ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล 302 ประหลาดใจ

Now you are reading ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล Chapter 302 ประหลาดใจ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 302 ประหลาดใจ

เถ้าแก่โจววนไปวนมา สุดท้ายก็กลับมาที่สถานีตำรวจอีกครั้ง เขาไม่ใช่คนที่ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้าน แต่เรื่องราวดำเนินมาถึงขั้นนี้แล้ว เรื่องที่ตัวเองต้องดูแล เขาจะแสร้งทำเป็นไม่เห็นไม่ได้

ถ้าหากจะพูดว่าการแขวนคอของเด็กหนุ่มกับอีกคนที่จมน้ำตายมีใจตรงกันอยากฆ่าตัวตายหรือมีคนอยากฆ่าปิดปากละก็ อย่างนั้นอีกสองคนที่อยู่ในสถานีตำรวจหมายความว่าอย่างไร

ไม่ว่าอย่างไรคงไม่สามารถพูดได้ว่าโจรกระจอกปล้นสุสานกลุ่มนี้มีเครือข่ายไปทั่ว มีเกราะป้องกันใหญ่โตกระทั่งสามารถเข้าไปฆ่าคนปิดปากในสถานีตำรวจได้ เพราะไม่ใช่ละครตำรวจจับโจรผู้ร้ายเสียหน่อย

นักพรตเฒ่าอยู่ข้างๆ โจวเจ๋อด้วยความตื่นตระหนก หลังจากตรวจสภาพพี่ชายที่กัดลิ้นฆ่าตัวตายแล้ว สีหน้าของนักพรตเฒ่าก็ยิ่งซีดลงเรื่อยๆ นี่คือความตกใจกลัว เขาเคยเจอผีมาแล้ว แต่กลับตกใจกับสถานการณ์แบบนี้ ฟังดูแล้วแทบไม่น่าเชื่อ แต่ในความเป็นจริงนั้นสามารถเข้าใจได้

การกัดลิ้นฆ่าตัวตายต้องกัดแน่นจนลิ้นขาด คนทั่วไปปกติเวลากินข้าวเผลอกัดลิ้นโดยไม่ทันระวังก็ยังเจ็บเหลือหลาย แล้วลองคิดดูว่ากัดลิ้นให้ขาดแบบนั้นมันน่ากลัวแค่ไหน

สาเหตุการตายถ้าไม่ใช่เพราะเสียเลือดมากเกินไป อย่างนั้นก็ต้องเป็นลิ้นที่เหลืออยู่จุกปากจนขาดอากาศหายใจและการเสียเลือดมากยังเป็นผลทำให้เกิดการไหลย้อนกลับของเลือดทำให้เกิดภาวะพร่องออกซิเจน อย่างไรก็ตามนี่คือวิธีการตายที่ต้องใช้ความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวมาก และเป็นวิธีการตายที่ทรมานมากเช่นกัน

และที่น่าขำมากที่สุดคือ โจรกระจอกปล้นสุสานสองสามคนนี้ก็ไม่ใช่นักสู้ที่ต่อสู้เพื่ออุดมคติที่สูงส่งอะไร จู่ๆ มาแสดงความกล้าหาญ ‘เสียชีพแต่ไม่ยอมเสียศักดิ์’ ในคุกแบบนี้ จะเป็นไปได้อย่างไร

“ช่วยจัดการให้ผมหน่อย ผมอยากพบคนนั้นที่เหลือรอดอยู่” นี่คือคำพูดที่โจวเจ๋อพูดกับจางเยี่ยนเฟิง

จางเยี่ยนเฟิงค่อนข้างลำบากใจ แต่ก็ยังจัดการให้ ถึงแม้จะไม่อยากยอมรับมากแค่ไหน แต่จางเยี่ยนเฟิงเข้าใจดีว่า โจวเจ๋ออาจจะเป็นกุญแจสำคัญในการเคลียร์คดีของตัวเอง คดีนี้เริ่มจะเกินขอบเขตการควบคุมของกำลังคนมากขึ้นทุกทีแล้ว

สุดท้ายเวลาผ่านไปสองชั่วโมง ท้องฟ้าสว่างแล้ว โจวเจ๋อได้เจอเด็กหนุ่มคนนั้นในห้องที่อยู่ติดกับห้องพยาบาลเสียที สายตาของเด็กหนุ่มดูเลื่อนลอย ร่างกายกระตุกสองสามทีเป็นระยะ ถึงแม้ ‘ตัวการ’ ที่ทำให้เขาถูกจับมานั่งอยู่ตรงหน้าเขา เขาก็สามารถทำเป็นไม่เห็นได้เช่นกัน

จางเยี่ยนเฟิงสั่งให้ตำรวจคนอื่นออกไป แต่ตัวเขาเองกลับอยู่ต่อ

“ยังพอพูดได้ไหม” นักพรตเฒ่ายื่นมือโบกไปมาตรงหน้าเด็กหนุ่มเล็กน้อย เด็กหนุ่มไม่มีการตอบสนองเหมือนเดิมกระทั่งลูกตาก็ไม่ขยับ

“บ้าไปแล้วเหรอ”

จางเยี่ยนเฟิงพยักหน้า “มีแนวโน้มจะเป็นแบบนี้”

ในฐานะตำรวจเก่าแก่คนหนึ่ง จางเยี่ยนเฟิงเจอพวกที่ลื่นเป็นปลาไหลชอบ ‘แสดงละคร’ ในสถานีตำรวจมาเยอะแล้วมักจะโกนว่าฉันบ้า ฉันเป็นลมบ้าหมู ฉันเป็นโรคต่างๆ นานาพยายามที่จะตีเนียนให้ผ่านไป

แต่เด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้า จางเยี่ยนเฟิงไม่กล้าตัดสินว่าเขาแกล้งทำเป็นบ้าใบ้ เพราะการสอบสวนในตอนแรกเนื่องจากทุกคนเห็นว่าเขายังเด็กไม่มีประสบการณ์ ดังนั้นถึงได้คำสารภาพจากเขาก่อนเป็นคนแรก

โจวเจ๋อยื่นมือตบแก้มของเด็กหนุ่มเบาๆ เด็กหนุ่มคนนี้ยังไม่มีการตอบสนองเหมือนเดิม มีลมหายใจ หัวใจเต้น มีอุณหภูมิ แต่กลับเหมือนถูกกั้นออกจากโลกภายนอก ตกสู่ห้วงของการปิดตัวเองโดยสมบูรณ์

เวลานี้ อย่าพูดว่าสอบสวนเลย ต่อให้คุณหยิบเก้าอี้อยากจะทุบตีเขา เขาจะไม่ร้องเจ็บอะไร

“ทำยังไงดี” จางเยี่ยนเฟิงมองโจวเจ๋อ “ทางสถานีได้ส่งคนไปเชิญที่ปรึกษาทางจิตวิทยาโดยเฉพาะแล้ว”

โจวเจ๋อส่ายหน้า ไม่มีประโยชน์ นี่ไม่ใช่โรคที่ป่วยทางจิตทั่วไป

“เขาพยายามคิดฆ่าตัวตายที่ไหน”

“ในห้องขัง ตอนที่กินข้าวเขาพยายามกลืนเครื่องประดับโลหะบนเสื้อผ้าของตัวเอง”

“พาผมไปดูห้องขังหน่อย”

“ได้”

เถ้าแก่โจวมีความคุ้นเคยต่อห้องขังของสถานีตำรวจ ก่อนหน้านั้นเขาเคยนอนที่นี่หนึ่งคืน คนที่จับตัวเขาก็คือจางเยี่ยนเฟิง และเป็นเพราะคืนนั้นถึงได้มีโซ่ตรวนปรากฏอยู่บนข้อเท้าของเขาทำให้เกิดเรื่องราวตามมาติดต่อกันเป็นทอดๆ

วันนี้ในห้องขังมีคนไม่มาก และห้องที่เด็กหนุ่มคนนั้นอยู่ก็เป็นห้องขังเดี่ยวแยกจากห้องขังของทุกคน จางเยี่ยนเฟิงส่งสัญญาณบอกให้ตำรวจที่ดูแลห้องขังที่นี่เปิดประตู โจวเจ๋อไม่รีบเข้าไปทันที แต่มองผ่านราวกั้นเข้าไปด้านใน มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งนั่งยองๆ อยู่ตรงมุมนั้น สองมือของเขากอดเข่าของตัวเอง ตัวสั่นงันงก เหมือนนกกระทาตกใจเสียขวัญและหวาดกลัวตลอดเวลา

ประตูห้องขังถูกเปิด จากนั้นโจวเจ๋อจึงเดินเข้าไป แล้วนั่งลงยองๆ ตรงหน้าเด็กหนุ่มคนนั้น เล็บของเขาค่อยๆ ยาวออกมาทีละนิด ส่ายไปมาตรงหน้าอีกฝ่าย สายตาของอีกฝ่ายที่เดิมทีเลื่อนลอยเริ่มกลับมาจ้องนิ่งอีกครั้ง และการสั่นของร่างกายก็ยิ่งชัดเจนขึ้น วิญญาณทั้งหลายที่มีตัวตนอยู่ ต่างรู้สึกหวาดกลัวเล็บของโจวเจ๋อแต่กำเนิด

“พูดมา ใครอยากให้คุณตาย”

นักพรตเฒ่ากับจางเยี่ยนเฟิงที่อยู่ถัดไปสบตากันด้วยความไม่เข้าใจ ทว่านักพรตเฒ่าอย่างน้อยก็มีประสบการณ์ จึงรีบหยิบน้ำตาวัวออกมาแล้วถูไปที่ดวงตาของตัวเองทันที

จากนั้นนักพรตเฒ่าก็รู้สึกเหมือนมีความเก่งเหนือธรรมชาติ เขาหยิบสมุดเล่มเล็กออกมาหนึ่งเล่มแล้วนั่งลงยองๆข้างโจวเจ๋อ ทำท่าเหมือนผู้ช่วยคอยจดบันทึกอย่างตั้งใจ บ่อยครั้งที่นักพรตเฒ่าจงใจหันมาขยิบตาให้จางเยี่ยนเฟิงสองที ฮิๆ เจ้ามองไม่เห็นหรอก

จางเยี่ยนเฟิงยื่นมือจิ้มไปที่นักพรตเฒ่า จากนั้นแบมือออก เพื่อบอกให้นักพรตเฒ่านำเจ้าสิ่งนั้นมาให้เขาใช้บ้าง นักพรตเฒ่าส่ายหน้า ไม่ได้ ถ้าให้เจ้าใช้แล้ว ข้าก็ไม่รู้สึกถึงความเหนือกว่าสิ และเจ้าคิดว่าน้ำตาวัวราคาถูกเหรอ

“ตำรวจจาง เรื่องนี้ มอบให้ผมเถอะ” โจวเจ๋อหันมามองจางเยี่ยนเฟิง “ของบางอย่าง เมื่อได้เห็นแล้ว หากคิดจะลืม ยากนะครับ” พูดจากใจจริง โจวเจ๋อหวังอยากให้จางเยี่ยนเฟิงตั้งใจทำหน้าตำรวจของตัวเองให้ดี เพื่อรับใช้ประชาชนต่อไป อีกทั้งเรื่องที่แปลกประหลาดเช่นนี้ ถ้าหากได้เห็นกับตาตัวเองแล้ว อย่างนั้นความรู้ที่คุณมีต่อโลกใบนี้ กระทั่งทัศนคติที่ค่อนข้างดีของคุณก่อนหน้านั้น จะถูกโจมตีอย่างน่าสะพรึงกลัวถึงขนาดที่สามารถถูกทำลายได้เลย ดังนั้นจึงไม่จำเป็น

จางเยี่ยนเฟิงลังเลเล็กน้อย จากนั้นหมุนตัวเดินออกไปจากที่นี่ แล้วไปยืนรออยู่ด้านนอก เวลาผ่านไปประมาณสิบห้านาที โจวเจ๋อกับนักพรตเฒ่าเดินออกมาจากข้างใน จางเยี่ยนเฟิงมองไปทางโจวเจ๋อ แล้วมองสมุดที่อยู่ในมือของนักพรตเฒ่า ก่อนจะถามว่า “อันนี้ ผมขอดูได้ไหม”

“จัดรถให้ผมหนึ่งคัน พวกเราจะเข้าไปในป่า” โจวเจ๋อพูด

“ได้”

ป่าไม้ทางทิศตะวันตก ตั้งอยู่ริมชายฝั่งทะเล ถือว่าเป็นพื้นที่เพียงไม่กี่แห่งในเมืองทงเฉิงที่ยังไม่ได้รับการบุกเบิกพัฒนาขนานใหญ่ แต่ยังมีหมู่บ้านอยู่ในบริเวณใกล้เคียง

จางเยี่ยนเฟิงเป็นคนขับรถ เขาเปลี่ยนมาใส่ชุดนอกเครื่องแบบ และขอตามมาด้วย หลังจากลงจากรถ โจวเจ๋อขมวดคิ้วทันที นักพรตเฒ่าก็ขมวดคิ้วเหมือนกัน ทำท่าเหมือนเจอเรื่องที่จัดการยากมาก

“เป็นอะไรครับ” จางเยี่ยนเฟิงถาม

“พลังอาฆาตแรงมาก!” นักพรตเฒ่าตอบด้วยความเคร่งขรึม

“อะไรนะ” จางเยี่ยนเฟิงพูดด้วยความตื่นตกใจ

“เหม็นมาก” โจวเจ๋อยื่นมือมาปัดที่หน้าจมูกของตัวเอง ริมชายฝั่งด้านหน้าที่อยู่ไม่ไกลมีขยะมากมายกองอยู่ตรงนั้น ในฤดูร้อนแบบนี้พวกมันได้ส่งกลิ่นเหม็นรุนแรงออกมา ขยะบางส่วนที่มาจากต้นน้ำถูกทิ้งไว้ที่นี่ และค่อยๆ ทับถมกันเป็นกองภูเขาขนาดย่อม

“…” นักพรตเฒ่า

“…” จางเยี่ยนเฟิง

จากนั้นพวกเขาเดินเข้าไปในป่าก่อน เนื่องจากช่วงนี้มีน้ำฝนค่อนข้างมากจึงมีโคลนอยู่ตามพื้นบ้าง โจวเจ๋อเดินนำหน้าสุด จางเยี่ยนเฟิงบอกว่าเขาสามารถนำทางได้ ถึงแม้จะพูดว่าหาสุสานนั้นไม่เจอ แต่อย่างน้อยยังสามารถบอกจุดที่โจรปล้นสุสานพวกนั้นพามาเมื่อตอนกลางวันได้

โจวเจ๋อปฏิเสธ เพราะสิ่งที่ควรถาม เขาได้ถามแล้ว โบราณว่าไว้ คนที่ใกล้ตายมักจะพูดจาดี ผีตัวหนึ่งเวลาที่อยู่ตรงหน้ายมทูต ถ้าหากกล้า ‘เล่นแง่’ อย่างนั้นคงต้องมอบดอกไม้แดงเป็นรางวัลแห่งความกล้าให้เขาจริงๆ

สาเหตุที่ไม่ยอมให้จางเยี่ยนเฟิงนำทาง เป็นเพราะเด็กหนุ่มคนนั้นกำลังเดินนำหน้าโจวเจ๋อ นี่คือวิญญาณของเขาแต่ไม่ใช่ทั้งหมด มีคำกล่าวหนึ่งที่สามารถบรรยายการตกใจ ซึ่งเป็นที่แพร่หลายในหลายพื้นที่ นั่นก็คือ ‘ตกใจขวัญหาย’ และในความเป็นจริงเด็กหนุ่มคนนี้ก็เป็นเช่นนั้นจริง เขาฆ่าตัวตายไม่สำเร็จ แต่วิญญาณส่วนหนึ่งของเขาตกใจจนหลุดออกจากร่างจริงๆ นี่จึงเป็นผลทำให้ร่างกายของเขาตกอยู่ในสภาวะ ‘ปิดกั้นตัวเอง’

ในนิยายแนวลี้ลับเหนือธรรมชาติมักจะมีคำพูดเกี่ยวกับวิญญาณออกจากร่างเป็นประจำ ในอดีตการกำเนิดของหลี่เถี่ยไกว่[1]ก็มาจากสาเหตุข้างต้นนี้ แต่มีความแตกต่างกันตรงที่เป็น ‘ฝ่ายกระทำ’ และ ‘ฝ่ายถูกกระทำ’

“เถ้าแก่ ก่อนหน้านั้นเขาหาไม่เจอนี่นา” นักพรตเฒ่าที่ทาน้ำตาวัวมองเห็นว่าใครกำลังเดินนำทางอยู่ ดังนั้นจึงลองถามดู ตอนกลางวันเด็กหนุ่มคนนี้เป็นคนนำทางเช่นกัน แต่พวกตำรวจยุ่งตั้งแต่ตอนบ่ายจนถึงค่ำ ก็ยังไม่ได้อะไรเหมือนเดิม

“ตอนที่เป็นคนกับตอนที่เป็นผีไม่เหมือนกัน” โจวเจ๋ออธิบาย ดวงตาของคนสามารถทำให้คนมองเห็นหน้าต่างของโลก แต่ในความเป็นจริงนั้น ดวงตาของคนกลับโดนหลอกได้ง่ายมาก แต่เมื่อตายกลายเป็นวิญญาณแล้วกลับไม่เหมือนกัน คุณหลอกผีเหรอ นี่เป็นสำนวนพื้นบ้าน แต่เรื่องจริงก็คือ ผีไม่ได้โดนหลอกง่ายขนาดนั้น

หลังจากเดินมาประมาณยี่สิบนาที ถือว่าเดินมาไกลมาก เถ้าแก่โจวเริ่มทนไม่ไหว รองเท้าหนังของตัวเองเต็มไปด้วยโคลน ทำให้เขารู้สึกอึดอัดเป็นอย่างมาก โชคดีที่เด็กหนุ่มตรงหน้าหยุดเดินก่อน เขายืนอยู่กับที่ไม่ขยับ

“ถึงแล้วเหรอ” โจวเจ๋อถาม อีกฝ่ายพยักหน้า

จางเยี่ยนเฟิงเดินตามอยู่ข้างหลัง พูดจริงๆ นะ เขามีความรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนนอก แต่ในเวลานี้เขาได้ยินคำถามของโจวเจ๋อ จึงพูดขึ้นทันที “ตอนกลางวันไม่ใช่ตรงนี้ ยังห่างอีกไกล”

โจวเจ๋อยกมือขึ้น เพื่อบอกให้เหล่าจางหยุดพูด เหล่าจางสำลักรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย

“นักพรตเฒ่า ลองหาตรงนี้ดู”

“ได้เลย” นักพรตเฒ่าเริ่มค้นหาบริเวณรอบๆ ทันที จางเยี่ยนเฟิงถึงแม้จะงงเล็กน้อย แต่ก็เริ่มตามหาเช่นกันเป้าหมายของทุกคนล้วนอยู่บนพื้นดิน หวังว่าจะหาทางเข้าสุสานเจอ

โจวเจ๋อรังเกียจโคลนและใบไม้ที่ร่วงอยู่บนพื้นเพราะสกปรกมาก เขาจึงเดินไปรอบๆ อย่างขอไปที เดินเล่นไปเรื่อยๆ จากนั้นโจวเจ๋อจึงเห็นต้นไม้ที่อยู่ตรงหน้ามีความแปลกเล็กน้อย เพราะมันให้ความรู้สึกสะอาดมากสำหรับเขา เหมือนเพิ่งถูกทำความสะอาดเมื่อไม่นาน และไม่ใช่ฝีมือของคนทำความสะอาด แต่เป็นเปลือกไม้ของต้นไม้ต้นนี้ที่อ่อนมาก ใบไม้ของต้นไม้ต้นนี้ก็ยิ่งมีความเขียวชอุ่ม เหมือนเศรษฐีที่รวยข้ามคืนยืนอยู่ท่ามกลางชาวบ้าน ดูไม่เข้ากันแม้แต่น้อย

โจวเจ๋อเดินไปตรงหน้าต้นไม้ต้นนี้ ยื่นมือแล้วใช้เล็บของตัวเองขูดเปลือกไม้เบาๆ โจวเจ๋อก็ไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงทำแบบนี้ และไม่เข้าใจว่าทำแบบนี้มีความหมายอะไร แต่มีความรู้สึกหุนหันพลันแล่นอย่างหนึ่งให้ทำแบบนี้ จากนั้นภายใต้เปลือกไม้ที่โดนขูดทิ้ง ก็มีใบหน้าของคนค่อยๆ ปรากฏออกมา…

…………………………………………………………………………

[1] หลี่เถี่ยไกว่ (หลี่ไม้เท้าเหล็ก) หนึ่งในแปดเซียน เดิมทีเป็นเซียนรูปงาม แต่ถอดกายทิพย์แล้วร่างเดิมถูกศิษย์เผาก่อนกำหนดหนึ่งวันจนกลายเป็นผงธุลี จึงต้องไปเข้าร่างของขอทานขาพิการรูปร่างอัปลักษณ์ที่เพิ่งเสียชีวิต ต้องใช้ไม้เท้าเหล็กพยุงร่างตลอดเวลา

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล 302 ประหลาดใจ

Now you are reading ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล Chapter 302 ประหลาดใจ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 302 ประหลาดใจ

เถ้าแก่โจววนไปวนมา สุดท้ายก็กลับมาที่สถานีตำรวจอีกครั้ง เขาไม่ใช่คนที่ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้าน แต่เรื่องราวดำเนินมาถึงขั้นนี้แล้ว เรื่องที่ตัวเองต้องดูแล เขาจะแสร้งทำเป็นไม่เห็นไม่ได้

ถ้าหากจะพูดว่าการแขวนคอของเด็กหนุ่มกับอีกคนที่จมน้ำตายมีใจตรงกันอยากฆ่าตัวตายหรือมีคนอยากฆ่าปิดปากละก็ อย่างนั้นอีกสองคนที่อยู่ในสถานีตำรวจหมายความว่าอย่างไร

ไม่ว่าอย่างไรคงไม่สามารถพูดได้ว่าโจรกระจอกปล้นสุสานกลุ่มนี้มีเครือข่ายไปทั่ว มีเกราะป้องกันใหญ่โตกระทั่งสามารถเข้าไปฆ่าคนปิดปากในสถานีตำรวจได้ เพราะไม่ใช่ละครตำรวจจับโจรผู้ร้ายเสียหน่อย

นักพรตเฒ่าอยู่ข้างๆ โจวเจ๋อด้วยความตื่นตระหนก หลังจากตรวจสภาพพี่ชายที่กัดลิ้นฆ่าตัวตายแล้ว สีหน้าของนักพรตเฒ่าก็ยิ่งซีดลงเรื่อยๆ นี่คือความตกใจกลัว เขาเคยเจอผีมาแล้ว แต่กลับตกใจกับสถานการณ์แบบนี้ ฟังดูแล้วแทบไม่น่าเชื่อ แต่ในความเป็นจริงนั้นสามารถเข้าใจได้

การกัดลิ้นฆ่าตัวตายต้องกัดแน่นจนลิ้นขาด คนทั่วไปปกติเวลากินข้าวเผลอกัดลิ้นโดยไม่ทันระวังก็ยังเจ็บเหลือหลาย แล้วลองคิดดูว่ากัดลิ้นให้ขาดแบบนั้นมันน่ากลัวแค่ไหน

สาเหตุการตายถ้าไม่ใช่เพราะเสียเลือดมากเกินไป อย่างนั้นก็ต้องเป็นลิ้นที่เหลืออยู่จุกปากจนขาดอากาศหายใจและการเสียเลือดมากยังเป็นผลทำให้เกิดการไหลย้อนกลับของเลือดทำให้เกิดภาวะพร่องออกซิเจน อย่างไรก็ตามนี่คือวิธีการตายที่ต้องใช้ความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวมาก และเป็นวิธีการตายที่ทรมานมากเช่นกัน

และที่น่าขำมากที่สุดคือ โจรกระจอกปล้นสุสานสองสามคนนี้ก็ไม่ใช่นักสู้ที่ต่อสู้เพื่ออุดมคติที่สูงส่งอะไร จู่ๆ มาแสดงความกล้าหาญ ‘เสียชีพแต่ไม่ยอมเสียศักดิ์’ ในคุกแบบนี้ จะเป็นไปได้อย่างไร

“ช่วยจัดการให้ผมหน่อย ผมอยากพบคนนั้นที่เหลือรอดอยู่” นี่คือคำพูดที่โจวเจ๋อพูดกับจางเยี่ยนเฟิง

จางเยี่ยนเฟิงค่อนข้างลำบากใจ แต่ก็ยังจัดการให้ ถึงแม้จะไม่อยากยอมรับมากแค่ไหน แต่จางเยี่ยนเฟิงเข้าใจดีว่า โจวเจ๋ออาจจะเป็นกุญแจสำคัญในการเคลียร์คดีของตัวเอง คดีนี้เริ่มจะเกินขอบเขตการควบคุมของกำลังคนมากขึ้นทุกทีแล้ว

สุดท้ายเวลาผ่านไปสองชั่วโมง ท้องฟ้าสว่างแล้ว โจวเจ๋อได้เจอเด็กหนุ่มคนนั้นในห้องที่อยู่ติดกับห้องพยาบาลเสียที สายตาของเด็กหนุ่มดูเลื่อนลอย ร่างกายกระตุกสองสามทีเป็นระยะ ถึงแม้ ‘ตัวการ’ ที่ทำให้เขาถูกจับมานั่งอยู่ตรงหน้าเขา เขาก็สามารถทำเป็นไม่เห็นได้เช่นกัน

จางเยี่ยนเฟิงสั่งให้ตำรวจคนอื่นออกไป แต่ตัวเขาเองกลับอยู่ต่อ

“ยังพอพูดได้ไหม” นักพรตเฒ่ายื่นมือโบกไปมาตรงหน้าเด็กหนุ่มเล็กน้อย เด็กหนุ่มไม่มีการตอบสนองเหมือนเดิมกระทั่งลูกตาก็ไม่ขยับ

“บ้าไปแล้วเหรอ”

จางเยี่ยนเฟิงพยักหน้า “มีแนวโน้มจะเป็นแบบนี้”

ในฐานะตำรวจเก่าแก่คนหนึ่ง จางเยี่ยนเฟิงเจอพวกที่ลื่นเป็นปลาไหลชอบ ‘แสดงละคร’ ในสถานีตำรวจมาเยอะแล้วมักจะโกนว่าฉันบ้า ฉันเป็นลมบ้าหมู ฉันเป็นโรคต่างๆ นานาพยายามที่จะตีเนียนให้ผ่านไป

แต่เด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้า จางเยี่ยนเฟิงไม่กล้าตัดสินว่าเขาแกล้งทำเป็นบ้าใบ้ เพราะการสอบสวนในตอนแรกเนื่องจากทุกคนเห็นว่าเขายังเด็กไม่มีประสบการณ์ ดังนั้นถึงได้คำสารภาพจากเขาก่อนเป็นคนแรก

โจวเจ๋อยื่นมือตบแก้มของเด็กหนุ่มเบาๆ เด็กหนุ่มคนนี้ยังไม่มีการตอบสนองเหมือนเดิม มีลมหายใจ หัวใจเต้น มีอุณหภูมิ แต่กลับเหมือนถูกกั้นออกจากโลกภายนอก ตกสู่ห้วงของการปิดตัวเองโดยสมบูรณ์

เวลานี้ อย่าพูดว่าสอบสวนเลย ต่อให้คุณหยิบเก้าอี้อยากจะทุบตีเขา เขาจะไม่ร้องเจ็บอะไร

“ทำยังไงดี” จางเยี่ยนเฟิงมองโจวเจ๋อ “ทางสถานีได้ส่งคนไปเชิญที่ปรึกษาทางจิตวิทยาโดยเฉพาะแล้ว”

โจวเจ๋อส่ายหน้า ไม่มีประโยชน์ นี่ไม่ใช่โรคที่ป่วยทางจิตทั่วไป

“เขาพยายามคิดฆ่าตัวตายที่ไหน”

“ในห้องขัง ตอนที่กินข้าวเขาพยายามกลืนเครื่องประดับโลหะบนเสื้อผ้าของตัวเอง”

“พาผมไปดูห้องขังหน่อย”

“ได้”

เถ้าแก่โจวมีความคุ้นเคยต่อห้องขังของสถานีตำรวจ ก่อนหน้านั้นเขาเคยนอนที่นี่หนึ่งคืน คนที่จับตัวเขาก็คือจางเยี่ยนเฟิง และเป็นเพราะคืนนั้นถึงได้มีโซ่ตรวนปรากฏอยู่บนข้อเท้าของเขาทำให้เกิดเรื่องราวตามมาติดต่อกันเป็นทอดๆ

วันนี้ในห้องขังมีคนไม่มาก และห้องที่เด็กหนุ่มคนนั้นอยู่ก็เป็นห้องขังเดี่ยวแยกจากห้องขังของทุกคน จางเยี่ยนเฟิงส่งสัญญาณบอกให้ตำรวจที่ดูแลห้องขังที่นี่เปิดประตู โจวเจ๋อไม่รีบเข้าไปทันที แต่มองผ่านราวกั้นเข้าไปด้านใน มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งนั่งยองๆ อยู่ตรงมุมนั้น สองมือของเขากอดเข่าของตัวเอง ตัวสั่นงันงก เหมือนนกกระทาตกใจเสียขวัญและหวาดกลัวตลอดเวลา

ประตูห้องขังถูกเปิด จากนั้นโจวเจ๋อจึงเดินเข้าไป แล้วนั่งลงยองๆ ตรงหน้าเด็กหนุ่มคนนั้น เล็บของเขาค่อยๆ ยาวออกมาทีละนิด ส่ายไปมาตรงหน้าอีกฝ่าย สายตาของอีกฝ่ายที่เดิมทีเลื่อนลอยเริ่มกลับมาจ้องนิ่งอีกครั้ง และการสั่นของร่างกายก็ยิ่งชัดเจนขึ้น วิญญาณทั้งหลายที่มีตัวตนอยู่ ต่างรู้สึกหวาดกลัวเล็บของโจวเจ๋อแต่กำเนิด

“พูดมา ใครอยากให้คุณตาย”

นักพรตเฒ่ากับจางเยี่ยนเฟิงที่อยู่ถัดไปสบตากันด้วยความไม่เข้าใจ ทว่านักพรตเฒ่าอย่างน้อยก็มีประสบการณ์ จึงรีบหยิบน้ำตาวัวออกมาแล้วถูไปที่ดวงตาของตัวเองทันที

จากนั้นนักพรตเฒ่าก็รู้สึกเหมือนมีความเก่งเหนือธรรมชาติ เขาหยิบสมุดเล่มเล็กออกมาหนึ่งเล่มแล้วนั่งลงยองๆข้างโจวเจ๋อ ทำท่าเหมือนผู้ช่วยคอยจดบันทึกอย่างตั้งใจ บ่อยครั้งที่นักพรตเฒ่าจงใจหันมาขยิบตาให้จางเยี่ยนเฟิงสองที ฮิๆ เจ้ามองไม่เห็นหรอก

จางเยี่ยนเฟิงยื่นมือจิ้มไปที่นักพรตเฒ่า จากนั้นแบมือออก เพื่อบอกให้นักพรตเฒ่านำเจ้าสิ่งนั้นมาให้เขาใช้บ้าง นักพรตเฒ่าส่ายหน้า ไม่ได้ ถ้าให้เจ้าใช้แล้ว ข้าก็ไม่รู้สึกถึงความเหนือกว่าสิ และเจ้าคิดว่าน้ำตาวัวราคาถูกเหรอ

“ตำรวจจาง เรื่องนี้ มอบให้ผมเถอะ” โจวเจ๋อหันมามองจางเยี่ยนเฟิง “ของบางอย่าง เมื่อได้เห็นแล้ว หากคิดจะลืม ยากนะครับ” พูดจากใจจริง โจวเจ๋อหวังอยากให้จางเยี่ยนเฟิงตั้งใจทำหน้าตำรวจของตัวเองให้ดี เพื่อรับใช้ประชาชนต่อไป อีกทั้งเรื่องที่แปลกประหลาดเช่นนี้ ถ้าหากได้เห็นกับตาตัวเองแล้ว อย่างนั้นความรู้ที่คุณมีต่อโลกใบนี้ กระทั่งทัศนคติที่ค่อนข้างดีของคุณก่อนหน้านั้น จะถูกโจมตีอย่างน่าสะพรึงกลัวถึงขนาดที่สามารถถูกทำลายได้เลย ดังนั้นจึงไม่จำเป็น

จางเยี่ยนเฟิงลังเลเล็กน้อย จากนั้นหมุนตัวเดินออกไปจากที่นี่ แล้วไปยืนรออยู่ด้านนอก เวลาผ่านไปประมาณสิบห้านาที โจวเจ๋อกับนักพรตเฒ่าเดินออกมาจากข้างใน จางเยี่ยนเฟิงมองไปทางโจวเจ๋อ แล้วมองสมุดที่อยู่ในมือของนักพรตเฒ่า ก่อนจะถามว่า “อันนี้ ผมขอดูได้ไหม”

“จัดรถให้ผมหนึ่งคัน พวกเราจะเข้าไปในป่า” โจวเจ๋อพูด

“ได้”

ป่าไม้ทางทิศตะวันตก ตั้งอยู่ริมชายฝั่งทะเล ถือว่าเป็นพื้นที่เพียงไม่กี่แห่งในเมืองทงเฉิงที่ยังไม่ได้รับการบุกเบิกพัฒนาขนานใหญ่ แต่ยังมีหมู่บ้านอยู่ในบริเวณใกล้เคียง

จางเยี่ยนเฟิงเป็นคนขับรถ เขาเปลี่ยนมาใส่ชุดนอกเครื่องแบบ และขอตามมาด้วย หลังจากลงจากรถ โจวเจ๋อขมวดคิ้วทันที นักพรตเฒ่าก็ขมวดคิ้วเหมือนกัน ทำท่าเหมือนเจอเรื่องที่จัดการยากมาก

“เป็นอะไรครับ” จางเยี่ยนเฟิงถาม

“พลังอาฆาตแรงมาก!” นักพรตเฒ่าตอบด้วยความเคร่งขรึม

“อะไรนะ” จางเยี่ยนเฟิงพูดด้วยความตื่นตกใจ

“เหม็นมาก” โจวเจ๋อยื่นมือมาปัดที่หน้าจมูกของตัวเอง ริมชายฝั่งด้านหน้าที่อยู่ไม่ไกลมีขยะมากมายกองอยู่ตรงนั้น ในฤดูร้อนแบบนี้พวกมันได้ส่งกลิ่นเหม็นรุนแรงออกมา ขยะบางส่วนที่มาจากต้นน้ำถูกทิ้งไว้ที่นี่ และค่อยๆ ทับถมกันเป็นกองภูเขาขนาดย่อม

“…” นักพรตเฒ่า

“…” จางเยี่ยนเฟิง

จากนั้นพวกเขาเดินเข้าไปในป่าก่อน เนื่องจากช่วงนี้มีน้ำฝนค่อนข้างมากจึงมีโคลนอยู่ตามพื้นบ้าง โจวเจ๋อเดินนำหน้าสุด จางเยี่ยนเฟิงบอกว่าเขาสามารถนำทางได้ ถึงแม้จะพูดว่าหาสุสานนั้นไม่เจอ แต่อย่างน้อยยังสามารถบอกจุดที่โจรปล้นสุสานพวกนั้นพามาเมื่อตอนกลางวันได้

โจวเจ๋อปฏิเสธ เพราะสิ่งที่ควรถาม เขาได้ถามแล้ว โบราณว่าไว้ คนที่ใกล้ตายมักจะพูดจาดี ผีตัวหนึ่งเวลาที่อยู่ตรงหน้ายมทูต ถ้าหากกล้า ‘เล่นแง่’ อย่างนั้นคงต้องมอบดอกไม้แดงเป็นรางวัลแห่งความกล้าให้เขาจริงๆ

สาเหตุที่ไม่ยอมให้จางเยี่ยนเฟิงนำทาง เป็นเพราะเด็กหนุ่มคนนั้นกำลังเดินนำหน้าโจวเจ๋อ นี่คือวิญญาณของเขาแต่ไม่ใช่ทั้งหมด มีคำกล่าวหนึ่งที่สามารถบรรยายการตกใจ ซึ่งเป็นที่แพร่หลายในหลายพื้นที่ นั่นก็คือ ‘ตกใจขวัญหาย’ และในความเป็นจริงเด็กหนุ่มคนนี้ก็เป็นเช่นนั้นจริง เขาฆ่าตัวตายไม่สำเร็จ แต่วิญญาณส่วนหนึ่งของเขาตกใจจนหลุดออกจากร่างจริงๆ นี่จึงเป็นผลทำให้ร่างกายของเขาตกอยู่ในสภาวะ ‘ปิดกั้นตัวเอง’

ในนิยายแนวลี้ลับเหนือธรรมชาติมักจะมีคำพูดเกี่ยวกับวิญญาณออกจากร่างเป็นประจำ ในอดีตการกำเนิดของหลี่เถี่ยไกว่[1]ก็มาจากสาเหตุข้างต้นนี้ แต่มีความแตกต่างกันตรงที่เป็น ‘ฝ่ายกระทำ’ และ ‘ฝ่ายถูกกระทำ’

“เถ้าแก่ ก่อนหน้านั้นเขาหาไม่เจอนี่นา” นักพรตเฒ่าที่ทาน้ำตาวัวมองเห็นว่าใครกำลังเดินนำทางอยู่ ดังนั้นจึงลองถามดู ตอนกลางวันเด็กหนุ่มคนนี้เป็นคนนำทางเช่นกัน แต่พวกตำรวจยุ่งตั้งแต่ตอนบ่ายจนถึงค่ำ ก็ยังไม่ได้อะไรเหมือนเดิม

“ตอนที่เป็นคนกับตอนที่เป็นผีไม่เหมือนกัน” โจวเจ๋ออธิบาย ดวงตาของคนสามารถทำให้คนมองเห็นหน้าต่างของโลก แต่ในความเป็นจริงนั้น ดวงตาของคนกลับโดนหลอกได้ง่ายมาก แต่เมื่อตายกลายเป็นวิญญาณแล้วกลับไม่เหมือนกัน คุณหลอกผีเหรอ นี่เป็นสำนวนพื้นบ้าน แต่เรื่องจริงก็คือ ผีไม่ได้โดนหลอกง่ายขนาดนั้น

หลังจากเดินมาประมาณยี่สิบนาที ถือว่าเดินมาไกลมาก เถ้าแก่โจวเริ่มทนไม่ไหว รองเท้าหนังของตัวเองเต็มไปด้วยโคลน ทำให้เขารู้สึกอึดอัดเป็นอย่างมาก โชคดีที่เด็กหนุ่มตรงหน้าหยุดเดินก่อน เขายืนอยู่กับที่ไม่ขยับ

“ถึงแล้วเหรอ” โจวเจ๋อถาม อีกฝ่ายพยักหน้า

จางเยี่ยนเฟิงเดินตามอยู่ข้างหลัง พูดจริงๆ นะ เขามีความรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนนอก แต่ในเวลานี้เขาได้ยินคำถามของโจวเจ๋อ จึงพูดขึ้นทันที “ตอนกลางวันไม่ใช่ตรงนี้ ยังห่างอีกไกล”

โจวเจ๋อยกมือขึ้น เพื่อบอกให้เหล่าจางหยุดพูด เหล่าจางสำลักรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย

“นักพรตเฒ่า ลองหาตรงนี้ดู”

“ได้เลย” นักพรตเฒ่าเริ่มค้นหาบริเวณรอบๆ ทันที จางเยี่ยนเฟิงถึงแม้จะงงเล็กน้อย แต่ก็เริ่มตามหาเช่นกันเป้าหมายของทุกคนล้วนอยู่บนพื้นดิน หวังว่าจะหาทางเข้าสุสานเจอ

โจวเจ๋อรังเกียจโคลนและใบไม้ที่ร่วงอยู่บนพื้นเพราะสกปรกมาก เขาจึงเดินไปรอบๆ อย่างขอไปที เดินเล่นไปเรื่อยๆ จากนั้นโจวเจ๋อจึงเห็นต้นไม้ที่อยู่ตรงหน้ามีความแปลกเล็กน้อย เพราะมันให้ความรู้สึกสะอาดมากสำหรับเขา เหมือนเพิ่งถูกทำความสะอาดเมื่อไม่นาน และไม่ใช่ฝีมือของคนทำความสะอาด แต่เป็นเปลือกไม้ของต้นไม้ต้นนี้ที่อ่อนมาก ใบไม้ของต้นไม้ต้นนี้ก็ยิ่งมีความเขียวชอุ่ม เหมือนเศรษฐีที่รวยข้ามคืนยืนอยู่ท่ามกลางชาวบ้าน ดูไม่เข้ากันแม้แต่น้อย

โจวเจ๋อเดินไปตรงหน้าต้นไม้ต้นนี้ ยื่นมือแล้วใช้เล็บของตัวเองขูดเปลือกไม้เบาๆ โจวเจ๋อก็ไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงทำแบบนี้ และไม่เข้าใจว่าทำแบบนี้มีความหมายอะไร แต่มีความรู้สึกหุนหันพลันแล่นอย่างหนึ่งให้ทำแบบนี้ จากนั้นภายใต้เปลือกไม้ที่โดนขูดทิ้ง ก็มีใบหน้าของคนค่อยๆ ปรากฏออกมา…

…………………………………………………………………………

[1] หลี่เถี่ยไกว่ (หลี่ไม้เท้าเหล็ก) หนึ่งในแปดเซียน เดิมทีเป็นเซียนรูปงาม แต่ถอดกายทิพย์แล้วร่างเดิมถูกศิษย์เผาก่อนกำหนดหนึ่งวันจนกลายเป็นผงธุลี จึงต้องไปเข้าร่างของขอทานขาพิการรูปร่างอัปลักษณ์ที่เพิ่งเสียชีวิต ต้องใช้ไม้เท้าเหล็กพยุงร่างตลอดเวลา

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+