เปิดระบบสุดโกงอัปสกิลหมอบทที่ 435 กังวลขึ้นทุกวัน!

Now you are reading เปิดระบบสุดโกงอัปสกิลหมอ Chapter บทที่ 435 กังวลขึ้นทุกวัน! at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 435 กังวลขึ้นทุกวัน!

กฎของเฉินชางชัดเจนมาก!

คิดวิเคราะห์สาเหตุของอาการจากอาการป่วยจากสัญญาณชีพและอาการอื่นๆ ก่อน จากนั้นก็นำประวัติอาการป่วยในปัจจุบันและในอดีตมาวิเคราะห์ร่วมกัน! สุดท้ายก็เริ่มวินิจฉัยและพิสูจน์ความคิดของคุณผ่านผลตรวจต่างๆ

เฉินชางกำลังสอนให้แพทย์ฝึกงานทุกคนใช้ความคิดเชิงตรรกะเพื่อพิจารณาการกู้ชีพและขั้นตอนที่ใช้กู้ชีพของตนซึ่งดูผิวเผินอาจธรรมดา

เฉินชางยิ้ม “นี่คือการคิดแบบงานคลินิก!”

ทุกคนชะงักไปแล้ว

อันที่จริง สิ่งสำคัญที่สุดของผู้เป็นหมอก็คือความคิดเชิงคลินิกที่ทำให้เป็นรูปธรรมได้

ตอนนี้คำพูดของสวีตงตงทำให้ทุกคนสงสัยแล้ว

“ใช่แล้ว! อาจารย์เฉิน ผลเซรุ่มอิเล็กโทรไลต์ยังไม่ออก คุณรู้ได้ยังไงครับว่าเป็นโพแทสเซียมในเลือดสูง! วินิจฉัยจากประสบการณ์หรือครับ”

“จริงด้วย! เมื่อกี้คุณเท่มากเลย วินิจฉัยออกมาได้ยังไงครับ มีเคล็ดลับอะไรหรือ”

……

เฉินชางมองหมอฝึกงานทุกคนแล้วพูดยิ้มๆ ว่า “ต้องมีเคล็ดลับอยู่แล้วครับ!”

ทุกคนได้ยินดังนั้นดวงตาก็เป็นประกายโดยพลัน แต่ละคนรีบหยิบสมุดปากกาออกมา เพราะนี่ถือว่าเป็นความรู้ที่มีแต่เนื้อเน้นๆ ไม่มีน้ำ! ความรู้ที่เผชิญหน้ามาจริงๆ!

เฉินชางเห็นดังนั้นก็มีความสุขมาก

คำพูดนั้นเขาพูดกันยังไงนะ ใช่แล้ว! ความรู้ไม่ใช่ของตัวเอง ตัวเองเป็นเพียงคนที่ใช้ความรู้และส่งต่อความรู้เท่านั้น ถ้ามีคนได้ความรู้เหล่านี้ไปมากขึ้น ก็จะยิ่งช่วยคนได้มากขึ้น

“ความจริง ทุกคนสังเกตหรือเปล่าครับว่าเมื่อกี้ผมทำกราฟหัวใจ”

ทุกคนพยักหน้า “ครับ เห็น แต่ว่า…กราฟหัวใจมีแค่คลื่น เกี่ยวอะไรกับโพแทสเซียมในเลือดล่ะครับ”

ตอนนี้เฉินชางหันไปพูดกับเสี่ยวหลินว่า “เสี่ยวหลิน เมื่อกี้ผมได้กราฟหัวใจเกินมาชุดหนึ่ง คุณช่วยไปหยิบมาให้ผมหน่อยนะครับ”

เมื่อครู่นี้เฉินชางให้ทำกราฟหัวใจเพิ่มขึ้นอีกชุดหนึ่งเพื่อป้องกันไว้ก่อน ตอนนี้ได้นำมาใช้แล้ว

เสี่ยวหลินรีบไปหาและนำมาส่งให้เฉินชาง

เฉินชางรับกราฟหัวใจมาแล้วพูดกับทุกคนว่า “ไม่ว่าจะเป็นการตรวจร่างกายแบบไหนทุกคนก็อย่าได้ดูถูกมันเด็ดขาด ไม่ว่าจะเป็นการวัดอุณหภูมิร่างกาย วัดความดันโลหิต ฟังเสียงหัวใจ ทำกราฟหัวใจ หรือเอกซเรย์อะไรต่างๆ …การตรวจพวกนี้ให้เบาะแสกับพวกเรามากเลยนะครับ!”

“ภาวะโพแทสเซียมในเลือดสูงมีความสัมพันธ์กับผลกราฟหัวใจที่ผิดปกติจนมีการนำไปทำเป็นเคสตัวอย่างเลยนะครับ ผมหวังว่าทุกคนจะจดจำสิ่งที่ผมจะพูดต่อไปให้ดี!”

ทุกคนได้ยินดังนั้นก็รีบจับสมุดกับปากกาแน่น ฟังอย่างตั้งใจ

“เมื่อระดับโพแทสเซียมในเลือดเพิ่มสูงขึ้น จะเกิดปฏิกิริยารีโพราไรเซชัน (repolarization) ที่เซลล์กระทำต่อโพแทสเซียมมากขึ้น ซึ่งส่งผลให้ค่าความชันของคลื่นหัวใจเปลี่ยนแปลง ระยะเวลาของคลื่นสั้นลง ซึ่งหากเป็นโพแทสเซียมในเลือดสูง ผลกราฟหัวใจที่จุดสูงสุดของคลื่น T และจุด QT จะหดสั้นหลง ดังนั้นพอผมเห็นกราฟหัวใจก็ค่อนข้างมั่นใจแล้วว่าผู้ป่วยมีภาวะโพแทสเซียมในเลือดสูง”

“ทุกคนคงทราบดีว่าผู้ป่วยที่มีภาวะโพแทสเซียมในเลือดสูงจะมาและไปเร็วมาก”

คำว่า ‘มาและไปเร็วมาก’ ของเฉินชางทำให้ทุกคนหัวเราะ แต่ทุกคนรู้ดีว่ามันเป็นเช่นนั้นจริงๆ ผู้ป่วยที่มีภาวะโพแทสเซียมในเลือดสูง หัวใจหยุดเต้นได้ตลอดเวลา อันตรายถึงชีวิต!

เฉินชางพูดต่อไป “ส่วนการตรวจเซรุ่มอิเล็กโทรไลต์ก็ถือเป็นมาตรฐานทองคำของการวิเคราะห์โพแทสเซียมในเลือดสูงจริงๆ แต่ถ้ารอให้ผลการตรวจออกมาก่อน ผู้ป่วยก็ต้องรออีกหนึ่งถึงสองชั่วโมง ถึงตอนนั้นคงไม่มีลมหายใจแล้ว ถ้างั้นผมจะต้องการมาตรฐานทองคำนี้ไปทำอะไรอีกล่ะ”

“ดังนั้นในเวลาแบบนี้ ถ้าสงสัยว่าเป็นโพแทสเซียมในเลือดสูงก็ต้องทำกราฟหัวใจ นี่เป็นเทคนิคเล็กๆ น้อยๆ ของงานคลินิก! ยิ่งไปกว่านั้น หากค่าโพแทสเซียมในเลือดเพิ่มสูงขึ้นก็จะมีระดับความเข้มข้นแตกต่างกันไป และแสดงอาการแตกต่างกันไป เริ่มจดกันได้แล้วนะครับ!” เฉินชางเตือน

“เมื่อค่าโพแทสเซียมในเลือดขึ้นไปถึง 6.5 mmol/L จะมีการขยายตัวของ QRS สม่ำเสมอ และเป็นอุปสรรคกับหัวใจช่องล่าง เมื่อค่าโพแทสเซียมในเลือดขึ้นไปถึง 7.0 mmol/L จะทำให้คลื่น P ต่ำลง ระยะเวลาขยายกว้างขึ้น ถ้าโพแทสเซียมในเลือดขึ้นไปถึง 8.5 mmol/L โดยประมาณ คลื่น P จะหายไป เป็นรูปแบบกราฟหัวใจที่เรียกว่า sino-ventricular conduction”

ข้อมูลเหล่านี้มาจากรายงานที่เป็นทางการ และนำไปใช้ได้จริงในงานคลินิก ดังนั้นขณะที่เฉินชางพูดจึงไม่มีความลังเลแม้แต่น้อย เพราะถ้าเป็นประสบการณ์ส่วนตัวของเฉินชางเพียงคนเดียว เขาคงไม่กล้าพูดอย่างมั่นใจขนาดนี้!

ทุกคนได้ยินดังนั้น ดวงตาก็คล้ายจะส่องประกายออกมาได้จริงๆ รีบจดกันไม่หยุดหย่อน

ความรู้หลายอย่างจะส่องประกายออกมาได้ดีที่สุดตอนนำมาใช้ในงานคลินิกเท่านั้น

ขณะนี้ในสายตาของพวกเขา เหมือนจะเห็นรัศมีเจิดจรัสส่องประกายออกมาจากตัวเฉินชาง!

แต่ละคนมีท่าทางกระหายเหมือนคนขาดน้ำ

พวกเขาคิดไม่ถึงเลยว่าการแสดงผลที่แตกต่างกันออกไปของกราฟหัวใจจะสะท้อนให้เห็นถึงสัญญาณผิดปกติของโพแทสเซียมในร่างกายมนุษย์

นี่เป็นสิ่งที่คิดไม่ถึงจริงๆ ก็เหมือนกับที่เฉินชางพูด ถ้ารอผลตรวจเซรุ่มอิเล็กโทรไลต์มาถึง ผู้ป่วยคงตายไปก่อนแล้ว และคุณก็ไม่รู้ด้วยว่าเพราะอะไร! ดังนั้นในฐานะที่เป็นหมอคนหนึ่ง จะต้องพัฒนาฝีมือและความรู้ของตัวเองไม่หยุดหย่อน

เทคนิคฝีมือพวกนี้ได้แก่ การวินิจฉัย การรักษา การผ่าตัด ตลอดจนความสามารถในการพูดคุยกับผู้ป่วยด้วย ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิตคนเราเป็นความรู้ได้ทั้งนั้น

ตอนนี้หมอฝึกงานคนหนึ่งอดถามไม่ได้ว่า “หมอเฉิน ถ้าค่าโพแทสเซียมในเลือดเพิ่มถึงสิบแล้วจะตายเลยหรอครับ”

เฉินชางตอบ “ระดับความเข้มข้นของโพแทสเซียมในเลือดจะเพิ่มขึ้นทีละนิด พอเพิ่มขึ้นถึง 10 mmol/L ค่า QRS ในกราฟหัวใจจะขยาย คลื่น T จะรวมกันจนกลายเป็นคลื่นไซน์ สุดท้ายจะเสียชีวิตเพราะหัวใจช่องล่างเต้นผิดปกติ”

เมื่อพูดถึงตรงนี้เฉินชางก็มองทุกคน “ดังนั้นพูดได้ว่าสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในงานคลินิกก็คือประสบการณ์ โดยเฉพาะเมื่อพวกคุณอยู่ในแผนกฉุกเฉิน อย่าได้ใช้ความเคยชินของตัวเองมาตรวจโรคให้คนอื่นเด็ดขาด และอย่าได้ไปโน้นน้าว หรือเชียร์ให้คนอื่นทำอย่างโน้นอย่างนี้ตามใจตัวเองเด็ดขาด”

“ถ้าคุณยังไม่เข้าใจสภาพของผู้ป่วย ทุกประโยคที่คุณพูดอาจผิดได้ทั้งนั้น ทุกข้อแนะนำที่คุณเสนออาจส่งผลถึงชีวิตได้ทั้งนั้น!”

เฉินชางสูดหายใจลึกๆ “ถ้าเมื่อกี้พวกคุณรักษาตามความเคยชิน โดยคิดว่าผู้ป่วยมีภาวะอิเล็กโทรไลต์ผิดปกติและมีอาการอาเจียนและท้องเสียร่วมด้วย! ถ้างั้นแค่ให้น้ำเกลือก็ช่วยแก้ปัญหาเรื่องอิเล็กโทรไลต์ผิดปกติได้แล้วไม่ใช่เหรอ ก็แค่ให้อาหารเสริมพวกโพแทสเซียม แคลเซียม ธาตุเหล็ก วิตามิน…ถ้าเป็นแบบนี้ ผู้ป่วยจะเป็นยังไง! พวกคุณลองพิจารณาตัวเองให้ดีเถอะ”

“คนเป็นหมอไม่ได้รับอนุญาตให้ทำอะไรครึ่งๆ กลางๆ หรอกนะครับ สองเดือนที่พวกคุณมาอยู่ที่แผนกฉุกเฉิน ผมจะไม่บอกว่าให้พวกคุณเรียนรู้อะไรให้มากหรือน้อย แต่สิ่งที่พวกคุณจะต้องเรียนรู้ให้ได้ก็คือความอันตรายและความระมัดระวัง”

ประโยคนี้ทำให้หมอฝึกงานทุกคนที่อยู่ที่นี่เงียบลงทันที

ชีวิตคนเรามีตัวอย่างเช่นนี้ให้เห็นไม่น้อย คนบางคนอาจใช้วิธีการที่ตัวเองคุ้นชิน แต่กลับกลายเป็นอันตรายต่อชีวิตผู้อื่น ดังนั้น คำกล่าวเตือนและข้อเสนอแนะที่เหมาะสมที่สุดก็คือ ‘ไปหาหมอเถอะ!’

เฉินชางยิ้ม “ดังนั้น พวกคุณรู้หรือเปล่าครับว่าอะไรคือความแตกต่างระหว่างหมอกับคนฆ่าสัตว์”

ทุกคนชะงักไป พากันเงยหน้ามองเฉินชาง

เฉินชางพูดอย่างจริงจัง “หมอยิ่งเป็นนานวันก็ยิ่งต้องระมัดระวัง ส่วนคนฆ่าสัตว์ยิ่งเป็นนานวันก็ยิ่งใจกล้า!”

แม้คำพูดจะดูตลก เมื่อทุกคนได้ยินแล้วก็ยิ้มออกมา แต่…ในใจของทุกคนกลับยิ้มไม่ออก!

ยิ่งยิ้มก็ยิ่งรู้สึกหนักอึ้ง

เฉินชางมองทุกคน จากนั้นก็เดินออกไป มุ่งหน้าไปที่ห้องพักหมอ เขาไม่หวังให้คนกลุ่มนี้จดจำอะไรทั้งนั้น เพียงสิ่งเดียวที่จะต้องจำให้ได้ก็คือ ในตอนที่ปฏิบัติต่อผู้ป่วย จะต้อง

ระวัง!

ระวัง!

และระวัง!

ขณะนี้ ในกลุ่มหมอฝึกงาน มีชายคนหนึ่งกำลังเหงื่อไหลท่วมหัว!

เขารู้สึกผิดจนไม่กล้าเงยหน้า เมื่อคิดถึงท่าทางที่ตนแสดงออกไป ก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองช่างเด็กน้อยจริงๆ …

ถ้าหญิงชราคนนั้นสิ้นลมหายใจเพราะการจัดการของตนจริงๆ …ผลจะเป็นอย่างไร

นี่คือหนึ่งชีวิต ตนเพิ่งอายุสามสิบต้นๆ ถ้าเกิดปัญหาอะไรขึ้นมา ใครจะรับผิดชอบได้

ใครจะรับผิดชอบหญิงชราคนนั้น!

ชีวิตคนเรามีเพียงครั้งเดียวไม่ใช่หรือ

ใครจะเป็นหนูทดลองให้คุณได้

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด