เปิดระบบสุดโกงอัปสกิลหมอบทที่ 509 คิดให้ดีก่อนแล้วค่อยพูด!

Now you are reading เปิดระบบสุดโกงอัปสกิลหมอ Chapter บทที่ 509 คิดให้ดีก่อนแล้วค่อยพูด! at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 509 คิดให้ดีก่อนแล้วค่อยพูด!

ยัยขี้ประจบฉินถลึงตาจ้องเฉินชาง แล้วยิ้มตาหยีให้เขา “กระอักกระอ่วนล่ะสิ กินปูนร้อนท้องแล้วล่ะสิ บอกมาเถอะค่ะ!”

“กระอักกระอ่วนอะไร ทำไมผมต้องกินปูนร้อนท้องด้วย” เฉินชางปากไม่ตรงกับใจ

ยัยขี้ประจบฉินยิ้มเย้ยใส่เขา “คุณลืมออฟไลน์วีแชทบนคอมพิวเตอร์สินะ”

เฉินชางยิ้มบางๆ

ในใจสบถว่า แม่งเอ๊ย

“ผมไม่เป็นอะไรสักหน่อย ถึงยังไงผมก็ไม่ได้กินปูนร้อนท้องอะไรด้วย…”

พอฉินเยว่ได้ยินก็คิดว่า หึหึ คอยดูสิว่าคุณจะทำได้จริงหรือเปล่า

ช่วงนี้จี้หรูอวิ๋นอบรมฉินเยว่ทุกวัน เวลาผู้หญิงปฏิบัติต่อผู้ชาย ต้องหยาบช้าอย่างแยบยล ในความผ่อนคลายต้องมีความเข้มงวด รู้จักผ่อนสั้นผ่อนยาว!

ยัยขี้ประจบฉินรู้สึกว่าตัวเองควรจะฝึกฝนตัวเองในฐานะแฟนสาวสักหน่อย

จู่ๆ ฉินเยว่ก็เลิกวุ่นวายกับคำถามว่าเมิ่งโหย่วเลี่ยวคือใคร แต่…แปลกใจว่าทำไมอีกฝ่ายถึงชื่อเมิ่งโหย่วเลี่ยว

แม้เธอจะอยากรู้อยากเห็นมากว่าในบันทึกการสนทนาคุยอะไรกันบ้าง แต่ฉินเยว่ก็ไม่ใช่คนประเภทที่ชอบดูเรื่องส่วนตัวของคนอื่น

ฉินเยว่เบิกตากว้าง อดถามไม่ได้ว่า “ทำไมเธอถึงชื่อนี้คะ”

ตอนนี้สมองของเฉินชางกำลังหมุนใช้ความคิดด้วยความเร็วสูงแบบเจ็ดพันสองร้อยตลบ “อาจารย์เมิ่งเป็นคนเดียวของมณฑลตงหยางของเราที่เรียนจบจากมหาวิทยาลัยแคโรลินสกา

เธอได้เผยแพร่วิทยานิพนธ์กับวารสาร The Lancet คงแก่เรียน จิตใจล้ำลึกเหมือนหุบเขา ผมก็เลยตั้งฉายาให้เธอว่าเมิ่งโหย่วเลี่ยว!”

เขารู้สึกว่าตัวเองไม่ได้พูดโกหก ถึงอย่างไรก็พูดสิ่งที่ควรพูดไปหมดแล้ว ทั้งยังพูดความจริงโดยไม่ได้แต่งเติมด้วย

ฉินเยว่พยักหน้าน้อยๆ อ้อ…อธิบายแบบนี้เหมือนจะชัดเจนแล้ว

แต่เธอก็หรี่ตาทันที “แล้วทำไมถึงเรียกฉันว่ายัยขี้ประจบฉินล่ะคะ”

เฉินชางมองสายตาคมกริบของยัยขี้ประจบฉิน ในดวงตาของเธอซ่อนกระบี่บินและดาบที่ตัดศีรษะเขาได้แม้อยู่ไกลพันลี้ เขาขาสั่นจนแทบคุกเข่าลงเสียตรงนั้น!

ท่านย่าครับผมผิดไปแล้ว

ฉินเยว่แสยะยิ้ม “ตอบสิ หาเหตุผลมาตอบให้ได้สิคะ!”

เฉินชางคิดอยู่นานมาก แต่คิดไม่ออกจริงๆ ผ่านไปนานกว่าจะพูดออกมาได้ “ยัยก็แปลว่าน่ารักไง เธอดูสิ ยัยหมิงน้อย ยัยแมวน้อย ยัยหมาน้อย…

…โอ๊ะ โอ๊ย ผมผิดไปแล้วครับท่านย่า โอ๊ย…อูยๆๆ…”

ถ้าไม่ใช่เพราะประตูห้องเวรเปิดอยู่ เฉินชางก็คงไม่รู้แล้วว่าท้องฟ้าของวันพรุ่งนี้จะสดใสหรือมีเมฆมาก…

เพียงแต่ว่า…หลังจากหลี่เป่าซานเข้ามาแล้วก็เดินวนรอบหนึ่งเหมือนไม่เห็น แล้วก็หันตัวเดินจากไป

ฉินเยว่หน้าแดงทันที เธอรีบลุกขึ้นแล้วบอกเฉินชางว่า “ฉันไม่พอใจฉายานี้!”

“แล้วจะเปลี่ยนเป็นอะไรดีล่ะ” เฉินชางรู้สึกไม่ยุติธรรม

ดวงตาฉินเยว่แฝงแววโกรธเคือง “คิดเอาเองสิ! พรุ่งนี้ฉันจะมาตรวจสอบ!”

พูดจบเธอก็เดินออกไปเลย

เฉินชางถอนหายใจ ผู้หญิงนะ…ผู้หญิง…

……

……

ยังเหลือเวลาอีกมาก เฉินชางไม่ได้ไปโรงพยาบาลตงต้าทันที แต่ไปซื้อนมวัวและของเล่นกองใหญ่ แล้วก็ไปที่ชั้นหกของแผนกศัลยกรรมกระดูก

เถามี่จ้างพยาบาลให้เด็กชายที่ไม่มีชื่อคนนี้ไว้คอยดูแลเรื่องการอยู่การกินโดยเฉพาะ

พยาบาลรับจ้างเป็นคุณป้าที่อายุห้าสิบกว่าแล้ว เพื่อแบ่งเบาความกดดันในการผ่อนบ้านให้ลูก เธอจึงทำงานที่นี่มาสี่ห้าปีแล้ว ประสบการณ์โชกโชน

ด้านข้างยังมีเก้าอี้ตัวหนึ่ง ดึงออกไปได้ เดิมทีเป็นเตียงของเถาหันไฉ่

จะว่าไปก็แปลก เด็กคนนี้เห็นเถาหันไฉ่แล้วไม่ร้องไห้งอแง ทั้งยังยิ้มแย้มอย่างดีใจด้วย

หลังจากเฉินชางมาแล้ว บรรดาสาวๆ พยาบาลก็ทยอยกันทักทาย “สวัสดีค่ะหัวหน้าแผนกเฉิน!”

เฉินชางยิ้มทักทายพวกเขา แล้วเดินเข้าไปในห้องผู้ป่วย

ตอนนี้เด็กตื่นแล้ว กำลังอยู่บนเตียงกับเถาหันไฉ่

เฉินชางทักทายคุณป้าพยาบาลรับจ้าง “เด็กงอแงไหมครับ”

คุณป้าพยักหน้า “เฮ้อ…เป็นเด็กดีมากค่ะ มาที่นี่แล้วไม่ร้องไห้งอแงเลย เจ็บขนาดนั้นก็ยังไม่โวยวาย ถ้าเป็นเด็กทั่วไปคงทนไม่ไหวแล้วค่ะ”

กระดูกของเด็กน้อยค่อนข้างอ่อน กระดูกคนแก่ค่อนข้างเปราะ ดังนั้นแผนกศัลยกรรมกระดูกจึงมีเด็กที่เล่นไม่ระวังจนกระดูกหักมาหาหมอบ่อยๆ คุณป้ามักได้ดูแลเด็กเหล่านั้นเสมอ เฉินชางมองเด็กน้อยที่สวมชุดผู้ป่วยลายสีฟ้าสลับขาว ดวงตาโตของเด็กน้อยกำลังมองเฉินชางด้วยความอยากรู้อยากเห็น มือขวาขยับไม่ได้ มือซ้ายชี้เข้าไปในปาก น่ารักสุดๆ ไปเลย!

ใครเห็นแล้วจะไม่ใจอ่อนบ้าง

สำนักสันติบาลยังตามหาพ่อแม่ของเด็กไม่พบ เฉินชางกำลังมองเถาหันไฉ่ที่ในดวงตาเต็มไปด้วยความเอ็นดู จู่ๆ ก็รู้สึกว่า บางทีเด็กอยู่กับเขาอาจจะไม่ลำบากก็ได้

เฉินชางผลักของกินไว้ตรงมุม แล้วพูดกับเถาหันไฉ่ว่า “ผมซื้อมาให้เด็กครับ”

เถาหันไฉ่รีบลุกขึ้นโค้งตัว พูดจาอู้อี้กับเด็กน้อยพร้อมชี้ไปที่เฉินชาง เด็กน้อยมองเฉินชางด้วยความประหลาดใจ แล้วจู่ๆ ก็ยิ้มเห็นฟัน ท่าทางน่ารักมาก

แม้แต่เฉินชางก็ยังอดอดใจไม่ไหว อยากจะอุ้มเด็กน้อยขึ้นมา

เขานั่งอยู่เป็นเพื่อนเด็กตรงนั้นครู่หนึ่งแล้วก็นำของเล่นวางไว้บนเตียง เด็กน้อยพยายามจะขยับมือด้วยความดีใจทันที แต่ถูกเถาหันไฉ่กดไว้ เพราะกลัวว่ามือเด็กจะได้รับบาดเจ็บ

หลังจากผ่านไปครู่เดียว ตอนที่เฉินชางลุกขึ้นเดินออกไป เด็กน้อยก็ยืนขึ้นเพราะต้องการให้เฉินชางอุ้ม

เฉินชางงุนงงทันที

จากนั้นเขาจึงหันตัวมาอุ้มเด็กน้อยขึ้นมาอย่างระมัดระวัง เด็กน้อยดีใจจนหัวเราะคิกคัก

……

ประมาณห้าโมงกว่า เฉินชางเห็นว่าในแผนกไม่มีงานอะไรแล้ว จึงเดินทางไปที่โรงพยาบาลตงต้า

ตอนค่ำมีผ่าตัดหลอดเลือดแดงใหญ่โป่งพองสองเคส จุดประสงค์ของหัวหน้าแผนกซย่าเกาเฟิงก็คือ ตอนที่ผ่าตัดหลอดเลือดแดงใหญ่โป่งพองเคสนี้ เขาต้องการให้เฉินชางทำความเข้าใจการซ่อมแซมเส้นเลือดบนหลอดเลือดแดงใหญ่

แผนกมีคนไม่เยอะ หมอดีกรีปริญญาเอกเบอร์สองกำลังจัดเรียงประวัติผู้ป่วย พอเห็นเฉินชางมาแล้วก็พยักหน้ายิ้มทักทาย “เสี่ยวเฉินมาแล้วเหรอ!”

“หัวหน้าแผนกซย่าอยู่ที่ห้องผ่าตัด คุณไปที่นั่นเถอะ”

เฉินชางพยักหน้าขอบคุณแล้วเดินตรงไปที่ห้องผ่าตัด

แผนกศัลยกรรมก็เป็นอย่างนี้ เวลาที่งานยุ่งก็ใช้เวลาอยู่ในห้องผ่าตัดทั้งวัน

เฉินชางมาถึงห้องผ่าตัดพอดี หัวหน้าแผนกซย่ากำลังเดินออกมา พอเห็นเฉินชางก็ทักทายด้วยรอยยิ้ม “เสี่ยวเฉินมาถึงแล้ว กินข้าวก่อนสิ พอกินข้าวเสร็จแล้ว คืนนี้อาจจะมีผ่าตัดสองสามเคส”

เฉินชางยิ้มอย่างซาบซึ้งใจ “ขอบคุณหัวหน้าแผนกซย่าครับ!”

ซย่าเกาเฟิงส่ายหน้ายิ้ม “เกรงใจแล้ว คุณก็เหมือนนักเรียนของผม ผมอยากถ่ายทอดวิชาให้ทุกอย่างจะแย่อยู่แล้ว”

พอเก่อฮว๋ายที่อยู่ข้างหลังได้ยินแบบนี้ ในใจก็รู้สึกเจ็บแปลบ

หัวหน้าแผนกเมิ่งก็ไม่ต้องการฉันเหมือนกัน ตอนนี้อาจารย์จะทิ้งฉันแล้ว ทำไมชีวิตฉันมันขื่นขมขนาดนี้นะ

อาหารมื้อผ่าตัดของแต่ละโรงพยาบาลล้วนมีจุดเด่นแตกต่างกันไป เฉินชางรู้สึกว่าถ้าเทียบกับอาหารมื้อผ่าตัดของโรงพยาบาลอันดับสองแล้ว ที่นี่ยังขาดน่องไก่!

เฉินชางกินข้าวเร็วมาก หลังจากกินเสร็จแล้วยังรู้สึกไม่เต็มอิ่ม จึงกินเพิ่มอีกส่วน…

ไม่ผิดหรอก!

ช่วงนี้ไม่รู้เป็นเพราะอะไร อาจเป็นเพราะพลังกายด้านต่างๆ ของเขาเพิ่มขึ้น ปริมาณอาหารที่ต้องการก็เพิ่มขึ้นไม่น้อยเช่นกัน ทุกอย่างสมเหตุสมผล

ดีที่อาหารมื้อผ่าตัดจะสั่งไว้ค่อนข้างเยอะกว่าปกติ ส่วนใหญ่จะสั่งเกินหลายส่วน เมื่อเจอเคสผ่าตัดที่ไม่มีเวลากินข้าว ก็ยังใช้ไมโครเวฟอุ่นเพื่อกินอาหารมื้อดึก

ซย่าเกาเฟิงเห็นว่าเฉินชางกินเก่งขนาดนี้ ก็อดกล่าวพร้อมรอยยิ้มไม่ได้ว่า “อายุยังน้อยก็ดีอย่างนี้ สมัยนั้นผมก็กินข้าวในโรงอาหารคูณสองเหมือนกัน!”

เก่อฮว๋ายได้ยินแล้วตกตะลึง!

เขามองซย่าเกาเฟิงแวบหนึ่งอย่างลังเล อาจารย์…ตอนนั้นผมกินสองจาน อาจารย์ยังว่าผมเป็นถังข้าว…ทั้งยังบอกอีกว่ากินเยอะขนาดนี้ ตอนผ่าตัดไม่รู้สึกล้าเหรอ

ทำไมพอกลายเป็นเฉินชางความรู้สึกก็เปลี่ยนไปแล้วล่ะ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด