อัจฉริยะหญิงเทพสมุนไพร 162 คนเราทะนงตนได้

Now you are reading อัจฉริยะหญิงเทพสมุนไพร Chapter 162 คนเราทะนงตนได้ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 162 คนเราทะนงตนได้

เวลาบ่ายสามโมงเย่ว์หลั่งก็พาห้าคนของเผ่ากลับมา

พอพ่อเห็นลูกสาว ขอบตาก็เริ่มแดงขึ้นมาทันที

“ลูกพ่อ พ่อคิดถึงลูกมากเลย!” น่าสงสารเหลือเกิน

เขาไม่เข้าใจว่าทำไมตี้จิ่งเทียนถึงอยากส่งเขาไปดูการฝึกทหารในเวลานี้ให้ได้!

การฝึกทหารจะน่าดูไปกว่าลูกสาวของเขาได้ยังไง!

นี่เป็นการเสียเวลาอันล้ำค่าที่เขาจะได้อยู่กับลูกสาวชัดๆ !

มู่เถาเยาทำสีหน้าไม่ถูก ไม่รู้จะตอบเขายังไงดี

ในความเป็นจริงเธอไม่ได้คิดถึงพ่อมากขนาดนั้น

เดิมทีก็มาตามหาจนเจอกันในตอนหลัง ไม่กี่วันก่อนก็เพิ่งเจอกันตอนเขาพาคนไปที่เมืองเย่ว์ตู นี่เพิ่งไม่กี่วันเองจะมีอะไรให้คิดถึง

เป่ยซีลากสามีออกมา ดูลูกสาวของเธอสิ ตกใจจนพูดไม่ออกแล้ว

“อาหลั่ง พวกเราไปนั่งเล่นข้างนอกกันเถอะ”

“ได้”

เป่ยซีกับเย่ว์หลั่งต่างคล้องแขนมู่เถาเยากันคนละข้างแล้วเดินออกไป

มู่เถาเยา “…”

เธอไม่ได้จะหนีเสียหน่อย!

ตี้อู๋เปียน “…”

ตามคาด พอพ่อของเธอกลับมา เขาก็สูญเสียซาลาเปาน้อยไปอย่างสิ้นเชิง

หยวนเหยี่ยตบบ่าของเขา “อู๋เปียน นายไปบอกพวกคนของนายให้มาที่นี่ ทุกคนทำความรู้จักกันแล้วค่อยเริ่มประชุม พรุ่งนี้พวกเราจะเริ่มเรียนกันแล้ว”

“ครับ”

ตี้อู๋เปียนโทรหาเยี่ยอิ่งกับเฉิงซิ่น บอกให้พวกเขาพาทุกคนมา

ห้าคนของเผ่าอยู่ที่นี่แล้ว ถังหงกับถังเซิ่งก็อยู่ด้วย ขาดแค่คนของตระกูลตี้

ทุกคนทำงานกันอย่างรวดเร็วมาก ไม่นานทีมนี้ก็มารวมตัวกันที่ลานบ้านแล้ว

หยวนเหยี่ยให้พวกเขาทำความรู้จักกันก่อน จากนั้นค่อยแนะนำซย่าโหวโซ่ว ผู้อาวุโสถัง และตัวเอง

คนกลุ่มนี้ต่างรู้ว่าตัวเองมาทำไม พวกเขาตะลึงกับสถานะของคนตรงหน้ามาก แต่ก็อยู่ในความคาดหมาย

อย่างไรเสียพวกเขาก็เป็นยอดฝีมือชั้นแนวหน้า คนธรรมดามีเหรอจะมาสอนพวกเขาได้

หยวนเหยี่ย “การฝึกพิเศษในครั้งนี้ของพวกเราจะเริ่มวันพรุ่งนี้จนถึงปิดเทอมหน้าหนาวก็จะหยุดชั่วคราว ระหว่างที่ปิดเทอมหน้าหนาวก็จะเข้าไปทดสอบผลลัพธ์ที่โซนภายใน ยกเว้นกลุ่มเยาวชน”

ทุกคนพยักหน้าเพื่อแสดงออกว่าเข้าใจ

“เซียนโหยวเป็นป่าที่อันตรายที่สุดในโลก ในนั้นมีสัตว์ป่าดุร้ายขนาดใหญ่ สัตว์มีพิษรุนแรง พฤกษานานาพันธุ์ หากไม่ระวังอาจถึงตายได้”

ทุกคนพร้อมใจกันพยักหน้าอีกครั้ง รวมถึงกลุ่มเยาวชนด้วย

“การฝึกพิเศษในครั้งนี้มุ่งเน้นไปที่ความรู้ด้านการต่อสู้ การแพทย์ และพิษ”

ซย่าโหวโซ่วพูดต่อ “ฝีมือการต่อสู้ที่พัฒนาขึ้นจะทำให้พวกคุณเอาชนะสัตว์ร้ายขนาดใหญ่ได้ หรืออย่างน้อยก็หนีได้ในยามคับขัน พวกเราไม่กลัวตาย แต่จะเอาชีวิตไปทิ้งเปล่าๆ ก็ไม่ได้เช่นกัน”

“ส่วนความรู้ทางด้านการแพทย์จะทำให้พวกคุณรู้ว่าเวลาบาดเจ็บหรือถูกพิษควรใช้สมุนไพรอะไรในการรักษาหรือถอนพิษ การรู้จักพิษชนิดต่างๆ จะทำให้เข้าใจคุณลักษณะของแมลงพิษหญ้าพิษ เลี่ยงได้ก็เลี่ยง เรียนรู้สิ่งที่เอาไว้หักล้างกับพวกมัน…”

ผู้อาวุโสถังพยักหน้าขณะฟัง อีกทั้งยังคอยพูดเสริมหยวนเหยี่ยกับซย่าโหวโซ่วอยู่เรื่อยๆ

คนกลุ่มนี้รวมถึงกลุ่มเยาวชนต่างเคยผ่านการฝึกอันโหดร้ายมาก่อน การบุกป่าฝ่าดงเพื่อเอาชีวิตรอดล้วนเป็นเรื่องปกติสำหรับพวกเขา แต่สถานที่อย่างโซนภายในของป่าเซียนโหยว ไม่มีใครฟันธงถึงระดับอันตรายของมันได้

ไม่ว่าจะเป็นองค์กรในประเทศหรือทีมสำรวจของนักวิทยาศาสตร์ต่างก็เคยส่งคนเข้าไป ปรากฏว่าก็ไม่เคยมีใครรอดกลับมารวมถึงคนที่เข้าไปช่วยเหลือด้วย

แค่คิดดูก็รู้ว่าอันตรายขนาดไหน

เว้นเสียแต่ใช้อาวุธของยุคปัจจุบันทำลายป่านี้ แต่แบบนั้นก็จะส่งผลกระทบต่อความสมดุลของระบบนิเวศในโลกธรรมชาติอย่างรุนแรง นี่เป็นเรื่องที่ทำไม่ได้

การทำลายสมดุลระบบนิเวศเป็นพฤติกรรมที่ไม่ฉลาด

หลังจากอาจารย์ฝึกพิเศษทั้งสามคนพูดจบก็ประกาศเรื่องจำเป็นต่างๆ เช่น เวลาการฝึกกำลังช่วงเช้าของพรุ่งนี้ เวลาเข้าเรียน เวลาพักกลางวัน เป็นต้น จากนั้นก็ให้แยกย้าย

แต่ก็ไม่มีใครไปไหน พวกเขาพากันพูดคุยกับ ‘เพื่อนๆ’ และ ‘อาจารย์’

กลุ่มเยาวชนประลองฝีมือกับพวกเด็กๆ อย่างซย่าโหวจิ่งเหยา ถังเซิ่นอวี๋ มู่ซือจิ่น

เด็กน้อยทั้งสามคนนี้เรียนศิลปะต่อสู้มาตั้งแต่สองสามขวบ มีความว่องไวสูง ไม่กลัวความลำบาก ด้วยเหตุนี้ทักษะการต่อสู้ของพวกเขาจึงโดดเด่นมากเมื่อเทียบกับคนวัยเดียวกันหรือแม้กระทั่งคนที่โตกว่าสองสามปีด้วยซ้ำ

กลุ่มเยาวชนมีอายุตั้งแต่หกปีถึงสิบห้าปี เนื่องจากระดับสติปัญญาสูงมากจึงได้รับการปฏิบัติเป็นพิเศษตั้งแต่ยังเด็ก พวกเขาจึงไม่ยอมจำนนให้กับเด็กๆ เหล่านี้ที่ถือว่าอยู่ในวัยเดียวกัน

ซย่าโหวจิ่งเหยาเพิ่งรู้จักกับมู่ซือจิ่น ถังเซิ่นอวี๋ก็รู้จักกับมู่ซือจิ่นได้ไม่กี่วัน แต่สามคนนี้เข้าขากันได้ดีอย่างไม่มีช่องโหว่ จัดการคนทั้งสิบจนล้มระเนระนาดไม่เป็นท่า

สุดท้ายไม่ยอมก็ต้องยอมแล้ว

แต่นี่ก็เป็นการสร้างความฮึกเหิมให้กลุ่มเยาวชน

ตี้อู๋เปียนหัวเราะ

เขาให้เด็กพวกนี้มาก็เพื่อขัดเกลานิสัย อย่าคิดว่าถูกพวกผู้ใหญ่โอ๋เอาใจแล้วตัวเองจะเก่งที่สุด

เด็กกลุ่มนี้ไม่ได้กลัวความลำบาก ก็แค่มีแต่คนตามใจพวกเขา จึงไม่รู้ว่าฟ้าสูงแผ่นดินต่ำแค่ไหน

“อาซิ่น พาพวกเขากลับไปพักผ่อนให้ดี พรุ่งนี้มาให้ตรงเวลาล่ะ”

ปกติเด็กกลุ่มนี้อาศัยอยู่ในค่ายทหาร มีความตระหนักในเรื่องเวลาสูงมาก ถึงแม้กว่าครึ่งจะอายุไม่ถึงสิบขวบ แต่ก็ไม่จำเป็นต้องให้ใครดูแลประหนึ่งแม่นม

“ครับ”

ซย่าโหวจิ่งเหยา ถังเซิ่นอวี๋ และมู่ซือจิ่นก็ไปเล่นกับพวกเขา

สมกับคำพูดที่ว่าไม่ตีกันก็ไม่สนิทกัน

พวกผู้ใหญ่มองเด็กกลุ่มนี้เดินออกไปอย่างอารมณ์ดี

ซย่าโหวโซ่วยิ้มพลางพยักหน้า “เด็กสามคนนี้สู้ร่วมกันครั้งแรกถือว่าทำได้อย่างสมบูรณ์แบบแล้วนะ! นี่ถ้าไม่ได้เห็นกับตาก็ไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ !”

ตี้อู๋เปียนพูดต่อ “ถ้าพวกเขาโตแล้วยังอยู่ด้วยกัน ไม่ว่าจะอยู่วงการไหนก็รับรองได้ว่ารบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง”

ซย่าโหวจิ่งเหยากับมู่ซือจิ่นเพิ่งรู้จักกับถังเซิ่นอวี๋ได้ไม่กี่วัน แต่พวกเขาก็ต่อสู้เข้าขากันได้ขนาดนี้ ความสามารถในการปรับตัวตามสถานการณ์สูงมาก

เด็กกลุ่มเยาวชนเทียบกับพวกเขา แม้ฝีมือจะด้อยกว่าไม่มาก แต่ไม่เคยต่อสู้ร่วมกัน ไม่มีกลยุทธ์ มิฉะนั้นพวกซย่าโหวจิ่งเหยาไม่มีทางเอาชนะได้

และก็เป็นเพราะพวกเขาคิดว่าตัวเองมีจำนวนมากกว่าอีกฝ่าย จึงประมาทคู่ต่อสู้

ไม่ต้องให้ตี้อู๋เปียนเตือนพวกเขาถึงสาเหตุที่แพ้ เด็กอายุสิบห้าที่โตสุดในกลุ่มพวกเขาเป็นหัวหน้ากลุ่ม ถนัดวิเคราะห์สาเหตุและเตรียมหาแผนรับมือมากที่สุด

ถ้าข้อบกพร่องที่เด่นชัดขนาดนี้ยังมองไม่ออก ไม่รู้จักทบทวนข้อผิดพลาด แบบนั้นก็อย่าสิ้นเปลืองทรัพยากรของประเทศเลย มาทางไหนก็เชิญกลับไปทางนั้น

คนเราทะนงตนได้ แต่อย่าให้มากเกินไป

คนเราต่อให้เก่งแค่ไหนก็ใช่ว่าจะเก่งทุกอย่าง แต่การทำงานเป็นทีมกลับช่วยเอาชนะความเป็นไปไม่ได้ที่มากมายนับไม่ถ้วนได้

ใช่ว่าพวกเขาจะไม่รู้จักกลยุทธ์ในการสู้ ไม่รู้จักการทำงานกันเป็นทีม ก็แค่ไม่เห็นพวกซย่าโหวจิ่งเหยาในสายตา

หวังว่าพวกเขาจะคิดได้ว่าการพ่ายแพ้ครั้งนี้แพ้เพราะการประมาทคู่ต่อสู้ล้วนๆ

มองกลุ่มเยาวชนที่เดินคอตกออกจากลานบ้านไป หยวนเหยี่ยยิ้มพลางพูด “อู๋เปียน ฉันรู้ว่าทำไมนายถึงเอาพวกเขามาไว้ที่นี่”

ตี้อู๋เปียนยิ้ม “ไม่ว่าพวกเขาไปอยู่ที่ไหนก็มักได้รับการเอาอกเอาใจเหมือนไข่ในหิน เลี้ยงเสือ สิงโต หมาป่าจนกลายเป็นกบในกะลากันหมดแล้ว ขืนปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปได้จบกัน ดูสิครับ เด็กที่หน่วยงานของประเทศบ่มเพาะออกมายังสู้เด็กจากหมู่บ้านเถาหยวนซานไม่ได้เลย น่าขายหน้าจริงๆ”

“อย่าเพิ่งด่วนสรุป วันหน้าพวกเขาไม่ต้องลงสนามรบเอง ใช้แต่กำลังสมอง ฝีมือจะสูงขึ้นหรือด้อยลงก็ไม่ส่งผลอะไรมาก”

“ถึงแม้จะพูดแบบนั้น แต่ถ้าไม่ทำลายความมั่นใจของพวกเขาลงบ้างก็จะคิดว่าตัวเองเก่งที่สุด ตอนนี้ดีแล้วครับ จำนวนคนได้เปรียบกว่าสามเท่าก็ยังเอาชนะเด็กที่อยู่ในป่าเขาไม่ได้ พวกเขายังจะมีอะไรให้น่าอวดดีอีก”

หึ วันหน้าเขาต่างหากที่จะเก่งที่สุดในใต้หล้า!

ไว้ร่างกายเขาหายดีเมื่อไร เขาคนเดียวก็ล้มทั้งกองทัพได้!

ไม่ว่าจะใช้สมองหรือการต่อสู้ก็ตาม!

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *