ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล 470 บุกทะลวง!

Now you are reading ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล Chapter 470 บุกทะลวง! at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 470 บุกทะลวง!

“หืม” พระขี้เรื้อนเงยหน้าขึ้น มองไปทางหน้าประตูโรงแรมอย่างอกสั่นขวัญแขวน ต่อจากนั้นพระจึงเริ่มนับนิ้วไม่หยุด สีหน้าของเขาแสดงความเคร่งขรึมหนักแน่นและผ่อนคลายสลับกัน

“พระคะ ท่านทำนายดวงชะตาเป็นเหรอ” หญิงสาวตัวดำวางมือบนศีรษะที่ผิวไม่เรียบยุบของพระขี้เรื้อนแล้วถามด้วยความสงสัย

“ไม่เป็น”

“…” หญิงสาว

“เป็นความเคยชินเท่านั้น ตอนเด็กเพิ่งบวชพูดไม่ค่อยเป็น พระอาจารย์กลัวว่าวันหลังอาตมาข้าออกไปแล้วจะต้องหิวตาย จึงสอนวิชาบ้านๆ ให้อาตมาเอาไว้สร้างภาพข้าอยู่ไม่น้อย และนี่ก็คือหนึ่งในวิชา”

“อาจารย์ของท่านทำไมถึงสอนอบายมุขเหล่านี้ให้กับท่าน แบบนี้ยายของฉันยังดีกว่า สอนฉันปลูกดอกไม้”

ใช่แล้ว ยายของเธอดีกว่า สุดท้ายได้ถูกเธอเอาไปปลูกลงดิน

“ไม่อย่างนั้น อาจารย์ที่อยู่บนโลกนี้ สามารถสอนให้ลูกศิษย์กินข้าวได้ จะต้องเป็นอาจารย์สิ่งที่ดีแน่นอน ถ้ากินข้าวไม่ได้ต่อให้มีความรู้มากแค่ไหน ก็ไม่มีประโยชน์ อาตมาข้ารักและเคารพอาจารย์ของอาตมาข้ามาก”

“โอเคๆ รู้แล้วว่าท่านเคารพอาจารย์ของท่านมาก ฉันก็เหมือนกัน”

“เหรอ”

“ยายมักจะพูดบ่อยๆ ว่าเธอแก่แล้ว คนที่เกิดในยุคเดียวกันแรกๆ ก็ทยอยล้มหายตายจากไปพอสมควร เธอจึงเหงามาก”

“ดังนั้น”

“ดังนั้นฉันจึงจับยายฝังไปปลูกเลย แต่เธอก็ไม่เข้าใจและยังด่าฉัน จนกระทั่งถูกฝั่งจนมิดแล้ว เธอจึงไม่พูดอะไรอีก”

“เอิ่ม…”

“ฉันก็เข้าใจความกตัญญูกตเวที ฉันกลัวว่ายายจะเหงาน่ะสิ ท่านคุณดูสิ ฉันจับเธอฝังลงดินไปแล้ว ถ้าหากดอกไม้ออกดดอกบานสะพรั่งจริงๆ ก็จะมีคุณยายเติบโตขึ้นมามากมาย คุณยาย ก็จะไม่เหงาแล้วใช่ไหม”

“โยมเจ้าพูดมีเหตุผลมาก” พระขี้เรื้อนพยักหน้า “อาตมาข้าไม่ฉลาดเหมือนโยมเจ้า ไม่อย่างนั้นก่อนที่อาจารย์จะมรณภาพ น่าจะรีบจับท่านไปฝังลงดิน”

“ใช่แล้วๆ ไม่ใช่ๆ ถึงจะออกนอกเรื่องไปหน่อย แต่ในนี้เกิดอะไรกันแน่ ไม่รู้สึกถึงคนพวกนั้นแล้ว โดนจับหมดแล้วเหรอ”

“เหมือนจะใช่ ไอปีศาจลดลงไปไม่น้อย แต่อาตมาข้ายังคงได้กลิ่นอายของผีดิบสองตัวที่อยู่ข้างใน”

“ผีดิบ” หญิงสาวตัวดำขมวดคิ้ว รีบถามทันที “ผีดิบสามารถนำมาปลูกได้ไหม”

“ผีดิบเกิดขึ้นตามธรรมชาติ…ไม่ใช่ ใช่ว่าจะเอามาปลูกไม่ได้”

“ปลูกยังไง”

“คืออย่างนี้นะ โยมเจ้าเลือกสถานที่ที่มีไอพิฆาตหนาแน่น แล้วจัดฮวงจุ้ยเพื่อรวบรวมพลังหยิน จากนั้นก็หว่านเมล็ดลงไปเยอะๆ หว่านลงไปบนตัวของฝังศพที่เพิ่งตายไม่นานลงไปเยอะๆ ถ้าโชคดี ฤดูใบไม้ผลิหนึ่งหลังจากหลายสิบกว่าปีผ่านไป ก็จะปลูกได้สำเร็จ”

“นานจัง น่าเบื่อมาก”

“อืม”

“แต่ โรงแรมนี้สุดยอดมาก มีทั้งปีศาจมีทั้งผีดิบ เถ้าแก่ของโรงแรมนี้ต้องใช้เงินเชิญพวกมันมาไม่น้อยแน่นอน”

พระขี้เรื้อนหัวเราะ ถ้าหากเถ้าแก่ของโรงแรมแห่งนี้รู้ว่าวันนี้สิ่งที่มาโรงแรมเป็นตัวอะไรกันแน่ คาดว่าคงดีใจจนหัวใจวายตายแน่นอน

“จริงๆ แล้ว อาตมาข้าค่อนข้างแปลกใจอย่างหนึ่ง ผีดิบก็คือผีดิบ ปีศาจก็คือปีศาจ กระทั่งยมทูตก็คือยมทูต แต่ข้างในกลับมีคนที่ประหารสามอสุภะ”

“สามอสุภะคืออะไร เอามาปลูกได้ไหม”

“เป็นทฤษฎีอุปมาอุปไมยมโนทัศน์ของนักพรตเต๋าวัวควาย ในหนังสือลัทธิเต๋า ‘เรื่องเล่าสามอสุภะ’ กล่าวว่า ‘ในร่างกายของมนุษย์เรามีสามอสุภะ’ โดยทั่วไปประกอบด้วยอสุภะบนสามพยาธิ อสุภะกลางสามพยาธิ และอสุภะล่างสามพยาธิ จึงเรียกว่า ‘สามอสุภะเก้าพยาธิแมลง’ นักพรตที่ต้องการสำเร็จเป็นเซียน จะต้องกำจัดและทำลาย ‘รากแห่งสามอสุภะ’ อาตมาข้าอยู่ในศาสนาพุทธ จึงเรียกว่าเป็นจิตมาร ตัดสามอสุภะ ลบจิตมาร เหอะๆ อาตมาข้าอยากจะเข้าไปดูจริงๆ”

“ได้ยินท่านพูดได้น่าอัศจรรย์แบบนี้ ถ้าหากไม่ใช่เพราะดอกไม้ใบหญ้าที่นี่และบอกฉันว่าหลังจากเข้าไปแล้วอาจจะกลายเป็นปุ๋ยได้ ฉันก็อยากจะเข้าไป!”

แต่ฉันยังไม่อยากกลายเป็นปุ๋ย!

เมื่อได้ยินดังนั้น พระขี้เรื้อนจึงไหล่สั่น เห็นได้ชัดว่า เขาก็เชื่อลางสังหรณ์ของผู้หญิงปลูกดอกไม้คนนี้ เข้าไปดูความคึกคัก เป็นประเพณีนิยมที่สวยงามนับตั้งแต่สมัยโบราณของชาวจีน แต่ถ้าหากรู้ว่ามีอันตรายและยังอยากจะเข้าไปอย่างนั้นเรียกว่าขาดศีลธรรม

“ประหารสามอสุภะ เมื่อประหารกำจัดสำเร็จ สภาพจิตใจก็สงบสุข ไม่ว่าผู้ฝึกตนคนไหน ไม่ว่าจะเป็นพระ นักพรต หรือผี ล้วนเป็นสภาพจิตใจที่ทุกคนต้องการใฝ่ฝันหา”

“ถ้าหากล้มเหลวพ่ายแพ้ล่ะ”

“ถ้าหากล้มเหลวแพ้เหรอ ถ้าโชคดีหน่อย ก็จะกลายเป็นคนปัญญาอ่อน ถ้าโชคไม่ดี ข้าก็จะถูกจิตมารครอบงำ” ขณะที่พูดพระขี้เรื้อนได้ลุกขึ้นยืน ลูบศีรษะของตัวเอง แล้วพูดพึมพำว่า “ไม่ใช่สิ สวีโจวเมืองเล็กๆ แค่นี้ และยังเป็นโลกมนุษย์ ไม่ใช่ภูเขามังกรเสือและไม่ใช่ภูเขาหมาซาน จะมีคนประหารสามอสุภะโผล่มาได้ยังไง หรือว่ามีหงส์ทองบินออกมาจากรังหญ้าจริงๆ”

จากนั้นพระขี้เรื้อนจึงมองหญิงสาวตัวดำที่นอนอยู่ในสวนดอกไม้ด้านหลังอีกที พลางนึกถึงคำพูดของหญิงสาวก่อนหน้านั้น ในนั้นอันตรายมาก หมายความว่ามีบุคคลที่ยิ่งใหญ่ แต่บุคคลที่ยิ่งใหญ่ก่อนที่ตัวเองจะกลายเป็นบุคคลที่ยิ่งใหญ่จะต้องฆ่าสามอสุภะแล้ว แต่ล่าช้ามาถึงตอนนี้จะต้องไม่ใช่ผู้ยิ่งใหญ่แน่นอน หรือว่า…”

พระขี้เรื้อนจ้องนิ่ง เขารู้สึกว่าเหมือนตัวเองจะเจอความจริงแล้ว ความรู้สึกแบบนี้ สบายใจจริงๆ เหมือนเวลาที่คุณยังไม่ได้เข้าโรงภาพยนตร์ แต่ยืนอยู่หน้าทางเข้าโรงภาพยนตร์และเดาว่าฆาตกรที่อยู่ในภาพยนตร์แนวลึกลับที่กำลังฉายอยู่เป็นใครกันแน่

“มีผู้ยิ่งใหญ่คอยบงการ ผลักดันให้คนหนึ่งในนั้นประหารสามอสุภะ!”

ทนายอันรีบมาถึงหลังจากจัดการสถานการณ์การต่อสู้ทางนั้นได้แล้ว แต่หลังจากที่รีบมาถึงได้ครึ่งทาง เขาจึงกลับหยุดฝีเท้าลง ไม่ใช่เพราะเขาเห็นโจวเจ๋อฆ่ายมทูตสวีโจวคนหนึ่งแล้วดังนั้นจึงคิดว่าไม่จำเป็นต้องไป แต่เป็นเพราะยิ่งเข้าใกล้โจวเจ๋อในเวลานี้ เขายิ่งรู้สึกหนังศีรษะชา ราวกับว่ายิ่งเข้าไปใกล้ ตัวเองจะยิ่งอันตราย

โจวเจ๋อหลับตา ท่าทางเซ่อๆ ซ่าๆ เหมือนกำลังฝันอยู่ เขาทั้งฝันและฆ่าคนไปด้วย หรือว่าเป็นเฉาเชาโจโฉกลับชาติมาเกิด

ทนายอันหยุดอยู่ที่ศาลากลางน้ำที่เดิม คนกระดาษเหล่านั้นที่อยู่บนผิวน้ำดูเหมือนจะสัมผัสได้ถึงบางสิ่งเหมือนกัน จึงเริ่มกระจายออกไปไกลเมื่อโดยไม่รู้ตัว

พวกคนโบราณเหล่านี้ ไม่มีความสามารถ ไม่มีความรับผิดชอบ ไม่มีพลัง แต่ความสามารถในของการหลบเคราะห์รอสิ่งมงคลล้วนเก่งกาจทุกคน สามารถครองตำแหน่งขุนนางได้นานโดยไม่ทำการอะไรเลย เป็นความสามารถอย่างหนึ่งเหมือนกัน

ฝั่งของอิงอิงยังคงต่อสู้กับเงาสีแดงเหมือนเดิม อิงอิงที่อยู่ในสภาสวะคลั่งไม่สนใจใครมีพลังเพิ่มขึ้น แต่หากจะจัดการขนมเหนียวหนึบนี้ต้องใช้เวลาสักพักหนึ่ง

สองเทพเจ้าจากทิศตะวันออกเฉียงเหนือบวกกับเจ้าแมวดำกำลังจะไปพร้อมกับทนายอัน ไม่ว่าอย่างไระพวกนั้นก็รู้ดีว่า เจ้าลิงก็คือเจ้าลิง แต่เจ้าของสมุดหยินหยางนี้ จริงๆ แล้วเป็นโจวเจ๋อ

พวกเขาสามารถไม่ฟังการเรียกให้ออกมาทำงานของโจวเจ๋อเพื่อออกมาทำงานให้เขาก็ได้ แต่จะไม่ถึงขั้นตายต่อหน้าแล้วไม่ช่วยเด็ดขาด

“ถอยไป อย่าเข้าไป ไปทางนั้น คอยดูชายชราคนนั้น และอย่าฆ่าเขา!” ทนายอันโบกมือออกคำสั่ง

แม่ย่าแปดและพี่อาหวงสบตากันหนึ่งที จากนั้นกลายร่างเป็นลำแสงไปอยู่รอบๆ ชายชราใส่แว่นกันแดดคนนั้นพร้อมกับคอยดูอิงอิงรับมือกับลูกอมขนมเหนียวหนึบไปพลาง และคอยจ้องมองชายชราคนนั้นไปพลาง

แมวดำลังเลเล็กน้อย แต่ก็ตามไปด้วย ส่วนเจ้าลิงน้อยที่มีท่าทีอหังการ์เมื่อครู่ตอนนี้กลับหมดแรงกลายเป็นร่างเดิมแล้ว มันถูกนักพรตเฒ่ากอดไว้ในอ้อมกอด “โอ๋ๆๆ เจ้าหนื่อยแล้วๆ ลำบากเจ้าแล้ว เป็นเด็กดีนะ เย็นนี้จะพาเจ้าไปกินของอร่อยบำรุงกำลัง”

นักพรตเฒ่าพลางปลอบใจเจ้าลิง และคอยจ้องมองอีกฝั่งของสระน้ำไปด้วย

“เถ้าแก่ยังไม่ได้เปิดใช้อู๋ซวงใช่ไหม จุ๊เหอะๆ เถ้าแก่ที่ไม่มีอู๋ซวงก็ยังเก่งกาจได้ขนาดนี้”

ผู้หญิงใส่กางเกงหนังกลัวแล้ว ก่อนหน้านั้นเธอแค่กลัวว่าตำรวจคนนั้นจะอยู่แถวนี้ แต่ตอนนี้เธอไม่มีแรงไปกลัวทำร้ายตำรวจคนนั้นที่ยังไม่ปรากฏตัวออกมาแล้ว เพราะว่ายมทูตทงเฉิงที่อยู่ตรงหน้าคนนี้ สามารถฆ่ายมทูตสวีโจวสองคนติดต่อกันได้อย่างสบายฉิว ถ้าหากเป็นการตายหลังจากต่อสู้กันอย่างหนักหน่วงก็ว่าไปอย่าง แต่เขากลับเหมือนคนสะลึมสะลือ เหมือนกำลังนอนสัปหงก ก็สามารถฆ่าได้ภายในพริบตาเหรอ

ผู้หญิงใส่กางเกงหนังอยู่ใกล้โจวเจ๋อมาก ห่างมากแค่สองเมตรเท่านั้น แต่ตอนนี้เธอไม่กล้าเดินไปข้างหน้าต่อ และไม่กล้าเดินถอยหลังเหมือนกัน เท้าทั้งสองข้างของเธอเหมือนถูกถ่วงใส่ด้วยตะกั่ว หนักมากจนไม่ฟังคำสั่งอะไรเลย

ถ้าหากเมื่อครู่เธอตัวเองเร็วกว่านี้อีกนิด ตอนนี้อาจจะถูกผ่าเป็นสองซีกไปแล้ว และเธอตัวเองก็ไม่ต้องสงสารเพื่อนร่วมงานคนนี้แต่ต้องสงสารตัวเองมากกว่า

คนเราสามารถใช้คำแนะนำทางจิตวิทยาต่างๆ เพื่อให้ตัวเองลืมความน่ากลัวของความตายได้ชั่วคราว แต่ถ้าหากเกราะป้องกันทางจิตวิทยาถูกทำลายภายในพริบตา ปล่อยให้กลิ่นอายของความตายพัดเข้ามาปะทะใบหน้าของคุณโดยตรง จะมีสักกี่คนที่ทำได้โดยไม่หวาดกลัวจริงๆ

ผู้หญิงใส่กางเกงหนังเวลานี้ยังไม่ทรุดตัวลง ถือว่าเก่งมากแล้ว

ตัวเขาเองที่ใส่ชุดกาวน์ได้หายไปแล้ว แต่ความมืดที่อยู่โดยรอบยังไม่จางหายไป ตรงที่ไม่ไกล มีเงาคนหนึ่งปรากฏขึ้นมาเงาหนึ่ง เงาคนชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ และเป็นใบหน้าที่คุ้นเคยอย่างยิ่ง

คุ้นเคยมากจนถึงขั้นที่ว่าเป็นคนเดียวกันกับที่ตัวเองส่องกระจกทุกวัน ทว่าคนนั้นที่ยืนอยู่ตรงนั้นกำหมัดแน่นทั้งสองข้าง ดวงตามีน้ำตาและมีความโกรธแค้น ขบฟันแน่นด้วยความรู้สึกอัดอั้นและบ้าคลั่ง

“คุณคือ…” โจวเจ๋อขมวดคิ้วเล็กน้อย จากนั้นจึงถามต่อว่า “สวีเล่อ?” ใช่แล้ว เขาคือสวีเล่อ

“คุณคืนชีวิตผมมา! คุณคืนร่างของผมมา! คุณคืนภรรยาของผมมา! คุณคืนชีวิตของผมมา!” สวีเล่อคำรามด้วยความโกรธเคือง เขาตะโกนพร้อมกับร้องไห้น้ำตาไหลด้วยความเจ็บปวด ราวกับว่าได้รับความไม่ยุติธรรมอย่างยิ่ง

“คุณทำลายชีวิตของผม คุณแย่งคนรักของผมไป ผมเกลียดคุณ! ผมเกลียดคุณ! โจวเจ๋อ ผมขอสาปคุณให้คุณไม่ตายดี! ทำไมคุณยังไม่ไปตาย! ทำไมคุณยังไม่ตาย คนอย่างคุณ สมควรตาย ตายๆๆ…” เสียงตะโกนแหบแห้ง ความสาปแช่งด้วยความแค้น แต่ภายใต้อารมณ์ที่รุนแรงนั้น กลับไม่สามารถปิดบังความอ่อนแอของเขาได้อย่างสิ้นเชิง ความหวาดกลัวของเขา รวมทั้งความสั่นสะท้านของเขา

เขาคนที่แต่งงานเข้าบ้านฝ่ายหญิง คนที่เปิดร้านหนังสือไม่ทำกำไรรอวันตายไปวันๆ เขาคนที่คิดว่าภรรยาของตัวเองแอบรักโจวเจ๋ออิจฉาหึงหวงจ้างฆาตกรขับรถชนโจวเจ๋อตัวเอง และที่สำคัญที่สุดคือ โจวเจ๋อชาติที่แล้วจนถึงตาย กลับไม่เคยรู้เรื่องนี้เลย!

ถ้าหากทำอะไรจริงๆ ถูกแก้แค้นก็จะยอมรับ แต่ตัวเขาเองดันไม่รู้เรื่อง กระทั่งหมอหลินในอดีตเคยเป็นนักศึกษาฝึกหัดของตัวเองในชาติที่แล้วก็ยังลืม ชีวิตของเขาตัวเองในชาติที่แล้ว ชาติที่แล้วเขาตัวเองขยันเพื่อให้ได้ทุกสิ่ง เขาตัวเองเดินออกมาจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า พยายามต่อสู้กับชีวิตที่ยากลำบากนานสามสิบกว่าปี แต่เพราะไอ้เหี้Xคนนี้ ที่เข้ามาทำลายโดยไม่ทราบสาเหตุ!

ถ้าเป็นคนอื่น การยืมศพคืนชีพได้ยึดครองร่างเดิมของคนอื่นเขา คาดว่าคงจะรู้สึกซาบซึ้งใจต่อเจ้าของร่างแน่นอน แต่โจวเจ๋อไม่ เขายึดร่างของสวีเล่อ เป็นเพราะผลกรรมของสวีเล่อ เป็นการชดเชยสิ่งที่โจวเจ๋อควรตัวเองได้รับการชดเชย เขาไม่รู้สึกผิดและละอายใจ ดังนั้นจึงไม่รู้สึกซาบซึ้งขอบคุณอะไร!

โจวเจ๋อยิ้มหัวเราะ แต่ไม่ได้ยิ้มอย่างหัวเราะสดใส ทว่าเป็นรอยยิ้มเย็นชาที่แฝงไปด้วยความเยาะเย้ยและความโกรธมากกว่า

“คุณ มีสิทธิ์อะไร มาโผล่ในฝันของผม” โจวเจ๋อยื่นฝ่ามืออกไป วินาทีนั้น หมอกดำห้าสายได้รัดตัวของสวีเล่อจากนั้นลากตัวของสวีเล่อเข้าหาตัวเอง สวีเล่อเริ่มร้องเสียงแหลม เริ่มกลัว เริ่มผวา กระทั่งเริ่มขอร้อง

แต่โจวเจ๋อไม่ไหวติง ใช่แล้ว แม้แต่คุณถือสิทธิ์อะไร แม้แต่คุณก็ยังมา ที่ปรากฏในฝันของผมได้ คุณมีสิทธิ์นี้ด้วยเหรอ!

นิ้วชี้ของเขายื่นออกไป เล็บยาวและแหลมคมของเขางอกและชี้ตั้งอยู่ตรงนั้น ‘“ฉึก!’” สวีเล่อที่ถูกบังคับลากตัวเข้ามาถูกเล็บของโจวเจ๋อเจาะเข้ากลางหน้าผากโดยตรง เลือดสดเริ่มไหลลงไปตามเล็บ บาดตาและน่าตกใจเป็นอย่างยิ่งเลือดหยดติ๋งๆ อยู่บนพื้น เป็นระลอกคลื่นสีแดงไปทั่ว โจวเจ๋อสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วพ่นออกมาช้าๆ เหมือนกำลังพ่นควันบุหรี่ออกมาอย่างช้าๆ เขาสัมผัสได้ว่าจิตวิญญาณของตัวเองกำลังสั่นสะท้าน ฮู่ว สบายใจแล้ว

“เขาเป็นผู้จับกุมเหรอ” ยมทูตผู้ชายที่ปล่อยเส้นไหมก่อนหน้านั้นพูดด้วยความตกใจ ไม่เพียงแต่เส้นไหมของตัวเองเท่านั้นที่ทำอะไรร่างกายของเขาไม่ได้ แม้แต่เพื่อนร่วมงานที่เพิ่งบุกเข้าไปก็ถูกผ่าซีกเป็นสองท่อนภายในพริบตา!

ความน่ากลัว ไม่เพียงแต่ปกคลุมผู้หญิงใส่กางเกงหนังเท่านั้น ขณะเดียวกันได้ปกคลุมยมทูตที่เหลืออีกสองคนเช่นกัน

ทุกคนลืมไปชั่วขณะว่าต้องทำอย่างไร แต่ตอนที่พวกเขากำลังตกตะลึงเหม่อ โจวเจ๋อจู่ๆ ก็ขยับตัว เขายื่นมือออกมาข้างหนึ่ง แล้วจับเส้นไหมที่เหลืออยู่บนตัวของเขา จากนั้นออกแรงจึงใช้แดงดึงทันที! ผู้ชายที่เป็นเจ้าของเส้นไหมจ้องนิ่ง รีบตัดเส้นไหมที่ติดอยู่กลางฝ่ามือของตัวเองอย่างไม่ลังเล แต่วินาทีที่เส้นไหมกำลังถูกตัดขาดกลับกลายเป็นเส้นไหมตึงเปรี๊ยะภายในพริบตา มีลำแสงสีดำแทรกเข้าไปในเส้นไหมโดยตรง และตวัดขึ้นมาตอนที่ตกลงไป จากนั้นรัดตัวของยมทูตผู้ชายที่มีเส้นไหมทันที

“อ้า!” ยมทูตผู้ชายที่มีเส้นไหมถูกจับม้วนขึ้นมาโดยตรง พลังอันแข็้งแกร่งอย่างหนึ่งได้ดึงถึงเขาเข้ามาหาโจวเจ๋อโดยตรง

ผู้หญิงใส่กางเกงหนังและผู้หญิงดวงตามีรัศมีสีดำคนนั้นยืนอยู่กับที่ เพราะทุกอย่างที่เกิดขึ้นรวดเร็วเกินไป เร็วมากจนพวกเธอลืมที่จะเข้าไปขัดขวาง

ยมทูตผู้ชายถูกมัดตัวแล้วพุ่งเข้ามาหาโจวเจ๋อไม่หยุด เขารู้สึกได้ถึงความผิดปกติ และสัมผัสได้ถึงความอันตราย เขาเริ่มสูญเสียความมั่นใจและความนิ่งสงบ เริ่มร้องตะโกนขึ้นมา กระทั่งเริ่มร้องขอชีวิต เขายอมแพ้ เขาขี้ขลาด ถึงแม้เขาจะต้องคุกเข่้าก้มหัวให้ยมทูตต่างเมืองเขาก็ยินดี!

เพราะต่อให้หลังจากเกิดเรื่องแล้วถูกผู้ส่งสารที่ออกมาจากของนรกจับตัวไปซักถามเอาความและไล่ฆ่า ก็ใช่ว่าจะไม่สามารถดึงสถานการณ์กลับคืนมาหรือกระทั่งหลบหนีไม่ได้ แต่ตอนนี้เขารู้สึกได้จริงๆ ว่าถึงกลิ่นอายของความตาย มันอยู่ใกล้ตัวเองมากขึ้นทุกที!

แต่โจวเจ๋อยังคงหลับตาอยู่ ราวกับว่าเขาไม่สนใจทุกอย่างที่อยู่รอบตัวอย่างสิ้นเชิง ทว่าแขนของโจวเจ๋อได้ยื่นไปข้างหน้า ขณะเดียวกันนิ้วชี้ได้ชี้ไปข้างหน้าเช่นกัน เล็บที่น่าสะพรึงกลัวตั้งเด่นอยู่ตรงนั้น เหมือนกับทวนของเทพเจ้าแห่งความตาย

‘“ปึ้ง!’” เสียงดังสนั่น เหมือนนิ้วนิ้วอันหนึ่งกดลงไปบนลิ่มของเปียโนไม่ปล่อย เสียงเพลงวนเวียนทำให้คนหลงใหลเคลิบเคลิ้ม

ยมทูตคนนี้พุ่งเข้ามาด้านหน้าโดยตรง ใบหน้าของเขาถูกเล็บที่ยาวและแหลมคมของโจวเจ๋อแทงทะลุ ถึงแม้จะตายแล้ว แต่ก็ยังถูกยึดแน่นอยู่ตรงนั้น เว้นเสียแต่มีลมพัดจางๆ ทำให้เสื้อผ้าไหวเอนเล็กน้อย ส่วนที่อื่นกลับไม่ขยับแม้แต่น้อย ราวกับว่าโลกนี้ถูกกดด้วยเครื่องหมายจังหวะตัวหยุดและเงียบลง

………………………………………………………………………..

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด