ชีวิตใหม่ในดราโทก้า ดินแดนมังกร 70: ภาค 3 15 การโจมตีปริศนา

Now you are reading ชีวิตใหม่ในดราโทก้า ดินแดนมังกร Chapter 70: ภาค 3 15 การโจมตีปริศนา at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เช้าหลังวันที่เกิดการปะทะกับมังกรวารี ก็ถือเป็นวันที่สองหลังยึดป้อมปราการด่านแรกของฟัวกรามาได้ เห็นว่าเมื่อคืนอัศวินมังกรหน่วยของเคียร่าเป็นฝ่ายไปดูการเคลื่อนไหวของพวกนั้น แต่เห็นว่าทางยังสะดวกยาวไปจนถึงเมืองมิลด้า ซึ่งใกล้กับเมืองหลวงของพวกนั้นมาก

แถมยังดูเหมือนว่าจะวางแผนเดินทัพต่อไปเรียบร้อยแล้ว ซึ่งหนนี้เหมือนว่าเคียร่าจะไม่ได้เข้าร่วมการประชุมเพราะเมื่อคืนเธอพักฟื้นร่างกายอยู่ กำหนดการของวันนี้คือจะเริ่มเดินทัพต่อตั้งแต่รุ่งสางเพื่อไปตั้งค่ายส่วนหนึ่งอยู่หน้ากำแพงเมืองเตรียมบุกยึด

ซึ่งก่อนหน้านั้นพวกเราก็…

 

“ขอโทษนะ ถ้าผมรู้ตัวเร็วกว่านี้ก็คง…”

 

ชายหนุ่มผมสั้นสีทองวางดอกไม้ที่หาได้ตามข้างทางไว้บนดินที่พูนขึ้น นั่นก็คือเจ้าชายที่กำลังไว้อาลัยกับมังกรวารีตัวเมื่อวานนั่นเอง โดยมีเคียร่าและโอเรลประกบหลังเป็นการคุ้มกัน ปิดท้ายด้วยฉันที่มองอยู่รอบนอกนั่นเอง

 

“นายไม่ผิดหรอก พวกเราก็แค่ป้องกันตัวเท่านั้นแหละ”

 

โอเรลพูดขึ้นมาแบบนั้นพร้อมทั้งถอนหายใจออกมา เขาคงรู้สึกว่าเราไม่จำเป็นต้องมาทำอะไรแบบนี้ล่ะมั้ง แต่เจ้าชายก็ยังคงนิ่งเงียบไม่ขยับ หนนี้ก็เป็นเคียร่าที่เดินเข้าไปจับไหล่ของเจ้าชายเอาไว้

 

“ถึงจะรู้เร็วกว่านี้ ก็อาจจะเปลี่ยนอะไรไม่ได้ อาจจะฟังดูโหดร้ายไปหน่อยแต่ที่โอเรลพูดเมื่อกี้ก็มีส่วนถูก”

 

“แต่มัน…แล้วเด็กพวกนั้นล่ะ”

 

ฉันได้เข้าใจว่าทำไมเจ้าชายถึงดูมีสีหน้าเศร้าหมองไปเมื่อวาน ก็ตอนที่ได้ยินว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างระหว่างการปะทะกับมังกรวารีตัวนั้น สรุปแล้วที่มันโกรธและอาละวาดไปทั่วจนคุยกันไม่ได้ เป็นเพราะว่ามันท้องอยู่นั่นเอง

กว่าเขาจะสังเกตว่าท้องของมันใหญ่และสั่งให้หยุดโจมตี อาการบาดเจ็บของมังกรวารีก็เกิดขีดที่จะรักษาทันไปแล้ว สุดท้ายก็ลงเอยด้วยการผ่าศพมังกรวารีเพื่อเอาไข่ที่อยู่ในท้องออกมา ซึ่งมีทั้งหมด 3 ฟองด้วยกัน

เหมือนว่าเจ้าชายหลังผ่านเหตุการณ์แบบนี้อย่างใกล้ชิดเข้าไป ก็ตระหนักได้ถึงสิ่งที่เรียกว่า ‘การคร่าชีวิต’

 

“สงครามก็เป็นแบบนี้สินะ ไม่แน่บางทีพวกศัตรูเอง…”

 

“เฮ้ย นายเป็นเจ้าชายนะ!”

 

“ผมรู้น่า!”

 

ทั้งคู่เริ่มขึ้นเสียงใส่กันตามประสาเพื่อนผู้ชายที่อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก ก่อนที่จะสงบอารมณ์กันอย่างรวดเร็ว และเคียร่าก็เป็นคนเข้าไปแทรกกลางทั้งคู่เพื่อไม่ให้มีเรื่องกัน ถึงแม้จะว่าไม่มีก็เถอะ

 

“ใช่ เพราะมีบางสิ่งที่ต้องการปกป้องถึงได้ต่อสู้ มังกรวารีตัวเมื่อวาน ทหารของฟัวกราที่เราต้องสู้ รวมถึงพวกเราด้วย”

 

“…นั่นสินะ เหมือนที่โอเรลพูดพวกเราก็แค่ป้องกันตัว ผมเป็นเจ้าชายต้องปกป้องประเทศนี้เอาไว้…ไม่ควรจะมารู้สึกแบบนี้เลยจริง ๆ”

 

เขาบอกว่าตัวเองไม่ควรรู้สึกแย่ เลยยิ่งรู้สึกแย่กว่าเดิมเนี่ยนะ เอาเถอะ…ฉันเอง ก็พอเข้าใจความรู้สึกของเจ้าชายเหมือนกัน ถึงจะรู้ว่ามันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ หรือถ้าไม่ทำเราจะเป็นฝ่ายที่จากไปแทน มันก็ยังรู้สึกแย่ที่ต้องคร่าชีวิตใครสักคนอยู่ดี

เจ้าชายส่ายหัวไปมาเพื่อดึงสติตัวเองอีกครั้ง ก่อนที่จะก้าวเท้าเดินกลับไปร่วมกับกองทัพ โอเรลที่รอเวลานี้มานานแล้วจึงเดินนำไปอย่างรวดเร็วทันที แต่ในตอนนั้นเอง เคียร่าก็ส่งเสียงเรียกเจ้าชายอีกแล้ว

 

“ถึงในฐานะเจ้าชายจะไม่ควรรู้สึกแบบนั้น แต่ว่า รู้สึกผิดให้เต็มที่เถอะเพราะนั่นน่ะคือความรู้สึก ในฐานะมนุษย์ไงล่ะ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นอย่าได้ลืมเด็ดขาดล่ะ ตัวตนของนายน่ะ”

 

ชายผู้ได้ยินแบบนั้นหยุดก้าวเท้าไปพักหนึ่ง ก่อนที่มือทั้งสองข้างจะกำแน่นโดยที่ไม่รู้ว่าเพราะความรู้สึกแบบไหน หรือว่ากำลังทำสีหน้ายังไงอยู่ สิ่งที่ฉันกับเคียร่าเห็นนั้น คือแผ่นหลังของชายที่ต้องแบกรับอนาคตของประเทศนี้อีกทั้งชีวิต

 

————————— ————————-

ณ เส้นทางไปมิลด้า

 

เพราะการที่มีอาหารสดแถมยังแปลกใหม่สำหรับเมื่อคืนและตอนเช้า ขวัญกำลังใจจึงเต็มเปี่ยมและพร้อมรบอย่างมั่นใจ นั่นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนเดินทัพ…

ขณะนี้ความเงียบสงบปกคลุมไปทั่วทั้งกองทัพ เส้นทางการไปยังเมืองมิลด้านั้นเงียบเกินไป ไม่มีการตั้งทัพรอการบุก ไม่มีแม้แต่กับดักกวนใจระหว่างทาง หลังจากได้อยู่กับเคียร่ามาพักหนึ่งทำให้ผมอ่านสถานการณ์ตอนนี้ได้ว่า

 

“เหมือนปูทางรอให้พวกเราเดินทัพไปหาเลยนะ”

 

“ฮ่า ๆ มุกใช้ได้เลยนะฝ่าบาท มิลด้าเป็นเหมือนกำแพงนอกของฟัวกรา ถ้าหากไม่มั่นใจมากจริง ๆ คงไม่ล่อให้ศัตรูเข้าไปใกล้ได้ขนาดนั้นหรอก”

 

“…งั้นจะอธิบายสถานการณ์ตอนนี้ยังไงล่ะ”

 

เมื่อถามออกไปแบบนั้นเจ้าตัวก็ยังคงหัวเราะร่วนกับสิ่งที่ผมพูดออกไป ทั้งที่ตัวเองก็บอกไม่ได้แท้ ๆ ว่าสถานการณ์ตอนนี้มันเป็นเพราะอะไร จึงได้แต่หวังว่าท่านพ่อซึ่งมีเสียงมากที่สุดในตอนนี้จะรับฟัง แต่ก็…

 

“พวกเราต้องรีบจบสงครามนี้ให้เร็วที่สุดนะแวร์มิล โอกาสแบบนี้ก็ต้องรีบคว้าเอาไว้สิ”

 

“…ครับ”

 

ท่านพ่อพูดขึ้นมาแบบนั้นโดยที่สายตายังคงจ้องไปที่ทางด้านหน้า ทั้งที่เมื่อ 2 ปีก่อนเป็นคนที่พยายามหาทุกวิถีทางเลี่ยงสงครามจนมันบานปลายขนาดนี้เองก็เถอะ แม่ทัพ โวเรนซึ่งหัวเราะผมอยู่เมื่อกี้ถึงเขาจะเป็นคนที่ดูอารมณ์ร้อน และหัวแข็งไปหน่อย

แต่ก็เป็นคนที่ปลุกปั้นให้ท่านพ่อมีความกล้าลุกขึ้นสู้กับฟัวกรา ไม่งั้นสถานการณ์มันอาจจะแย่ยิ่งกว่านี้ก็ได้ ถ้าทำให้เขารู้สึกว่ามันมีอะไรแปลกไปอาจจะช่วยเปลี่ยนความคิดท่านพ่อได้

แต่การเดินทางก็ยังคงเงียบสงบจนมองเห็นกำแพงเมืองมิลด้าได้ ในตอนนี้ก็มีบรรยากาศตึงเครียดแผ่ออกมาจากตัวแม่ทัพโวเรน คงจะสังเกตได้แล้วล่ะมั้ง

 

“ทางสะดวกกว่าที่คิดไว้มาก เร่งกำหนดการหน่อยดีไหม?”

 

“ไม่ อย่างที่องค์ชายพูด มันแปลกเกินไปจริง ๆ”

 

ในที่สุดเขาก็คิดแบบนั้นได้ซะที คราวนี้ท่านพ่อจึงเปิดตากว้างด้วยความตกใจ ก่อนจะขมวดคิ้วมองเขาด้วยความเคลือบแคลงใจ

 

“แต่นายเป็นคนเสนอให้เราเร่งจบสงครามนี้ไม่ใช่เหรอ มากลัวอะไรอีก”

 

“ก็รู้อยู่หรอก แต่ว่า…ถูกอย่างที่โกลมันเคยพูด ถ้าหากทำเพื่อประเทศนี้จริงล่ะก็ ต้องหวั่นเกรงบ้าง”

 

บทสนทนาของคนใหญ่คนโตทั้งคู่ทำให้ผมรู้สึกแปลกใจ ถึงแม้ว่าในตอนนั้นจะดูโวยวายราวกับไม่ฟังใคร แต่ก็เก็บทุกรายละเอียดมาคิดเล็กน้อยอยู่แบบนี้ ทำให้รู้สึกผิดคาดไปพอควรเลย

 

“งั้นจะเสนอว่าอะไรล่ะ ฉันทำตามแผนที่นายคิดมาทุกอย่าง คราวนี้จะให้ทำอะไรล่ะ”

 

ท่านพ่อพูดโดยตะเบ็งเสียงใส่อารมณ์เข้าไปในรูปประโยค เป็นการกดดันให้โวเรนเร่งการคิดแผนการต่อไป ซึ่งเจ้าตัวก็ได้แต่อ้ำอึ้งและไม่พูดอะไรออกมา

 

“ท่านพ่อใจเย็นก่อน ถ้าพวกเราช่วยกันคิดล่ะก็ ต้องทำได้แน่”

 

นี่ก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่เคียร่าเคยสอนเอาไว้ ว่าบางทีการมีความคิดไปคนละทาง และเถียงกันไปมาจนเหมือนการทะเลาะอย่างไม่ลงรอยก็เป็นสิ่งที่ดี เพราะสามารถแลกเปลี่ยนความคิดหลากหลายแง่มุม เพื่อหาเส้นทางที่ดีที่สุดได้ อย่างน้อยที่สุดมันก็ดีกว่าการผลักภาระให้คนใดคนหนึ่งเป็นคนคิดเพียงคนเดียว

 

“ลูกไม่ต้องมายุ่ง เรื่องนี้มันเป็นหน้าที่ของแม่ทัพอย่างโวเรน”

 

“แต่ท่านพ่อแต่งตั้งให้ผมเป็นแม่ทัพ ส่วนท่านโวเรนก็เป็นผู้ช่วยของผม ดังนั้นผมก็ต้องร่วมออกความเห็นได้สิ”

 

“นายไม่เข้าใจ เรื่องนี้ต้องให้คนมีประสบการณ์ทำ”

 

คำพูดนั้นทำให้ผมรู้สึกร้อนรุ่มในใจอย่างประหลาด อาจจะเป็นครั้งแรกตั้งแต่เกิดมาเลยที่รู้สึกโกรธท่านพ่อ ถึงจะรู้ว่าเพราะสถานการณ์กดดันให้ต้องเด็ดขาด แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่เขาควรทำแม้แต่น้อย ผมจึงตั้งใจที่จะเถียงสุดใจ

 

“แต่ถ้าท่านพ่อไม่ให้ผมทำ แล้วผมจะไปมีประสบการณ์ได้ไง จะบอกว่าตำแหน่งที่ตั้งไว้เป็นแค่ชื่อเพื่อเกียรติยศเหรอ!”

 

“ใช่! ถ้าเข้าใจแล้วก็เงียบไปซะ!!”

 

เมื่อโดนตะคอกกลับมาแบบนั้น ผมก็ได้แต่นิ่งเงียบตามที่สั่ง สวนทางกับสิ่งที่ตัดสินใจไปเมื่อครู่อย่างสิ้นเชิง…ขัดขืนไม่ได้เลย นอกจากจะเป็นเพราะเขาคือพ่อแล้ว ยังเป็นราชาอีกด้วยดังนั้นเสียงของเขาช่างทรงพลัง ถ้าเขาบอกให้เงียบก็ต้องเงียบ…มันเป็นแบบนั้นมาเสมอ

 

“โวเรนถ้าคิดทางอื่นไม่ได้ก็ทำตามแบบเดิม แผนของนายน่ะดีที่สุดแล้ว”

 

ท่านพ่อพูดออกมาแบบนั้นแล้วตบบ่าของแม่ทัพซึ่งไม่เหลือความมั่นใจบนสีหน้าแล้ว แต่ถึงกระนั้นก็ยังควบม้าต่อไปตามเดิมอย่างไม่หวั่นเกรง เพื่อชี้ทางให้กับทหารที่เดินตามจากด้านหลัง ถ้ารู้ว่าจะเป็นแบบนี้ล่ะก็ ให้พวกเคียร่ามาด้วยก็ดีสิ

ผมควบม้าตามขบวนทัพไปพลางนึกถึงเพื่อนของตัวเองซึ่งอยู่ที่ป้อมปราการรูฟ หลังจากคุยกันไปได้สักพักก็ตัดสินใจมอบหมายให้โอเรลเป็นคนดูแลไข่ระหว่างที่ผมนำทัพ ส่วนเคียร่านั้นต้องประจำการอยู่ด้านหลังเพื่อคอยส่งข่าวคราวอยู่แล้ว

หลังจากมาถึงกำแพงเมืองมิลด้าได้สักพักใหญ่ พวกเราก็จัดรูปทัพสำหรับเตรียมบุกเสร็จเรียบร้อย ซึ่งที่กำแพงเมืองก็ยังคงเงียบสงบ ไม่เห็นวี่แววของทหารฟัวกราเลย…

 

“ท่านพ่อ ได้โปรดทบทวนอีกครั้ง—”

 

‘ปัง!!’

 

“ฮี้!!”

 

“อึก!!”

 

ยังไม่ทันที่ผมจะพูดจบ จู่ ๆ ก็เกิดเสียงบางอย่างดังสนั่นขึ้นมา พร้อมกันนั้นม้าที่ขี่อยู่ก็ส่งเสียงร้องและยกขาหน้าขึ้น ก่อนจะล้มลงไปทั้งแบบนั้น ทำให้ร่างของผมกระทบเข้ากับพื้นอย่างรุนแรง ทำให้รู้สึกเจ็บระบมไปหมดทั้งร่าง

ม้าที่ล้มลงไปก็แน่นิ่งตายในทันทีจากการโจมตีปริศนา โดยที่เลือดของมันไหลนองออกมาเป็นพื้นรอบ ๆ

 

“เจ้าชาย!!”

 

แม่ทัพตะโกนออกมาแบบนั้นก่อนจะกระโดดลงจากม้าเพื่อมาดูอาการผมทันที ท่านพ่อเองก็ยังคงทำสีหน้าแตกตื่นอยู่ครู่หนึ่ง จนทหารด้านหลังเริ่มเสียสมาธิ เขาจึงตัดสินใจในทันที

 

“ศัตรูโจมตี!! บุกเลย!!”

 

ท่านพ่อตะโกนออกมาแบบนั้นพร้อมทั้งชูดาบออกมาชี้ไปด้านหน้า ส่งผลให้ทหารที่ถือดาบด้านหลังพวกเราเคลื่อนทัพด้วยความงุนงง

ไม่ใช่แค่ผมหรือทหารที่ตกใจกับการสั่งการของท่านพ่อ แม่ทัพเองก็ตกใจมากเช่นกัน จึงรีบแบกร่างของผมขึ้นบนหลังแล้วโดดกลับขึ้นบนม้า แล้วควบไปหาราชาทันที

 

“เดี๋ยว! พวกเราไม่ควรบุ่มบ่าม—”

 

‘ปัง! ปัง! ปัง!’

 

เสียงแบบเดิมกับเมื่อครู่ดังขึ้นอีก 3 ครั้งในขณะที่พวกเราคุยกันและทหารก็วิ่งมุ่งหน้าไปยังกำแพง ก่อนจะมีทหารซึ่งอยู่ด้านหน้าสุดล้มลงไป 2 คน

โดยที่ในดวงตาที่เปิดกว้างนั้นไร้ซึ่งวี่แววของการมีชีวิต โดยที่ตรงอกแม้จะมีเกราะสวมอยู่ แต่ก็โดนเจาะเป็นรูพร้อมทั้งควันที่ลอยออกมา ก่อนที่เลือดจะไหลท่วมร่างนั้นเหมือนกับที่ม้าเมื่อครู่โดน

 

“ชิ! ถอยหลังกลับไม่ได้แล้ว อย่าไปกลัว!! เดินหน้าต่อไปซะ!!”

 

“โอ้!!”

 

แม่ทัพสั่งขึ้นมาอีกครั้งพร้อมทั้งชูดาบขึ้นอีกครั้ง หนนี้ต่างจากการสั่งของท่านพ่อโดยสิ้นเชิง เพราะเมื่อเป็นแม่ทัพที่คุ้นเคยจึงฮึกเหิมขึ้นมาในทันที แล้ววิ่งกรูเข้าใส่กำแพงเมืองอีกครั้ง

 

‘ปัง! ปัง! ปัง!’

 

เสียงแบบเดิมดังขึ้นถี่มากกว่าเดิม ยิ่งวิ่งเข้าไปเสียงเหล่านั้นก็ยิ่งเยอะมากขึ้น และคนก็เริ่มล้มลงไปเรื่อย ๆ แต่ว่าหนนี้หลายคนไม่ได้ตายในทันที แต่ร้องโอดครวญออกมาด้วยความเจ็บปวด

 

‘ปัง! ปัง! ปัง!’

 

“อ๊ากกก!!”

 

‘ปัง! ปัง! ปัง!’

 

เสียงร้องโหยหวนกับเสียงดังปริศนาดังนั้นผสมกันไปทั่วทั้งสนามรบ จนในที่สุดแม้จะกล้าหาญและกำลังใจเต็มเปี่ยมขนาดไหนก็ต้องหวาดกลัว ผมได้แต่มองภาพตรงหน้าพร้อมทั้งตัวที่สั่นเครือ เสียงดังก้องมากจนไม่รู้ว่ามาจากทิศทางไหน เกิดอะไรขึ้นและพวกเขาโดนอะไร ผมยังไม่รู้เลย

 

“อา!! ไม่เอาแล้ว!!”

 

ในท้ายที่สุดแล้ว เสียงของทหารคนหนึ่งที่ดังก้องกังวานขึ้นก็พาให้ทุกคนทำในแบบเดียวกัน…ก็คือทิ้งอาวุธและวิ่งหนีกันจนรูปแบบทัพเสีย

 

“ใจเย็น! อย่าเสียรูปแบบขบวน ไม่งั้นพวกเราเสร็จมันแน่!”

 

แม่ทัพส่งเสียงออกมาแบบนั้นเพื่อดึงให้ทุกคนมีสติ แต่ว่าในเวลานี้ไม่มีใครฟังสิ่งที่เขาพูดอีกแล้ว กองทัพของพวกเราพังเละไม่เป็นท่า คนเจ็บนอนล้มระเนระนาดไปกับพื้น คนที่ยังไม่ตายหลังโดนการโจมตีไป ก็จะถูกคนที่ยังวิ่งได้เหยียบซ้ำ จนบางทีก็บาดเจ็บหนักกว่าเดิม หรือตายคาที่เลยก็มี

 

“ท่านราชา รีบหนีก่อนเถอะ”

 

“อะ- อา…”

 

‘ปัง! ปัง!’

 

“ฮี้!!”

 

คราวนี้ม้าของท่านพ่อและแม่ทัพก็โดนยิงไปพร้อมกัน ผมที่อยู่กับท่านโวเรนก็ร่วงลงกับพื้นอีกรอบ ในตอนนั้นเอง ประตูเมืองก็เปิดออก พร้อมทั้งทหารจำนวนมากที่แทบไม่มีชุดเกราะวิ่งออกมา

โดยในมือมีบางสิ่งที่ไม่คุ้นตาออกมาด้วย

 

“แท่งไม้เหรอ?”

 

ผมมองสิ่งนั้นด้วยความประหลาดใจ บางอย่างที่เห็นไกล ๆ เหมือนเป็นแค่แท่งไม้แต่รูปร่างมันไม่เหมือนหอก ที่จับเป็นส่วนเดียวกับตัวโครงซึ่งโค้งให้มือจับเล็กน้อย ก่อนที่จะเป็นลำไม้หุ้มเหล็กตรงยาวเป็นกระบอก

ทหารเหล่านั้นวิ่งออกมาหยุดอยู่ตรงหน้าทัพพวกเรา แล้วถือแท่งนั่นเป็นแนวนอนโดยเอาส่วนปลายหันมาทางนี้ แล้วใช้นิ้วเกี่ยวบางอย่างที่อยู่ตรงด้ามจับ

 

‘ปัง! ปัง! ปัง!’

 

ทันใดนั้น เสียงที่ได้ยินจนสนั่นหูเมื่อครู่ก็ดังขึ้นอีกครั้ง โดยจุดที่ใกล้ที่จับนั้นมีสะเก็ดไฟพร้อมทั้งควันลอยออกมา พร้อมทั้งร่างของคนถือที่โดนแรงผลักจนไหล่สั่นเล็กน้อย ก่อนจะเดินถอยกลับไปด้านหลังแล้วมีคนอื่นมายืนแทน

นั่น…คือที่มาของเสียงและการโจมตีปริศนาเหรอ?

และไม่ปล่อยให้ได้คิดอะไร พวกเราที่ตกจากหลังม้าก็โดนทหารพวกนั้นล้อมโดยใช้แท่งไม้ปริศนาจ่อเอาไว้เรียบร้อยแล้ว

 

“ใครจะไปยอมกัน!!”

 

แม่ทัพกัดฟันแน่นแล้วรีบลุกขึ้นพร้อมกับจับร่างของผม โยนเข้าไปอยู่กับท่านพ่อที่ยังคงลุกไม่ได้หลังตกจากม้า แล้วฟาดดาบเข้าสู้กับอาวุธปริศนา

 

‘ปัง! ปัง! ปัง!’

 

แม้ว่าจะโดนล้อมยิงจากทั่วทิศ แต่เขาก็ตอบสนองการโจมตีที่เห็นเมื่อครู่ โดยการฟาดดาบรอบตัวเป็นวงกลม เกิดเวทลมขึ้นมาปัดป้องการโจมตีที่พุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว

และผมก็ได้เห็นรูปร่างของสิ่งที่ออกมาจากอาวุธนั้น…

 

“ก้อนเหล็ก?”

 

มันเป็นก้อนเหล็กเล็กที่บุบเพราะแรงกระแทก แท่งไม้นั่นยิงเหล็กออกมาเหรอ? ทันทีที่การโจมตีชุดนั้นหมดลง ทหารฝ่ายนั้นก็ตั้งกระบอกไม้ให้ปลายด้านบนชี้ขึ้นฟ้า แล้วหยิบแท่งเหล็กเล็กซึ่งเสียบอยู่ในตัวออกมา แล้วยัดบางอย่างเข้าไปในรูก่อนจะใช้ไม้นั้นดันเข้าไป…

แต่แม่ทัพไม่ปล่อยให้เวลานี้เสียเปล่า จึงชิงโจมตีคนที่อยู่ใกล้ตนเองที่สุดในทันที ซึ่งดาบของเขาปริดชีพศัตรูไปถึง 3 คนในชั่วพริบตา แต่ถึงกระนั้นคนล้อมพวกเราก็ยังเยอะกว่า และเหมือนว่าสิ่งที่อยู่ในมือพวกนั้นจะพร้อมใช้งานอีกรอบ และหันปลายไม้ให้มาทางพวกผมที่บาดเจ็บอยู่

 

“!!”

 

‘ปัง! ปัง! ปัง!’

 

ทันทีที่ประกายไฟบนอาวุธนั้นสว่างวาบ แม่ทัพก็วิ่งเข้ามาและปกป้องผมกับท่านพ่อเอาไว้ แต่ว่านั่นก็ส่งผมทำให้เขามีแผลที่แขนข้างซ้าย แต่ก็ยังคงยืนหยัดอยู่เพื่อปกป้องพวกเรา

 

“ราชาเป็นยังไงบ้าง”

 

“! ท่านพ่อหมดสติไป น่าจะเพราะแรงกระแทก”

 

“ชิ บ้าเอ้ย”

 

ในระหว่างที่พวกเราคุยกันและหาหนทางในการรอดจากจุดนี้ไปได้นั้น ก็เกิดสิ่งที่ไม่คาดฝันขึ้น

 

“กรร!!”

 

“อ๊ากก!!”

 

“!!”

 

เสียงร้องคำรามของมังกรดังขึ้นพร้อมทั้งเสียงร้องของทหารฟัวกรา เมื่อหันไปมองทั้งฉันและแม่ทัพก็ได้แต่ตื่นตกใจกับการมาของคนที่ไม่คิดว่าจะอยู่ที่นี่

 

“เคียร่า!!”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด