เปิดระบบสุดโกงอัปสกิลหมอบทที่ 370 เจ้าหนูนี่ก้าวหน้าขึ้นอีกแล้ว

Now you are reading เปิดระบบสุดโกงอัปสกิลหมอ Chapter บทที่ 370 เจ้าหนูนี่ก้าวหน้าขึ้นอีกแล้ว at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 370 เจ้าหนูนี่ก้าวหน้าขึ้นอีกแล้ว

เมื่ออู๋อวี้ซู่กลับมาถึงบ้าน ก็พบว่าภรรยาและลูกชายไปทำงานกันหมดแล้ว เขาหาบัตรประกันสังคมอยู่นานก็ยังไม่เจอ ปกติภรรยาจะเป็นคนคอยดูแล เธอจะเก็บของพวกนี้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย

คิดได้ดังนั้นอู๋อวี้ซู่ก็รู้สึกว่าภรรยาเขาก็ลำบากเช่นกัน

ต้องไปทำงานทุกวัน ต้องเก็บบ้าน แล้วยังต้องดูแลเด็กและคนแก่ในบ้านด้วย

เขาขาดความใส่ใจที่ควรมีให้ภรรยาไปแล้วจริงๆ เพราะความกดดันทำให้อู๋อวี้ซู่พูดคุยกับภรรยาน้อยลงมาก

เป็นแบบนั้นจริงๆ สินะ…

เฮ้อ…

เมื่อคิดได้แบบนี้ อู๋อวี้ซู่ก็ทอดถอนใจออกมา ในความเป็นจริง หากไม่มีชีวิตอยู่แล้ว ดิ้นรนหาเงินมากมายขนาดนั้นไปจะมีความหมายอะไรอีก

คนเราก็เป็นเช่นนี้เอง มีเพียงตอนกำลังป่วยหรือตอนที่อยู่ในจุดต่ำสุดของชีวิตเท่านั้นถึงจะได้สติ

นี่เป็นการผ่าตัดครั้งแรกในชีวิตของอู๋อวี้ซู่ เขากังวลและไม่สบายใจมาก ตอนแรกเขาคิดจะแอดมิทที่โรงพยาบาลเงียบๆ แล้วค่อยว่ากันอีกครั้งเพราะไม่อยากให้คนในครอบครัวต้องมากังวลเรื่องของเขา

อู๋อวี้ซู่เป็นคนที่มีความคิดชายเป็นใหญ่เล็กน้อย หากในครอบครัวมีเรื่องใหญ่อะไร เขาจะเป็นคนตัดสินใจเองทั้งหมด แต่ตอนนี้ดูท่าทางจะต้องคุยกับภรรยาเสียแล้ว

เมื่อคิดถึงตรงนี้ อู๋อวี้ซู่ก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ลังเลไปพักหนึ่งแล้วจึงกดโทรหาภรรยา

เฉิงอ้ายเหมยผู้เป็นภรรยาของอู๋อวี้ซู่ทำงานเป็นอาจารย์อยู่ที่โรงเรียนประถมแห่งหนึ่ง ตอนนี้เธอกำลังสอนอยู่ เมื่อเห็นสามีของตนโทรหาก็ชะงักไป ทำไมสามีถึงโทรหาเธอในเวลาแบบนี้ล่ะ

เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วเดินออกไปคุยนอกห้องเรียน

“ฮัลโหล เหล่าอู๋ ฉันกำลังสอนอยู่ค่ะ มีอะไรหรือเปล่าคะ” เฉิงอ้ายเหมยถามอย่างสงสัย

อู๋อวี้ซู่ทอดถอนใจ “คือ…คุณครับ สมุดประกันสังคมกับบัตรประกันสังคมของผมอยู่ไหนครับ”

ประโยคนี้ทำให้เฉิงอ้ายเหมยชะงักไปทันที

จะเอาสมุดประกันสังคมไปทำอะไร

หากหาแค่บัตรประกันสังคมยังพอเข้าใจได้ เพราะต้องใช้บัตรประกันสังคมจะในเการซื้อยา แต่…สมุดประกันสังคมจะใช้ก็ต่อเมื่อต้องแอดมิทในโรงพยาบาลเท่านั้น!

เมื่อคิดถึงตรงนี้ เฉิงอ้ายเหมยก็สีหน้าเปลี่ยนไปโดยพลัน ในใจรู้สึกเคร่งเครียดขึ้นมาทันที

“เหล่าอู๋ คุณ…คุณเป็นอะไรคะ อย่าทำให้ฉันตกใจสิ!”

หลายปีที่ผ่านมา ถึงแม้อู๋อวี้ซู่จะอารมณ์ไม่ค่อยดี แต่ในฐานะที่เฉิงอ้ายเหมยเป็นภรรยาเธอก็เข้าใจสามีของตน ทั้งหมดเป็นเพราะสามีแบกรับความกดดันมากเกินไป ในฐานะที่เธอเป็นภรรยาจึงพยายามช่วยผ่อนคลายความกังวลของสามีอย่างสุดความสามารถ

ทว่าจู่ๆ ก็ต้องมารับรู้ว่าสามีต้องแอดมิทเข้าโรงพยาบาล นี่ทำให้เธอตกใจจริงๆ

อู๋อวี้ซู่บอกไปตามความจริง “คุณครับ เช้านี้ผมตื่นขึ้นมาก็รู้สึกหายใจลำบากใช่ไหมครับ ตอนจะไปทำงานผมต้องผ่านโรงพยาบาลอันดับสองอยู่แล้วก็เลยไปเข้าคิวลงทะเบียนที่แผนกฉุกเฉินซะเลย คิดจะไปตรวจดูหน่อย ผลก็คือ…หมอสงสัยว่าผมอาจเป็นโรคเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบแบบบีบรัด ต้องเข้ารับการผ่าตัด”

คำพูดของอู๋อวี้ซู่ยังไม่ทันจบ เฉิงอ้ายเหมยก็ตกตะลึงจนนิ่งไปแล้ว

สำหรับชาวบ้านทั่วไป คำว่าผ่าตัดหมายถึงมีเรื่องบางอย่าง และต้องเป็นปัญหาใหญ่ด้วย นอกจากนี้ อู๋อวี้ซู่ยังมีปัญหาที่หัวใจอีก

ผ่าตัดหัวใจเชียวนะ!

คิดถึงตรงนี้ เฉิงอ้ายเหมยจะยังมีอารมณ์สอนนักเรียนอีกที่ไหนกัน เธอรีบพูดขึ้นว่า “เหล่าอู๋ คุณรอฉันก่อนนะคะ ฉันจะรีบกลับบ้านเดี๋ยวนี้ ฉันจะไปโรงพยาบาลเป็นเพื่อนคุณ!”

เมื่อวางโทรศัพท์แล้ว เฉิงอ้ายเหมยก็รีบไปทำเรื่องลาหยุดกับหัวหน้า จากนั้นก็ฝากงานกับเพื่อนร่วมงานแล้วรีบกลับบ้านไปทันที

ระหว่างทางกลับบ้าน เฉิงอ้ายเหมยกังวลและตกใจมาก เธอกลัวว่าเหล่าอู๋จะเป็นอะไรไป

……

……

ในตอนที่สองสามีภรรยามาปรากฏตัวในแผนกฉุกเฉินของโรงพยาบาลอันดับสองอีกครั้ง ก็เป็นเวลาสิบโมงเช้าแล้ว

อู๋อวี้ซู่เดินนำภรรยาไปหาเฉินชาง พูดขึ้นว่า “หมอครับ ผมเอามาแล้วครับ รบกวนคุณหมอจัดการให้หน่อยนะครับ”

เฉินชางพยักหน้า ตอนแรกเขาตั้งใจจะให้อู๋อวี้ซู่ไปที่แผนกศัลยกรรมหัวใจโดยตรง แต่เมื่อคิดดูอีกครั้งก็ตัดสินใจว่าจะโทรหาเถามี่และเล่าเรื่องอาการของผู้ป่วยให้ฟัง

ตอนนี้เถามี่กำลังราวด์วอร์ด (ตรวจเยี่ยมผู้ป่วย) เมื่อเห็นเฉินชางโทรมาก็รู้สึกสับสน เรียกได้ว่าเถามี่ทั้งรักและเกลียดเฉินชางจริงๆ!

เด็กคนนี้เลือกเรียนศัลยกรรมหัวใจ แต่ตอนลงทะเบียนเป็นนักศึกษาปริญญาโทกลับไม่ลงชื่อตนเป็นอาจารย์ที่ปรึกษา เถามี่คิดแล้วก็เดือดดาล

แต่เมื่อคิดถึงการผ่าตัดในห้องฉุกเฉินของเฉินชางเมื่อหลายวันก่อน เถามี่ก็จำต้องยอมรับว่าอีกฝ่ายเป็นคนเก่งจริงๆ

หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็กดรับโทรศัพท์แต่ไม่ได้พูดอะไร รอให้เฉินชางพูดขึ้นก่อน จะอย่างไร…ฐานะของเรามันก็ต่างกัน

เฉินชางเห็นว่าอีกฝ่ายรับโทรศัพท์แล้ว แต่ผ่านไปนานก็ยังไม่มีเสียงคนพูดจึงชะงักไป “ฮัลโหล หัวหน้าเถา คุณอยู่ไหมครับ”

เถามี่พยักหน้า “อืม ผมราวด์วอร์ดอยู่ มีอะไรหรือเปล่า”

เฉินชางได้ยินว่าอีกฝ่ายกำลังราวด์วอร์ดก็คิดในใจว่า พอดีเลย!

“คือแบบนี้ครับ ที่แผนกฉุกเฉินมีผู้ป่วยคนหนึ่ง มีอาการหายใจลำบาก พอตรวจร่างกายแล้วก็พบว่าชีพจรผิดปกติ แล้วยังมีภาวะตับโต (Hepatomegaly) มีของเหลวสะสมในช่องท้องด้วยครับ…ผมสงสัยว่าผู้ป่วยเป็นโรคเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบแบบบีบรัด ต้องเข้ารับการผ่าตัด จะให้ผู้ป่วยไปที่แผนกเลยไหมครับ”

เถามี่ได้ยินดังนั้นก็เหมือนถูกกระตุ้นสัญชาตญาณหมอ

“วินิจฉัยให้แน่ใจหรือยังครับ” เถามี่ถาม

เฉินชางส่ายหน้า “ผมอยากให้ผู้ป่วยทำเรื่องแอดมิทก่อนแล้วค่อยตรวจร่างกายให้ละเอียดครับ แต่ผมตรวจสอบเบื้องต้นแล้ว ค่อนข้างแน่ใจว่าเป็นโรคเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบแบบบีบรัด ส่วนรายละเอียดจะต้องแอดมิทก่อนค่อยวินิจฉัยไปอีกระดับหนึ่ง หัวหน้าเถา รบกวนคุณจัดการได้ไหมครับ”

เถามี่แปลกใจเล็กน้อย การวินิจฉัยโรคเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบแบบบีบรัดไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย ยิ่งถ้าต้องใช้การตรวจร่างกายเบื้องต้นเพียงอย่างเดียวเพื่อวินิจฉัยโรคเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบแบบบีบรัดออกมาให้ได้ก็ยิ่งยาก

พริบตานั้น เถามี่ก็เป็นห่วงผู้ป่วยคนนี้ขึ้นมาแล้ว ขณะเดียวกันก็ตกใจกับการพัฒนาของเฉินชางเช่นกัน เพราะเฉินชางเพิ่งได้สัมผัสกับสิ่งต่างๆ ในแผนกศัลยกรรมหัวใจไม่นานเท่านั้นเอง

ในการเรียนเป็นแพทย์เฉพาะทางด้านใดด้านหนึ่ง ไม่ได้มีเพียงการผ่าตัดเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงการแสดงอาการของผู้ป่วย การช่วยตรวจ การวินิจฉัย การรักษา และอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งโรคเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบแบบบีบรัดก็ถือเป็นอาการป่วยที่ถูกจัดอยู่ในอาการระดับยาก แม้กระนั้นเฉินชางก็ยังมั่นใจหรือ

นี่ทำให้เถามี่ทั้งคาดหวังและแปลกใจกับระดับฝีมือของเฉินชางจริงๆ

อาการมันชัดเจนขนาดนั้นเลยหรือ

เมื่อคิดถึงตรงนี้เถามี่ก็พูดว่า “ได้ คุณให้ผู้ป่วยมาที่นี่เลยครับ”

จากนั้นก็กดวางสาย

ตอนนี้เถามี่เห็นว่าเตียงสิบเก้าว่างอยู่พอดีจึงถามขึ้นว่า “ใครเป็นคนดูแลเตียงสิบเก้าครับ”

จางเหวินฟู่บอกว่า “หัวหน้าครับ ผมเป็นคนดูแลเองครับ”

เถามี่มองจางเหวินฟู่ พูดขึ้นว่า “เดี๋ยวจะมีผู้ป่วยมาจากแผนกฉุกเฉินคนหนึ่ง เบื้องต้นสงสัยว่าเป็นโรคเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบแบบบีบรัด ผมจะให้คุณรับช่วงต่อนะครับ”

จางเหวินฟู่พยักหน้า “ได้ครับ”

ความจริงในใจเถามี่กำลังพิจารณาถึงเรื่องอื่นอยู่

เถามี่ที่กำลังตรวจเยี่ยมผู้ป่วยอยู่พอดีคิดครู่หนึ่งก็คิดว่าจะถือโอกาสนี้ถามหมอและนักศึกษาแพทย์ต่อยอดข้างๆ ไปเลย “ถ้าใช้แค่การตรวจร่างกายเบื้องต้นโดยไม่พึ่งตัวช่วยเบื้องลึก พวกคุณจะวินิจฉัยโรคเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบแบบบีบรัดได้หรือเปล่าครับ”

เมื่อเขาถามคำถามนี้ออกมา หมอรอบๆ ก็ชะงักไปทันที

หมายความว่าอะไร

ทำไมหัวหน้าถึงถามคำถามนี้

เดิมทีโรคเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบแบบบีบรัดเป็นโรคที่ต้องใช้การตรวจร่างกายร่วมกับตัวช่วยอื่นๆ ถึงจะวินิจฉัยออกมาได้อยู่แล้วไม่ใช่หรือ ถ้าใช้เพียงการตรวจร่างกายเบื้องต้นเพียงอย่างเดียว ดูเหมือนจะวินิจฉัยไม่ได้นะ

เมื่อคิดถึงตรงนี้ เถามี่ก็คิดถึงอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ เขาตัดสินใจแล้วว่าอีกสักครู่หากผู้ป่วยมาถึงแล้วจะให้สอนความรู้และขั้นตอนทางคลินิกให้นักศึกษาแพทย์ต่อยอดกลุ่มนี้สักหน่อยว่าจะวินิจฉัยโรคเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบแบบบีบรัดได้อย่างไร!

แม้งานด้านคลินิกจะต้องอาศัยการตรวจด้วยอุปกรณ์ต่างๆ แต่ก็ต้องเข้าใจลักษณะพิเศษตลอดจนสภาพร่างกายของผู้ป่วยให้ชัดเจนด้วย

ไม่มีอะไรจะทำให้นักศึกษาเหล่านี้ก้าวหน้าได้เร็วไปกว่าขั้นตอนด้านงานคลินิกอีกแล้ว

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด