รักเล่ห์เร้นใจ 207 จัดการ

Now you are reading รักเล่ห์เร้นใจ Chapter 207 จัดการ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ทานข้าวแล้ว อินเสี่ยวเสี่ยวก็กลับไปห้องพักผ่อนของโรงถ่าย

 

 

ช่วงเวลาเที่ยงวัน ภายใต้แสงแดดแผดเผา นอกห้องพักผ่อนมีเสียงจิ้งหรีดร้องดังระงม ปุยเมฆยาวดูเหมือนต้องการพักผ่อนเหมือนกัน มันหยุดนิ่งอยู่กลางอากาศ ไม่ขยับเลยสักนิด

 

 

อินเสี่ยวเสี่ยวหาที่นั่งได้ติดริมหน้าต่าง ห่างไปไม่ไกลนักมีคนงานหลายคนที่ไม่ได้กลับบ้านกำลังนอนกลางวันกัน ทั้งหมดนี้ช่างสงบเงียบเหลือเกิน

 

 

อินเสี่ยวเสี่ยวนอนอยู่บนโซฟานึกถึงสายตาที่ผู้คนรอบข้างมองเธอ และยังมีคำวิจารณ์ที่ระคายหูพวกนั้นอีก มันทำให้เธอรู้สึกเหนื่อยล้าเหลือเกิน ไม่รู้ว่าทำผิดอะไรจึงต้องมาตกอยู่ในสภาพนี้

 

 

อินเสี่ยวเสี่ยวหายใจเข้าลึกนึกปลอบใจตัวเองว่า ‘พวกเขาอยากจะพูดอะไรก็พูดไปเถอะ ฉันแค่ตั้งใจทำงานตัวเองให้ดีก็พอแล้ว บางทีเวลาผ่านไป ผู้คนก็จะลืมกันไปเองว่าฉันเป็นใคร’ นึกถึงตรงนี้ อินเสี่ยวเสี่ยวก็ยิ้มออกมาได้หน่อยหนึ่ง ปิดตาลงแล้วหลับไป

 

 

เสียงรีบร้อนดังแว่วมา “ทำงานแล้ว ทำงานแล้ว” ทุกคนในกองถ่ายเริ่มจัดเตรียมอุปกรณ์เครื่องมือเครื่องไม้ของตัวเอง เพื่อเริ่มทำงาน

 

 

อินเสี่ยวเสี่ยวลืมตาขึ้นอย่างงัวเงีย รีบลุกขึ้นจากโซฟา ล้างหน้าตาลวกๆ แล้วตรงไปทางห้องแต่งหน้า

 

 

ภายในห้องแต่งหน้า ช่างแต่งหน้ากำลังมือไม้เป็นระวิงอยู่นานแล้ว สีหน้าเคร่งเครียดเอาจริง ส่วนมือก็เคลื่อนไหวอย่างคล่องแคล่วว่องไว คนดูแลคิวแต่งหน้า ร้องตะโกนเร่งรัดว่า “เร็วหน่อย! เร็วหน่อย! เร่งมือหน่อย!”

 

 

อินเสี่ยวเสี่ยวยืนอยู่กับที่เพื่อรอแต่งหน้าต่อจากนักแสดงที่อยู่ตรงหน้าเธอ แต่รอไปรอมาก็ยังไม่ถึงคิวเธอสักที

 

 

พอเห็นว่าทุกคนจะเข้าฉากกันแล้ว อินเสี่ยวเสี่ยวก็ร้อนใจไปถามกับคนดูแลคิวด้านหน้าว่าทำไมยังไม่มีใครแต่งหน้าให้เธอเลย

 

 

คนดูแลคิวพลิกดูใบรายชื่อแล้วบอกกับเธอว่า ไม่ได้รับแจ้งมา ให้อินเสี่ยวเสี่ยวไปสอบถามดูจากที่อื่น

 

 

อินเสี่ยวเสี่ยวรีบไปหาทีมจัดหาคน หัวหน้าทีมกำลังจัดแบ่งงานกำลังคนอยู่ บรรยากาศดูเร่งรีบมาก รอจนคนงานแยกย้ายกันไปทำงานแล้ว อินเสี่ยวเสี่ยวรีบเข้าไปถามหัวหน้าทีมว่า “บ่ายนี้ไม่มีฉากของฉันเหรอคะ”

 

 

หัวหน้าทีมตวัดสายตามองอินเสี่ยวเสี่ยวที่รีบร้อนมาหาแวบหนึ่ง พูดว่า “ฉากของเธอมีคนแสดงแทนไปแล้ว วันนี้เธอพักก่อนเถอะ”

 

 

ผู้คนรอบข้างพากันหันมองมาทางอินเสี่ยวเสี่ยว นาทีต่อมาก็หันไปยุ่งกับงานของตัวเองต่อไป

 

 

อินเสี่ยวเสี่ยวนิ่งอึ้งไป ยิ้มออกมาอย่างขมขื่นใจ นึกว่า ‘นึกไม่ถึงเลยว่าสถานะของผู้หญิงคนนั้นจะมีประโยชน์ขนาดนี้ ก่อนหน้านี้เข้าใจว่าฉันเป็นหลินหว่านจึงจัดหาบทให้ฉันแสดงล่ะซิ เอาเถอะ ฉันก็ไม่อยากจะคอยอาศัยใบบุญเธออีกแล้ว

 

 

อินเสี่ยวเสี่ยวเดินออกจากโรงถ่ายไปตามลำพัง ทุกคนต่างกำลังยุ่งกับงานของตัวเอง แต่ต่อให้เป็นแบบนี้ก็ยังมีสายตาอีกนับไม่ถ้วนมองมาทางอินเสี่ยวเสี่ยว จะดูว่าตัวปลอมถูกขับออกจากกองถ่ายอย่างไรน่ะสิ

 

 

ขณะที่ตอนนี้อินเสี่ยวเสี่ยวกลับไม่ได้รู้สึกเป็นทุกข์หรือน้อยใจอะไรอย่างที่คิดไว้นัก ตรงกันข้ามใบหน้าเธอประดับด้วยรอยยิ้มผ่อนคลายสบายใจ เธอไม่ต้องใช้ชีวิตอยู่ภายใต้เงาของคนอื่นอีกต่อไป

 

 

อินเสี่ยวเสี่ยวไปจากกองถ่าย คิดจะฉวยโอกาสผ่อนคลายตัวเองสักหน่อย สินค้าละลานตา ขนมของอร่อยถูกปาก ทำให้คนอารมณ์ดีขึ้นได้มากจริงๆ ซะด้วย

 

 

ช่างมันฉันไม่แคร์พวกคำครหาไร้สาระ ช่างมันฉันไม่แคร์จะหักเล่ห์ชิงเหลี่ยมกันอย่าวไร คนเรา สำคัญที่สุดคือความสบายใจ

 

 

มือซ้ายของอินเสี่ยวเสี่ยวถือเครื่องสำอางกองพะเนินที่เธอขนซื้อมา มือขวาถือปลาหมึกย่างราดพริกไม้หนึ่ง กัดกินอย่างเพลิดเพลิน

 

 

ชายกลางคนแต่งกายสุภาพท่าทางดูดีคนหนึ่งเข้ามาทักทายอินเสี่ยวเสี่ยว ชายกลางคนนั้นบอกความประสงค์ของเขาออกมาด้วยทีท่าไม่เร่งร้อนอะไร ที่แท้ชายกลางคนคนนี้เป็นผู้ช่วยของสวี่ม่อผู้กำกับชื่อดังของเมืองนี้ พอดีสวี่ม่อกับผู้ช่วยมาทำธุระละแวกนี้ เกิดสะดุดตาอินเสี่ยวเสี่ยวที่ยืนเด่นเป็นสง่าอยู่ท่ามกลางฝูงชน เหมือนนกกระเรียนในฝูงไก่อย่างไรอย่างนั้น บุคลิกลักษณะของเธอถูกตาผู้กำกับสวี่ม่อ จึงให้ผู้ช่วยมาถามอินเสี่ยวเสี่ยวดูว่าอยากเป็นนักแสดงหรือไม่

 

 

อินเสี่ยวเสี่ยวนึกในใจว่า ‘ยามอับจนสิ้นหนทาง ประตูหนึ่งปิดลงเพื่อเปิดสู่เส้นทางสายใหม่ คงไม่บังเอิญขนาดนั้นมั้ง ฉันเพิ่งจะถูกไล่ออกมาจากกองถ่าย ก็มีคนสนใจฉันซะแล้ว แต่ว่าก็ว่าเถอะ ถ้าเป็นเรื่องหน้าตาบุคลิกท่าทางนี่เราก็มั่นใจว่าเอาอยู่

 

 

อินเสี่ยวเสี่ยวตอบผู้ช่วยของสวี่ม่อไปตามมารยาทว่า ก่อนหน้านี้เธอมีประสบการณ์การแสดงมาก่อน จึงพอจะมีความรู้ในการเป็นนักแสดงอยู่บ้าง

 

 

ผู้ช่วยยิ้มอย่างพอใจ ล้วงกระดาษปากกาออกมาจากอกเสื้อ เขียนที่อยู่แห่งหนึ่งลงบนกระดาษอย่างรวดเร็ว ผู้ช่วยแจ้งว่าพรุ่งนี้ให้เธอไปคุยเรื่องบทตามที่อยู่นี้ พอพูดจบ ผู้ช่วยก็กล่าวลาอินเสี่ยวเสี่ยวอย่างสุภาพแล้วหมุนตัวเดินจากไป

 

 

อินเสี่ยวเสี่ยวมองดูแผ่นกระดาษในมือ นึกในใจว่า ‘ผู้กำกับม่อสวี่ก็นับว่าเป็นผู้กำกับที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงอยู่ ในเมื่อมีโอกาสดีขนาดนี้ งั้นก็ไปลองดูเถอะ’ อินเสี่ยวเสี่ยวเก็บกระดาษลงกระเป๋า แล้วเริ่มการดื่มกินขนานใหญ่อีกครั้ง อารมณ์ก็ดีงามยิ่งนักแล

 

 

อินเสี่ยวเสี่ยวมาตามหาที่อยู่ในมือจนพบ เธอมองดูการตกแต่งอย่างเลิศหรูอลังการตรงหน้าแล้ว คิดว่า ‘ผู้กำกับใหญ่นี่ช่างไม่เหมือนใครจริงๆ ด้วย ทดสอบบทยังเลิศหรูซะขนาดนี้’

 

 

พอเดินเข้ามาในห้อง ก็พบว่านี่เป็นงานเลี้ยงสังสรรค์ชัดๆ ที่นั่งกันอยู่ก็มีแต่คนแปลกหน้าประเภทหน้าบวมฉุพุงหลาม ตามลำคอมือไม้ประดับทองคำกันวูบวาบละลานตา

 

 

ชายกลางคนที่มีผมขาวประปรายคนหนึ่งพอเห็นอินเสี่ยวเสี่ยวเข้ามาก็เข้ามาทักทายอย่างอบอุ่น อินเสี่ยวเสี่ยวมองสำรวจดูแล้ว ก็พบว่านี่มันผู้กำกับสวี่ม่อที่เคยเห็นในทีวีไม่ใช่หรือไง

 

 

อินเสี่ยวเสี่ยวยิ้มน้อยๆ พูดว่า “สวัสดีค่ะ ผู้กำกับสวี่ ฉันชื่ออินเสี่ยวเสี่ยว”

 

 

ผู้กำกับสวี่ยิ้มหน้าบาน จัดที่นั่งให้อินเสี่ยวเสี่ยวนั่งข้างเขา แล้วเทไวน์แดงให้อินเสี่ยวเสี่ยวแก้วหนึ่ง

 

 

ทุกคนในโต๊ะพากันมองมาที่อินเสี่ยวเสี่ยว ต่างก็ออกปากชมเปาะว่า ช่างเป็นคนงามเสียจริง

 

 

อินเสี่ยวเสี่ยวอึดอัดขัดเขินอยู่บ้าง ถามผู้กำกับสวี่ว่าจะขอดูบทหน่อยได้ไหม ผู้กำกับสวี่เทเหล้าอีกแก้ว ยิ้มแล้วบอกอินเสี่ยวเสี่ยวว่าไม่รีบ

 

 

อินเสี่ยวเสี่ยวที่มีสีหน้าสงสัยได้แต่รออย่างสงบ ทั้งที่ในใจเต็มไปด้วยคำถาม

 

 

จู่ๆ ผู้กำกับสวี่ก็เอาแขนมาพาดไหล่ของอินเสี่ยวเสี่ยว ทำตาเชื่อมอย่างคนเมาเหล้า พูดว่า “คุณอิน ถ้าคุณยอมอยู่เป็นเพื่อนผม บทอะไรนั่นไม่ต้องดูหรอก พรุ่งนี้มาทดสอบบทหน้ากล้องได้เลย”

 

 

อินเสี่ยวเสี่ยวรีบเอามือผู้กำกับสวี่ออก นึกค้อนตาคว่ำอยู่ในใจ นี่มันสายสนกลในเสี่ยดันอย่างที่เล่าลือกันล่ะซิ น่าเกลียดชะมัด

 

 

อินเสี่ยวเสี่ยวดูท่าไม่ดีแล้วจึงรีบขอตัวไปห้องน้ำ เธอรีบโทรหาฮั่วเทียนอวี่ ให้เขารีบมาช่วยเธอ

 

 

อินเสี่ยวเสี่ยวหลบอยู่ในห้องน้ำไม่กล้าออกมา จนกระทั่งฮั่วเทียนอวี่โทรบอกว่าเขามาถึงแล้วจึงเดินออกมาที่หน้าประตู

 

 

ผู้กำกับสวี่เห็นว่าอินเสี่ยวเสี่ยวออกมาแล้ว ก็เดินหน้าตาแดงก่ำอย่างกับคนเมาเข้ามาหาเธอ ตั้งใจว่าจะดึงตัวอินเสี่ยวเสี่ยวกลับที่นั่งไปคุยกันต่อ

 

 

อินเสี่ยวเสี่ยวมีหรือจะกล้ากลับไปอีก แข็งใจยิ้มออกมา พูดว่า “ผู้กำกับสวี่คะ ฉันเพิ่งรับโทรศัพท์ว่าที่บ้านมีธุระด่วน ต้องรีบกลับไปค่ะ ไว้วันหลังเราค่อยคุยกันนะคะ”

 

 

พูดจบก็จะออกจากประตูไป ผู้กำกับสวี่พูดเสียงอ้อแอ้ว่า “คุณอินไม่ต้องรีบร้อนไปหรอกน่า เดี๋ยวผมให้คนไปส่งคุณเอง”

 

 

อินเสี่ยวเสี่ยวขี้เกียจจะพิรี้พิไรอะไรอีก ในสามสิบหกกลยุทธ์ [1] ว่าไว้ หนีเอาตัวรอดไว้ก่อนเป็นยอดดี

 

 

ขณะจะออกจากประตูนั้นเอง ผู้ชายที่หน้าประตูรั้งตัวอินเสี่ยวเสี่ยวไว้ไม่ให้ออกไป ขณะกำลังทะเลาะกันอยู่นั้น ฮั่วเทียนอวี่ที่ใบหน้าเครียดขมึงทึง พุ่งพรวดเข้ามาด้วยความโมโห พอเห็นว่าผู้ชายที่หน้าประตูกำลังมีเรื่องกับอินเสี่ยวเสี่ยว ก็ไม่ฟังอีร้าค่าอีรมอะไรอีกเข้าไปซัดโครมเข้าหนึ่งหมัด หมัดเดียวนี้ซัดจนผู้ชายคนนั้นล้มลงไปกองกับพื้น

 

 

พอเห็นว่าด้านหลังมีกลุ่มคนที่เหมือนเป็นพวกแก๊งมาเฟียนั่นไล่ตามมา อินเสี่ยวเสี่ยวก็สูดลมหายใจเข้าลึก

 

 

 

 

——

 

 

[1] สามสิบหกกลยุทธ์ เป็นยุทธวิธีในการทำศึกสามสิบหกกลยุทธ์ตามตำราพิชัยสงครามของจีนโบราณ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด