ชีวิตใหม่ในดราโทก้า ดินแดนมังกร 88: ภาค 4 5 มีพวกฉันอยู่ไม่ใช่รึไง

Now you are reading ชีวิตใหม่ในดราโทก้า ดินแดนมังกร Chapter 88: ภาค 4 5 มีพวกฉันอยู่ไม่ใช่รึไง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“ลิเวียธานกับซาตานเหรอ…”

 

ถ้าตามความเชื่อจากศาสนาคริสต์ในโลกก่อนแล้ว ทั้งคู่ถือเป็นปีศาจที่พบเจอได้บ่อยโดยเฉพาะลิเวียธาน เพราะถูกครอบงำด้วยความอิจฉา และจู่โจมทุกสิ่งมีชีวิตอย่างเกลียดชัง

แต่ซาตาน…ตามตรงแล้วในชีวิตก่อนฉันไม่ได้ศรัทธาในศาสนาไหนเป็นหลัก แล้วศึกษาหลายความเชื่อปะปนกันไป ความเชื่อที่นับถือซาตานเองก็เป็นหนึ่งในนั้น ฉันจึงเชื่อกึ่ง ๆ ทั้งคริสต์และซาตานผสมกันมากกว่า

ก็นะ…เรื่องจากโลกเก่าจะอ้างอิงได้ขนาดไหนกันเชียว แต่เดิมทีทำไมถึงมีชื่อของพวกนี้ในโลกนี้กัน

 

“เฮ้อ…”

 

ว่าแล้วฉันก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่พลางทอดสายตามองออกไปไกล ตอนนี้พวกเราอยู่บนเรือลำยักษ์ซึ่งกำลังมุ่งหน้าไปฟาเรเรียในยามค่ำคืน

สุดท้ายแล้วข้อมูลที่ได้จากพระสันตะปาปาก็มีจำกัด แต่รู้สึกได้เลยว่าเขาคงกุมความลับเอาไว้อีกมาก คงเป็นอะไรอย่างความจริงของโลกใบนี้…ฉันควรจะรับรู้มันรึเปล่านะ

หรือบางทีฉันควรจะปล่อยมันไปแล้วใช้ชีวิตตามปกติ ผู้คนต่างใช้ชีวิตประจำวันของตนเองได้อย่างไม่มีปัญหา แม้จะไม่รู้เกี่ยวกับความจริงของโลก แบบนั้นจะดีกว่าไหมนะ?

 

“…คิดอะไรอยู่กันเนี่ยฉัน”

 

“นั่นสิ คิดอะไรอยู่น่ะ”

 

“หวา!!”

 

ในตอนนั้นเองก็มีเสียงดังขึ้นมาจากด้านข้าง ทำให้ฉันสะดุ้งจนเด้งตัวออกมาจากจุดที่ยืนอยู่ในทันที แล้วได้เห็นร่างเจ้าของเสียงที่กำลังยิ้มหัวเราะอย่างซุกซนอยู่ แฟร์นั่นเอง

ไม่ได้สังเกตเลยนี่มาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน…

 

“ลิเวียธานกับซาตานเนี่ย เป็นชื่อที่ไม่คุ้นหูเลยนะ”

 

“ตั้งแต่ตรงนั้นเลยเหรอ…”

 

ฉันถอนหายใจออกมาอีกครั้งแล้วกลับไปยืนมองท้องฟ้าต่อทั้งอย่างนั้น ทำให้บรรยากาศตอนนี้เงียบสงัดไป จนแฟร์ก็พูดขึ้นมา

 

“คิดอะไรอยู่เหรอ?”

 

“…ไม่มีอะไรหรอก”

 

ฉันหลบตาของเธอผู้เปล่งประกายไปอีกทาง พร้อมทั้งพึมพำออกมาแบบนั้นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ทำให้เธอยิ้มกว้างออกมาและส่งเสียงหัวเราะในลำคอ

 

“ฮะ ๆ ฉันคิดมาตั้งแต่ตอนเราคุยกันผ่านจดหมายแล้วนะ เวลาเธอบอกว่า ‘ไม่มีอะไร’ เนี่ย แสดงว่ามีอะไรจริง ๆ สินะ?”

 

“…”

 

“เห็นไหมล่ะ มีจริง ๆ ด้วย ลองพูดออกมาสิ”

 

แฟร์ที่ตามปกติจะติดเล่นจนโดนลูกน้องตักเตือนบ่อย ๆ ในตอนนี้นั้น ให้บรรยากาศที่ต่างออกไปโดยสิ้นเชิง แม้ว่าบนใบหน้าจะยังคงเต็มไปด้วยรอยยิ้มเหมือนเดิมก็เถอะ แต่รู้ได้เลยว่าในตอนนี้เธอพร้อมจะรับฟังฉันจริง ๆ

แต่ว่าพูดเรื่องแบบนี้ออกไปจะดีเหรอ…ถึงมันจะเป็นเรื่องที่สำคัญในระดับหนึ่ง แต่ว่าส่วนใหญ่ก็เป็นเพียงการคาดเดาของฉัน แล้วอีกส่วนก็แค่ความกังวลของฉันเอง…จะให้เธอมาแบกรับมันไปด้วยกันจะดีเหรอ

 

“…”

 

เธอจดจ้องมายังใบหน้าของฉันก่อนจะหลับตาลง แล้วเหม่อมองท้องฟ้าอยู่เป็นเพื่อนฉันบนเรือที่โคลงเคลงไปมา นั้นทำให้ใจฉันปั่นป่วนขึ้นมาด้วยความสับสน

จะพูดออกไปดีไหม ควรจะพูดออกไปรึเปล่า ถ้าฉันพูดออกไปมันก็เหมือนกับ…แสดงความอ่อนแอของตัวเองออกมาเลยไม่ใช่เหรอ

 

“…งั้นเหรอ ไม่เป็นไรหรอก ถ้าเธอไม่อยากพูดก็ไม่เป็นไร แต่ฉันจะรอเสมอนะ”

 

เธอพูดเปรยออกมาเช่นนั้นโดยไม่หันหน้ากลับมาด้วยซ้ำ พร้อมทั้งบิดขี้เกียจและสูดลมหายใจเข้าลึก มันยิ่งทำให้ใจฉันปั่นป่วนหนักกว่าเดิม แต่ว่าหนนี้นั้น…มันคือความดีใจ

ได้เหรอ ฉัน…พูดออกไปได้งั้นเหรอ?

 

“คือว่า…ฉันได้ยินมาจากพระสันตะปาปาน่ะ”

 

สุดท้ายแล้ว ฉันก็กลั้นใจที่จะพูดมันออกไป แฟร์ก็หันมามองและพยักหน้าให้อย่างตั้งใจ ทำให้สุดท้ายแล้วฉันก็เริ่มเล่าเรื่องที่ได้ยินมาให้กับเธอ พร้อมทั้งความกังวลในใจของตัวเอง

 

“บาปทั้ง 7 นั้นคือมังกรพิภพ…พวกเรากำลังบูชาสิ่งมีชีวิตแบบนั้นมาตลอดเลยงั้นเหรอ แล้วถ้าแบบนั้นจะไม่เป็นอะไรรึไง แถมยังมีชื่อของซาตานและลิเวียธานอีก…ในอนาคตจะเกิดอะไรขึ้นนะ”

 

ในคำพูดนั้นของฉันไม่รู้ว่าเพราะแสดงความหวาดกลัวออกไปรึเปล่านะ ในแววตาของแฟร์จึงมีความประหลาดใจขึ้นมา นั่นทำให้ฉันหวาดหวั่นมากกว่าเดิม แต่คราวนี้ไม่ใช่เพราะมังกรพิภพ…

แต่เป็นความกลัว ที่ได้แสดงความรู้สึกนี้ให้คนอื่นเห็น ยิ่งกับแฟร์ก็ด้วยแล้ว ฉันรู้สึกตัวมาได้สักพักแล้วว่ามีความรู้สึกแปลกประหลาดที่ไม่สามารถเข้าใจได้เวลาอยู่กับเธอ

อย่างตอนนี้ที่รู้สึกดีจริง ๆ กับการมีเธอรับฟังเรื่องในใจ แต่ว่าลึก ๆ ก็รู้สึกว่าไม่อยากแสดงด้านนี้ให้เธอได้เห็น เป็นความสับสนที่ตีกันอยู่ในใจจนทำตัวไม่ถูก

 

“เคียร่า หันมาทางนี้สิ”

 

ฉันสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อโดนเรียกแบบนั้น จึงหันไปหาตามที่เรียกโดนไม่คิดอะไร แต่แล้ว ก็รู้สึกถึงความเจ็บที่แก้มทั้งสองข้าง

 

‘แปะ!’

 

“อะ…”

 

แฟร์ใช้มือทั้งสองข้าง ตะปบเข้าที่แก้มของฉันอย่างแรงจนเกิดเสียงดัง ทำให้มีความรู้สึกแสบสถานการณ์ไหลไปทั่วทั้งใบหน้า และจ้องมองไปที่ดวงตาที่ขมวดเข้าหากันของเธอ

 

“ใจเย็นหน่อยสิ เรื่องอนาคตเราไม่มีทางรู้หรอกนะ”

 

“แต่ว่า…”

 

เสียงที่อู้อี้ดังออกมาจากลำคอนั้นเต็มไปด้วยความกังวล เพราะว่าไม่รู้นั่นแหละถึงได้คาดเดาให้เป็นสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดไว้ก่อน

เพราะแบบนั้นแหละ…

 

“แล้วถ้ามีอะไรเกิดขึ้น ก็แค่อัดมันให้เละก็พอไม่ใช่รึไง!”

 

ราวกับรู้ว่าฉันกำลังคิดอะไรอยู่ แฟร์ก็พูดขึ้นมาโดยใส่อารมณ์เข้าไป นั่นทำให้ฉันยิ่งรู้สึกราวกับว่าจะร้องไห้ออกมา ความหวาดกลัวที่เก็บเอาไว้ในใจมันกำลังจะระเบิด…

 

“แต่ว่าพวกนั้น…มังกรพิภพเลยนะ ตัวตนที่ทรงพลัง ฉัน…”

 

นั่นคือความหวาดกลัวของฉัน เมื่อตอนที่ยังเป็นเด็กแล้วเจอกับริเกล ฉันคิดมาตลอดว่ามังกรนั้นเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่าทึ่ง ถึงกระนั้นก็ยังคงคิดว่าพวกมันน่ารักและเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน…จนกระทั่งวันนั้น

วันที่ได้เจอกับพ่อริเกลเป็นครั้งแรก ทั้งที่คิดว่าตัวเองไม่ได้ยึดติดกับการมีชีวิตขนาดนั้นแท้ ๆ แต่พอได้อยู่ต่อหน้าสิ่งมีชีวิตที่ทรงพลังซึ่งจ้องจะเอาชีวิตเราอยู่ ฉันก็กลัวขึ้นมาจับใจ

เพราะงั้นแล้ว ถ้าต้องต่อสู้กับสิ่งมีชีวิตแบบนั้นละก็…ฉันหลบตาจากการจ้องมองของแฟร์ พร้อมทั้งพูดออกมาอย่างแผ่วเบา

 

“ฉันไม่ไหวหรอก—”

 

“ไม่ใช่เธอ! แต่เป็น พวกเรา!!”

 

แต่ทว่า ทันทีที่คำพูดของฉันเงียบลง แฟร์ก็ตะโกนขึ้นมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่นอย่างทันควันทันที ทำให้ฉันสะดุ้งโหยงแล้วหันกลับไปจ้องที่ดวงตาอันหนักแน่นของเธอ

พร้อมกันนั้นแฟร์ก็ปล่อยมือจากแก้ม แล้วเปลี่ยนเป็นกุมมือทั้งสองข้างของฉันขึ้นมา

 

“อะไรที่เธอคิดว่าจะทำไม่ได้น่ะ ก็เพราะคิดว่าอยู่คนตัวเดียว…มาพึ่งพาคนอื่นซะบ้างสิ มีพวกฉันอยู่ไม่ใช่รึไง”

 

คำพูดนั้นของแฟร์ทำให้ดวงตาของฉันสั่นไหวพร้อมกับหัวใจ และในตอนนั้นก็รู้สึกถึงความเย็นที่ไหลอาบแก้มทั้งสองข้าง คราวนี้กลายเป็นใบหน้าที่เข้มงวดของแฟร์

ที่แปรเปลี่ยนเป็นคลี่ยิ้มและหัวเราะออกมาจากลำคอ

 

“ฮะ ๆ อย่าร้องไห้สิ ถ้าริเกลมาเห็นตอนนี้เอาฉันตายแน่ จะว่าไป แค่ริเกลก็เหลือเฟือแล้วน่า อย่ากังวลไปเลย พึ่งพายัยนั่นให้มากกว่านี้หน่อยสิ”

 

ในที่สุดฉันก็รู้ ว่าตอนนี้นั้นกำลังร้องไห้อยู่นั่นเอง แต่ถึงกระนั้นคำพูดต่อมาของแฟร์ก็ทำให้ฉันยิ้มพร้อมน้ำตาและหัวเราะออกมา เป็นเสียงหัวเราะและรอยยิ้มที่ออกมาจากใจจริง

ทำไมกันนะ ทั้งที่เมื่อกี้ยังกลัวจนหัวใจแทบระเบิดแท้ ๆ แต่ว่าพอมองรอยยิ้มของแฟร์ก็เหมือนทุกอย่างมันถูกเป่าหายไปในพริบตา ราวกับว่ายกภูเขาที่หนักอึ้งออกไปจากอก

 

“กรร…”

 

“อ๊ะ เวรแล้ว”

 

ทันทีที่มีเสียงร้องของมังกรดังแผ่วเบามาตามสายลม แฟร์ก็พูดขึ้นมาเช่นนั้นแล้วหันไปมองทางต้นเสียง เมื่อฉันทอดสายตาตามไปก็พบกับริเกลที่กำลังงัวเงียคลานมาทางนี้

และเมื่อลืมตามาเห็นสภาพพวกเรา เธอก็…

 

“กรร!!”

 

“อึ้ย! ฉันเปล่านะ! อย่ามองฉันด้วยสายตาแบบนั้นสิ!”

 

“กรร! กรร! กรร!”

 

เมื่อริเกลส่งเสียงขู่ออกมาแฟร์ก็รีบปล่อยมือฉันและแก้ตัวในทันที แต่ว่าตัวมังกรยักษ์ก็ยังข่งแยกเขี้ยวใส่ด้วยความขุ่นเคือง ทั้งยังส่งเสียงออกมารัวราวกับเห่า ไม่สิ คงกำลังบ่นอยู่ละมั้ง

แล้วแฟร์ที่ปล่อยมือจากฉันก็ขำแห้ง พลางยกมือไว้ข้างลำตัวและถอยหนีทีละนิด…ซึ่งริเกลก็จ้องไปปล่อยแม้แต้น้อย

นั่นทำให้ฉันหลุดหัวเราะออกมาทั้งน้ำตา เป็นรอยยิ้มที่ออกมาจากใจจริงของตัวเอง

 

“หุ นั่นสินะ ฉันยังมีทั้งริเกล แล้วก็พวกเธออยู่นี่นะ”

 

แม้ว่าจะยังไม่ได้คำตอบที่กำลังกังวลก็ตาม แต่ว่า…ในตอนที่แฟร์บอกว่ายังมีเธออยู่ ฉันก็รู้สึกขึ้นมาจริง ๆ ว่าถ้าอยู่กับเธอล่ะก็ ต้องผ่านมันไปได้แน่ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม

 

——————— ——————

 

“กรร…”

 

“…ริเกลเป็นอะไรน่ะ”

 

“อ้า อย่าใส่ใจเลย นายรีบกลับไปราชาเถอะ”

 

เมื่อได้ยินผมถามแบบนั้น เคียร่าก็หัวเราะเบา ๆ พลางตอบกลับมา ส่วนริเกลนั้นถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่และนอนราบไปกับพื้น…

ในตอนที่เรือของพวกเรามาถึงฟาเรเรีย ก็ให้ริเกลบินมาส่งพวกผมก่อนเพื่อไปรายงานสิ่งที่เกิดขึ้นให้ท่านพ่อฟัง และต้องเตรียมตัวสำหรับการโต้กลับ

อาจจะเพราะหลังจากนี้เจ้าตัวต้องบินไปมาเพื่อขนของละมั้ง…คงเป็นแบบนั้นแหละ ดังนั้นผมจึงทำได้แค่ส่งยิ้มให้แล้วเดินเข้าไปลูกหัวเบา ๆ

ก่อนจะหันหลังให้เตรียมพร้อมกับพวกท่านโกล ที่มีจุดหมายปลายทางเป็นที่เดียวกัน แต่ในตอนนั้นเองก็มีบางอย่างที่ไม่ได้คาดการไว้เกิดขึ้น

 

“เจ้าชายแวร์มิล!”

 

เสียงของหญิงสาวที่คุ้นเคยแต่ดูเร่งรีบอย่างประหลาดดังขึ้น เมื่อหันไปมองก็ต้องตกตะลึงที่เห็นมารีน เพื่อนสมัยเด็กอีกคนที่เหมือนจะวิ่งหน้าตั้งมาจนต้องหอบหายใจเล็กน้อย

เป็นภาพที่แปลกตามากสำหรับขุนนางที่เคร่งครัดในระเบียบวินัย จนถึงขั้นที่เคียร่าเองก็เก็บความตกตะลึงไว้ไม่อยู่

 

“มีอะไรเหรอ?”

 

มารีนหยุดพักหายใจครู่หนึ่งก่อนจะสงบลงได้ แล้วนำพัดขึ้นมาปกปิดใบหน้า น่าสงสัยจริง ๆ นั่นแหละ ว่าทำไมถึงรีบขนาดนั้น แต่ว่า…อย่างน้อยบนใบหน้าเธอก็ไม่ใช่ความเศร้าหมอง คงไม่ใช่เรื่องเลวร้ายหรอกมั้ง?

 

“ขอเวลาสักเดี๋ยวให้มาด้วยกันได้ไหมคะ คุณเคียร่าก็ด้วย”

 

นั่นยิ่งทำให้เราทั้งคู่งุนงงมากยิ่งกว่าเดิม ไม่ใช่แค่เพราะพูดรวบรัดไม่สมกับเป็นเธอ แต่รวมไปถึงที่ขอให้ไปด้วยทั้งที่เราเพิ่งกลับมา เป็นเรื่องด่วนขนาดนั้นเลยเหรอ?

แล้วดูเหมือนว่าเธอจะรู้ได้ในทันทีว่าเราสงสัยเรื่องอะไร เลยสรุปใจความให้ฟังอย่างรวบรัดทันที

 

“ไข่มังกรวารีกำลังจะฟักแล้วค่ะ”

 

“อะไรนะ! จริงเหรอ?!”

 

เธอคนนั้นนำพัดคู่กายออกมาปกปิดใบหน้าครึ่งหนึ่งของตนเอง พร้อมทั้งพยักหน้าให้ว่าเป็นความจริง นั่นทำให้ผมหันไปมองท่านโกลโดยอัตโนมัติ

หนนี้ใบหน้าของเขาที่เข้มงวดตลอดเวลานั้นผ่อนคลายลง พร้อมทั้งพยักหน้าให้อย่างอ่อนโยน ดังนั้นผมจึงมอบหมายให้เขาไปหาท่านพ่อก่อน แล้วรีบก้าวเท้าตามหลังมารีนไปโดยมีเคียร่าตามมาด้วย

ไม่นานมากนักเราทั้งสามก็มาถึงห้องนอนของมารีน และเมื่อเปิดเข้าไปก็พบกับไข่ฟองนั้นซึ่งห่อหุ้มด้วยผ้า วางอยู่บนโต๊ะน้ำชาที่อยู่ภายในห้อง โดยมีหญิงสาวอีกคนคอยดูอยู่…

 

“มนุษย์บาดาล?”

 

คนที่ส่งเสียงออกไปด้วยความสงสัยคนแรกคือเคียร่า ซึ่งเพราะเธอเคยเห็นมนุษย์บาดาลมาก่อนจึงมองออกได้ทันทีกระมัง ทำให้ผมเปิดตากว้างแล้วมองที่หญิงสาวอีกรอบ นั่นคือมนุษย์บาดาลเหรอ?

 

“ดิฉันเดินทางไปปรึกษาการดูแลมังกรวารีจากเมืองบาดาลมา และพวกเขาก็ส่งคนรับใช้ที่มีความรู้ด้านนี้มาช่วยค่ะ เธอมีชื่อว่า ริน”

 

หญิงสาวผมดำสนิทที่ชื่อว่า ริน ก้มหัวทำความเคารพ แล้วหลบเข้าไปชิดกำแพงเพื่อไม่ให้กวนพวกเรา ซึ่งผมก็ยกมือทักทายก่อนจะรีบเดินเข้าไปหาไข่อย่างเร่งรีบ

บนเปลือกไข่นั้นมีรอยร้าวเล็กน้อยทำให้ผมขมวดคิ้ว ก่อนที่จะได้ถามอะไรออกไปคำตอบก็แสดงให้เห็นตรงหน้า

 

‘แกร๊ก แกร๊ก’

 

“โอ้! มันขยับแล้ว!”

 

ผมพูดออกมาด้วยรอยยิ้มพร้อมทั้งยื่นหน้าเข้าไปใกล้กว่าเดิม ทำให้มารีนและเคียร่าคว้าตัวผมไว้อย่างพร้อมเพรียงกัน เพื่อไม่ให้ผมเข้าใกล้กว่านี้

 

“โปรดสงบสติอารมณ์ด้วยค่ะเจ้าชาย”

 

“มาเฝ้าดูอยู่อย่างห่าง ๆ ดีกว่านะ”

 

และก็โดนตักเตือนด้วยเหตุผลเช่นนั้น…ผมจึงพยายามข่มให้ตัวเองใจเย็นลง และยืนมองไข่ที่สั่นไหวจนเริ่มมีรอยแตกมากขึ้น ด้วยความตื่นเต้นที่เก็บเอาไว้แทบไม่อยู่

เหมือนว่าจะกลับมาได้ถูกเวลามากเลย ถ้าช้ากว่านี้ละก็คงไม่ทันแน่

 

‘แกร๊ก แกร๊ก แกร๊ก…’

 

“ซู่~”

 

ทันใดนั้นเอง เมื่อรอยร้าวกว้างมากขึ้น ก็เกิดรูเล็ก ๆ ทำให้มีสิ่งมีชีวิตเลื้อยออกมาตามช่องว่างนั้น มังกรวารีที่มีรูปร่างเป็นงูนั่นเอง

มันค่อย ๆ ออกมาจากไข่ที่ตนอยู่เมื่อครู่ ก่อนจะขยับดวงตาสดใสของตนไปทางซ้ายขวา แล้วเริ่มชูคอของตนขึ้น แล้วผมก็ต้องเปิดตากว้างด้วยความตกใจ

 

“นั่นอะไรน่ะ…”

 

“แผงคอ…มันคือแผงคอค่ะ”

(ผู้วาด : GBONZ)

เคียร่าพึมพำออกมาด้วยน้ำเสียงประหลาดใจไม่ต่างกันมากนัก เพราะว่างูตัวนี้มีบางอย่างต่างไปจากตัวแม่ที่เราเคยเจอ มันมีแผ่นบางอย่างแผ่ออกมาตอนชูคอขึ้น ซึ่งเคียร่าให้คำอธิบายว่ามันคือแผงคอ

มันมีลำตัวสีขาวบริสุทธิ์ บนลำตัวมีลายพาดสีเหลืองสดไข่ตั้งแต่ช่วงคอไปถึงปลายหาง บนแผงคอสีน้ำตาลเองก็มีรวดลายที่ซับซ้อนเป็นสีเหลืองเช่นกัน

ในตอนที่ผมกำลังทึ่งกับภาพสุดมหัศจรรย์อยู่นั้น มารีนก็ใช้ซอกดันเข้ามาเป็นการสะกิด แล้วเข้ามากระซิบข้างหู

 

“เจ้าชายแวร์มิลคะ ชื่อ รีบตั้งชื่อเร็วค่ะ”

 

อะ จริงด้วย เด็กคนนี้ยังไม่มีชื่อสินะ อืม…งั้นก็

 

“อัลเฟรต”

 

เมื่อผมพูดขึ้นมาด้วยเสียงดังฟังชัด เจ้าตัวก็หันมามองทางนี้ด้วยใบหน้างสงสัย พร้อมทั้งแลบลิ้นเข้าออกเร็ว ๆ ผมจึงยิ้มบางแล้วลองยื่นมือเข้าไปหา

งูตัวนั้นโยกตัวไปทางซ้ายทีขวาทีเพื่อสังเกตมือของผม ก่อนจะเริ่มใช้ร่างพันแขนเอาไว้แล้วปีนขึ้นมา นั่นทำให้ผมยิ้มกว้างออกมาในทันที

 

“อัลเฟรตเหรอ..ฮะ ๆ น่าจะขี้อ้อนน่าดูเลยนะ”

 

เคียร่าหัวเราะออกมาเช่นนั้นพร้อมทั้งยื่นมือเข้ามาลูบอัลเฟรต ส่วนมารีนเองก็มีสีหน้ารื่นเริงขึ้นมาอย่างหาได้ยากในทันที สำหรับเธอที่ดูแลไข่มาโดยตลอดคงจะเฝ้ารอวันนี้อยู่อย่างใจจดใจจ่อละมั้ง

ดังนั้นผมจึงหันไปยิ้มให้เธอ แล้วยื่นมือที่มีงูพันอยู่ไปให้ แม้ว่าจะตกใจเล็กน้อย แต่มารีนก็ยื่นมือเข้ามาหาอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ

อัลเฟรตที่สังเกตเห็นดังนั้นก็รีบเลื้อยย้ายไปฝั่ง นั้นอย่างรวดเร็ว ราวกับว่ากำลังสนุกอยู่ ทำให้มารีนยิ่งเบิกบานกว่าเก่า

ก่อนจะเปลี่ยนเป็นสายตาที่อ่อนโยน พร้อมทั้งพูดกับงูตัวน้อยอย่างแผ่วเบาว่า

 

“ยินดีด้วยนะ…อัลเฟรต”

 

————————- ——————–

(มุมคนเขียน)

ขออภัยที่หายไปยาวเลยค่ะ พอดีวุ่นๆนิดหน่อย ;-; แต่ก็เริ่มจัดเวลาตัวเองได้แล้วค่ะ หลังจากนี้น่าจะกลับมาลงตามเดิมแล้ว(ฮา)

รูปเต็มมังกรวารี

 

​(ผู้วาด/ออกแบบ : NobYK เราเองค่ะ UwU)

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด