เพราะรักสลักใจ 853 เปิดหอบรรพชน แม่จะเฉดหัวเจ้าให้ / 854 หนึ่งคำเรียกขาน หนึ่งความรู้สึก

Now you are reading เพราะรักสลักใจ Chapter 853 เปิดหอบรรพชน แม่จะเฉดหัวเจ้าให้ / 854 หนึ่งคำเรียกขาน หนึ่งความรู้สึก at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 853 เปิดหอบรรพชน แม่จะเฉดหัวเจ้าให้

 

 

พระพันปีเองก็ไม่เคยคาดคิดว่าจะลุกลามมาถึงขั้นนี้ รู้ว่าแม่ทัพทั้งสองมาเพื่อทวงความยุติธรรม ขอเพียงนางผดุงความยุติธรรม ตำหนิองค์จักรพรรดิ ก็น่าจะไม่มีปัญหาร้ายแรงอะไร

 

 

กลับกันมิใช่บอกว่านางลำเอียงจักรพรรดิ กระทำเรื่องผิดแล้วยังเข้าข้าง แท้จริงเพราะลูกชายของตนมิใช่คนธรรมสามัญ หากก่อเรื่องใหญ่โต บ้านเมืองก็ไม่สงบมั่นคง

 

 

ทว่าจักพรรดิกลับมิได้รับรู้ถึงความทุกข์ใจของพระนาง ตราบถึงบัดนี้ยังไม่สำนึกผิด ยังคิดโวยวายก่อเรื่อง

 

 

หากปล่อยให้จักรพรรดิเขียนราชโองการจริง สั่งประหารจวนเจิ้นกั๋วเจียงจวินทั้งตระกูล เช่นนั้นจะย่ำแย่เพียงใด?

 

 

พระพันปีร้อนพระทัย ข้ามไปข้างหน้าก้าวใหญ่ ไม่สนว่าในมือจักรพรรดิถือพู่กันจุ่มน้ำหมึกแล้วหรือไม่ ฝ่ามือตรงเข้าโบกให้คนล้มลงกับพื้น พู่กันหมึกร่วงหล่นบนหน้าบนตัวของจักรพรรดิ ทำเอาเปรอะเปื้อนดำปี๋

 

 

ฝ่ามือนี้ของพระพันปีเกือบจะเรียกได้ว่าใช้พลังทั้งหมดในกายนาง ตบเสร็จมือก็ชา ตาลาย โงนเงนสองหน ไม่ง่ายนักกว่าจะมีคนช่วยประคองจับโต๊ะมังกรได้อย่างมั่นคง แต่กลับพ่น “พรวด” อาเจียนเลือดสดออกมา

 

 

 “ลูกทรพี! ลูกทรพี!”

 

 

“ทหาร เปิดหอบรรพชน อายเจียจักเฉดหัวจักรพรรดิไร้เมตตาไร้คุณธรรมผู้นี้ออกไป!” บัดนี้พระพันปีชราเองก็ถูกกระตุ้นโทสะจนเวียนหัวตาลาย เช็ดคราบเลือดตรงข้างริมฝีปากแล้วรับสั่งทันที

 

 

ผู้คนเห็นเรื่องลุกลามใหญ่โตจนถึงขั้นนี้ ต่างพากันขึ้นหน้าเกลี้ยกล่อมพระพันปี บ้านเมืองไม่อาจไร้กษัตริย์แม้แต่วันเดียว เปลี่ยนประมุขเป็นเรื่องใหญ่ของใต้หล้า

 

 

อีกฝ่ายก็ไปเกลี้ยกล่อมจักรพรรดิ ให้เขารีบสำนึกผิด ยอมถอยลงมาให้จวนเจิ้นกั๋วเจียงจวิน

 

 

มังกรตัวนั้นของเขา เขาเป็นถึงจักรพรรดิผู้สูงศักดิ์ จะยอมอ่อนข้อให้จวนแม่ทัพแห่งหนึ่งได้อย่างไร นี่มิใช่กำลังตบหน้าเขาอยู่หรือ ภายภาคหน้าจะปกครองบ้านเมืองอย่างไร!!

 

 

น้องชายทั้งสองของราชบุตรเขยเดิมทีก็ไม่คิดอยากมีชีวิตอยู่นานนัก จะอาละวาดใหญ่โตแค่ไหนก็ได้ ต่อให้ถูกประหารทั้งตระกูลพวกเขาเองก็ไม่นึกเสียดาย ไม่ว่าอย่างไรจะต้องทวงคืนความยุติธรรมให้ได้!

 

 

ครั้นเห็นสภาพเช่นนี้ของพระพันปีพวกเขาก็ใจอ่อนลง ดีร้ายอย่างไรพระพันปีก็ยังมีสติเข้าใจเหตุผล พูดอีกอย่าง ทะเลาะกันก็บาดเจ็บทั้งสองฝ่าย ต่อให้พวกเขาทวงคืนความยุติธรรมได้ แต่ก็ทำให้ศัตรูเบิกบานใจแล้ว

 

 

ในที่สุดทั้งสองก็ใจเย็นลง ในใจอัดแน่นความคับแค้นไว้เต็มท้อง แต่กลับเดินขึ้นหน้ายกกำปั้นคารวะต่อพระพันปี “ขอไท่โฮ่วเหนียงเนี่ยงทรงระงับโทสะ พวกกระหม่อมเพียงร้องขอความยุติธรรม มิ มิได้มีเจตนาเช่นนั้น ขอไท่โฮ่วเหนียงเนี่ยงทรงระงับโทสะ”

 

 

 “พวกท่านล้วนเป็นขุนนางดีงาม แต่เป็นลูกทรพีผู้นี้เลอะเลือนผีสิง วางใจ อายเจียจักให้ความยุติธรรมแก่พวกท่านแน่นอน! วันนี้อายเจียจะเปิดหอบรรพชน แม่จะเฉดให้เขาไสหัวไป!” พระพันปีตรัสแล้วก็ขึ้นหน้าคว้าคอเสื้อด้านหลังของจักรพรรดิคิดจะลากลงมาจากบัลลังก์

 

 

ฝูงชนอลม่านอีกระลอก ขึ้นหน้าเข้ามาไกล่เกลี่ย

 

 

พวกเขาต่างรู้ดีว่ามารดาของพระพันปีพระองค์นี้เป็นสามัญชน ดังนั้นพระพันปีเองก็ติดนิสัยของสามัญชนมาไม่น้อย ครานั้นตอนจักรพรรดิองค์ก่อนยังอยู่ พระพันปีก็ก่อเรื่องหลายครั้ง แต่เพราะจักรพรรดิองค์ก่อนไม่พูดอันใด ทั้งยังมีราชโองการว่าผู้ใดดูแคลนพระนางลับหลังจะไม่ทรงปรานีให้เด็ดขาด ฉะนั้นจึงไม่มีคำพูดไม่น่าฟังอะไรเผยแพร่ออกไป

 

 

คิดไม่ถึงว่าพระพันปีอายุอานามนี้แล้วกลับยังเผ็ดร้อนถึงเพียงนี้ อ้าปากหุบปากก็ “ไสหัวไป” บ้าง “แม่[1]”บ้าง แม้ฟังแล้วไม่เข้าหูนัก แต่กลับทำให้ทุกคนรู้สึกสะใจอย่างบอกไม่ถูก รู้สึกได้สาแก่ใจอย่างหาใดเปรียบ!

 

 

 “พวกกระหม่อมจะรอข่าวอยู่ที่จุดพักม้า กระหม่อมทูลลา” แม่ทัพทั้งสองเห็นว่าลุกลามใหญ่โตแล้วก็ไม่อยากรั้งอยู่ต่อนาน เพียงทำความเคารพทูลลาพระพันปีแล้วออกไป

 

 

พระพันปีในตอนนี้ไม่มีกะจิตกะใจสนใจแม่ทัพสองคนนี้ ทั้งหัวจิตหัวใจล้วนมีแต่ต้องการปลดลูกชายโง่งมคนนี้ลงจากบัลลังก์ ไม่ยอมให้เขาเหยียบย่ำขุนนางราษฎรอีกเด็ดขาด

 

 

 “ไปเถิดๆ” พระพันปีตรัสพลางโบกพระหัตถ์ และไม่สนว่าคนเดินจะไปแล้วหรือไม่ พระนางตรงเข้าคว้าคอเสื้อของจักรพรรดิจะลากออกไปด้านนอกท่าเดียว ใครห้ามก็ไม่ฟัง

 

 

โถงราชสำนักทางนี้ทะเลาะกันเผ็ดร้อน ทางซูเซียงเองก็มิได้พ้นกันไปไหนไกล

 

 

เพียงแต่ซูเซียงกลับไม่ได้ทะเลาะกันเสียงดังแต่อย่างใด แต่แววตาสงบนิ่งไร้คลื่นแบบนั้นทำให้จ้าวเซิงเกิดเพลิงโทสะลุกโหม

 

 

แม้หลายวันนี้ซูเซียงไม่สนใจเขา แต่ทุกวันจ้าวเซิงก็ยังเสนอหน้าไปเยี่ยมซูเซียงวันละสองสามครั้ง โจ๊กตุ๋นน้ำแกงโสมไก่ที่เขาเพิ่งส่งให้ซูเซียงเมื่อครู่ ซูเซียงเองก็มิได้โวยวายอันใด ยกขึ้นดื่มได้ครึ่งชามก็วางตรงหัวเตียง ไม่เปล่งวาจาแม้แต่คำเดียว

 

 

 

 

——

 

 

[1] แม่ หรือเหล่าเหนียง ในที่นี้เป็นคำแทนตัวของผู้หญิง ยกตัวเองว่าเป็นมารดาคนอื่น ใช้ในเชิงหยาบคาย ตรงกับคำว่า กู ในภาษาไทย

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 854 หนึ่งคำเรียกขาน หนึ่งความรู้สึก

 

 

เขากลับยินดีให้ซูเซียงเอะอะโวยวายสักครั้ง จะตีจะด่าเขาก็ได้ แต่ท่าทางเรียบร้อยตอนนี้ของซูเซียง กลับทำให้เขายิ่งรู้สึกแย่

 

 

หลายวันก่อนซูเซียงยังเคยพูดกับพระพันปีว่าต้องการเลิกรา ให้จ้าวเซิงรีบมอบหนังสือหย่าโดยสมัครใจให้นาง หรือจะเป็นหนังสือฟ้องหย่าก็ได้ ตอนนั้นจ้าวเซิงได้ยินคำที่ถ่ายทอดมาน้ำตาก็เอ่อท่วมขอบตา หมัดหนึ่งทุบบนกำแพง เลือดสดสาดกระเซ็น จนถึงตอนนี้มือขวาของเขายังคงพันผ้าพันแผลหนาตึบ

 

 

ความเคลื่อนไหววุ่นวายใหญ่โตบนท้องพระโรงเมื่อครู่ จ้าวเซิงไม่ใช่ไม่รู้ เพียงแต่เขาไม่มีจิตใจคิดอยากสนใจอย่างแท้จริง ปล่อยให้พวกเขาทะเลาะกันเองเถอะ อยากทำอะไรก็ทำไป เขาไม่คิดอยากสนใจแม้แต่นิดเดียว

 

 

ซูเซียงแม้บอกว่าต้องการหนังสือหย่าซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทว่าถึงที่สุดแล้วในใจของนางก็รักชอบบุรุษคนนี้ เห็นจ้าวเซิงไม่มาพูดเจื้อยแจ้วข้างหูนางเหมือนวันปกติ แต่นั่งอยู่ตรงขอบเตียง ก้มหน้าคอตกไม่เปล่งเสียง ในใจนางก็อดมิได้ที่จะเกิดคำถาม

 

 

แต่นางในตอนนี้คิดแค่อยากดูแลรักษาร่างกายให้หายดีแล้วรีบออกไปจากสถานที่เฮงซวยแห่งนี้ เรื่องอื่นนางเองก็คร้านจะสนใจ

 

 

คิดไม่ถึงเวลานี้จ้าวเซิงกลับเปิดปากเอ่ยขึ้นกะทันหัน “ที่รัก เรากลับไปกันเถิด ท่านพ่อท่านแม่อยู่ในบ้านคงรอจนร้อนใจแล้ว”

 

 

ที่เขาเรียกขานมิใช่หวังเฟย มิใช่ภรรยา แต่เป็นคำที่คนชนบทเรียกขานภรรยาของตน

 

 

คำเรียกขานอย่างหนึ่ง มักให้ความรู้สึกชนิดหนึ่ง

 

 

ถึงแม้ตอนนี้หัวใจซูเซียงจมดิ่งดุจวารี กลับยังก่อเกิดระลอกคลื่นเล็กๆเพราะคำว่า “ที่รัก”คำนี้ของเขา

 

 

หลังพูดประโยคนี้จบจ้าวเซิงมองซูเซียงเงียบๆสองสายตา สุดท้ายก็ถอนหายใจเดินออกจากห้องไป 

 

 

ทีแรกในใจซูเซียงมากน้อยก็ยังดีใจอยู่บ้าง คิดว่าบุรุษคนนี้อยากกลับชนบทกับนางจากใจจริง แต่คิดไม่ถึงว่าเขากลับไม่มีความอดทนสักนิด ตนยังไม่ทันตอบเขาก็เดินออกไปแล้ว

 

 

ในใจรู้สึกแย่ เบือนหน้าบึ้งตึง ทว่าพลันได้ยินเสียงตะโกนเอะอะ คนเดินไปเดินมาด้านนอก

 

 

 “เร็วหน่อยๆ ท่านอ๋องสงครามมีคำสั่งแล้ว รีบเก็บข้าวของสัมภาระ!”

 

 

 “นี่ๆ ของพวกนี้ไม่ต้องทำแล้ว พวกเจ้าสนใจจัดการแค่ปูฟูกในรถม้าให้มากชั้นหน่อย ให้จวิ้นจู่นอนสบายก็เป็นอันได้ ท่านอ๋องบอกแล้วว่า เวลาไม่มาก อย่ามัวพิรี้พิไร เสียเวลาเปลืองน้ำหมึก ”

 

 

 “นี่ เจ้าหก เจ้าเซ่อมัวยืนบื้ออยู่ทำอะไรน่ะ! ไปหยิบเตาไฟ จวิ้นเหนียงเนี่ยงร่างกายบาดเจ็บ ห้ามให้หนาวเด็ดขาด!”

 

 

……

 

 

ซูเซียงในตอนนี้ในใจบอกไม่ถูกว่ารู้สึกอย่างไร พยายามเม้มริมฝีปาก ไม่ให้ตัวเองเหยียดยิ้มออกมา ทว่าในใจนางมากน้อยก็ยังได้รับการปลอบโยน ผู้ชายคนนี้รู้จักเอาใจภรรยา รู้ว่าตัวเองไม่ได้รับความเป็นธรรมยังยินดีเข้าหานาง แค่นี้ก็ดีมากแล้ว นางไม่ควรเรียกร้องมากเกินไปจริงๆ

 

 

นางเองก็รู้อยู่แก่ใจ ที่เสียลูกไปมิอาจโทษว่าเป็นความผิดจ้าวเซิงโดยสิ้นเชิง แต่จนใจนางไม่สามารถก้าวข้ามหลุมในใจนี้ไปได้ คิดว่าเพราะฐานะองค์ชายของจ้าวเซิงจึงทำให้เสียลูกไป ทำให้นางได้รับโทษทัณฑ์นี้ ในใจจึงนึกเคืองแค้น

 

 

“ช่างเถอะ ช่างเถอะ…” ซูเซียงพึมพำคนเดียว

 

 

บุรุษยอมทิ้งอำนาจทางทหาร ถอดยศตำแหน่ง ยอมกลับไปใช้ชีวิตสงบเงียบกับนาง นางเองก็จะให้โอกาสอีกครั้ง

 

 

โถงราชสำนักทางนั้นวุ่นวายอลหม่าน สุดท้ายไม่รู้ผู้ใดเกลี้ยกล่อมพระพันปีลงได้ จึงไม่ปลดจักรพรรดิลง เพียงแต่กักบริเวณจักรพรรดิไว้ที่พระตำหนักหมิงชิง   ภายในสามเดือนห้ามว่าราชกิจ ให้พระพันปีว่าราชการหลังม่าน

 

 

แต่เรื่องพวกนี้จ้าวเซิงขี้เกียจจะใส่ใจแล้วอย่างแท้จริง ไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม ทุกสิ่งทุกอย่างก็จัดการเสร็จเรียบร้อย

 

 

จ้าวเซิงนำตราทหารวางลงบนโต๊ะของพระพันปี พูดขึ้นตามตรง “เสด็จย่า เป็นหลานอกตัญญู ไม่อาจปรนนิบัติรับใช้ข้างกายท่าน แต่หลานเองก็เป็นสามีของผู้อื่น เป็นบิดาของผู้อื่น ตอนนี้หลานอยากพาภรรยาออกไป ขอเสด็จย่าทรงอนุญาต!”

 

 

เดิมพระพันปีไม่อยากให้จ้าวเซิงไป แต่เรื่องเดินมาถึงขั้นนี้แล้ว หากจ้าวเซิงยังรั้งอยู่ในเมืองหลวง เกรงว่าอาจก่อเกิดคลื่นลมอะไรบางอย่าง ไม่เป็นผลดีต่อชาติบ้านเมือง

 

 

พระพันปีทำได้เพียงถอนพระทัย หยิบราชเสาวนีย์ออกมา “อายเจียจัดการถอดถอนยศชินอ๋องให้เจ้า รับตราทหารคืน ทีนี้เจ้าก็พาเซียงเอ๋อร์ไปเถิด อายเจียรู้ว่าเจ้ากับเซียงเอ๋อร์ไม่ได้รับความเป็นธรรม ทว่าเพื่อบ้านเมือง… ”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด