ชีวิตใหม่ในดราโทก้า ดินแดนมังกร 49: ภาค 2 25 ฉันจะตายไม่ได้

Now you are reading ชีวิตใหม่ในดราโทก้า ดินแดนมังกร Chapter 49: ภาค 2 25 ฉันจะตายไม่ได้ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 “กรร…”

 

“เอาน่า แยกกันแป๊บเดียวเท่านั้นแหละ”

 

ในเช้าตรู่วันถัดมา ที่ฉันนั้นจะเดินทางไปก่อนเพราะรถม้าของศาสนจักรส่งมาถึงแล้ว ในวันนี้อิกนิสจึงได้รู้ว่าฉันออกคำสั่งให้แยกกัน แถมยังกำชับเอาไว้อีกว่าให้เขาช่วยปกป้องและดูแลคนในกลุ่มด้วย แต่ถึงกระนั้นสภาพตอนนี้คือเขานั้นกำลังดื้อดึงและไม่อยากทำตามคำสั่งอย่างหาได้ยาก

ซึ่งก็ใช้เวลาอยู่พักใหญ่ในการกล่อมให้เขาใจเย็นลงและทำตามแต่โดยดี

 

“ฉันเข้าใจน่า แต่ไม่เป็นไรหรอก นายเองก็รู้ดีไม่ใช่รึไง ว่าฉันน่ะไม่เป็นไรอยู่แล้ว!!”

 

“กรร…”

 

ถึงแม้จะทำท่าร่าเริงและยิ้มแย้มตามปกติ แต่อิกนิสนั้นไม่เล่นด้วยเลยสักนิด ถ้าตามปกติพอทำท่าทางร่าเริงใส่เขาก็จะร้องออกมาเสียงดังและกระโดดโลดเต้นตามแล้ว แต่ว่าตอนนี้เขาทำเพียงหลุบตาลงและก้มหัวลงต่ำ จนรู้สึกปวดใจขึ้นมา…ที่อิกนิสไม่ร่าเริงขนาดนี้ก็เพราะฉัน…

ไม่ได้ ๆ เรื่องนี้เราตัดสินใจไว้แล้ว อีกอย่าง อิกนิสอยู่ในสนามรบคงจะทำได้ดีกว่าตามฉัน

 

“อิกนิส ฉันเชื่อใจนายนะ แล้วนายล่ะ…ไม่เชื่อใจฉันเหรอ”

 

“กรร!!”

 

ฉันร้องสวนออกมาทันทีเมื่อฉันพูดจบประโยคสุดท้าย พร้อมทั้งสีหน้าเศร้าที่พยายามปฏิเสธข้อเท็จจริงนั้นอย่างสุดกำลัง นั่นทำให้ฉันหัวเราะร่วมออกมาและเอามือลูบไปที่หัวของเขา ก่อนจะหยุดมือและเปลี่ยนเป็นเข้าไปกอดคอของเขาแทน

 

“ถ้างั้นก็…ฝากด้วยนะ”

 

“…กรร”

 

เสียงของอิกนิสเริ่มกลับมาสงบตามเดิม พร้อมทั้งส่งเสียงตอบอย่างแผ่วเบาที่ดังออกมาจากลำคอ ทั้งที่ทำเป็นปากดีขนาดนี้แท้ ๆ แต่ก็อาจจะเป็นฉันเองก็ได้ ที่รู้สึกใจหายอยู่เหมือนกันที่ต้องแยกทางกับเขาถึงจะแค่ช่วงหนึ่งก็ตาม ก็นะ…ตั้งแต่ออกเดินทางมาก็แทบจะอยู่กับเขาตลอดเลยนี่นะ

ถึงกระนั้นก็ต้องปล่อยมือ และออกเดินทางโดยทิ้งอิกนิสไว้ด้านหลัง โดยที่สายตาของเขายังคงจ้องมองมายังทิศทางที่รถม้าเคลื่อนออกไป จนกระทั่งเมื่อฉันหันกลับไปมองด้านหลังผ่านกระจกของรถม้า แม้จะอยู่ไกลจนเป็นเพียงจุดเล็ก ๆ ก็ยังเห็น ว่าอิกนิสยังคงนั่งยืดหลังตรงมองมาทางนี้ และไม่แน่…แม้จะลับสายตาไปแล้วเขาก็อาจจะยังคงมองอยู่ก็ได้ เพราะว่าตอนนี้ฉันเอง…

ก็ยังมองไปทางเขาอยู่เหมือนกัน

 

———————— ————————–

 

ในวันนี้ฉันได้สัมผัสกับตัวเองแล้ว ว่ามังกรเมโรฟีลที่ได้มาจากโบสถ์นั้นเร็วขนาดไหน เพียงแค่ช่วงเที่ยงของวันก็ถึงเมืองรูเบน ซึ่งเป็นทางผ่านแล้วจะผ่านภูเขาตรงไปที่โดกรา ทางที่รวดเร็วที่สุด หลังจากเปลี่ยนตัวมังกรลากรถม้าที่เมืองนี้เสร็จเราก็เดินทางต่อกันทันที

งี้นี่เอง พวกนักบวชใช้วิธีนี้สินะถึงได้เดินทางเร็วขนาดนี้ เตรียมตัวมังกรลากเปลี่ยนไว้เมืองระหว่างทาง พอไปถึงก็เปลี่ยนตัวลากและไปต่อได้ทันที แบบนี้ก็จะไม่เป็นการใช่งานหนักเกินไปเช่นกัน สมกับเป็นแนวทางของศาสนาวารุนจริง ๆ

 

“ระหว่างทางบนเขาจะค่อนข้างเขย่าพอควรเลย หาที่จับเอาไว้แล้วพยายามอย่าพูดนะครับ”

 

“อา เข้าใจแล้ว”

 

เมื่อถึงบริเวณตีนเขา คนคุมบังเหียนก็หันมาพูดด้วยท่าทีสุภาพพลางชะลอความเร็วลง หลจากตอบไปแบบรวบรัดได้ใจความ เขาก็คุมให้มังกรเมโรฟีลวิ่งไปด้านหน้าด้วยความเร็ว

ถนนตรงที่พวกเราอยู่ตอนนี้นั้นเป็นทางเดินกว้างประมาณรถม้าสองคันอยู่คู่กันไปพอดิบพอดี จากทางที่เรามุ่งหน้าไปทางขวามือจะเป็นภูเขา ส่วนซ้ายมือจะเป็นเหวสูงชัน ด้านล่างเต็มไปด้วยป่าทึบ

จากที่ฟังแผนของเขา เราจะมุ่งหน้าไปด้วยความเร็วสูงสุดก็จะลงจากภูเขาประมาณพรุ่งนี้เช้า ซึ่งจะถึงเมืองโดกราอันเป็นปลายทางพอดี

 

‘กึก กึก กึก’

 

ในตอนนี้ฉันนั้นเกาะที่นั่งของรถม้าซึ่งดูท่าคงทำมาสำหรับเกาะไว้แน่น เพราะว่าเส้นทางบนภูเขานั้นขรุขระเพราะไม่ได้มีใครมาบำรุงรักษา และด้วยความเร็วที่วิ่งนั้นทำให้กล่องด้านในนั้นโดนเขย่าไปมาอย่างรุนแรง

อะ หัวกระแทกอีกแล้ว! เจ็บเฟ้ย นี่ผ่านไปนานแค่ไหนกันแล้วเนี่ย ถึงแดดจะยังสว่างจ้าให้เห็นว่ายังไม่เกินเที่ยงวันมากนักก็เถอะ แต่รู้สึกอย่างกับว่าอยู่บนนี้เป็นวันเลย!! ไม่ไหวแล้ว ถึงก่อนขึ้นมาเขาจะบอกว่าจะวิ่งทั้งคืนให้นอนเลยก่อนเลยก็เหอะ สภาพแบบนี้ใครมันจะไปหลับลงกัน!

เมื่อไหร่นรกนี่จะหยุดสักทีนะ…

 

“กรร!!”

 

“อ๊ะ”

 

ทันทีที่คิดแบบนั้น จู่ ๆ ก็เกิดเสียงร้องคำรามของมังกรที่ลากรถนี้อยู่ แล้วกล่องโดยสารที่สั่นไปมาก็หยุดชะงักลง จนฉันเกือบจะหัวคะมำไปด้านหน้า…แต่หัวก็ไปชนเข้ากับประตูด้านข้างนิดหน่อยเลยเจ็บพอควร

 

“อย่าจู่ ๆ ก็หยุดดิเฮ้ย! เกิดอะไรขึ้นรึไง–”

 

“จะ- โจรบุก!”

 

ถึงจะบ่นและโวยวายตามประสาที่รู้สึกหงุดหงิดก็เถอะ แต่เพราะคำตะโกนด้วยเสียงสั่นและหวาดกลัวของคนคุมบังเหียนก็ทำให้ฉันใจเย็นลงทันที และยื่นมือไปคว้าอาวุธที่พกมาด้วยพร้อมทั้งพุ่งพรวดออกจากที่นั่งไปด้านนอกทันที

สิ่งที่ฉันเห็นนั่นก็คือมีลูกธนูดอกหนึ่งปักอยู่ด้านหน้ามังกรเมโรฟีล คงเป็นสาเหตุให้มันหยุดกะทันหันเพราะสัญชาตญาณ อีกส่วนก็น่าจะเพราะศัตรูจงใจด้วย และด้านหน้าไปอีกก็มีกลุ่มคนใส่เสื้อคลุมเดินมากันสามคน แค่นี้เหรอ?

 

“เฮ้ย! หลบไปอยู่ด้านนอกอันตราย-”

 

“อ๊าก!!”

 

ฉันหันไปจะบอกให้อีกคนไปหาที่หลบก่อน แต่ยังไม่ทันจะได้พูดจบ ก็มีธนูพุ่งออกมาจากทิศทางที่ไม่แน่ชัด ปักเข้าที่คอของเขาอย่างแม่นยำ หลังจากเสียงร้องอย่างเจ็บปวดนั่นสิ้นสุดลง ก็คงเป็นทันทีที่เขาสิ้นลมเช่นกัน

จากไหนกัน ลูกธนูนั่นมาจากที่ไหน? ไม่เห็นรู้สึกได้เลย

 

“ชิ ไม่ใช่โจรธรรมดาสินะ…หรือต้องบอกว่าไม่ใช่โจรดีล่ะ”

 

เมื่อตัดสินได้แบบนั้นก็เดาะลิ้นออกมาพลางถามแม้จะรู้ว่าคงไม่ได้คำตอบ ก่อนที่ทั้งสามคนตรงหน้าจะวิ่งเข้ามาโดยมีมีดสั้นในมือ ถ้าเป็นระยะประชิดละก็ฉันเองก็มั่นใจว่าไม่แพ้ง่าย ๆ แน่

คนแรกที่มาทางตรงฉันก็ใช้ใบมีดง้าวของตัวเองรับเอาไว้แล้วเบี่ยงออกด้านข้าง พร้อมทั้งหลบคนทางซ้ายที่เข้ามา ส่วนคนทางขวาซึ่งเป็นทางที่ฉันเบี่ยงตัวไปนั้น ก็ใช้มือตวัดอาวุธยาวในมือให้ใบมีดทุ่มลงพื้น ทางปลายอีกด้านจึงเด้งขึ้นมาฟาดเข้าที่มือของคนสุดท้าย

 

“เสียงฟ้าคำรามก้องกังวานราวบทบรรเลง โปรดมาสถิตที่ข้า!!”

 

สิ้นคำร่ายที่ตะเบ็งสุดเสียงของฉัน ใบมีดก็ถูกปกคลุมไปด้วยสายฟ้าพร้อมทั้งขาที่ตั้งมั่นกับพื้น ทันทีที่ทุกอย่างพร้อมฉันก็ออกแรงยกใบมีดจากทางซ้ายฟาดขึ้นเป็นแนวขวางไปทางขวาจนสุดแขน เมื่อใบดาบหยุดลงแสงจากสายฟ้าก็วาบขึ้นอีกครั้งพร้อมทั้งกลิ่นของผ้าและเนื้อไหม้คลุ้งอย่างรุนแรง

และต่อมาร่างของสามคนตรงหน้าก็ขาดครึ่งโดยมีรอยไหม้จากสายฟ้าตรงใบมีดของฉัน ฉันไม่รีรอกลับมาถือง้าวขึ้นเตรียมตัวอีกครั้งพลางมองไปที่ทางภูเขา

 

“ไหน! ซ่อนอยู่ที่ไหนกันอีก คงไม่ใช่ว่ากลัวกันหัวหดแล้วหรอกนะ!!”

 

ฉันตะโกนออกไปพร้อมกับกัดฟันกรอดอย่างหงุดหงิด เพราะเมื่อกี้สัมผัสไม่ได้เลยว่ามีคนแอบอยู่ แถมยังมองทิศทางของลูกศรไม่ทันด้วย ดังนั้นต้องพึ่งการโจมตีครั้งต่อไป แล้วรู้ตำแหน่งที่อยู่ของอีกฝ่ายให้ได้

 

“!!!”

 

ในตอนนั้นเองก็มีลูกศรพุ่งตรงมาทางฉัน แต่ว่าก็ต้องเบิกตาโพล่งและลืมหายใจไปชั่วขณะ นั่นก็เพราะว่า…ลูกธนูโผล่มาจากทุกทิศบนภูเขา ยิงมาราวกับเป็นฝนลูกธนู

 

“เวรเอ้ย! มีกันเท่าไหร่วะเนี่ย!!”

 

ฉันสบถออกมาอย่างร้อนรนใจพร้อมทั้งรีบยกง้าวของตัวเองขึ้นเหนือหัว แล้วหมุนเป็นใบพัดปัดลูกธนูที่ถาโถมมาอย่างบ้าคลั่ง

 

‘เกร๊ง ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ฉั๊วะ’

 

“อึก!”

 

แต่แน่นอนว่าเยอะขนาดนั้นคงไม่มีทางกันได้หมด มีลูกธนูที่เล็ดลอดไปได้และเฉือนเนื้อของฉันไป ยังดีที่ไม่มีโดนปัก แต่ตอนนี้ตามตัวก็มีแผลโดนเฉือนเล็ก ๆ เต็มไปหมดตามแขนและขา

แต่ราวกับว่าฝนลูกธนูเมื่อครู่ยังไม่พอ ก็มีคนจำนวนหนึ่งมาล้อมเอาไว้ราวกับเป็นการตอกย้ำ…ดูท่าคงไม่ใช่โจรกันแน่ ๆ สินะ พวกนั้นรู้ได้ยังไง แล้วมีเป้าหมายอะไร…เรื่องนั้นคงเอาไว้ทีหลัง ในตอนนี้ต้องจดจ่อกับการต่อสู้ตรงหน้าก่อนนี่แหละนะ

 

“ยังไงก็เถอะ เข้ามาเลย!!”

 

ฉันตะโกนออกมาราวกับแผดเสียงคำราม แล้วเริ่มร่ายเวทที่เบากว่าเมื่อครู่แต่อยู่ได้นานกว่าเอาไว้ จนทั่วทั้งร่างถูกปกคลุมไปด้วยสายฟ้า และเข้าเผชิญหน้ากับศัตรูที่มีอยู่เต็มไปหมด…ฝากด้วยนะ แฟลช โบล

 

———————- ——————-

(ย้อนกลับไปเล็กน้อย)

 

“อิกนิส เลิกจ้องไปทางนั้นได้แล้วน่า พวกเราจะออกเดินทางแล้วนะ”

 

‘ก็มัน…’

 

ถึงจะโดนโบลทักแบบนั้นแต่ก็ยังคงนั่งและมองอยู่ที่เดิมอย่างนิ่งสงบ มองไปทางนั้น…ทางที่แฟร์จากไป ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปแค่ไหนแล้วแต่ตั้งแต่ตอนนั้นก็ยังคงนั่งอยู่ที่เดิม โดยที่ยังแอบหวังเล็ก ๆ ในใจ ว่ารถม้าที่แฟร์นั่งไปจะกลับมา พร้อมกับเธอที่สดใสร่าเริงกระโจนใจแล้วบอกว่า

 

‘ว่าแล้วเชียว ยังไงก็ต้องไปด้วยกันแหละเนอะ!’

 

ดั่งเช่นหลาย ๆ ครั้งที่ผ่านมา แต่ว่า…หนนี้จะไม่กลับมาสินะ ฉันคิดแบบนั้นพร้อมทั้งลดตัวลงนอนราบไปกับพื้นอย่างเอื่อยเฉื่อย เป็นครั้งแรกเลย…ที่แฟร์ไม่อยู่ในสายตาไกลขนาดนี้ ถึงพักหลังมานี้จะไม่ค่อยได้อยู่ด้วย แต่ก็ยังไม่ไกลขนาดนี้เลย หรือว่าเธอจะ…ไม่ต้องการฉันแล้วรึเปล่านะ

 

“อิกนิส ฉันพอจะเข้าใจความรู้สึกนายนะ แต่เราต้องทำตามที่แฟร์สั่งไว้”

 

“กรร…”

 

เชื่อใจ…นั่นสินะ แฟร์เชื่อใจฉัน ดังนั้นฉันเองก็ควรจะเชื่อใจแฟร์เหมือนกัน อย่างน้อยก็ยังมีคำสั่งทิ้งเอาไว้ถ้าหากทำตามต่อไป เธอจะต้องไม่ทิ้งฉันไปอีกแน่…ใช่ไหมแฟร์?

สุดท้ายฉันก็ลุกขึ้นจากตรงนั้น หันไปมองทิศทางเดิมเป็นระยะ ระยะ แล้วก็จนลับสายตาเดินออกจากเมืองไป ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน ฉันในตอนนี้ทำเพียงแค่ก้าวเท้าตามกลุ่มไปเท่านั้น จนถึงที่หมายโดยที่ไม่ได้สนใจทุกอย่างรอบตัวเลย

นี่ฉัน…กำลังทำอะไรอยู่นะ

 

“แปลก นี่มันดูสงบเกินกว่าจะเป็นสถานที่เตรียมสู้รบ…อย่างกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย”

 

โบลเดินมาบ่นอยู่ข้างตัวฉันที่นอนหมดอาลัยตายอยากอยู่กับพื้น จึงเหลือบสายตาไปมองเล็กน้อย…แล้วถอนหายใจจ้องมองพื้นต่อ

 

“เมินกันเลยเรอะ…เอาเถอะ ถ้ารีบทำให้เรื่องจบเร็ว ๆ ได้ก็ดีสิ จะได้ไปสมทบแฟร์ด้วย”

 

ว่าจบ เขาก็เดินออกไปดูกลุ่มคนที่ต้องควบคุมแทนแฟร์ ช่วงนี้รู้สึกว่าห่างเหินกับทุกคนมากเลย…แฟร์เองก็ไม่ค่อยได้สู้บ่อย ๆ นี่ฉัน…ยังจำเป็นอยู่ไหมนะ

ในตอนนั้นเองก็เห็นร่างของแฟลชบินผ่านหัวไปหาโบล ดีจังนะ…ถ้าฉันมีปีกบ้าง แฟร์จะเรียกหาฉันบ่อยเหมือนเมื่อก่อนไหมนะ แฟลชเองก็โดนใช้งานอย่างหนักด้วยสิ แต่ถึงกระนั้นก็ได้ทั้งอยู่กับแฟร์และเคียร่า ดีจังนะ…

ขณะที่กำลังคิดน้อยใจไปเรื่อยอยู่นั้นเอง สีหน้าของโบลที่อ่านจดหมายอยู่ก็ซีดเผือด แล้วตะโกนสั่งการด้วยท่าทีแตกตื่น ทำเอาฉันเองก็หัวตั้งขึ้นมาเพราะรู้สึกสังหรใจไม่ดี…จะว่าไป ทำไมแฟลชถึงมาอยู่นี่ แล้วส่งจดหมายล่ะ หมายความว่ายังไงกัน

จากนั้นทั้งแฟลชและโบลก็มุ่งหน้ามายังฉันด้วยท่าทีเร่งรีบ จึงเด้งตัวขึ้นมาตามสัญชาตญาณ…ว่ามีเรื่องเกิดขึ้น

 

‘เกิดอะไรขึ้นน่ะ!’

 

‘อิกนิส! แฟร์น่ะ…แย่แล้ว!!’

 

เมื่อได้ยินแค่นั้น หัวใจก็เต้นแรงขึ้นเลือดในตัวก็ร้อนรุ่มไปหมด เกิดอะไรขึ้นกับแฟร์งั้นเหรอ! นี่เป็นความผิดของฉัน ฉันไม่น่าละสายตาจากเธอเลย ต้องรีบ ต้องรีบไปหาแล้ว

แต่ยังไม่ทันจะหันหลังไปตามทิศทางที่แฟลชบินมา ก็โดนโบลดึงบังเหียนเอาไว้จนตัวโดนดึง

 

“เดี๋ยวก่อน อิกนิส”

 

‘อย่ามาห้ามนะ!!’

 

ฉันหันไปแยกเขี้ยวขู่ใส่โบลพร้อมทั้งส่งจิตสังหารเต็มที่ ตอนนี้เป็นเรื่องฉุกเฉินถ้าจะต้องโดนหยุดเพราะคนอื่นฉันคงไม่มีทางยอม เพราะคู่หูของฉันมีแค่แฟร์เท่านั้น แต่อีกฝ่ายก็ทำเพียงกลืนน้ำลายและจ้องมาที่ดวงตาของฉัน ก่อนจะพูดต่อ

 

“พาฉันไปด้วยสิ…”

 

‘…’

 

“แฟร์…ยัยนั่นทิ้งจดหมายเอาไว้ให้ ฝากฝังให้แฟลชเอามาส่ง เพื่อส่งต่อสิ่งที่ต้องทำมาที่ฉัน และเธอ…ต้องการความช่วยเหลือของนาย พาฉันไปด้วยได้ไหม เพื่อให้ฉันได้ทำตามที่แฟร์ต้องการ”

 

…ฉันค่อย ๆ หุบเขี้ยวของตัวเองลงและกลับไปนิ่งอยู่เช่าเดิม ก่อนจะสงบใจลงเล็กน้อย…แฟร์ต้องการความช่วยเหลือจากฉัน ฉันยังคงอยู่กับเธอได้อยู่ใช่ไหม ฉัน…ยังคงอยู่ในทางเลือกของเธอ และยังไม่ถูกทิ้งใช่ไหม

พอคิดได้แบบนั้นสุดท้ายที่เหลือก็อยู่กับตัวแฟร์ และฉันเองก็คงจะไม่อยากแยกจากเธอ จึงได้แต่ยืนนิ่งและพยักหน้าบอกให้เขาขึ้นมาขี่หลังได้ ก่อนจะเริ่มออกวิ่งไปตามทิศทางที่โบลบังคับให้วิ่งสุดแรง

เพื่อมุ่งหน้าไปช่วยแฟร์ คู่หูคนสำคัญของฉัน

 

———————– ——————-

 

“แฮ่ก แฮ่ก…ยัง…มีอีกเหรอ”

 

ท้องฟ้าเริ่มย้อมเป็นสีส้มพร้อมกับลมหายใจที่เหนื่อยหอบ ทั่วทั้งร่างอาบไปด้วยเลือดของศัตรูและตัวเองผสมปนกันไปหมด ถึงแผลจะไม่ใหญ่มากแต่ศัตรูที่มีเพิ่มเรื่อย ๆ ราวกับต้องเข่นฆ่าไม่หยุดนั้นก็ทำให้ล้าพอสมควร พลังเวทก็ไม่เหลือสำหรับร่ายครั้งต่อไป ทุกการขยับตัวเองก็หนักอึ้งไปหมด

 

“อ๊าก!!”

 

ในตอนที่เผลอหยุดนิ่งไปด้วยดวงตาที่พร่ามัว ก็มีความเจ็บปวดรุนแรงแล่นผ่านที่กลางหลัง มีคนที่เข้าจากด้านหลังของฉันแล้วใช้ดาบฟันมาเป็นแนวยาว แม้จะร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดแต่ก็ต้องกัดฟันไว้ จะล้มตอนนี้ไม่ได้

ก่อนที่จะล้มลงกับพื้นฉันก็ลงแรงที่เท้าเพื่อยันร่างเอาไว้ พร้อมทั้งวางมือช่วยดันเช่นกัน ก่อนจะตวัดง้าวในมือให้ฆ่าคนตรงหน้า นี่ฉัน…

 

‘ฉึก’

 

“อึก!!!”

 

‘เกร๊ง’

 

ในตอนนั้นเองก็รู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดที่ไหล่ขวา และราวกับถึงขีดจำกัด อาวุธในมือฉันก็ร่วงหล่นลงกับพื้น มีลูกธนูปักอยู่ที่ไหล่ขวาฉันจากด้านหน้าฉันนั่นเอง แล้วราวกับไม่รอให้ตั้งตัวขึ้นใหม่ ก็มีเท้าข้างหนึ่ง เตะเข้ามาที่คางของฉันอย่างจังจนดวงตาสั่นไปครู่หนึ่ง และเกินกว่าจะพยุงร่างของตัวเองไหว ฉันล้มไปด้านหลังและนอนหงายลงกับพื้น

 

“ไหนว่าเป็นงานง่าย ๆ แค่กำจัดเด็กไม่ใช่รึไง! ทำไมพวกเราถึงเสียทหารไปเยอะขนาดนี้ได้เล่า!!”

 

“จะไปรู้เรอะ! ใครมันจะคิดว่าไอ้เด็กเวรนี่มันจะเก่งขนาดนี้!!”

 

ในตอนที่กำลังประคองสติของตัวเองเอาไว้ก็ได้ยินเสียงถกเถียงกันของคนที่โจมตีฉัน เสียทหาร…คำพูดแบบนั้น…ขุนนางเหรอ?

 

“เพราะแกคนเดียว! คิดว่าต้องทำให้เสียไปเท่าไหร่กัน!!”

 

“อุก- อั๊ก!”

 

ในตอนนั้นคนที่โวยวายมากที่สุดก็เดินมาหาฉัน แล้วยกเท้าขึ้นกระทืบลงตรงท้องน้อยของฉันพอดี ทำให้ความจุกเข้าถาโถมที่ท้อง และสำรอกเลือดออกมาพลางนอนดิ้นเอาตัวปิดท้องเอาไว้

 

“หืม…จะว่าไปถึงจะเป็นเด็กเวร แต่ก็เป็นผู้หญิงนี่เนอะ ดูดีไม่น้อยเลยนี่หว่า”

 

ในตอนนั้นเองก็มองเหลือบเข้าไปเห็น ใบหน้าใต้ผ้าคลุมของชายคนนั้นที่กำลังแสยะยิ้มอย่างน่าขนลุก ฉันรู้ดี…ว่าสายตาแบบนั้นกำลังมองไปที่ไหน และกำลังคิดอยากจะทำยังไงกับฉัน จนรู้สึกอยากจะอ้วก

ราวกับว่าต้องการจะเห็นหน้าฉันชัด ๆ จึงยื่นมือมาจับที่ใบหน้าและจะลูบไล้ลงตามซอกคอ แต่ว่า…

 

“อ๊าก!!”

 

ฉันก็ใช้แรงของตัวเองดันตัวให้ไปกัดมือของเขา ซึ่งโดนเข้าพอดีกับนิ้วก้อยจึงออกแรงกัดสุดจนมีรสชาติของเลือดอยู่เต็มปาก และกระชากจนนิ้วของเขาหลุดออกมาและถุยทิ้ง

 

“ฮ่า ๆ …สมน้ำหน้า ไอ้ขยะ…น่าขยะแขยงเอ้ย…”

 

แม้ว่าเสียงจะอ่อนแรงและแหบแห้ง แต่ฉันก็ยังคงหัวเราะและด่ามันออกไป ทำให้หมอนั่นโกรธจัด เดินเข้ามาเตะและกระทืบซ้ำไปซ้ำมา…เจ็บ เจ็บจนสลบไม่ลงเลย

 

“พอแล้วน่า เอาเวลาระบายอารมณ์ไว้เก็บกวาดเถอะ เราต้องทำให้เหมือนเป็นอุบัติเหตุมากที่สุด…ทั้งศพทั้งลูกธนูก็ต้องรีบจัดการออกให้หมด”

 

“ชิ เข้าใจแล้ว”

 

ในที่สุดความเจ็บปวดที่โดนกระทืบซ้ำก็หยุดลง หลงเหลือแต่ความปวดระบบไปทั่วทั้งตัว ฉันโดนโยนเข้าไปไว้ในรถมาอย่างแรงจนสำรอกเลือดออกมาอีกครั้ง และล้มลงไปกับตัวรถม้า ได้ยินเสียง…กำลังโดนลากอยู่ ไม่มีแรงเหลือเลย พวกนั้นจะโยนลงไปจากภูเขา นี่ฉัน…กำลังจะตายเหรอ

พอคิดแบบนั้นใจกลับรู้สึกสงบอย่างประหลาด…ตอนนี้โบลคงได้จดหมายจากแฟลช และมุ่งหน้าไปงานประชุมแทนแล้ว…หลังจากนั้น…ก็คง…ไม่มีอะไรแล้วล่ะมั้ง ฉันจึงค่อย ๆ ปล่อยเปลือกตาที่หนักอึ้งไปตามความรู้สึก จนภาพตรงหน้าค่อย ๆ มืดลง…

 

‘มาสัญญากันนะ’

 

ในตอนนั้นเองก็สะดุ้งโหยงขึ้นมา เพราะภายใต้ภาพที่มืดมิดหลังปิดตานั้นถูกแทนที่ด้วยใบหน้าของเคียร่าเมื่อวัยเด็ก พร้อมทั้งเสียงใสที่ยื่นนิ้วก้อยมาทางฉัน คำ…สัญญา…ใช่ ฉันยังมี…คำสัญญา…อยู่

 

“ฉัน…จะตาย…ไม่ได้”

 

คำพูดที่แผ่วเบาดังออกมาจากปาก พร้อมทั้งกลิ่นและรสของเลือดที่มีทั้งของตัวเองและคนอื่นปะปนอยู่ ใช้ความพยายามเฮือกสุดท้ายของตัวเอง…ล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกง…ลึกลงไปเจอกับผ้าหนึ่งผืน

 

“อา…โชคดีจัง…”

 

ยังอยู่ดีอยู่ แม้จะชุ่มไปด้วยเลือดก็เถอะ ฉันนำสิ่งนั้นขึ้นมาปิดปากกับจมูกของตัวเองเอาไว้ แล้วหอบหายใจอย่างยากลำบาก แม้ว่ากลิ่นยังคงเป็นคาวของเลือดไม่เปลี่ยนก็เถอะ แต่ว่า…เคียร่า ฉัน…

 

‘ครืน!!’

 

‘อัก!’

 

เสียงของหนักขูดเข้ากับหิน และร่างที่ร่วงลงชนกับมุมหนึ่งของรถม้าอย่างรวดเร็ว ตอนนี้ฉันกำลังตกลงไปสู่ด้านล่างของภูเขาสูงชัน…เคียร่า ฉัน…ฉัน…ไม่อยากตาย ฉัน…ยังไม่ได้เจอเธอเลย ฉัน…ยังไม่ได้เห็นเธอตอนที่โตเป็นสาวสวยเลย ฉัน…ยังไม่ได้ทำตามสัญญาเลย

และ….ยังไม่ได้บอกคำนี้ออกไปด้วย คำที่ว่า…

 

“ฉัน…รักเธอ…เคียร่า”

 

ฉันหลับตาแน่นและพูดออกไปแบบนั้นอย่างแผ่วเบา รู้สึกได้ถึงความอบอุ่นที่ไม่ควรจะมีจากผ้า และห่อหุ้มทั่วทั้งร่างเพียงครู่เดียว

 

‘โครม!!’

 

 

และในเวลาต่อมาหลังจากนั้นก็แทนที่ด้วยเสียงของหนักปะทะเข้ากับพื้น พร้อมกับความเจ็บปวดอย่างรุนแรงทั่วทั้งร่างจนอธิบายไม่ได้ ก่อนที่สติจะดับวูบไป

 

———————— ————————–

(มุมนักเขียน)

 

อะ เพิ่งนึกได้เลยค่ะว่าลืมแปะรูปอิกนิสเพิ่ม ที่จริงได้มาสักพักใหญ่ ๆ แล้วแหละค่ะ (ฮา)

เครดิตผู้ออกแบบ : Kola-rabbit

//ส่วนเรื่องจบค้าง เดี๋ยวนอนตื่นแล้วจะมาเขียนต่อนะคะ UwU

 

 

 

 

 

 

 

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด