ชีวิตใหม่ในดราโทก้า ดินแดนมังกร 75: ภาค 3 20 ในที่สุด!!

Now you are reading ชีวิตใหม่ในดราโทก้า ดินแดนมังกร Chapter 75: ภาค 3 20 ในที่สุด!! at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

แฟลชกลับมาแล้วหลังจากที่ฉันส่งจดหมายไปหาแฟร์ มาค่อนข้างช้าผิดปกติเลยนี่นามีอะไรรึเปล่านะ ฉันหยิบจดหมายออกมาอ่านพร้อมทั้งตั้งคำถามแบบนั้นในใจ

 

“เอ๊ะ มากขนาดนี้เลยเหรอ”

 

เมื่อฉันเปิดซองออกมาอ่านก็ต้องตกใจ ฉันขอข้อมูลเกี่ยวกับเดเวียเท่าที่เธอรู้เพื่อจะนำมาวิเคราะห์ แต่สิ่งที่ฉันได้มากลับเป็นเนื้อหาแบบละเอียดยิบเลย ว่าแล้วก็หาคำตอบทันที…

 

‘ถ้าเธอกับริเกลจะมาหาข้อมูลเองมันอันตราย ฉันให้ลูกน้องที่อยู่สาขาในเดเวียสืบมาให้แล้วล่ะ ก็ได้ตามนี้เลย’

 

“อ้า งี้นี่เอง…”

 

เหมือนว่าข้อมูลที่ฉันอยากรู้ส่วนใหญ่จะรวบรวมเอาไว้ให้หมดแล้ว เพราะแบบนั้นถึงได้ใช้เวลานานกว่าปกติถึงจะตอบกลับสินะ แล้วจากในจดหมายสิ่งที่ฉันสงสัยส่วนใหญ่ก็ได้รับคำตอบเรียบร้อย นั่นก็คืออย่างแรกเรื่องของอาวุธที่เรียกว่าปืน

มันส่งผลมาจากการที่เดเวียโดนฟัวกราเร่งให้คิดค้นอาวุธที่รุนแรงเมื่อหลายปีก่อน จึงได้ก่อตั้งทีมวิจัยที่มุ่งหน้าคิดค้นแต่เรื่องอาวุธจนทำให้เกิดแนวคิดเรื่องปืนเมื่อไม่นานมานี้ และตอนนี้ก็พัฒนาต่อจนสามารถผลิตให้ทหารส่วนหนึ่งได้ใช้

จะเรียกว่าโชคดีได้ไหมนะ ตอนนี้ที่พวกเรายังไม่เจอการตั้งแถวหน้ากระดานเพื่อโจมตีแบบทำลายล้างก็เป็นเพราะว่า มันยังผลิตไม่เสร็จนั่นเอง…แต่แค่นี้ก็เกินพอสำหรับการขยี้ประเทศที่ล้าหลังกว่าตัวเองแล้วล่ะนะ

ต่อไปก็เรื่องความสัมพันธ์ของฟัวกราและเดเวีย…สาเหตุที่คนบนโลกนี้มองว่าเดเวียแปลกประหลาดเป็นเพราะความกระหายที่มีต่อความรู้ และมันไม่ใช่แค่ว่าใส่ใจเป็นพิเศษหรืออะไรเรียบง่ายอย่างแค่ว่าชอบการค้นคว้าเฉย ๆ มันเข้าขั้นระดับคลั่งเลยล่ะ

เมื่อก่อนเดเวียที่เป็นแบบนั้น มักจะโดนเกียร์มัวซึ่งพยายามก่อสงครามเพื่อหาทรัพยากรเลี้ยงตัวเองตลอดโจมตีเข้า และเดเวียที่บ้างานวิจัยระดับคลั่งก็ไม่ได้โต้กลับ ไม่สิ พวกเขาไม่ได้สนใจเรื่องทหารจนน่ากลัวเลยล่ะ ในตอนนั้นเองที่ฟัวกราเข้าไปยื่นข้อเสนอ ว่าจะส่งกองทัพของตัวเองไปประจำการไว้เหมือนเป็นทหารของเดเวีย แล้วคอยทำการรบกับเกียร์มัวแลกกับการได้รับงานวิจัยใหม่ ๆ ของเดเวีย…

 

“เอาจริงดิ นี่มัน…”

 

โยนเนื้อให้เสือชัด ๆ เพราะแบบนี้สินะฟัวกราเลยกลายเป็นประเทศมหาอำนาจ แทนที่จะเป็นเดเวียที่มีความเก้าหน้า…ถ้าเอาเรื่องนี้ออกไป เดเวียก็คงเป็นใหญ่ในทวีปนี้จริง ๆ นั่นแหละ

แต่เดี๋ยวสิ ถ้าอย่างงั้น—

 

‘ปัก ปัก ปัก’

 

เสียงเคาะประตูสามครั้งที่ดังขึ้นทำให้ทั้งฉันและแฟลชสะดุ้งโหยง ก่อนที่จะส่งสัญญาณมือให้แฟลชไปมุดหลบในผ้าห่ม ส่วนฉันก็รีบเอาหนังสือมาทับจดหมายของแฟร์เอาไว้

 

“เคียร่า อยู่รึเปล่า”

 

“อ๊ะ อยู่ค่ะเข้ามาได้เลย”

 

เสียงที่ดังขึ้นมานั้นไม่ใช่ใครที่ไหน เจ้าชายนั่นเอง เมื่อฉันบอกว่าเข้ามาได้ประตูก็ถูกแง้มออกพร้อมทั้งร่างของชายหนุ่มที่เดินเข้ามา โอ้ สีหน้าดูดีขึ้นกว่าก่อนหน้านี้เยอะเลยแฮะ

 

“หายากนะที่มาหาแบบนี้ เรียกไปหาก็ได้นี่นา”

 

“ไม่ล่ะ ผมอยากคุยแบบเป็นกันเองมากกว่า”

 

ว่าแล้วเขาก็เดินเข้ามานั่งลงบนเตียงทั้งแบบนั้น ทำให้แฟลชที่อยู่ใต้ผ้าห่มตกใจและดิ้นขึ้นไปทางหัวเตียงทันที

 

“หือ? มีอะไรอยู่ในผ้าห่มน่ะ…”

 

“อ้า!! มะ- ไม่มีอะไรหรอก คิดไปเองแหละ”

 

และด้วยความลนลานเช่นกันฉันจึงรีบพูดออกไปแบบนั้น เพราะว่าเขาทำท่าจะยื่นมือไปดึงผ้าห่มขึ้น แต่เมื่อเจอคำพูดนั้นไปก็หยุดมือแล้วกลับมานั่งตามปกติ แม้ว่าบนใบหน้าจะยังเต็มไปด้วยความสงสัยอยู่ก็เถอะ

 

“แล้ว…มีธุระอะไรเหรอ”

 

“คือว่าที่จริงแล้ว…ผมได้อำนาจสั่งการสูงสุดจากท่านพ่อมา”

 

“เอ๊ะ อย่าบอกนะว่า…”

 

ฉันเว้นช่วงพร้อมทั้งใบหน้าที่ตกตะลึง ซึ่งเจ้าชายก็ทำเพียงยิ้มตอบกลับมาอย่างลำบากใจ แสดงว่าเป็นแบบที่ฉันคิดสินะ…หรือก็คือตอนนี้ถึงในนามของเขาจะเป็นเจ้าชาย แต่อำนาจภายในก็คือเป็นราชาองค์ใหม่เรียบร้อยแล้วนั่นเอง

 

“ยินดีด้วย…จะพูดแบบนี้ก็ไม่เต็มปากเท่าไหร่เลยนะ เกิดอะไรขึ้นเหรอ”

 

“เพราะผมคัดค้านการยอมแพ้สงครามน่ะ สุดท้ายเลยเผลอพูดออกไปว่าถ้าท่านพ่อไม่อยากต่อสู้ละก็…มอบประเทศให้ผมซะ ประมาณนั้นน่ะ”

 

โอ้…เป็นแบบนี้นี่เอง ถึงไม่รู้ว่าการที่เด็กอายุ 15 ต้องรีบรับบัลลังก์เป็นราชาจะเป็นเรื่องน่ายินดีจริงหรือเปล่า แต่การได้เห็นเขาตัดสินใจได้เด็ดขาดมากขึ้นก็ ฉันถอนหายใจออกมาเล็กน้อยพร้อมทั้งคลี่ยิ้มบางให้กับเขา

 

“ยินดีด้วยนะคะ”

 

น่ายินดีจริง ๆ ที่ก้าวข้ามตัวเองมาได้ นั่นคือความหมายของคำอวยพรของฉัน ซึ่งเขาก็คงรับรู้ได้ในทันทีจึงกล่าวขอบคุณออกมา

 

“ถ้างั้นมีเรื่องอยากสั่งเหรอ ถึงได้มาหาถึงที่นี่”

 

“ก็ไม่เชิงคำสั่งหรอก…แค่อยากคุยเรื่องโอเรลน่ะ”

 

“ตระกูลบอลก้าน่ะเหรอ?”

 

เมื่อทวนออกไปเช่นนั้นเขาก็พยักหน้ากลับมา ตระกูลบอลก้าที่โอเรลอยู่นั้นเคยเกริ่นเอาไว้ตั้งแต่ต้นแล้ว ว่าพวกตนก็ไม่พอใจราชวงศ์ของฟัวกราเลยอยากให้ความร่วมมือในการทำสงคราม ซึ่งในตอนแรกฉันปัดตกเพราะว่ากองทัพเราไม่พร้อมจะไปอยู่จุดเสี่ยงขนาดนั้น

แต่ตอนนี้สถานการณ์ก็เปลี่ยนไปแล้ว…

 

“ประเทศของเราไม่มีทางชนะฟัวกราหรอก…ถ้าเป็นการสู้แบบตัวต่อตัวน่ะนะ”

 

“ขอความช่วยเหลือจากประเทศอื่นเหรอ? ไม่ใช่เธอเคยบอกว่าเราจะไม่พึ่งพาประเทศอื่นรึไง”

 

“ฉันไม่ได้บอกให้พึ่งพาคนอื่นหรอก แต่เป็นร่วมมือกันต่างหาก”

 

“แบบนี้นี่เอง”

 

เจ้าชายพยักหน้าให้กับคำตอบของฉันพร้อมทั้งครุ่นคิด ใช่แล้ว ศัตรูของศัตรูก็คือเพื่อน ดังนั้นถ้ามีคนอย่างตลบหลังฟัวกราละก็ถือเป็นมิตรทั้งนั้นแหละ ต่อให้จะเป็นประเทศมหาอำนาจที่ใหญ่มาจากไหน ถ้าเจอหลายที่รุมเข้าละก็ไม่รอดหรอก

 

“นั่นสินะ พอเข้าใจแล้วล่ะ…เคียร่าคิดว่าเชื่อใจได้รึเปล่า?”

 

“บอลก้าสินะ…ถ้าตามตรง ฉันไม่เชื่อใจตระกูลบอลก้า เพราะถึงทางนั้นจะอยากรวมทัพกับเราก็เถอะ แต่…มันทำใจเชื่อลำบากน่ะ ยิ่งกับคนที่หักหลังมาอีกทอดหนึ่งด้วย”

 

ฉันพูดความเห็นของตัวเองออกไปอย่างเถรตรง ซึ่งเจ้าชายเองก็ดูจะเห็นด้วยกับข้อนี้ ก็นะ ถึงจะน่ายินดีที่มีคนอยากร่วมด้วยก็เถอะ แต่ว่ากรณีของบอลก้ามันต่างออกไป ถึงแม้ว่าฟัวกราอาจจะไม่เป็นที่ชื่นชอบนักก็เถอะ แต่ว่าพวกนี้ก็ทรยศราชาของตัวเองได้ลง ไม่มีอะไรรับประกันได้เลยว่าเชื่อใจได้

แต่ ฉันนึกหวนกลับไปเมื่อการรบครั้งก่อน นึกถึงความผิดพลาดของฉัน…ถ้าตอนนั้นฉันเชื่อใจเขาคนนั้น สถานการณ์อาจจะเปลี่ยนไป มันอาจจะไม่ลงเอยแบบนั้น ดังนั้นแล้ว…

 

“แต่ฉันเชื่อใจโอเรล”

 

นั่นคือสิ่งที่ฉันสามารถพูดออกมาได้เต็มปาก ในวันนั้นฉันคุยกับเขาแล้วไม่ว่ายังไงพวกเราก็เป็นเพื่อนกันเสมอ ดังนั้นฉันจึงอยากจะเชื่อใจในตัวโอเรล ที่ผ่านมาถึงแม้ว่าจะโดนสงสัยหรือว่าเขม่นใส่เขาก็ยังคงขันแข็งในการช่วยเหลือฟาเรเรีย แถมข้อมูลวงในของฟัวกราก็ยังได้มาจากเขาอีกด้วย

เจ้าชายเองก็เห็นด้วยกับเรื่องนี้ จึงเป็นอันตกลงว่าพวกเราจะตอบรับบอลก้า และส่งคนไปเจรจาพูดคุยตกลงกันซึ่ง ๆ หน้า แต่ถึงอย่างนั้นก็ทำแบบระมัดระวังว่าจะไปเพียงแค่หน่วยเล็ก ๆ เท่านั้น ซึ่งแน่นอนว่าคนที่นำกลุ่มในการเจรจาก็คือฉัน

 

“ถ้าเสนอชื่อเคียร่าล่ะก็ ทั้งท่านโกลและท่านพ่อต้องเห็นด้วยแน่ จากผลงานเจรจากับเมืองบาดาล”

 

“เข้าใจแล้ว ฉันก็จะทำให้ดีที่สุดเพื่อพวกเราเหมือนกัน…แต่ไหน ๆ ก็วางแผนแบบนั้นแล้ว”

 

ถ้าเราจะจะเดินทางเพื่อไปเจรจากับบอลก้าซึ่งอยู่ข้างนอกแล้วล่ะก็ หากไปได้สวยก็ลองสิ่งที่คิดได้ตอนอ่านจดหมายจากแฟร์ก็ไม่เสียหาย ดังนั้นฉันจึงยกแขนขึ้นให้ขนานกับพื้น แล้วพูดออกมาว่า ‘แฟลช’

 

“กิ้ว?”

 

เสียงร้องเล็กของแฟลชดังออกมาจากผ้าห่มอย่างแผ่วเบา ก่อนที่ไม่นานผ้าห่มจะขยุกขยิก จนทำให้เจ้าชายสะดุ้งโหยงและรีบลุกออกจากเตียง แล้วแฟลชก็โผล่หัวออกมาจากผ้าห่มพร้อมทั้งตั้งหงอนขึ้นอย่างสงสัย ก่อนจะหันไปมองทางเจ้าชายและตกใจจนหงอนตั้งฟูมากกว่าเดิม

 

“กับคนนี้ไม่เป็นไรหรอก มานี่สิ”

 

เมื่อเรียกแบบนั้นเขาก็สงบลงพร้อมทั้งหงอนที่ค่อย ๆ ลู่ลงและตั้งแบบปกติ แล้วบินมาเกาะตรงแขนของฉันที่ตั้งเอาไว้ ซึ่งภาพที่เกิดขึ้นทำให้ชายที่อยู่ในห้องได้แต่เบิกตากว้างอย่างตกตะลึง

 

“เรื่องนี้ฉันบอกแค่หัวหน้ากับนาย…เก็บเอาไว้เป็นความลับด้วยนะ”

 

——————————- —————————

ณ ห้องพัก มารีน เคลเวอร์ ภายในราชวังประเทศ ฟาเรเรีย

 

ดิฉันจ้องมองไข่ใบใหญ่สีเหลืองพาดดำซึ่งถูกทำความสะอาดอย่างประณีตเรียบร้อย และขณะนี้นั้นก็มีผ้าผืนหนึ่งห่อหุ้มเอาไว้อย่างหลวม ๆ ซึ่งเมื่อมองแล้วก็ได้แต่ทำหน้ากลุ้มจนเผลอนำพัดขึ้นมาปิดบังใบหน้า

 

“จะทำเช่นไรกับเธอดีนะคะ”

 

แต่ถึงจะถามไปก็มีแต่เพียงความว่างเปล่า ไข่ใบนี้เป็นของสำคัญสำหรับเจ้าชายแวร์มิล ถึงกระนั้นดิฉันก็ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับมังกรแม้แต่น้อย

 

“มารีน อยู่รึเปล่า”

 

“จะไปเดี๋ยวนี้แหละค่ะ”

 

เมื่อได้ยินเสียงผู้มาเยือนดิฉันก็ได้แต่เก็บความประหลาดใจเอาไว้ ก่อนจะตีหน้านิ่งและไปเปิดประตูต้อนรับแขกท่านนั้น ซึ่งก็คือเจ้าชายนั่นเอง

 

“ผมได้ยินว่าไข่มังกรวารีอยู่กับเธอ…จะทำอะไรเหรอ?”

 

คำถามนั้นทำให้ดิฉันเข้าใจได้อย่างถ่องแท้ ว่าไข่ใบนี้สำคัญกับเขาขนาดไหน เพราะเจ้าชายคนนั้นที่ปกติเป็นคนที่มักจะยิ้มแย้มตลอด กลับทำสีหน้าน่ากลัวออกมาให้เห็น คงกำลังเคลือบแคลงในตัวดิฉันกระมัง แต่แน่นอนว่าฉันไม่หวั่นกับท่าทีเช่นนั้นพร้อมทั้งกลับไปอย่างเรียบง่าย

 

“พอดีดิฉันเห็นทหารกำลังทำลับ ๆ ล่อ ๆ กับไข่ฟองนี้ จึงไปนำมาอยู่ในความดูแลค่ะ”

 

“…งั้นเหรอ ขอโทษนะที่ผมอารมณ์ร้อนไปหน่อย”

 

“ค่ะ การเป็นราชวงศ์ไม่ควรอ่อนไหวกับเรื่องเล็กน้อยนะคะ ยังโชคดีที่อีกฝ่ายเป็นดิฉันซึ่งรู้จักกับท่านดี จึงไม่มีปัญหา แต่โปรดระวังตัวให้มากกว่านี้ด้วยค่ะ”

 

“…เธอบอกผมแบบนี้เป็นร้อยรอบแล้วนะ” เขาขมวดคิ้วออกมาด้วยความไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด และดิฉันก็กางพัดออกและเชิดหน้าขึ้น

 

“จะให้บอกอีกเป็นพันรอบดิฉันก็พูดได้ค่ะ”

 

…พวกเราเงียบกันเช่นนั้นอยู่พักใหญ่โดยที่เจ้าชายยังคงยืนอยู่นอกห้อง และหลังผ่านไปครู่หนึ่งเจ้าชายก็ส่งเสียงหัวเราะในลำคอออกมาอย่างผ่อนคลาย

 

“เธอนี่ไม่เปลี่ยนไปเลย”

 

“ท่านก็เช่นกันนะคะ”

 

เสียงของดิฉันนั้นไม่ได้นุ่มนวลและผ่อนคลายดั่งเช่นเจ้าชาย ไม่แน่ว่าสายตาดิฉันเองก็น่าจะยังคงเต็มไปด้วยความเข้มงวดจนน่ากลัวเป็นแน่ แต่น้อยคนนักที่จะได้รู้…ว่าภายใต้พัดซึ่งปิดบังใบหน้าของดิฉันนั้น ยิ้มเล็กน้อยเมื่อพูดคุยเช่นนี้กับเจ้าชาย

แล้วเขาก็เดินเข้ามาในห้องตามคำชวน โดยที่เจ้าตัวนั้นบอกว่าจะอยู่ไม่นานไม่จำเป็นต้องชงชาให้ แม้จะรู้สึกเสียดายแต่หากเขาว่าตามนั้นดิฉันก็ปล่อยไป เจ้าชายแวร์มิลจ้องมองไข่มังกรวารีครู่หนึ่ง ก่อนจะลูบอย่างแผ่วเบาและอ่อนโยน พร้อมทั้งใบหน้าที่เจ็บปวด

นั่นทำให้ดิฉันรู้สึกเจ็บปวดเช่นกัน

 

“อีกเดี๋ยว ท่านต้องออกไปแนวหน้าอีกใช่ไหมคะ”

 

“ใช่…จะพาเด็กคนนี้ไปด้วยก็คงไม่ได้ แต่ก็…ไม่รู้จะทำยังไงดี”

 

“…ถ้างั้น ฝากให้ดิฉันดูแลก่อนก็ได้นะคะ”

 

ข้อเสนอนั้นทำให้องค์ชายประหลาดใจ ก่อนจะมองทางนี้ด้วยความสงสัยและเคลือบแคลง…

 

“เธอไม่จำเป็นต้องลำบากหรอก ผมจะหาคนมาดูแลเอง”

 

“ถ้างั้นมีใครที่ท่านเชื่อใจได้หรือคะ”

 

“…”

 

สิ่งที่ดิฉันเห็นนั้นเห็นได้ชัดว่าคงมีคนเล็งไข่มังกรเอาไว้อยู่ ยิ่งหากฝากเอาไว้กับคนที่ไม่อาจเชื่อใจได้นั้น เราไม่มีทางรู้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับไข่ใบนี้ และแม้เขาจะเป็นถึงเจ้าชายแต่คนที่จะเชื่อใจได้นั้นมีช่างน้อยนิด ดังนั้นดิฉันจึงเสนอตัว

 

“ทำไมถึงอยากช่วยล่ะ?”

 

“เพราะเป็นคู่หมั้นค่ะ”

 

ประโยคนั้นคงทำให้เขาตกใจมากที่สุดตั้งแต่เริ่มสนทนา หลักฐานก็คือตอนนี้เขาตัวแข็งทื่อไปเรียบร้อยแล้ว คงยังไม่ได้ยินเรื่องนี้จริง ๆ สินะ

 

“องค์ราชากังวลเกี่ยวกับทายาท จึงหมั้นหมายท่านกับดิฉันเอาไว้สืบเชื้อสายราชวงศ์ค่ะ และหากเรื่องสงบเมื่อไหร่ก็จะแต่งงานกันทันที” ดิฉันขยายความเพิ่มราวกับเป็นเรื่องปกติ ทำให้เจ้าชายกลับมารู้สึกตัวอีกหน

 

“ทำอะไรตายใจชอบอีกแล้ว…ผมจะไปคุยกับท่านพ่ออีกรอบ”

 

เขาพูดออกมาเช่นนั้นด้วยใบหน้าที่หงุดหงิด พร้อมทั้งสงบถึงราชาซึ่งเป็นผู้มีอำนาจสูงสุด ก่อนจะหันหลังออกจากห้องไป ดิฉันรู้ดี จากการที่อยู่กับเจ้าชายแวร์มิลตั้งแต่ครั้นเยาว์วัย ว่าเขานั้นไม่ชอบขนบธรรมเนียมและแนวคิดเก่า ๆ เช่นนี้มากที่สุด ทำให้ตัวเขานั้นแปลกแยกกับชนชั้นขุนนาง

และเพราะแบบนั้น ฉันจึงหยุดเขาเอาไว้โดยใช้เสียงเรียก

 

“เดี๋ยวก่อนค่ะ”

 

“…ผมจะให้ท่านพ่อยกเลิกการหมั้นของพวกเรา”

 

“แต่ถึงถอนหมั้นกับดิฉันไป ความกังวลของราชาก็ไม่มีทางหาย ท่านก็แค่จะถูกจับคู่กับคนอื่นนะคะ”

 

“แบบนั้นมัน…”

 

แต่ว่า ต่อให้เจ้าชายจะไม่ชอบเรื่องพวกนั้นมากขนาดไหน ในตอนนี้พวกเราก็ไม่อาจขัดขืนมันได้…ดังนั้น ดิฉันจึงตั้งใจยึดมั่นและรักษามันมาโดยตลอด เพื่อการนี้

 

“ถ้าเป็นเช่นนั้นจะยกเลิกได้ยากกว่าเดิม โปรดรอให้สถานการณ์ดีขึ้นกว่านี้ หรือท่านเจอคนที่อยากแต่งงานด้วย…ค่อยยกเลิกการหมั้นกับดิฉันก็ไม่สายค่ะ”

 

“แบบนี้เธอพอใจเหรอ?” เจ้าชายแวร์มิลเปิดตากว้างพร้อมทั้งถามอีกครั้ง ซึ่งแน่นอนว่าคำตอบของดิฉันนั้นก็คือ…

 

“ค่ะ”

 

แม้ว่าหากเป็นแบบนั้น สถานะทางสังคมของดิฉันอาจจะดำมืดไปตลอดกาลเพราะธรรมเนียมก็ตาม แต่ว่า…หากทำให้องค์ชายแวร์มิลมีความสุขล่ะก็ ดิฉันก็พึงพอใจเสมอค่ะ

 

————————— —————————-

ณ ปราสาทประเทศ เซทเฟร่า

 

‘ตึง! โครม!’

 

“อา!!! ในที่สุด!!!!”

 

ฉันตะโกนออกมาดังสนั่นพร้อมทั้งลุกพรวดจนเก้าอี้ล้มระเนระนาด แถมยังทุบโต๊ะเสียงดังอีกต่างหาก โดยที่ก็ยังคงตะโกนร้อง ‘อู้ว!’ ‘โอ้ว!’ ออกมาไม่หยุดอีกต่างหาก

 

‘ตึง ตึง ตึง ปัง!!’

 

“เสียงอะไร! เกิดอะไรขึ้นแฟร์!!”

 

คนแรกที่วิ่งเข้ามาในห้องหลังจากที่ฉันทำตัวแบบนั้นก็คือโบล ในมือเขานั้นถืออาวุธไว้เตรียมต่อสู้อย่างร้อนรน ใบหน้าดูแตกตื่นจนน่าตลก จนทำให้พวกเราทั้งคู่จ้องตากัน…โดยที่ใบหน้าฉันเต็มไปด้วยรอยยิ้ม

 

“โบล! ในที่สุดก็ถึงเวลานี้แล้ว!!”

 

“ห๋า?”

 

อะไรกัน ทั้งที่นี่เป็นข่าวดีที่สุดในรอบหลายปีเลยนะเว้ย! ทำไมถึงทำหน้างงแบบนั้นกันนะ แต่เรื่องนั้นมันไม่สำคัญหรอก ฉันที่ดีใจจนเนื้อเต้นนั้นยิ้มกว้างและชี้นิ้วสั่งเขาอย่างรื่นเริง มีความสุขจังโว้ย!!

 

“ไปเตรียมกำลังรบไว้ซะ ฟาเรเรียส่งจดหมายนัดเจรจามาแล้วฉันจะไปด้วยตัวเอง…จะได้เจอเคียร่าแล้วไงล่ะ!!”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด