ชีวิตใหม่ในดราโทก้า ดินแดนมังกร 80: ภาค 3 25 เสียงที่ไม่คุ้นเคยแต่น่าคิดถึง

Now you are reading ชีวิตใหม่ในดราโทก้า ดินแดนมังกร Chapter 80: ภาค 3 25 เสียงที่ไม่คุ้นเคยแต่น่าคิดถึง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

*หมายเหตุ*

เนื่องด้วยความเมาและเอ๋อของเรา ทำให้ตอนที่แล้วเขียนชื่อของมังกรพิภพผิด ดังนั้นหลังจากตอนนี้เป็นต้นไปจะขอเปลี่ยนชื่อจาก “แมเมิน” กลายเป็น “แมมม่อน” ต้องขออภัยในความผิดพลาดด้วยค่ะ ;-;

 

*คำเตือน*

เนื้อหาภายในตอนนี้มีการใช้ความรุนแรง ความล่อแหลม และการลวนลาม หากใครมีความอ่อนไหวในเนื้อหาดังกล่าว โปรดหลีดเลี่ยงเนื้อหาภายในตอนด้วยค่ะ และโปรดใช้วิจารณญานในการอ่าน

 

—————————————— ——————————————–

 

‘ตุบ ตุบ ตุบ’

 

เสียงฝีเท้าที่ราบเรียบ 2 คู่ดังเข้ามาในหูของฉัน รู้สึกได้ว่ามีคนกำลังเดินตรงมายังห้องที่ฉันอยู่ แต่ถึงจะได้ยินและรับรู้ทุกอย่าง ฉันก็เลือกที่จะนอนหลับตานิ่งไม่ไหวติงแม้แต่น้อย

 

“นี่ครับ หลังจากที่พามาขังไว้มันก็นิ่งไปเลย…ราชาให้จับเป็นมัน แต่แบบนี้…”

 

“มังกรพิภพมันไม่ตายง่าย ๆ หรอก”

 

เมื่อได้ยินเสียงนั้นฉันก็กระตุกหูของตนเองเล็กน้อยแล้วดมกลิ่นรอบตัวฟุดฟิด อ้า…นี่แหละที่ฉันรออยู่

 

‘ตึง—’

 

“กรรร!!!!!”

 

‘กึก ๆ ๆ”

 

เมื่อเสียงของฝีเท้านั่นเข้ามาใกล้เพียงครั้งเดียว ฉันก็ลืมตาโพล่งออกมาและพยายามอ้าปากพุ่งไปงับร่างนั่น แต่แน่นอนว่าเพราะโดนล็อกปากเอาไว้ จึงทำได้เพียงแยกเขี้ยว แถมร่างกายก็ยังถูกโซ่จำนวนมากพันตัวเอาไว้ จึงขยับได้มากสุดคือปลายจมูกชนกับร่างที่เดินเข้ามา

ไอ้เวรโอเรลนั่นเอง

 

“เหวอ!!”

 

“เห็นไหม มันไม่เป็นไรหรอก”

 

คนที่เดินตามหลังเขามานั้นตกใจจนล้มลงไปกับพื้นอย่างหวาดกลัว ต่างกับโอเรลที่ยังยืนนิ่งอย่างไม่หวาดหวั่น ทั้งยังจ้องเขม็งมาที่ดวงตาของฉัน และฉันเองก็มองด้วยสายตาข่มขู่เช่นเดิมเหมือนกับทุกครั้ง

แต่ครั้งนี้เขาไม่หวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย ทั้งยังพ่นลมออกจากจมูกอย่างไม่สบอารมณ์

 

“หึ สัตว์เลี้ยงมันก็เหมือนกับเจ้านายล่ะนะ”

 

‘ฮึ่มมมม’

 

ฉันสูดลมเข้าเต็มปอดเข้าทางจมูก ก่อนจะพ่นลมออกมาอย่างแรงจนมนุษย์อย่างเขาแทบจะปลิว หึ ฉันเองก็พ่นลมออกจากจมูกอย่างไม่พอใจเช่นเดียวกับเขา

 

“…ถ้าไม่มีแกสักตัว เคียร่าก็คงสนใจฉันมากกว่านี้”

 

แหวะ นั่นสมองเรอะที่ใช้คิดอะ บ้าปะไอ้ขี้มโนเอ้ย นี่มันขี้แพ้ชวนตีชัด ๆ ฉันที่ได้ยินแบบนั้นก็พยายามส่งเสียงที่เหมือนจะขย่อนอ้วกออกมา หรือก็คือเป็นการเยาะเย้ยเขาอยู่อย่างโจ่งแจ้งนั่นเอง

นั่นทำให้ไอ้หนุ่มนี่ไม่พอใจอย่างแรงจนเตะมาที่ปากของฉัน อ้าว ๆ

 

“กรร!”

 

ทันทีที่เขาเตะเข้ามา ฉันก็อ้าปากเล็กน้อยและกัดลงอย่างรวดเร็ว แต่เพราะโซ่ที่ล็อกจำนวนมากทำให้ความเร็วตกไปพอควร ไอ้โอเรลมันเลยเอาเท้าออกทัน

ชิ ถ้าเร็วกว่านี้เท้ามันคงด้วนไปแล้วแท้ ๆ นี่ล่ะนะ อย่าเอาเท้าแหย่มังกร

 

“แล้วก็ถ้าไม่ติดว่าแกเป็นมังกรพิภพ…ฉันก็คงได้ฆ่าแกแบบสาแก่ใจไปแล้ว”

 

ว่าจบ เขาก็หยิบบางอย่างที่คล้ายกับเข็มขัดขนาดใหญ่ออกมา โดยที่ตรงหัวนั้นเป็นตราสัญลักษณ์ของประเทศฟัวกราปรากฏอยู่ พร้อมทั้งเดินเข้ามาใกล้ฉันมากขึ้น…มันน่ากัดชะมัดเลย!!

 

‘กึง ๆ ๆ’

 

ทุกครั้งที่เขาเข้ามาใกล้มากขึ้นฉันก็จะยิ่งดิ้นและพยายามกัดให้ได้ แต่แน่นอนว่ามันไม่ได้ผลแม้แต่น้อย ไอ้โอเรลที่ก้าวเท้ามาตรงด้านข้างก็เริ่มเขาเข็มขัดนั้นล้อมปากของฉันทบหนึ่ง และให้ตราประเทศอยู่ตรงปลายจมูกพอดี

และในทันทีที่มันล็อกโดยสมบูรณ์ ฉันก็…

 

‘อ๊ากกก!!!’

 

ฉันร้องคำรามออกมาด้วยความรู้สึกทรมานพร้อมทั้งพยายามสะบัดหน้าออก อะไร?! นี่มันอะไรอ่า?!!! มันรู้สึกหยึ๋ยๆ เหมือนมีอะไรโดนดูดออกไปจากร่างกาย คล้ายกับเวลาเราโดนเจาะเลือดในโรงบาลแต่นี่มันแย่กว่ามาก เพราะมันดูดไม่หยุดเลย!!

ความรู้สึกแปลกประหลาดนั่นทำให้ฉันพยายามดิ้นมากกว่าเดิมด้วยความตกใจ แต่ว่าโซ่ทั้งหมดที่ล็อกตัวฉันไว้ก็ยังคงรัดแน่นเช่นเดิม ไอ้ที่โอเรลมันเอามาคล้องก็ยังดูดออกไปไม่หยุด ซึ่งพอเริ่มตั้งสติฉันก็รู้ได้แล้วว่ามันดูดอะไรไป

มันกำลังดูดพลังเวทในตัวฉันไปนั่นเอง…

 

“ถึงจะไม่รู้ว่า มังกรพิภพตัวที่ 8 อย่างแกมีพลังอะไรซ่อนอยู่ แต่ราชาก็สั่งให้กักเก็บพลังของแกเอาไว้ให้มากที่สุด…อย่างแกเนี่ยนะเทพ ไม่อยากจะเชื่อจริง ๆ ว่ะ”

 

พูดเหมือนคนเขาอยากเป็นมากมั้ง เอาตามตรงเทพห่าเหวอะไรไม่เห็นจะรู้เรื่องเลย อย่าว่าแต่พวกแกไม่รู้ว่าฉันมีพลังอะไรบ้างก็เถอะ ฉันเองก็ยังไม่รู้เลยเฟ้ย

อา!!!

 

“ฮ่า ๆ เห็นแกทรมานแบบนี้มันก็ดีไปอีกแบบดีวุ้ย”

 

‘ไอ้โรคจิตเอ้ย คอยก่อนเถอะถ้าหลุดไปได้ฉันจะขยี้แกไม่ให้เหลือซากเลย อา!!!’

 

ฉันส่งเสียงขู่ออกไปจากลำคอ ก่อนที่จะคำรามออกมาเพราะความทรมานอีกครั้งเมื่อโดนดูดพลังเวทไป ถึงร่างกายจะไม่ได้เป็นไรมากก็เถอะ แต่ทุกครั้งที่เสียพลังเวทไปทีละเยอะขนาดนี้ ก็ทำให้รู้สึกเหนื่อยขึ้นมา

โอเรลจากไปโดยที่ทิ้งเข็มขัดที่ดูดพลังเวทเอาไว้แบบนั้น และเพราะโดนดึงพลังไปเป็นพัก ๆ แบบนี้ถึงได้รู้สึกเหนื่อยมาก อยากจะหลับพักผ่อนแต่ความรู้สึกนี้ก็แย่เกินกว่าจะข่มตาหลับ

ได้แต่หวังว่าถ้าเหนื่อยมากจริง ๆ ฉันจะหลับได้เอง…

 

————————— ———————–

 

สรุปตอนนั้นหลังจากบอกว่าจะไม่มีทางให้อภัย โอเรลก็ทำท่ากลัวจนหนีไปเลยในทันที ดูท่าจิตใจในตอนนี้ของเขาไม่คงที่มากเท่าไหร่นัก ฉันจึงใช้เวลาเหล่านี้ทบทวนความรู้ของตัวเอง มาประกอบเข้ากับข้อมูลที่ได้จากโอเรล…

มังกรพิภพแห่งความโลภ แมมม่อน…ฉันพอจำได้อยู่ราง ๆ จากความรู้ในโลกก่อน หนึ่งในปีศาจแห่งบาปทั้ง 7 ประการ ปีศาจที่คอยล่อลวงให้มนุษย์ตกอยู่ในวังวนแห่งความโลภ อยากได้ทุกสิ่งทุกอย่างมาเป็นของตัวเองอย่างไม่มีที่สิ้นสุด…ซึ่งตรงกับสิ่งที่โอเรลโดนเข้าไปในตอนนี้เลย

ข้อสรุปนี้ทำให้ฉันตัวสั่นสะท้านขึ้นมา โลกใบนี้นับถือของแบบนี้เป็นเทพงั้นเหรอ? ไม่สิ คนทั่วไปคงเข้าไม่ถึงข้อมูลตรงนี้ด้วยซ้ำว่ามังกรพิภพเป็นเช่นไร จะมีก็แต่เฟรริเคียอย่างริเกลที่มีตำนานบันทึกเอาไว้ชัดเจน เพราะในอดีตในยามที่เกิดความกลหนขึ้นเขาก็จะปรากฏตัวออกมา ทำให้คนเชื่อและศรัทธาในตัวมังกรพิภพจริง ๆ

แต่ถ้ามังกรพิภพมีพลังแบบแมมม่อนจริง ๆ แล้วของเฟรริเคียคืออะไรล่ะ? แล้วถ้ามังกรพิภพคือปีศาจของ 7 บาป…ทำถึงมีอยู่ 8 ตัว เรื่องราวเหมือนจะปะติดปะต่อกัน แต่ก็ยังมีช่องโหว่อีกเยอะเลย อา ปวดหัว…

 

‘เคร้ง’

 

ร่างกายของฉันกระตุกเล็กน้อยพร้อมทั้งแรงที่อ่อนลงจึงจะล้มลงกับพื้น แต่โซ่ที่ตรึงแขนอยู่ก็ฉุดเอาไว้ทำให้เกิดเสียง และฉันก็สะดุ้งขึ้นมา

ถึงแผลที่เหลืออยู่ตอนนี้คงไม่ทำให้ตายได้ก็เถอะ แต่ถึงอย่างนั้นร่างกายก็ยังรู้สึกอ่อนเพลียอยู่ดี จะว่าไป…ฉันโดนจับมากี่วันแล้วนะ หวังว่าพวกเจ้าชายจะหนีไปได้อย่างปลอดภัย ฉันเองก็ถ้ามีโอกาสได้เจอริเกลก็อาจจะหาทางหนีได้อยู่

อย่างน้อยก็ต้องทนเอาไว้…

 

‘แกร๊ก ๆ’

 

ในขณะที่สติของฉันเริ่มเลื่อนลอย ก็ได้ยินเสียงของกุญแจที่เปิดออก เมื่อเงยหน้าขึ้นไปดูก็เจอเข้ากับโอเรลนั่นเอง ทำให้ฉันชักสีหน้าไม่พอใจใส่ในทันที

 

“นายยังไม่ได้ตอบฉันเลยนะ ริเกลอยู่ที่ไหน เธอเป็นยังไงบ้าง”

 

“…เธอก็น่าจะรู้ มังกรนั่นไม่มีทางตายง่าย ๆ หรอก”

 

แสดงว่าเธอยังปลอดภัยดี แต่ก็คงโดนขังอยู่ที่ไหนสักแห่ง…น่าจะโดนจับตัวไว้แน่นหนามากพอควรเลย เพราะขนาดนี้ก็ยังไม่ได้ยินเสียงของริเกลเล็ดลอดออกมาสักนิด ถ้าหากขังอยู่ใกล้กันก็ควรจะได้ยินเสียงบ้าง แต่นี่มันเงียบมาก…

 

“พวกเจ้าชายหนีไปไหน”

 

“…นี่นายคิดว่าคนอยู่ในคุกแบบนี้จะไปรู้งั้นเรอะ”

 

“แต่เธอก็น่าจะรู้อะไรบ้าง…เห็นว่าพวกนั้นอยู่กับมังกรตัวเล็กแปลกตา เธอน่าจะรู้อะไรอยู่บ้างไม่ใช่รึไง”

 

“นั่นสิ ยังไงกันนะ”

 

มังกรที่ว่านั่นคงหมายถึงแฟลชแน่ ฉันไม่รู้ว่าหลังจากนั้นพวกเขาหนีไปไหนก็จริง แต่ตราบใดที่แฟลชอยู่ด้วยก็ยังมีโอกาสได้ติดต่อกับแฟร์ต่อ แล้วถ้าเป็นแบบนั้นแผนทั้งหมดที่วางไว้ก็ยังดำเนินต่อได้ แม้ว่าบอลก้าจะไม่อยู่ฝั่งเรา หรือฉันจะไม่อยู่ก็ตาม

 

“…แสดงว่าเธอมีเรื่องที่ยังไม่บอกฉันอยู่อีกสินะ ทั้งที่พูดว่าเชื่อใจกันแท้ ๆ”

 

“กล้าดีนะ ทั้งที่ตัวเองทำแบบนี้แท้ ๆ แต่ดันยังหวังให้คนอื่นเชื่อใจตัวเอง…”

 

“…”

 

ใบหน้าของโอเรลนั้นเต็มไปด้วยความสับสนทั้งอารมณ์โกรธและเศร้า แต่ถึงจะเห็นใจเขาที่สติแตกแบบนี้ไปแล้วมากแค่ไหน ก็ห้ามใจอ่อนเด็ดขาด…

จากนั้นเขาก็ใช้กำปั้นทุบหัวตัวเองเล็กน้อย ดูเหมือนว่าจะต้องดึงสติตัวเองกลับมาเป็นพัก ๆ สินะ

 

“อา…ไม่ได้สิ ฉันต้องทำตามที่ราชาสั่ง อีกแค่นิดเดียว…เธอติดต่อกับใครอีกบ้าง?”

 

“ฉันดูเหมือนคนที่จะติดต่อคนอื่นได้เหรอ? นายก็รู้ฉันเป็นยังไง”

 

สิ่งที่โอเรลรู้ก็คือฉันเป็นแค่สามัญชนที่ได้เส้นสายนิดหน่อย แล้วได้เข้าเรียนกับขุนนาง แถมยังมีริเกลด้วยการออกไปนอกประเทศจึงแทบจะเป็นไปไม่ได้

และนั่นก็ทำให้เจ้าตัวคิดหนักแต่ก็ยังถามต่อ

 

“ต้องมีบ้างแหละ อย่าง…เซทเฟร่า”

 

“เซทเฟร่า? มันเป็นประเทศยังไงฉันก็ยังไม่รู้เลย”

 

“พูดออกมาสักทีเถอะน่า!!”

 

“อุก!”

 

เป็นอีกครั้งที่เขาเตะเข้าใส่ฉันที่ไม่ยอมพูดอะไรเลย คราวนี้เขาเตะเข้าที่ไหล่ ทำให้ความเจ็บปวดนั้นสะท้านเข้าไปถึงกระดูก ก่อนจะใช้มือกำที่ผมของฉันและดึงขึ้นมา

 

“หึ…อยากให้ฟาเรเรียแพ้มากขนาดนั้นเลยรึไง”

 

“ฉันไม่สนหรอก ว่าสงครามนี้จะจบยังไงใครจะชนะ…ดังนั้นรีบทำตามที่ราชาต้องการให้หมด แล้วผมก็จะได้รางวัลซะที”

 

“รางวัล?”

 

เมื่อฉันถามออกไปแบบนั้นก็ต้องทำหน้าไม่เข้าใจ หมายความว่ายังไง ถ้าไม่ได้สนใจเรื่องสงครามขนาดนั้น ทำไมถึงได้เป็นสายลับ…แล้วฉันก็ต้องหวนนึกย้อนกลับไปอีกครั้ง ถึงเหตุผลที่โอเรลทำสิ่งนี้ สิ่งที่เขาต้องการ…

นั่นทำให้ฉันขนลุกซู่และคลื่นไส้ขึ้นมา

 

“เธอไง…ข้อตกลงของราชาคือให้ผมสืบข้อมูลที่เขาต้องการ แลกกับถ้าหมดธุระกับเธอแล้ว ผมก็จะได้สิ่งที่ต้องการเหมือนกัน นั่นก็คือ…เธอไง”

 

ว่าแล้วเขาก็มองฉันด้วยสายตาลุ่มหลงอีกครั้ง ก่อนจะมองโลมเลียไปทั่วทั้งร่างจนฉันกัดฟันกรอดอย่างไม่พอใจ อย่างนี้นี่เอง…มันต้องการอะไรแบบนั้นสินะ

 

“เพราะงั้นรีบตอบคำถามมาได้แล้ว…เธอจะได้กลายเป็นของผม”

 

“อ้อ เหรอ งั้นก็ฝันไปเถอะ ไปตายซะ!”

 

พูดจบ ฉันก็ถุยน้ำลายไปที่บนใบหน้าของเขา ทำให้เขาชักสีหน้าออกมาด้วยความไม่พอใจ แล้วเหวี่ยงผมฉันจนหัวไปกระแทกเข้ากับกำแพงด้านหลัง พร้อมทั้งเช็ดน้ำลายออกจากหน้าด้วยนิ้วโป้ง

 

“หึ…ความอดทนของราชามีไม่เยอะหรอก และถ้าถึงตอนที่เขารอไม่ไหวเมื่อไหร่…ฉันก็มีวิธีทำให้เธอเป็นของฉันเหมือนกัน”

 

ว่าแล้วเจ้าตัวก็เดินออกจากห้องขังไปทั้งอย่างนั้น โดยที่ก่อนที่เขาจะออกไปจากสายตาฉันนั้น ก็ได้เห็น…ว่าหลังจากนั้นโอเรลก็ใช้นิ้วโป้งที่เช็ดน้ำลายฉันออก ขึ้นมาเลียอย่างพึงพอใจ

 

“ไอ้โรคจิต…”

 

ฉันพึมพำออกมาเช่นนั้นอย่างแผ่วเบา แน่นอนว่ามันไม่มีทางส่งไปถึงเขาแน่…

 

—————————— ——————————

 

หลังจากตอนนั้น โอเรลก็มาหาฉันอีกเรื่อย ๆ พร้อมทั้งถามถึงข้อมูลที่ฉันรู้ รวมไปถึงถามแนวคิดต่าง ๆ ที่ฉันมี ดูท่าราชาคงคาดหวังฉันหลังจากได้ยินหลายเรื่องสินะ แต่ก็ไม่มีทางที่ฉันจะพูดอะไรทั้งนั้น…

ซึ่งทุกครั้งที่ฉันไม่ตอบโอเรลก็จะทำร้ายหรือทรมานร่างกายของฉัน ด้วยสารพัดวิธีการจนไม่อยากจะจำด้วยซ้ำ แต่ไม่ว่าจะกี่ครั้งฉันก็ยังยืนหยัดที่จะไม่ปริปากเหมือนเดิม…ไม่ว่าจะอีกกี่ครั้งก็ตาม

นี่คือการเตรียมใจของฉันที่ทำงานอยู่ในหน่วยข่าวกรอง ซึ่งเก็บข้อมูลความลับต่าง ๆ เอาไว้หลายอย่าง และการเตรียมใจ…ที่จะพาฟาเรเรียไปสู่ชัยชนะ ดังนั้นจะไม่พูดอะไรทั้งนั้น ไม่ว่าจะข้อมูลของฟาเรเรียหรือความรู้ที่ฉันมี…ไม่มีทางที่จะผลักฟาเรเรียไปอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายกว่านี้ได้

 

“เธอนี่มัน…ดื้อชะมัดยาก”

 

“ฮะ ๆ …ฉันก็เป็นแบบนี้มาตลอดนั่นแหละ…และก็ตลอดไปด้วย”

 

ฉันหัวเราะออกมาด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาและไร้เรี่ยวแรง แม้จะพูดคำที่มีความหมายว่าไม่ว่ายังไงก็จะไม่พูดอะไรทั้งนั้นออกไป แต่ว่าร่างกายที่อ่อนล้าลงเรื่อย ๆ เพราะอาการบาดเจ็บนั้น…ใกล้จะถึงขีดจำกัดเต็มทนแล้ว นี่มันผ่านมากี่วันแล้วนะ…

 

“ช่วยไม่ได้…คงต้องใช้วิธีนี้สินะ”

 

พูดจบโอเรลก็ทำสิ่งที่ฉันเห็นแล้วต้องสะดุ้งโหยง จนดึงแรงที่เหลือเพียงน้อยนิดมาขัดขืนในทันที เพราะว่าเขายื่นแขนมาพยายามคว้าเสื้อของฉัน…

และถกมันออก

 

“อยู่นิ่ง ๆ สิวะ!!”

 

“ฝันไปเถอะไอ้เวร!!”

 

ใครมันจะบ้าอยู่นิ่งให้กันเล่า พวกเราสู้แรงกันอยู่พักใหญ่จนเสียงของโซ่ดังก้องไปทั่ว แล้วสุดท้าย ฉันก็หามุมก้มหัวได้ และกัดเข้าที่ฝ่ามือของเขาอย่างแรง

 

“อ๊ากกก!!”

 

ทันทีที่ฉันกัดเข้าไปสุดแรงก็รับรสเหล็กเข้ามาเต็มปาก โอเรลก็ร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดทั้งพยายามดึงมือออก แต่ฉันก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะปล่อยเลยแม้แต่น้อย จนกระทั่งเขาเตะเข้ามาที่ท้องอีกครั้ง

 

“อั่ก!!”

 

นั่นทำให้ฉันเองก็อ้าปากกระอักเลือดออกมาโดยอัตโนมัติเช่นกัน เข้าที่ดึงมือไปลูกคลำด้วยความตื่นตกใจนั้น กัดฟันแน่นแปรเปลี่ยนเป็นใบหน้าแห่งความโกรธ และเดินหนีออกไป

คงกลับไปฟ้องราชาล่ะสิท่า ไอ้ขี้ขลาด…

 

จากนั้นเวลาผ่านไปอีกพักใหญ่ เขาก็เดินกลับมาอีกครั้งพร้อมกับมือที่ทำแผลมาเรียบร้อย ฉันจึงยิ้มมุมปากออกมาเล็กน้อยและมองไปทางเขา

 

“นึกว่าจะกลัวจนไม่โผล่มาแล้วซะอีก…แต่แบบนั้นก็ดีนะ”

 

“ขยันใช้คำจิกกัดแบบอ้อมค้อมจริง…แต่ว่าวันนี้มันจบแล้วล่ะ”

 

โอเรลเว้นช่วงเล็กน้อยก่อนจะล้วงมือหยิบบางอย่างออกมา…มันเป็นขวดยาที่มีของเหลวสีม่วงใส่อยู่ด้านใน เห็นได้ชัดเจนเลยว่าต้องไม่ใช่อะไรที่ดีแน่

แถมหมอนั่นยังยิ้มขึ้นมาพร้อมทั้งย่อเข่าลงตรงหน้าฉันอีกครั้ง และยื่นเข้ามาให้ดื่ม…แน่นอนว่าฉันสะบัดหน้าหนีในทันที เขาจึงใช้มืออีกข้างบีบแก้มของฉันแน่น

อุก ไม่ว่าจะพยายามดิ้นมาแค่ไหน แรงของฉันในตอนนี้ก็ไม่อาจขัดขืนได้ จึงโดนบังคับให้อ้าปากและดื่มยาปริศนาเข้าไป หลังจากโดนบังคับให้กลืนอยู่นาน สุดท้ายและฉันก็กลืนมันลงไปอึกใหญ่ พร้อมทั้งโอเรลที่ดึงมันออก และโยนขวดเปล่าไปด้านข้าง

 

“แค่ก ๆ เอาอะไรให้ฉัน— อึก…”

 

ยังไม่ทันที่จะถามจบ ร่างกายของฉันก็เกิดความผิดปกติขึ้นในทันที รู้สึกว่าเลือดในร่างกายมันร้อนรุ่มขึ้นมา รวมไปถึงหัวใจที่บีบแน่นจนหายใจแทบไม่ออกจนต้องอ้าปากช่วยหายใจ และเหนือสิ่งอื่นใด…ร่างกายช่วงล่างมันรู้สึกร้อนมาก

 

“ฉันบอกแล้วไง…ความอดทนของราชามีไม่มากหรอก”

 

ว่าแล้วเขาก็ค่อย ๆ ยื่นมือมาลูบที่ใบหน้าของฉันอย่างแผ่วเบา ก่อนจะเริ่มไล่ลงมาจนถึงต้นคอ แต่ถึงกระนั้นฉันก็ได้แค่หอบหายใจแรงและบิดขาไปมา ร่างกายมัน…ไม่ยอมฟังคำสั่งเลย

ฉันที่พยายามขัดขืนทั้งความรู้สึกของตัวเองหลังจากดื่มยานั่นเข้าไป พร้อมทั้งกัดฟันอย่างเจ็บใจที่ไม่อาจทำอะไรได้เลย แล้วหัวก็เริ่มเบลอ…

 

“ฉันจะทำให้เธอเป็นของฉันเอง…”

 

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะผลของยาผสมเข้ากับอาการของหลายวันที่ผ่านมารึเปล่า นอกจากจะควบคุมร่างกายของตัวเองไม่ได้แล้ว สติเองก็ค่อย ๆ เลื่อนลอยออกไป จนในตอนนี้ภาพทุกอย่างมันสั่นมัวไปหมด…

และในขณะที่ฉันกำลังจะหมดสติพร้อมทั้งเห็นร่างของโอเรลที่เข้ามาใกล้ขึ้นนั้น ก็ได้ยินเสียงอึกทึกดังมาจากด้านนอกของกรง เสียงของคนร้องด้วยความเจ็บปวด เสียงของฝีเท้าหนัก ๆ ที่ใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ เสียงของมังกรคำราม และ…เสียงคนตะโกนดังกึ่งก้องไปทั่ว ที่ไม่คุ้นเคยแต่น่าคิดถึงอย่างประหลาด…

ในดวงตาที่มองภาพตรงหน้าไม่ชัดนั้นฉันได้เห็น…ร่างของมังกรตัวสีแดงที่มีคนขี่อยู่ด้านบน และเธอคนนั้นก็ตะโกนออกมา

 

“เคียร่า!!”

 

“กรร!!”

 

แล้วฉัน ก็หมดสติไป

 

—————————————– ————————————

(มุมคนเขียน)

 

เจอกันแล้ว!! ที่ว่าอยากให้ทั้งคู่เจอกันก่อนคริสต์มาส ทันแล้ว!! แต่จบแบบนี้นี่นับว่าเจอกันไหมนะ? เจอแหละ นับแหละเนอะ ฮ่า ๆ ๆ //หันไปมองเวลา (เลิ่กลั่ก)

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด