไม่มีแม้แต่ในบันทึก มันมีอยู่ในคำบอกเล่าในอดีตของคุณย่าเท่านั้น ถ้าอย่างนั้นทำไมจู่ๆ เจ้าของกระทู้ถึงได้ถามคำถามเกี่ยวกับสถานที่นี้ออกมาได้ล่ะ

โจวเจ๋อคลิกเปิดรูปโปรไฟล์ของเจ้าของกระทู้ และพบว่าหลังจากปี 2009 เจ้าของกระทู้ก็ไม่ได้โพสต์อะไรอีกเลย โจวเจ๋อคัดลอกไอดีของเจ้าของกระทู้ไป

ไอดีมีชื่อว่า ‘นอนฟืนแข็งกินดีขมทหารสามพันเอาชนะอู๋ 19800201’

ด้านหน้าดูคุ้นเคยมาก แต่ตัวเลขทั้งชุดด้านหลังนั้นโจวเจ๋อวิเคราะห์ว่าอาจเป็นวันเกิดของอีกฝ่าย

จากนั้นโจวเจ๋อก็ค้นหาไอดีนี้อีกครั้ง และพบว่าค้นหาเจอกระทู้หนึ่งจริงๆ กระทู้นี้ถูกโพสต์ในหมวดเรื่องผีเผิงไหลของฟอรัมไหเจี่ยว

เจ้าของกระทู้ยังคงเป็น ‘นอนฟืนแข็งกินดีขมทหารสามพันเอาชนะอู๋ 19800201’ และเวลาโพสต์ก็ยังเป็นปี 2009

กระทู้นี้ไม่ได้รับความนิยมมากนัก และการตอบกลับก็มีไม่มาก

แน่นอนว่าหมายเลขไอดีด้านหลังก็ยังเหมือนกัน นี่หมายความว่าคนที่เคยโพสต์ถามเกี่ยวกับหมูบ้านซานเซียงในฟอรัมท้องถิ่นของทงเฉิงเป็นคนเดียวกันกับที่โพสต์เรื่องราวในฟอรัมไหเจี่ยวนี้อีกด้วย

โจวเจ๋อเลื่อนลงมาดู นี่เป็นเรื่องเล่า

คำพูดเริ่มต้นของเจ้าของกระทู้มีอยู่ว่า

‘นี่เป็นเรื่องจากประสบการณ์ส่วนตัวของผม แม้ว่ามันจะดูแปลกและดูไร้สาระมาก แต่ผมเชื่อว่านี่ไม่ใช่ความฝัน และไม่ใช่เพราะผมเห็นภาพหลอน แต่นี่เป็นเรื่องเล่าจริงๆ ของผม’

เป็นการเปิดหัวเรื่องในแบบเดิมๆ

เมื่อสิบปีที่แล้วเป็นที่นิยมอย่างมากในการเล่าเรื่องผี เริ่มต้นด้วยการเน้นที่มาแต่อุบเรื่องราวไว้ก่อน

โจวเจ๋อเลื่อนดูด้านล่างต่อไปเรื่อยๆ

‘ในเดือนมีนาคมของปีนี้ ผมขับรถจากสถานีจ่ายไฟตำบลเขากวนอินเพื่อกลับบ้าน อืม ผมทำงานอยู่ที่สถานีจ่ายไฟ แต่ผมอาศัยอยู่แถวข้างๆ สนามบินซิ่งตง

ระหว่างทางกลับบ้านผมผ่านตำบลซิ่งเหริน และลงจากทางยกระดับฝั่งนั้นก่อน เพราะว่าวันนั้นผมจะไปรับเสื้อผ้าที่ผมนำไปซักแห้งไว้ตอนที่มาทำงานในตอนเช้า

ร้านซักแห้งแห่งนั้นอยู่ริมถนนตำบลซิ่งเหริน และอยู่ตรงข้ามโรงเรียนประถมซิ่งเหริน

ตอนที่ผมขับรถผ่านก็เป็นเวลาสามทุ่มแล้ว มีคนบนถนนเพียงน้อยนิด แต่ตอนที่ผมจอดรถหน้าประตูร้านซักแห้งและเปิดประตูรถเดินออกมา เมื่อย่ำเท้าลงไปก็ล้มลงทันที

ตอนแรกผมแค่คิดว่าวันนี้ช่างโชคร้ายจริงๆ แต่แท้จริงแล้วมันเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น เพราะหลังจากตอนที่ผมล้มลงกับพื้น จู่ๆ ก็พบว่าถนนและตึกสูงรอบๆ ตัวผมหายไป ใต้ตัวผมไม่ใช่ถนน แต่กลับเป็นคันนาที่เป็นดินโคลนเส้นหนึ่ง และฝั่งตรงข้ามก็ไม่ใช่ร้านซักแห้ง แต่เป็นบ้านที่ฉาบด้วยดินเรียงรายเป็นแถวๆ

ผมตกตะลึง หันกลับไปมองรถของผมก็พบว่ารถของผมกลายเป็นกองหญ้าแห้ง

ตอนนั้นผมรู้สึกกลัวมากจริงๆ ผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ผมอยู่นั่งบนพื้นประมาณสิบห้านาที และคิดอยู่ตลอดว่านี่เป็นความฝัน หวังว่าตัวเองจะตื่นขึ้นมาโดยเร็ว

แต่ผมไม่ได้ตื่นขึ้น จากนั้นผมเห็นชายชราคนหนึ่งจูงสาวน้อยคนหนึ่งเดินมาทางผม มีจอบพาดอยู่บนไหล่ของชายชรา และสาวน้อยกำลังเล่นกับขนมน้ำตาลปั้นรูปคนที่อยู่ในมือ

พวกเขาใกล้เข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ และพวกเขาก็กำลังคุยกัน แถมยังพูดสำเนียงทงเฉิง

ผมรีบถามพวกเขาทันทีว่าที่นี่คือที่ไหน

พวกเขาก็มองผมด้วยความสงสัย และชายชราคนนั้นก็ตอบว่าที่นี่คือ ‘หมู่บ้านซานเซียง’

หมู่บ้านซานเซียงอยู่ที่ไหน

ผมไม่เคยยินมาก่อนเลย

จากนั้นผมก็ยืนขึ้นทันทีและถามพวกเขาว่าผมจะออกไปได้อย่างไร

คาดว่าชายชราคงคิดว่าผมเป็นบ้าและสมองมีปัญหา ดังนั้นจึงรีบลากหลานสาวออกไปทันที

ผมไม่มีทางเลือกจึงเดินเข้าไปในหมู่บ้านคนเดียว ตอนนั้นผมถึงกับคิดว่าตัวเองถูกวางยาและโดนลักพาตัวมาขายในเขาลึกป่าดงดิบสักที่หนึ่งหรือไม่ แต่ผมก็คิดว่ามันไร้สาระมาก ผมเป็นผู้ชายอกสามศอก จะลักพาตัวผมไปขายทำไม

ผมคลอดลูกไม่ได้เสียหน่อย

บ้านทุกหลังต่างก็ปิดประตูจนหมด และบางครั้งมีเงาของคนในบ้านที่เปิดไฟอยู่ข้างใน ผมไม่กล้าเคาะประตูเพื่อเข้าไป เพียงแค่เดินอย่างระมัดระวังไปที่หน้าบ้านแต่ละหลัง

ผมได้ยินคนในบ้านหลายๆ หลังพูดคุยกัน และพวกเขาต่างก็ตะโกนร้องว่าหิว

ภรรยาตะโกนบอกสามีว่าหิว

ลูกตะโกนบอกพ่อแม่ว่าหิว

พ่อแม่ที่แก่หง่อมตะโกนบอกลูกสะใภ้ว่าหิว

คนในหมู่บ้านนี้ล้วนหิวโหยกันมาก

พวกเขาคุยแต่เรื่อง ‘หิวมาก หิวจังเลย’ อยู่ในบ้านตอนกลางคืน

ตอนนั้นผมยิ่งเดินก็ยิ่งคิดไปต่างๆ นานา

ผมมีความรู้สึกอย่างหนึ่ง ในเมื่อพวกเขาหิวขนาดนี้ คงไม่ใช่ว่าอีกสักครู่จะวิ่งออกมาจับผมไปต้มกินให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยหรอกนะ

ผมเริ่มวิ่ง วิ่งเร็วราวกับจะบินอยู่แล้ว ผมสัมผัสได้ถึงอันตรายตามสัญชาตญาณ

ผมอยากจะรีบออกไปจากที่นี่ก่อนที่พวกเขาจะวิ่งออกมาจับผม

ไม่ว่าผมจะวิ่งไปที่ไหน สุดท้ายแล้วผมก็อยากจะหนีห่างจากหมู่บ้านบ้าๆ นี้ยิ่งไกลยิ่งดี

ผมไม่รู้ว่าผมวิ่งมานานแค่ไหนแล้ว จนท้ายที่สุด ผมก็ลืมมันไปแล้ว…

จากนั้นพอตื่นขึ้นมาในวันรุ่งขึ้น ผมก็พบว่าตัวเองนั่งหลับอยู่บนเบาะคนขับตลอดทั้งคืน

แต่นี่ไม่ใช่ความฝันเด็ดขาด ความฝันไม่สามารถเหมือนจริงได้ขนาดนั้น!

อีกทั้งเสื้อผ้าและกางเกงของผมก็เต็มไปด้วยโคลน และที่คอกับเส้นผมก็ยังมีเศษหญ้าหลงเหลืออยู่

หมู่บ้านซานเซียง จะต้องมีสถานที่แห่งนี้อยู่แน่ๆ จะต้องมีอยู่จริงๆ!’

เจ้าของกระทู้ยังโพสต์รูปถ่ายของตัวเองในขณะนั้นด้วย มีทั้งเสื้อผ้าที่เปื้อนโคลนรวมถึงเศษหญ้าด้วย

แต่การตอบกลับของคนด้านล่างเห็นได้ชัดว่าไม่เชื่อและกล่าวว่า

‘เรื่องผีเรื่องนี้แต่งได้ไร้สาระเกินไปแล้ว’

‘ต้นทุนการผลิตต่ำมากเช่นกัน ทำเสื้อผ้าสกปรกแล้วถ่ายรูปก็สามารถเล่นเกมฝึกพูดตามภาพอย่างนั้นสินะ’

‘เปิดเรื่องด้วยรูปภาพ นอกนั้นแต่งเอาหมดเลย เจ้าของกระทู้ไม่ใส่ใจ ไม่ใส่ใจจริงๆ เลย’

‘เจ้าของกระทู้ ตอนนั้นคุณมีโทรศัพท์มือถือติดตัวด้วยไม่ใช่หรือไง ทำไมถึงไม่บันทึกวิดีโอเอาไว้ล่ะ’

โจวเจ๋อพลิกดูหน้าถัดไปต่อ

โชคดีที่มีการตอบกลับไม่มากนัก เพราะเรื่องผีแบบนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่จริงๆ และไม่สามารถเรียกได้ว่าโดดเด่นอะไร

แต่โจวเจ๋อเห็นการตอบกลับของเจ้าของกระทู้อยู่ด้านล่างโพสต์หนึ่ง

‘รอก่อนเถอะ ผมจะต้องหาวิธีไปอีกครั้งอย่างแน่นอน และครั้งนี้ผมจะกลับมาพร้อมหลักฐานเพื่อพิสูจน์ว่าผมไม่ได้แต่งเรื่องขึ้นมา’

การตอบกลับถัดไปเป็นปี 2010 ซึ่งก็คือหนึ่งปีต่อมา

‘หนึ่งปีแล้วนะ เจ้าของกระทู้เรื่องเล่าบ้าๆ ของคุณล่ะ ยังแต่งไม่เสร็จหรือไง ผมเก็บไว้ในรายการโปรดตลอดเลยนะ’

จากนั้นปี 2011 ก็มีการตอบกลับหนึ่งโพสต์

‘สองปีผ่านไปแล้วนะ สรุปว่าเจ้าของกระทู้กลับไปอีกหรือยัง’

การตอบกลับโพสต์สุดท้ายเป็นปี 2012

‘ทุกคนแยกย้ายกันเถอะ เจ้าของกระทู้เงียบหายไปแล้ว’

โจวเจ๋อดูไปเรื่อยๆ จากนั้นก็ตกตะลึงไปชั่วขณะ

จู่ๆ ก็มีประโยคหนึ่งปรากฏขึ้นในหัวของเขา

‘หลิวจื่อจี้จากหนานหยาง ผู้สันโดษที่มีความทะเยอทะยานสูงส่ง ได้ยินเรื่องนี้และวางแผนที่จะไปที่นั่นอย่างดีอกดีใจ แต่ไม่เป็นไปดั่งหวัง ไม่นานเขาเสียชีวิตด้วยอาการป่วย และหลังจากนั้นไม่มีใครถามถึงอีกเลย’

………………………………………………………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+