ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล 342 คุณอยู่ในส่วนลึกของความคิดฉัน

Now you are reading ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล Chapter 342 คุณอยู่ในส่วนลึกของความคิดฉัน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 342 คุณอยู่ในส่วนลึกของความคิดฉัน

หลู่ซวิ่นกล่าวก่อนที่จะเขียนใน ‘การสะสม ความรู้สึกจิปาถะ’ ว่า

‘เมื่อเห็นเสื้อแขนสั้น ทำให้นึกถึงต้นแขนขาวๆ ทันที นึกถึงรูปร่างเปลือยทั้งตัวทันที นึกถึงช่องคลอดขึ้นมาทันที นึกถึงกระจู๋ขึ้นมาทันที นึกถึงการผสมพันธุ์ขึ้นมาทันที นึกถึงลูกนอกสมรสทันที…’

ในเวลานี้โจวเจ๋ออยู่ในสภาพที่ไม่ต่างกัน เมื่อเห็นเรือนจำนี้ก็นึกถึงน้องเขยของเหล่าจาง จากนั้นก็นึกถึงปากกาด้ามนั้น แล้วก็นึกถึงบ้านผีสิงที่อิงอิงซื้อหลังนั้น ต่อมาก็นึกถึงห้องน้ำ นึกถึงกระจกบานนั้นในห้องน้ำ

และด้วยเหตุนี้ ในเวลานี้ตอนที่โจวเจ๋อมองตัวเองในกระจกตรงที่กำบังแดดเหนือศีรษะเขา ราวกับว่าคนที่อยู่ในกระจกคือเจ้านั่น มันสามารถคุยกับเขาได้ สามารถทำท่าทางเลียนแบบเขาได้

แต่ในความเป็นจริง ทุกอย่างล้วนเงียบสงัด คนที่อยู่ในกระจกก็ยังเป็นตัวเขาเอง

เขาจุดบุหรี่อีกครั้ง วางมือที่คีบบุหรี่ไว้นอกกระจกรถ

หญิงสาวคนนั้นเข้าไปเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว เหมือนอย่างที่นางพูดไว้ทุกอย่าง เมื่อคนจากนรกไม่ปฏิบัติตามกฎของโลกมนุษย์ พวกนางก็จะเป็นอิสระ

แต่ทุกคนล้วนปฏิบัติตามกฎ สาวน้อยโลลิก็ปฏิบัติตามกฎ โจวเจ๋อก็ก็ปฏิบัติตามกฎ ไม่มีใครบอกพวกเขาว่าผลที่ตามมาจากการละเมิดกฎมีรายละเอียดเป็นอย่างไร เพราะคนที่ไม่ปฏิบัติตามกฎได้ตายจากไปหมดแล้ว

โจวเจ๋อเขี่ยบุหรี่ ตอนที่เขาขับรถ หญิงสาวคนนั้นเอาแต่จ้องนิ้วมือของเขา นางน่าจะสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง

ยมทูตธรรมดา ผีไร้ญาติ ขาดประสบการณ์ความรู้ และต่อให้มีความรู้ก็ไม่มีช่องทางให้รายงานความผิดได้

แต่หญิงสาวคนนี้ต่างกัน นางบอกว่านางมาจากสะพานไน่เหอ

อีกอย่าง ดูเหมือนว่าเถ้าแก่โจวจะมีภาพจำอยู่นิดหน่อย เหมือนว่าเขาเคยฆ่าหญิงรับใช้ที่มาจากสะพานไน่เหอ หญิงชราที่มาถามเรื่องดอกพลับพลึงแดงจากเขาที่ร้านหนังสือ ท้ายที่สุดแล้วนางถูกโจวเจ๋อฉีกเป็นชิ้นๆ ไม่สามารถกลับลงนรกได้

โจวเจ๋อเคยชินกับวิถีชีวิตแบบนี้ไปโดยไม่รู้ตัว ถ้าเขาอยากจะใช้ชีวิตเอื่อยเฉื่อยและอิสระบนโลกมนุษย์ไปเรื่อยๆ ก็ต้องเก็บรักษาเรื่องของตัวเองไม่ให้นายใหญ่ในนรกที่แท้จริงรู้เข้า ดังนั้นดวงวิญญาณที่มีความเป็นไปได้ว่าจะเปิดเผยเรื่องราวของเขาจึงถูกเขาขัดขวางและฆ่าปิดปากไปเสีย ส่วนใหญ่จะตกไปอยู่ในท้องของเจ้าจิตสำนึกในร่างของเขา

ไม่สุดโต่งถึงขั้นยอมฆ่าผิดคนนับพันดีกว่าปล่อยให้หลุดรอดไปได้ แต่มันก็ไม่ต่างกันนักหรอก

อันที่จริงหลายคนในร้านหนังสือต่างก็รู้สึกว่าหมู่นี้นิสัยของโจวเจ๋อเปลี่ยนไปนิดหน่อย แม้คนนอกจะมองออกทะลุปรุโปร่ง แต่ตัวโจวเจ๋อเองกลับไม่ได้รู้สึกอย่างนั้นเลย

ในร้านหนังสือ ผู้ที่รับรู้และยืนยันในจุดนี้ได้อย่างแจ่มแจ้งมีเพียงสาวน้อยโลลิเท่านั้น เพราะในคืนนั้นนางเคยเห็นฉากตอนที่โจวเจ๋ออยู่ภายใต้สภาวะจิตสำนึกนั้นหยิบเอายาบำรุงซือตันป้อนเข้าปากตัวเองกับไป๋อิงอิงสลับกันไปมากับตาตัวเองมาแล้ว

“เริ่มง่วงแล้ว”

โจวเจ๋อหาวหวอดๆ

“อยากนอนกับอิงอิงจังเลย”

‘คุณอยู่ในส่วนลึกของความคิดฉัน ในความฝันของฉัน ในใจของฉัน ในเสียงเพลงของฉัน…’

ในห้องสมุดของเรือนจำยังออกอากาศเพลงประกอบ ‘ในเสียงเพลงของฉัน’ ที่ชวีหวั่นถิงร้อง

บทเพลงไพเราะรื่นหู เสียงไม่สูง แผ่วเบา ทุ้มต่ำ…

ชายสวมชุดนักโทษยังคงนั่งอยู่ที่นั่น ใต้เท้าของเขามีก้อนกระดาษขยำอยู่เต็มพื้น และปากกาถูกวางลงบนโต๊ะ

เขียนเรื่องราวต่อไปไม่ได้แล้ว มันหลุดพ้นจากการควบคุมของเขา

จนถึงเวลานี้ ผู้เขียนไม่ใช่ผู้เขียนอีกต่อไปแล้ว กลับกันเหมือนเป็นฝ่ายถูกคนบงการ มีหน้าที่เพียงรับผิดชอบเขียนตัวอักษรและบันทึกลงเรื่องราวเท่านั้น ส่วนเรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อไป ตัวละครจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรนั้น ตัวเขาเองไม่อาจรู้ได้

ร่างของหญิงสาวปรากฏตัวในห้องสมุด ระบบรักษาความปลอดภัยของเรือนจำเข้มงวดและสมบูรณ์แบบมาก แต่ทำได้เพียงป้องกันไม่ให้นักโทษออกมา กลับไม่สามารถป้องกันดวงวิญญาณได้

นางเข้ามาแล้วและเดินเข้าใกล้ชายหนุ่มอย่างช้าๆ มองชายหนุ่มที่นั่งพิงอยู่บนเก้าอี้หย่อนสองมือลงมา นางยิ้มออกมาก่อน จากนั้นหุบยิ้มและเผยสีหน้าแสดงความสงสัย

“ราบรื่นเสียจนทำให้ข้ายากจะจินตนาการไปบ้าง ข้าเพิ่งจะออกมาไม่กี่ชั่วโมงก็เจอสิ่งที่ข้ากำลังตามหาแล้ว และก็เจอคนที่ข้าตามหาด้วย”

ความรู้สึกนี้มันคล้ายกับตอนที่พระถังซัมจั๋งถูกทำให้รู้ล่วงหน้าหนึ่งวันว่าดินแดนชมพูทวีปอยู่ติดกับฉางอันก่อนจะเตรียมไปอัญเชิญพระไตรปิฎก

มันปลอมมาก ปลอมเปลือกมากเกินไป ทำให้แน่ใจว่าทั้งหมดนี้มันเป็นเรื่องหลอกลวง

นักโทษหันหน้าไปมองหญิงสาวที่อยู่ด้านข้าง

ในขณะเดียวกัน ตรงอีกมุมหนึ่งของห้องขังในเรือนจำ มีนักโทษคนหนึ่งที่ห่อตัวด้วยผ้าห่มกำลังหนาวสั่นสะท้านราวกับสัมผัสได้ถึงลมหายใจที่คุ้นเคย แต่โชคดีที่ลมหายใจนั้นไม่ได้มาหาเขา

“สิ่งที่คุณตามหาคือปากกาด้ามนี้ใช่ไหม” นักโทษชี้ปากกาบนโต๊ะ

“ยังมีเจ้าอีกคน” หญิงสาวเดินเข้าใกล้ “อันที่จริงสิ่งที่สะพานไน่เหออยากรู้มากกว่าปากกาด้ามนี้คือ เจ้าใช้วิธีใดบังคับสั่งการปากกาด้ามนี้”

นักโทษมองหญิงสาวที่เข้ามาใกล้เรื่อยๆ เขาไหล่ตก คล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม

“ปากกาด้ามนี้ระเหเร่ร่อนอยู่บนโลกมนุษย์มาตลอดหกร้อยปี สะพานไน่เหอไม่คิดตามหา เพราะตอนแรกที่ปากกาด้ามนี้อยู่ที่สะพานไน่เหอ ถึงแม้จะเป็นคุณยายเมิ่งก็ไม่รู้ว่านอกจากจะใช้ปากกาด้ามนี้เขียนคิ้วแล้วยังเอาไว้ทำอะไรได้อีก ทุกคนต่างมองมันเป็นของไร้ประโยชน์ที่ประณีตละเอียดอ่อนชิ้นหนึ่ง แต่ตอนนี้ต่างออกไป เพราะเจ้าดันใช้งานมันได้จริงๆ”

ขณะที่พูด ในที่สุดหญิงสาวก็เดินเข้ามาประชิดตัวนักโทษ แล้วโน้มตัวลง งอเข่า นั่งยองๆ เงยหน้าขึ้นมองนักโทษ

“ปากกาน่ะ ข้าจะนำมันกลับไป ตัวเจ้า ข้าก็จะพากลับไปด้วย แต่พูดตามตรงจะปลิดชีวิตของคนเป็นๆ โดยไม่มีเหตุผล โดยเฉพาะที่โลกมนุษย์ด้วยแล้ว จะทำให้เกิดปัญหาใหญ่โต ข้าก็ไม่อยากก่อปัญหา ยิ่งไม่อยากให้ยมโลกโกรธเกลียดสะพานไน่เหอของเราเพราะข้ออ้างนี้”

“นั่นก็แปลว่า ผมจะไม่ตายใช่ไหม”

คนตาย ถึงจะสามารถลงนรกได้

หญิงสาวพยักหน้า “ใช่ เจ้าไม่จำเป็นต้องตาย ขอเพียงแค่เจ้าบอกวิธีใช้ปากกาด้ามนี้มา ก็จะไม่ตาย ถือเป็นการตอบแทน สะพานไน่เหอจะให้เจ้าใช้ชีวิตในโลกนี้จนกว่าจะได้ข้ามสะพานครั้งต่อไป และจะให้ดื่มน้ำแกงยายเมิ่งเพียงครึ่งจิบ ให้เจ้ายังคงจำเรื่องราวบางอย่างในชาติที่แล้วได้”

“ฟังดูแล้ว ไม่เลวทีเดียว” นักโทษคิดอยู่ครู่หนึ่งและถามขึ้นทันที “ถ้าผมไม่ยอมล่ะ”

“ปัญหาน่ะอาจจะยุ่งยากนิดหน่อย แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะพาวิญญาณเจ้าลงไปไม่ได้ บางทีเจ้าอาจจะไม่รู้ว่าวิญญาณไม่มีอำนาจในนรก จนถึงตอนนั้นเจ้าคิดจะไม่ปริปากบอกก็คงยากแล้วละ”

หญิงสาวลุกขึ้นอย่างช้าๆ เอื้อมมือออกมาลูบแก้มของนักโทษ สัมผัสถึงความแข็งสากของหนวดเคราบนใบหน้าเขา แน่นอนว่าในเรือนจำไม่มีเงื่อนไขให้โกนหนวดทุกวัน

“อันที่จริงผมก็ใช้ปากกาด้ามนี้ไม่เก่งเท่าไร” นักโทษชี้ปากกาตรงหน้า “ผมบังคับควบคุมมันไม่ได้”

“ใช่ เพราะเจ้าเป็นเพียงคนธรรมดา” หญิงสาวพูด

“คงงั้นละมั้ง” นักโทษพยักหน้า

โจวเจ๋อเคยเดาว่านักโทษคนนี้อาจเป็นผู้พิพากษา ในขณะที่ทนายอันเดาว่านักโทษคนนี้เป็นบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ที่สำคัญคนหนึ่ง แต่ตอนนี้คำตอบออกมาแล้ว เขาเป็นเพียงแค่คนธรรมดา

นรกมีสิบขุม มีสะพานไน่เหอ มีทะเลแห่งความตาย มีพระกษิติครรภ์ มีปีศาจร้ายที่ดูน่ากลัวสำหรับคนทั่วไปอยู่นับไม่ถ้วน

แต่โลกมนุษย์ตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงปัจจุบันล้วนเป็นโลกของคนเป็นและคนธรรมดา

ไม่ใช่ว่าบรรดาบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ในนรกจะสงบเสงี่ยมอยู่ในกฎเกณฑ์ ปกป้องขอบเขตอิทธิพลใต้ฝ่าเท้าตัวเองอย่างสบายใจ แต่เป็นเพราะโลกมนุษย์ก็ไม่ได้ง่ายขนาดนั้น

“ขอโทษครับ ผมบอกคุณไม่ได้” นักโทษมีสีหน้ารู้สึกผิด “เพราะผมเองก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงสามารถใช้มันได้”

หญิงสาวมองนักโทษ

นักโทษยิ้มอย่างเจื่อนๆ “เหมือนอย่างที่คุณพูดนั่นแหละ ผมเป็นเพียงคนธรรมดา แม้แต่พวกคุณยังไม่รู้แล้วผมจะไปรู้ได้ยังไง”

หญิงสาวไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่เอ่ยขึ้นอย่างเรียบเฉย “งั้นข้าทำได้เพียงนำวิญญาณของเจ้าลงไป”

พูดอีกอย่างก็คือ เจ้าต้องตาย

“เมื่อผมลงไปแล้วสามารถเจอภรรยาและลูกๆ ของผมได้ไหม” นักโทษถามอย่างจริงจัง

หลายคนล้วนถามคำถามที่คล้ายกันนี้กับเถ้าแก่โจว เพราะว่า ‘ไปก่อนล่วงหน้า จะรอคุณอยู่ที่เส้นทางสู่นรก’ ‘พวกเราลงไปเส้นทางสู่นรกด้วยกัน’ เป็นต้น ฉากเหล่านี้ปรากฏในผลงานภาพยนตร์ ละครโทรทัศน์ และวรรณกรรมต่างๆ อยู่บ่อยครั้ง

ไม่ว่าคุณจะเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูง นักธุรกิจผู้มั่งคั่ง หรือเป็นคนสมถะ ทุกคนล้วนสงสัยใคร่รู้ในสิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้ โดยเฉพาะเรื่องหลังจากที่ตัวเองตายไปแล้ว

เถ้าแก่โจวทำได้แค่ให้คำตอบอย่างเย็นชาทุกครั้งไป เพราะพวกวิญญาณที่อยู่บนเส้นทางสู่นรกได้แต่เคลื่อนที่ไปข้างหน้าอย่างเฉื่อยชาเหมือนซากศพเดินได้ แต่ละตัวเหมือนหุ่นเชิด และเหมือนชิ้นส่วนประกอบบนสายพานในโรงงานอีกด้วย

“เรื่องนี้น่ะมันแล้วแต่โชคของเจ้า” หญิงสาวไม่ได้ตอบคำถามนี้ไปตรงๆ นางขี้เกียจอธิบายสภาพของนรกให้คนเป็นฟัง นางยื่นมือออกไปวางไว้ระหว่างคิ้วของนักโทษ เตรียมพร้อมที่จะดึงวิญญาณออกมา

นักโทษหลับตาลงช้าๆ เขาไม่ดิ้นรน และก็ไม่ขัดขืน ดูสงบนิ่งมาก เขารู้ดีว่าเขาใช่คนกล้าหาญ และก็เพราะว่าไม่กล้านี่ละ ดังนั้นถึงได้ไร้ความกลัว เหมือนคนที่ไม่มีอะไรจะเสียแล้ว

“จะถามเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย เจ้าจะบอกหรือไม่…”

“เร็วๆ เข้าสิ เลิกพล่ามได้แล้ว” นักโทษยกมือขึ้นและเอ่ยเร่ง “เรื่องราวยืดเยื้อ พล่ามเยอะเกินไป นักอ่านจะคิดว่าคุณลีลาเอานะ”

“…” หญิงสาว “งั้นเจ้าก็รนหาที่เองนะ”

อักขระสีแดงปรากฏขึ้นบนฝ่ามือของหญิงสาว อักขระนั้นกำลังสัมผัสกับวิญญาณในร่างของนักโทษ และเริ่มดึงมันออกมา

ผ่านไปพักหนึ่ง ตำแหน่งระหว่างคนทั้งสองยังปกคลุมไปด้วยแสงสีแดงจางๆ ชั้นหนึ่ง ซึ่งคนธรรมดาไม่สามารถมองเห็นมันได้ด้วยตาเปล่า คล้ายเลือดสาดกระเซ็นลงบนพื้น

แรกเริ่มหญิงสาวดึงวิญญาณของเขาออกมาอย่างสงบนิ่งมาก แค่หยิบปากขึ้นมา นางก็สามารถกลับลงไปรายงานผลการปฏิบัติภารกิจได้แล้ว แน่นอนว่ายังมียมทูตที่ส่งนางมาตนนั้นก็จำเป็นจะต้องรายงานให้เบื้องบนทราบด้วยเช่นกัน

ไม่ใช่ว่าพฤติกรรมที่ลักลอบแอบแฝงของยมทูตตนนั้นฝืนข้อห้ามมากแค่ไหนหรอก ในความเป็นจริงนั้น สำหรับขุมอำนาจต่างๆ ในนรก กฎเอาไว้ใช้เพียงบังคับควบคุมดวงวิญญาณและยมทูตระดับล่างเท่านั้น ไม่ได้เอาไว้ใช้กับตัวพวกเขาเอง

ลับหลังมีใครบ้างที่ไม่มีความคิดเป็นของตัวเองกันบ้างล่ะ แม้แต่สะพานไน่เหอยังเคยติดต่อพูดคุยธุรกิจกับทนายอันมาก่อนเลย

สิ่งที่หญิงสาวต้องการรายงานก็คือเล็บของยมทูตรายนั้น ตอนที่เล็บปรากฏขึ้น ใจของนางเกิดอาการเต้นแรง ทำให้นางรู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อย

ยมทูตตนหนึ่งทำให้นางหวาดกลัว เหอะๆ

แต่ทว่า นางกลับไม่รู้เลยว่า ยมทูตที่มาส่งนางตนนั้นยังไม่ออกไปไหน รถยังจอดรออยู่นอกเรือนจำเพื่อรอดูว่านางจะออกมาได้หรือไม่

หากนางออกมาไม่ได้ ก็แล้วไป

หากว่านางออกมาแล้ว นางจะสามารถกลับลงไปได้อย่างปลอดภัยหรือไม่ นั่นอาจจะไม่ใช่สิ่งที่นางจะตัดสินใจได้

แม้ว่าสำหรับเถ้าแก่โจวแล้ว ทุกครั้งที่ปลุกเจ้าจิตสำนึกนั่นขึ้นมา ความปลอดภัยของร่างกายตัวเองจะถูกทำลายไปบางส่วน แต่แม้ว่าจะเป็นการแก้ปัญหาแค่เฉพาะหน้าก็ยังดีกว่าที่จู่ๆ การใช้ชีวิตแบบปลาเค็มในตอนนี้ถูกหยุดลงอย่างกะทันหันเป็นไหนๆ

หยุดพักเรื่องไม่เป็นทั้งหลายแหล่ไว้ก่อน อักขระกลางฝ่ามือของหญิงสาวกะพริบอยู่นานมาก แต่ก็ไม่ได้ดึงอะไรออกมาเลย ความสงสัยปรากฏให้เห็นบนใบหน้าของหญิงสาว

“แกไม่ใช่คน!”

ไม่ ไม่ถูกต้อง แม้จะไม่ใช่คนก็ตาม แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีวิญญาณ แถมนี่ยังเป็นโลกมนุษย์อีกต่างหาก!

กลับกัน ดูเหมือนว่าหญิงสาวจะนึกอะไรขึ้นมาได้ ตะโกนด้วยความหวาดกลัวยิ่งขึ้น

“ไม่ ไม่นะ เจ้าไม่มีอยู่จริงมาตั้งแต่แรกต่างหาก!!!”

‘คุณอยู่ในส่วนลึกของความคิดฉัน ในความฝันของฉัน ในใจของฉัน ในเสียงเพลงของฉัน…’

เพลงประกอบที่ห้องสมุดยังคงดำเนินการออกอากาศต่อไปอย่างช้าๆ

………………………………………………………

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *