ชีวิตใหม่ในดราโทก้า ดินแดนมังกร 39: ภาค 2 16 ฤดูหนาวที่ต่างกัน

Now you are reading ชีวิตใหม่ในดราโทก้า ดินแดนมังกร Chapter 39: ภาค 2 16 ฤดูหนาวที่ต่างกัน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 ในที่สุด! ฤดูหนาวก็มาเยือน งานที่ไหลเข้ามาก็น้อยลง และในตอนนี้พวกเราส่วนใหญ่นั้นอยู่ภายในบ้านของตัวเอง เพราะเกาะของพวกเราพอหน้าหนาวมันหนาวกว่าที่คิดเอาไว้มาก แม้จะเทียบกับทราโก้ไม่ได้แต่ก็คงยากที่จะออกไปทำอะไรนอกบ้าน

แต่ก็ยังดีที่พวกเรามีไม้และผลไม้จากริมิร่าส่งมาเรื่อย ๆ อยู่ แม้จะหน้าหนาวแต่ผลไม้จากที่นั่นก็ยังคงออกผลตลอดทั้งปี ช่วยเพิ่มสีสันให้อาหารซึ่งส่วนมากเป็นของตากแห้งได้เป็นอย่างดี ส่วนงานก็จะเป็นการทำของจุกจิกในบ้าน ผู้ชายแกะสลักไม้ ผู้หญิงเย็บปักถักร้อย แม้จะมีสลับกันทำบ้างแต่ก็ไม่ใช่เรื่องต้องสนเท่าไหร่

พวกทหารรับจ้างรอบแรกของฉันก็ไปให้พวกคนในหมู่บ้านช่วยทำงานฝีมือเพื่อไม่ให้ตัวเองว่างเช่นกัน ได้ยินมาว่าฤดูหนาวในเดือนแรกนั้นจะโหมหนักเป็นพิเศษก่อนจะค่อย ๆ เบาลง ดังนั้นมันเหมือนเป็นช่วงเวลาพักผ่อนของกลุ่มเราไปทั้งแบบนั้น และนั่นแหละ…เวลาที่ฉันรอคอยก็มาถึงแล้ว

 

“เอาล่ะ พวกเรามีเวลากันทั้งฤดูหนาวในการเรียนให้เต็มที่ เนื้อหามันมีแค่พวกพื้นฐานแล้วฉันก็หวังว่าไม่นานพวกนายก็จะคล่องในระดับหนึ่งและช่วยเบางานให้ฉันได้ เข้าใจไหม!!”

 

“ครับ!!”

 

“ดี! งั้นฉันก็จะแบ่งตารางเวลางานประมาณนี้”

 

ว่าแล้วฉันก็เริ่มแจกแจงแผนที่คิดเอาไว้ให้ทุกคนฟัง ตารางงานสำหรับทุกคนนั้นจะเริ่มตอนเวลา 8 โมงเช้าหลังพระอาทิตย์ส่องสว่าง เกือบทุกคนจะต้องมาเรียนกับฉัน ยกเว้นพวกทหารรับจ้างกลุ่มแรกที่ทำหน้าที่เฝ้ายามรอบที่อยู่ ถึงจะเป็นฤดูที่พักผ่อนแบบนี้ก็จะประมาทไม่ได้

คนที่มาเรียนนั้นจะใช้เวลา 2 ชั่วโมงที่คฤหาสน์ของฉัน ก่อนจะปล่อยให้แยกย้ายไปทำอะไรได้อิสระเป็นเวลา 4 ชั่วโมง แล้วในระหว่างนั้นฉันก็จะไปสอนให้พวกที่ต้องเฝ้ายามถึงที่พักทหารไม่นานมากนักแล้วคราวนี้จะเป็นฉันที่ไปพักผ่อนเอง หลังครบชั่วโมงที่ตั้งเอาไว้คนกลุ่มแรกก็จะมาเรียนกับฉันต่ออีก 2 ชั่วโมง แล้วก็วนแบบเดิมเรื่อยๆ

การจัดตารางแบบนี้ไปได้ด้วยดีตามความคาดหมาย แม้ว่าช่วงแรกจะมีปัญหาเรื่องพวกเขานับเวลาไม่คล่องเท่าไหร่ เพราะปกติจะไม่ค่อยได้ใช้การนับละเอียดแบบนี้ ซึ่งตรงนี้คิดว่าถ้าผ่านฤดูหนาวไปจะหาซื้อระฆังมาไว้บอกเวลาเป็นรอบคล้ายกับของโบสถ์ แต่อาจจะไม่ได้เล่นใหญ่จนถึงสร้างอาคารก็เถอะ

จัดว่าเป็นเรื่องน่ายินดีที่ทุกคนกระตือรือร้นกับการเรียนรู้ ถึงแม้ว่าจะเป็นไปอย่างช้า ๆ ก็เถอะแต่ฉันก็ไม่คิดว่าจะเร่งพวกเขาเช่นกัน

 

“นี่ ๆ”

 

“หืม?”

 

ในตอนที่ฉันเดินตรวจโต๊ะซึ่งมีพวกคนในหมู่บ้านกำลังคัดตัวหนังสือกันอยู่นั้น ก็มีเด็กวัยกำลังซนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาสะกิดเสื้อฉัน ดังนั้นจึงหันไปมองด้วยความสงสัย ก่อนที่พวกนั้นจะมองหน้ากันอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ แล้วก็ยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งมาให้

ในนั้นถูกเขียนด้วยตัวหนังสือยึกยือทั้งเล็กและใหญ่ปนกันแสดงให้เห็นถึงความไม่เคยชิน แต่ฉันก็ยิ้มบางออกมาแล้วพยายามแกะข้อความด้านใน

 

“ขอบ…คุณ…นะ…หัว…หน้า นี่ให้ฉันเหรอ?”

 

เมื่อถามทวนแบบนั้นเด็ก ๆ ก็ทำหน้าตาหวาดหวั่นเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้าเบา ๆ ดูท่าจะยังกลัวฉันอยู่แต่ก็เขียนคำขอบคุณมาให้เนี่ยนะ…เข้าใจยากจังแฮะ

จากนั้นฉันก็ยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยนแล้วยื่นมือไปลูบหัวเด็กคนที่ถือกระดาษมา ก่อนจะพูดชม

 

“อืม ฉันเองก็ขอบใจนะ แต่เก่งกันมากเลยนะเนี่ย”

 

ก่อนจะหยิบขึ้นมาดูอีกครั้งและหัวเราะร่า นั่นทำให้สีหน้าของพวกเธอสดใสขึ้นและดีใจตาม อืม ๆ น่าจะหายเกร็งได้พอควรแล้วล่ะมั้ง จากนั้นพวกเด็กก็วิ่งกลับไปที่โต๊ะของตัวเองแล้วพูดคุยว่าต่อไปจะเขียนอะไรดี

เด็กตัวเล็กแค่นั้นนี่เรียนรู้ไวจังเลยนะ

 

“อึก นี่แพ้พวกเด็กเรอะเนี่ย…”

 

ในตอนนั้นก็มีผู้ใหญ่คนหนึ่งพึมพำออกมาแบบนั้นพร้อมทั้งสีหน้าเจ็บใจ นั่นสินะ พวกผู้ใหญ่หลายคนยังจำตัวอักษรไม่ได้เลยด้วยซ้ำ แต่ว่าเด็กพวกนั้นก็เขียนเป็นคำได้แล้ว

แต่ก็นะฉันเลยเดินไปหาเขา

 

“เฮ้ย ๆ ที่นายคิดจะแข่งกับเด็กต่างหากที่ผิด เด็กพวกนั้นเรียนรู้เร็วแล้วก็ง่ายกว่าอยู่แล้ว พวกนายที่โตปานนี้แล้วค่อย ๆ เรียนรู้ไปเหอะ”

 

“…ครับ”

 

ถึงแม้ว่าฉันจะพูดด้วยเชิงเหนื่อยใจราวกับคำดุ แต่คนที่พูดก็เบิกตากว้างก่อนจะหันกลับไปตั้งใจคัดเหมือนเดิม เอาเถอะ ตั้งใจกันได้ก็ดีแล้วล่ะ การเรียนเรื่องพวกนี้สำหรับผู้ใหญ่ที่ละเลยมาตลอดมันก็ต้องยากกว่าเด็ก ๆ อยู่แล้ว แต่หลังจากนี้เด็กที่เกิดขึ้นมาใหม่คงจะง่ายกว่าเดิม ซึ่งนั่นก็ดีแล้วล่ะนะ

พอถึงเวลาพักของคนอื่น ฉันก็มุ่งหน้าไปสอนพวกโบลที่ค่ายของทหารซึ่งตั้งไว้นอกชุมชนเพื่อเฝ้ายาม เรื่องอ่านเขียนของพวกเขาก็พอคล่องกันในระดับหนึ่งแล้ว สิ่งที่จะสวนเลยเป็นพวกเลขการคำนวณต่าง ๆ มากว่า ถึงพวกเขาจะบวกลบได้อยู่ก็เถอะ แต่ถ้าเลขเยอะหน่อยก็ไม่ได้เช่นกัน

และเรื่องยินดีก็มีตรงที่แม้จะปล่อยให้คนอื่นไปพัก ก็ยังมีบางคนตามมาเรียนเพิ่มอยู่เหมือนกัน ซึ่งก็ทำอะไรไม่ได้เลยปล่อยไปแล้วสอนทุกคนที่มานั่งเรียน

แล้วหลายวันหลังจากเข้าวงจรชีวิตแบบนี้ก็มีเรื่องเหนือความคาดหมายเกิดขึ้นอีก

 

“มีสมาธิหน่อย!!”

 

“ครับ!!”

 

ฉันที่ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายในระหว่างการเดินเล่นก็รีบวิ่งเข้าไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น แล้วก็ได้เห็นว่ากลางหิมะและอากาศที่หนาวเย็นนั้น มีคนกำลังสู้กันอยู่…ไม่สิ เรียกว่าโดนอัดอยู่ฝ่ายเดียวไหมนะ

 

“เฮ้ย ๆ เกิดอะไรขึ้นเนี่ย”

 

ฉันที่ไม่เข้าใจสถานการณ์ก็รีบรุดเข้าไปแทรกตัวทั้งคู่ที่ทำท่าจะเข้าปะทะกันอีก โดยที่รอบ ๆ ก็มีคนยืนดูอย่างไม่ทุกข์ร้อนกันอยู่ ทั้งชาวบ้านทั้งพวกทหารรับจ้างเลย

ขัดกับความรู้สึกสับสนแล้วก็งงของฉันสุด ๆ

 

“อะ หัวหน้า! พอดีผมขอให้เขาฝึกการต่อสู้ให้ครับ”

 

“อ้อ…ไอ้การอัดกันนี่น่ะเรอะ”

 

“ครับ!!”

 

เจ้าตัวที่โดนอัดเหมือนว่าจะยิ้มกว้างออกมาอย่างสดใส ซึ่งก็…ถูกล่ะนะ การฝึกของพวกทหารรับจ้างก็เป็นแบบนี้แหละ อาจจะดูหยาบไปบ้างแต่ก็ได้ผลค่อนข้างดี ตอนฉันฝึกกับอาจารย์เองก็แบบนี้เหมือนกัน ยิ่งหนาวแบบนี้เขายิ่งชอบให้ทำเพื่อฝึกความอดทน

แต่ก็…

 

“อย่าประมาทล่ะ การฝึกในหน้าหนาวแบบนี้มันค่อนข้างอันตราย เฮ้ย พวกแกตรงนั้นน่ะ!”

 

“ครับ!!”

 

ฉันเตือนออกไปแบบนั้นแล้วหันไปหาพวกทหารรับจ้างที่มองดูอยู่ ทำให้พวกเขาสะดุ้งโหยงและยืดหลังตรงขานรับคำเรียก ฉันจึงออกคำสั่งต่อทันที

 

“เรื่องการฝึกถ้ามีใครสนใจก็ฝากจับตาดูด้วยล่ะ จะฝึกหรืออะไรก็ช่าง ความปลอดภัยมาก่อนเสมอ จำไว้ด้วยล่ะ”

 

หลังจากทิ้งท้ายไว้แบบนั้นก็เดินออกมาและตั้งใจว่าจะกลับไปนั่งเล่นที่คฤหาสน์ ฤดูหนาวหนนี้รู้สึกว่าอยากพักผ่อนมากเป็นพิเศษ บางทีแล้วคนอื่นอาจจะไม่ได้รู้สึกอะไรกันมากเท่าไหร่แต่เป็นฉันเองที่อยากหยุดจากงานเยอะ ๆ อิกนิสเองก็ได้มีเวลาจำศีลเหมือนกัน ปกติมังกรที่อยู่กับมนุษย์จะไม่ค่อยได้จำศีลนัก แต่พอได้มีเวลาเอื่อยเฉียบแบบนี้เองเขาก็ดูมีความสุขดี

 

“กรร…”

 

เขาส่งเสียงร้องออกมาจากลำคอเบา ๆ เมื่อฉันที่เดินเข้ามาในห้องเข้าไปลูบหลัง ก่อนที่เจ้าตัวจะดิ้นเล็กน้อยและนอนหงายท้องกลิ้งไปมาด้วยความสบาย ไม่รู้ทำไมพอเห็นท่าทีแบบนั้นของอิกนิสนอกจากจะอมยิ้มแล้วฉันก็หาวหวอดออกมา

มีเวลาอีกสักพักเลยกว่าจะถึงเวลาสอนรอบต่อไป นอนกลางวันสักหน่อยก็แล้วกัน…

 

—————— ——————-

 

ถึงฤดูหนาวเดือนแรกจะปิดการเรียนของโรงเรียนก็เถอะ แต่วันขึ้นปีใหม่นักเรียนรวมไปถึงผู้เกี่ยวข้องจะได้รับจดหมายเชิญให้ไปงานเลี้ยงของโรงเรียน ได้ยินมาว่าคล้ายกับงานเต้นรำทั่วไปของสังคมขุนนาง แต่พอช่วงเที่ยงคืนจะมีนักบุญมาพาสวดภาวนาข้ามปี

อาจารย์บอกว่านี่เป็นปีแรกที่เข้าเรียนของฉันแถมยังเป็นครั้งแรกที่จะได้มีโอกาสเข้างานสังคมของขุนนางด้วย เลยแนะนำให้ไปเข้าร่วมจะดีกว่า แน่นอนว่าเพื่อไม่ให้ประหม่าเขาเองก็จะเข้าร่วมด้วยในฐานะอาจารย์ เพราะงั้นเราจึงขี่หลังริเกลตรงไปที่เมืองหลวงอย่างรวดเร็ว โดยมีคลิฟที่อยากขี่มังกรมาด้วย

 

“ริเกลสุดยอดเลย!! นี่พี่เคียร่าหนูอยากบินอีกได้ไหม”

 

“ขอโทษนะ แต่ตอนนี้ยังบินแบบอิสระไม่ได้น่ะ ต้องเป็นเรื่องด่วนเท่านั้น”

 

ฉันยิ้มแบบลำบากใจเล็กน้อยพร้อมทั้งก้มตัวอยู่ระดับสายตาของคลิฟแล้วบอกแบบนั้น ในตอนนี้ริเกลยังคงเป็นที่จับตามองอยู่จึงทำอะไรอิสระตามที่บอกไม่ได้ ถึงแม้เด็กน้อยจะทำท่าทางเสียดายแต่ก็ยอมรับแต่โดยดี อืม…ต้องทำให้ร่าเริงไว้หน่อยดีกว่า

 

“จริงสิ พี่ได้ยินเรื่องมนุษย์บาดาลมาไม่นานนี้ เดี๋ยวหลังจบงานเลี้ยงจะอ่านเรื่องมังกรปะการังให้ฟังนะ แล้วก็เมืองบาดาลด้วย”

 

“เมืองบาดาลเหรอ!!”

 

เมื่อเธอถามทวนด้วยใบหน้าสดใสจึงยิ้มกว้างออกมาแล้วพยักหน้ากลับไป คลิฟจึงทำตัวว่านอนสอนง่ายทันตาเห็นและร่าเริงขึ้นยิ่งกว่าเดิม ดีแล้วล่ะนะ เอาล่ะ…ฉันเองก็ต้องเตรียมตัวสำหรับงานเลี้ยงสินะ

 

“ถ้าใส่เครื่องแบบนักเรียนได้ไหมนะ”

 

“…ก็ได้นะแหละนะ แต่ว่า…ไม่ใส่ชุดอื่นหน่อยเหรอ”

 

“ใส่ชุดนักเรียนมันขยับตัวง่ายกว่านี่คะ”

 

ว่าแล้วฉันก็หัวเราะโดยเมินสีหน้าเหนื่อยใจของอาจารย์ ริเกลเองก็หัวตามฉันเหมือนกัน จนรู้สึกได้เลยว่าในใจเขาคงถอนหายใจให้กับพวกเราอยู่แน่ ก็นะ พวกชุดเดรสฟู ๆ ที่ขุนนางชอบใส่กันมันน่ารำคาญนี่นะ ชุดเครื่องแบบนักเรียนก็ออกแบบมาให้ขยับง่ายด้วย แถมยังใส่จนชินแล้วอีกต่างหาก

จากนั้นก็แยกกับพวกคลิฟไปที่หอพักนักเรียนของตัวเองแล้วจัดการเปลี่ยนชุดเป็นเครื่องแบบของนักเรียนขุนนาง ที่แม้กระโปรงจะสั้นไปสักหน่อยแต่ก็ไม่มีปัญหาอะไรเป็นพิเศษ หลังผูกเนกไทพิเศษสำหรับชุดเรียบร้อยก็เดินออกจากห้องมุ่งหน้าไปหาริเกลเพื่อให้เธอสบายใจก่อนจะตรงไปยังโถงจัดงานเลี้ยงในช่วงเวลาหัวค่ำทันที

ที่นั่นอาจารย์พาฉันไปเจอกับเพื่อนของเขาเพื่อแนะนำตัวและพูดคุยเล็กน้อย รวมไปถึงฝากดูแลและอื่น ๆ อีก ซึ่งหน้าที่ของฉันก็มีเพียงยิ้มรับและทำความเคารพเท่านั้น แม้บางคนจะทำหน้าประหลาดใจหรือหัวเราะอย่างไม่เชื่อตอนได้ยินที่บอกว่าจะเป็นอัศวินก็ตาม

 

“คนสำคัญส่วนใหญ่ก็พาไปทักทายหมดแล้วล่ะนะ หลังจากนี้เธอไปเดินเล่นเถอะ ไปทักทายพวกรุ่นเดียวกันก็ดีนะ”

 

พูดจบอาจารย์ก็หันไปมองมุมหนึ่งของงานเลี้ยงซึ่งมีนักเรียนของโรงเรียนขุนนางกำลังเดินไปมาอยู่ ซึ่งฉันก็พยายามอย่างมากที่จะไม่ถอนหายใจออกมา อา…ยุ่งยากจัง ไปทำอย่างอื่นดีไหมนะ ว่าแล้วฉันก็เดินแยกออกมาแล้วมองไปรอบงาน จะว่าไปก็ไม่เคยคิดไม่เคยฝันเลยนะ ว่าวันหนึ่งจะมาเดินอยู่ในที่แบบนี้

ภายในห้องโถงขนาดใหญ่ที่จุคนได้หลายร้อยนั้นมีโคมไฟห้อยด้านบนอย่างหรูหรา เครื่องเรือนที่ดูสะอาดและสวยงามรู้ได้เลยว่าราคาแพงกับถูกดูและเป็นอย่างดีนั้นมีเต็มไปหมดในงานเลี้ยง เหล่าคุณชายนายหญิงที่แต่งตัวอย่างงดงามกำลังยืนพูดคุยกันตามที่ต่าง ๆ

นักดนตรีชื่อดังที่กำลังบรรเลงบทเพลงอ่อน ๆ คลอไปกับบรรยากาศของงานเลี้ยง ของแบบนี้แม้แต่ในชาติก่อนก็ได้แต่เห็นตามหนังหรือทีวีเท่านั้น ว่าแล้วสายตาก็ไปหยุดที่โต๊ะวางอาหารของงานเลี้ยง มันดูระยิบระยับจนแทบจะไม่กล้าหยิบเลย…

 

“แต่ถ้าริเกลเห็นล่ะก็…น่าเสียดายจัง ที่เธอตัวใหญ่จนเข้ามาด้วยไม่ได้แล้วเนี่ย”

 

แม้แต่ในงานแบบนี้ฉันก็ยังนึกถึงริเกลขึ้นมาเริ่มจะติดกันเกินไปหน่อยแล้วไหมนะ…แต่ก็ช่างเถอะ ไม่เป็นอะไรหรอก ตอนนี้ฉันนั้นยืนอยู่หน้าโต๊ะที่มีอาหารและขนมวางเรียงรายพลางยืนครุ่นคิดถึงริเกลอยู่ ก่อนจะมีเสียงหนึ่งดังมาจากด้านข้างไม่ไกลมากนัก

 

“ตายจริง สมกับเป็นสามัญชน เมื่อเข้ามาในงานเลี้ยงก็สนใจแต่ของกินที่ไม่เคยเอื้อมถึงล่ะสิท่า”

 

เมื่อหันไปมองที่ต้นเสียงก็เจอเข้ากับผู้หญิงที่แต่งตัวด้วยชุดเดรสฟูฟ่องและงดงาม เธอกำลังถือพัดปิดบังใบหน้าที่คาดว่าน่าจะกำลังไม่พอใจฉันอยู่ด้านหลัง พร้อมกับคนติดตามอีกสองคน

 

“อ๊ะ ชุดเดรสนั่นเหมาะกับท่านมากเลยนะคะ ท่านบุตรีดยุคเคลเวอร์”

 

“บอกแล้วไงคะ ว่าอย่าเรียกดิฉันด้วยตำแหน่งของท่านพ่อ”

 

“ฮะ ๆ เข้าใจแล้วค่ะ ท่านมารีน”

 

ดยุคเคลเวอร์เป็นตระกูลที่ใหญ่พอ ๆ กับตระกูลของอาจารย์ คาสทอร์นั้นมีอำนาจเพราะมีเมืองที่อุดมสมบูรณ์ราวกับเมืองหลวงที่สอง แต่เคลเวอร์นั้นมีอำนาจได้แม้จะไม่มีเมืองในการปกครองของตนเองก็ตาม แต่ว่าผู้สืบทอดของตระกูลนี้นั้นเป็นราวกับมือขวาของราชามาหลายชั่วอายุคน ชื่อเมืองหลวงก็ถูกตั้งตามชื่อตระกูลนี้เพื่อเป็นเกียรติเช่นกัน

ส่วนท่านมารีนนั้นถึงจะพูดจาร้ายกาจไปอยู่บ้างแต่ฉันก็คิดว่าเธอนั้นเป็นคนดีพอสมควร เห็นแบบนี้ในช่วงที่ฉันเคยโดนแกล้งท่านก็ไม่ได้ร่วมวงพวกนั้น หากแต่มองข้ามไปเลยต่างหาก…แต่เธอเริ่มมาให้ความสนใจฉันหลังจากเรื่องคราวนั้นนั่นเอง น่าจะเป็นช่วงที่เริ่มสนิทกับพวกเจ้าชาย

 

“ตอนนี้คุณถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของสังคมขุนนางแล้วกรุณาทำตัวให้เหมาะสมด้วยค่ะ โดยเฉพาะชื่อที่เป็นสหายของท่านเจ้าชาย ในงานเลี้ยงแบบนี้คุณควรไปทักทายราชวงศ์ก่อนนะคะ”

 

“อะ นั่นสินะคะ ขอบคุณมากเลยค่ะ”

 

เธอไม่ตอบอะไรฉันกลับแล้วหันหลังเชิดหน้าใส่ฉันก่อนจะเดินไปทักทายขุนนางผู้ใหญ่คนอื่นต่อ นั่นทำให้ฉันยิ้มแบบเหนื่อยใจเล็กน้อย เธอเป็นคนดีก็จริงแต่ถึงกระนั้นก็ยึดมั่นในขนมธรรมเนียมอย่างเคร่งครัด แม้แต่เจ้าชายเธอก็ไม่เกรงกลัวที่จะกล่าวตักเตือนตรง ๆ

จนเห็นภาพที่เจ้าชายพยายามหนีให้พ้นจากสายตาเธอบ่อยพอสมควร…ถึงท้ายที่สุดเจ้าตัวก็จะโดนจับได้ก็เถอะ หลังจากได้คำแนะนำมาจากมารีนฉันก็ตรงไปหาพวกเจ้าชายที่คุยเล่นกับเพื่อนผู้ชายกันอยู่อย่างสนุกสนานแล้วส่งเสียงทักทายไป

และกลุ่มที่ฉันอยู่ในโรงเรียนก็มารวมตัวกันครบในงานเลี้ยงแห่งนี้ โดยมีมารีนคอยจับตามองเป็นพัก ๆ แบบนี้ก็ ค่อยสบายใจขึ้นหน่อยล่ะนะ

 

ฉันหลับตาลงหลังซึมซับบรรยากาศของเพื่อนในโรงเรียนที่ไม่ได้สัมผัสมานาน พลางนึกถึงใบหน้าของผู้ที่ได้พบเจอเมื่อตอนเป็นเด็กและไม่ได้เห็นมานาน แฟร์เองในอนาคตก็คงต้องเข้ามาอยู่ในบรรยากาศแบบนี้ล่ะมั้ง เพราะว่าถึงตอนนี้จะยังเป็นแค่หมู่บ้านของชนกลุ่มเล็ก

แต่ในอนาคตนั้น…จะต้องขยายใหญ่ขึ้นอีกแน่นอน

 

—————————– —————————

(มุมนักเขียน)

สวัสดีค่ะ~ รู้สึกเหมือนว่าไม่ได้เขียนตรงนี้มาสักพักเลย (ฮา) แต่เราจะเขียนตรงนี้เรื่องอะไรนะ…เอาเป็นว่าช่างมันแล้วกันค่ะ ฮ่า ฮ่า ฮ่า (ลืมจริงจัง แค่กๆ)

แต่ว่าด้วยเรื่องรูป ช่วงนี้อาจจะยังไม่มีรูปใหม่ ๆ มาสักพักนะคะ ทั้งทางนี้ที่โดนพิษเศรษฐกิจเล่นงาน ไหนจะนักวาดค่อนข้างมีธุระเลยค่อนข้างช้า (แต่ก็จะไม่เร่งค่ะ) รูปคงต้องรอสักพักยาว ๆ เลย เพราะงั้นเผื่อคิดถึงหน้าตาของเคียร่าวันนี้เราจะเอารูปของตอนโตมาแปะไว้ค่ะ แน่นอนว่ายังไม่เสร็จ UwU

เครดิตนักวาด Okumura

 

 

 

 

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด