ชีวิตใหม่ในดราโทก้า ดินแดนมังกร 40: ภาค 2 17 ของขวัญที่น่ายินดี

Now you are reading ชีวิตใหม่ในดราโทก้า ดินแดนมังกร Chapter 40: ภาค 2 17 ของขวัญที่น่ายินดี at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 ฤดูหนาวในหนึ่งเดือนที่ผ่านมา…ภายในหมู่บ้านบนเกาะฟิวนั้นมีสภาพไม่ต่างอะไรจากสถานที่แลกเปลี่ยนความรู้ เพียงไม่กี่วันทุกคนที่ตั้งใจเรียนรู้กันพอสมควรก็สามารถอ่านออกเขียนได้ ทั้งยังคำนวณได้ในระดับหนึ่งจึงยกเลิกการบังคับสอนไป

แต่ก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะติดใจในอะไรรึเปล่า หลังจากนั้นก็มีการจับกลุ่มแบ่งปันความรู้ที่ตัวเองมี ทหารรับจ้างสอนการต่อสู้ ชาวบ้านสอนงานฝีมือ ผู้หญิงสอนทำอาหาร วนเวียนแบบนี้ไปเรื่อย ๆ จนแม้แต่ฉันเองก็ยังงง…แถมยังโดนชวนไปเรียนอะไรแปลก ๆ ด้วย

 

“อ๊าก!!”

 

ในขณะที่โดนบังคับให้มาเรียนบางอย่างในขณะที่กำลังปฏิบัติอยู่นั้น ฉันก็ร้องออกมาเสียงดังไปทั่วด้วยความเจ็บปวด ทั้งยังน้ำตาซึมเล็กน้อยอีกต่างหาก แต่ถึงกระนั้นวิเวียนที่อยู่ด้านข้างก็ส่งเสียงหัวเราะออกมาเบา ๆ

 

“ฮุฮุ ร้องเกินไปแล้วค่ะหัวหน้า”

 

“ไม่ทนแล้ว!! นี่ฉันโดนเข็มแทงไปตั้งกี่รอบแล้วไม่รู้นะ!”

 

ว่าจบ ฉันก็โยนผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งพร้อมทั้งเข็มและด้ายลงพื้นด้วยความโมโห ใช่ เสียงเมื่อกี้นั่นก็คือฉันที่โดนเข็มเย็บผ้าแทงเข้าที่มือนั่นเอง…เป็นรอบที่ 10

ทำไมฉันถึงมานั่งตรงนี้ทำอะไรแบบนี้กันนะ…ฉันที่สนใจจะไปร่วมฝึกกับพวกโบลโดนพวกกลุ่มรุ่นป้ามองด้วยสายตาแปลก ๆ แล้วพยายามลากตัวไปรวมกลุ่มกับวิเวียน และสอนให้ฉันมานั่งเย็บผ้านั่นเอง…ฉันยังจำสายตาของโบลที่มองฉันตอนถูกลาก นั่นเป็นสายตาที่แสดงถึงความสงสารอย่างสุดซึ้งเลย

 

“ได้ยินมาว่าหัวหน้ามีคนที่ชอบอยู่ การเย็บปักถักร้อยก็สามารถมัดใจอีกฝ่ายได้นะคะ”

 

“มันก็…ใช่อยู่หรอก แต่คงเป็นอีกฝ่ายมากกว่าที่ทำมามัดใจฉัน”

 

“ฮะ ๆ …ยังไงก็ลองดูก่อนแหละค่ะ อาจจะใช้เป็นของขวัญก็ได้”

 

“ของขวัญเรอะ…”

 

อา…นั่นสินะ ได้ยินมาว่าเคียร่าเองก็นับวันเกิดของตัวเองด้วยเหมือนกันเพราะว่าจำง่าย ถ้าจำไม่ผิดก็เป็นช่วงฤดูหนาว ขึ้นปีใหม่…

 

“อะ คืนนี้นี่หว่า”

 

ในตอนเที่ยงคืนของวันนี้ หรือก็คือวันแรกของปีใหม่คือวันเกิดของเคียร่า เมื่อฉันพูดออกมาแบบนั้นทั้งวิเวียนแล้วก็ผู้หญิงที่เหลือซึ่งกำลังเย็บผ้าอยู่นั้นก็หยุดมือ แล้วหันมามองเป็นตาเดียวกัน ก่อนที่จู่ ๆ บรรยากาศก็คึกคักขึ้นมาอย่างน่าประหลาด

 

“ตายจริง! ไม่ได้แล้วนะคะหัวหน้า! ต้องเร่งมือแล้วค่ะ รีบทำของขวัญชิ้นสำคัญแล้วให้แฟลชไปส่งให้ทันกันเถอะค่ะ!!”

 

“ใช่เลยค่ะหัวหน้า! วันสำคัญแบบนี้จะปล่อยไปไม่ได้เด็ดขาดค่ะ พวกเราจะคอยช่วยให้เอง”

 

มีความเห็นแบบนั้นดังสะท้อนไปมาอย่างน่าสับสน และแล้วของขวัญทำมือสำหรับเคียร่าก็เปิดฉากการทำด้วยเหตุแบบนี้…เอาเถอะ การทำแบบนี้ก็อาจจะไม่แย่เท่าไหร่ พูดแล้วก็ไม่เคยให้ของขวัญอะไรกับเธอเลย และพวกเราก็เร่งทำของขวัญจนเสร็จภายในคืนนี้ และดูเหมือนแฟลชเองก็กระตือรือร้นที่จะไปส่งให้ อืม หวังว่าจะไปได้สวยนะ…

 

แล้วดูเหมือนว่าเคียร่าจะชอบแล้วก็ดีใจมากเลยล่ะ แล้วไม่รู้ทำไม หลังจากวันนั้นฉันก็นั่งถักผ้าทั้งที่หุบยิ้มไม่ได้แล้วเกิดข่าวลือไปทั่วทั้งหมู่บ้าน…

 

ปีศักราช 1,690 หลังจากขึ้นปีใหม่ได้ไม่นานนักไข่ของมังกรเฟโลกัสก็ฟักออกมา อาจจะเป็นเรื่องลำบากสักหน่อยสำหรับฤดูหนาว แต่ได้ยินมาว่าเป็นช่วงที่ออกลูกดีที่สุดของพวกเขา เพราะแม้จะมีแม่มังกรแค่สองตัว ก็ได้เด็กเกิดใหม่มามากถึง 9 ตัว

และเพราะเป็นแบบนั้นจึงจำเป็นต้องช่วยพ่อแม่เลี้ยงดูเด็กที่มีเยอะ จนตอนนี้ฉันก็ตัดสินใจไปช่วยด้วยอีกแรง…จนรู้สึกว่าหลังจากนี้คงหลอนเสียงนกร้องไปอีกสักพักใหญ่

 

“จิ๊บ จิ๊บ”

 

“อา! เข้าใจแล้ว ๆ”

 

เสียงร้องเล็กแหลมที่เหมือนกับนกทั่วไปดังขึ้นพร้อมกันกึ่งก้องไปทั่วทั้งห้อง ทำให้ต้องเร่งมือที่กำลังบดพวกธัญพืชที่ชาวบ้านเตรียมเอาไว้เพื่อเอาไปผสมน้ำอุ่นไปป้อนให้ลูกนก ถึงจะเร่งมือแต่ก็จะใจร้อนไม่ได้เพราะว่าถ้าบดไม่ละเอียดอาจจะอันตรายได้ ดังนั้นจึงต้องฝืนทนฟังเสียงที่แสบแก้วหูแล้วบดต่อ

เจ้าพวกตัวแรกเกิดนี่หิวบ่อยมากเรียกได้ว่าถ้าเผลอละสายตาแป๊บเดียว มันก็จะร้องขึ้นมาจนต้องผลัดเวรกันช่วยดู…คิดผิดแล้วล่ะมั้งเนี่ยที่อาสามาช่วย แค่พวกนั้นเองก็น่าจะทำกันได้ไม่มีปัญหา นี่หาเรื่องใส่ตัวชัด ๆ เลยนี่หว่า

หลังจากผ่านไปได้แค่วันเดียวเท่านั้นสภาพของฉันก็ไม่ต่างจากคนตาย…ลูกอ่อนของสิ่งมีชีวิตนี่น่ากลัวจริง ๆ สุดท้ายคนที่เป็นหัวหน้ากลุ่มดูแลมังกรก็หัวเราะให้ฉันอย่างเอ็นดู แล้วแนะนำให้ถอนตัวออกไป…ทำไมกันนะ รู้สึกหงุดหงิดอย่างแปลก ๆ ก็เลยตัดสินใจจะทำต่ออีกสักหน่อย

และไม่ถึงหนึ่งสัปดาห์ฉันก็ยอมแพ้ไปในที่สุด…ยังรู้สึกเหมือนมีเสียงร้องติดในหูตลอดเวลาอยู่เลย

 

———————- —————–

 

“หา? มีคนขอย้ายมาอยู่ที่เกาะนี้เหรอ”

 

“อา เป็นคนเร่ร่อนจากฟัวกรา คงจะเหมือนกับพวกนาลที่โดนไล่ออกมา…จะเอายังไง”

 

“ฮึ่ม…”

 

ก็ใช่ว่าจะไม่เห็นใจหรอกนะ แต่ว่าถ้าคนยิ่งเยอะก็ยิ่งมากเรื่อง ถ้ามันไปอยู่จนถึงจุดที่ควบคุมได้ยากขึ้นมาคงลำบาก…ถ้ามันเกิดอะไรแบบนั้นขึ้นมา…

ฉันหยุดคิดครู่หนึ่งแล้วเหลือบมองไปที่โบล เมื่อเขาสังเกตเห็นสายตานั้นก็ยิ้มร่าออกมาอย่างผ่อนคลาย ราวกับรู้ความกังวลในใจของฉัน

 

“ถ้าเกิดอะไรขึ้นก็ยังมีพวกเราอยู่นั่นแหละ เลือกตามที่หัวหน้าต้องการเถอะ คนอื่นที่เข้ามาใหม่ก็ยินดีจะทำตามคำสั่งของหัวหน้า อย่ากังวลไปเลย”

 

“นั่นสินะ…งั้นก็ฝากไปบอกทีว่าพวกเรายินดีต้อนรับ แต่! ทุกคนที่เข้ามาต้องทำงานที่ฉันหาให้เพื่อแลกกับเงิน เราไม่มีทั้งอาหารทั้งเงินให้กับคนที่ไม่ทำงาน”

 

“รับทราบ!!”

 

ว่าแล้วโบลก็ขานรับแล้วเดินออกไปข้างนอกเพื่อทำตามคำสั่งของฉัน จากนั้นฉันก็นั่งจัดการกับเอกสารที่เหลือน้อยลงกว่าตอนแรกเยอะมาก เหลือแค่เรื่องที่ต้องให้หัวหน้าอย่างฉันเป็นคนตัดสินใจ ส่วนอะไรเล็กน้อยก็จะฝากให้พวกนาลจัดการกระจายงาน

จริงสิ…สร้างเมืองสินะ คนจากหมู่บ้านน่าจะมีช่างอยู่บ้างไปปรึกษาเรื่องการจัดผังเมืองดีกว่า ว่าจะสร้างยังไงดี ซึ่งก่อนหน้านี้พวกเราเขียนแผนที่ใหม่ขึ้นมาเพื่อบันทึกแบบปัจจุบันลงไป แล้วก็สรุปจะสร้างเมืองบริเวณทางเหนือของเกาะ ซึ่งมีทางน้ำแหว่งเข้ามาแล้วจะสร้างเมืองรอบแม่น้ำเหล่านั้นพร้อมทั้งสะพานข้ามฝั่ง

ส่วนทางใต้ของเกาะก็จะสร้างท่าเรือประมงเอาไว้พร้อมทั้งชุมชนเล็ก ๆ สำหรับคนที่จะออกไปประมง และถ้าเมืองรอบแอ่งน้ำตรงนี้เต็มเมื่อไหร่ก็จะขยายเมืองเรียบลงไปจนถึงท่าเรือทางใต้ ซึ่งพอคุยเสร็จก็จดเอาไว้ประมาณนี้

การก่อสร้างนั้นจ้างพวกคนมาใหม่ให้ทำงานสร้างเมืองรอบแอ่งน้ำรวมไปถึงบ้านว่างสำหรับรองรับคนเพิ่มด้วย เพราะจากข่าวที่ให้ไปหากันมาเพิ่มดูเหมือนว่าจะมีคนไม่น้อยที่กำลังมุ่งหน้ามายังเกาะแห่งนี้ ในอีกแง่หนึ่งก็สะดวกดีที่มีคนให้ใช้งานได้เยอะ ถ้าไม่ติดอะไรในอนาคตฉันอาจจะสร้างโรงเรียนแล้วแบ่งคนให้ไปสอน ถ้าแบบนั้นก็จะได้มีคนให้หยิบมาใช้งานได้อีก!!

พูดแล้วพอมาอยู่จุดนี้ฉันก็ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมประเทศส่วนใหญ่ถึงไม่เปิดโอกาสให้สามัญชนได้เรียน ถ้ามีคนเรียนเยอะ ๆ มีคนมีความรู้มากขึ้น ก็จะมีคนทำงานได้เยอะขึ้นไม่ใช่เหรอ แล้วแบบนั้นงานของพวกเราก็จะลดน้อยลงไป…มีแต่ข้อดีเลยนี่นา ถ้ามีโอกาสลองปรึกษาเรื่องนี้กับเคียร่าดีกว่า

 

—————————– —————————–

(ย้อนกลับไปเล็กน้อย ในช่วงคืนขึ้นปีใหม่)

 

“แต่ว่า น่าเสียดายนิดหน่อยนะ ที่เคียร่าใส่ชุดของทางโรงเรียนมา”

 

“นั่นสินะคะ เป็นงานขึ้นปีใหม่ทั้งที”

 

ในขณะที่กำลังยืนมองงานเต้นรำอยู่รอบนอกโดยมีเจ้าชายกับมารีนอยู่ข้าง ๆ ฉันก็โดนทักขึ้นมาแบบนั้น จึงได้แต่ยิ้มแห้งกลับไป

 

“เอ๋ ทำไมเหรอคะ งานนี้ใส่ชุดนักเรียนก็ได้นี่นา”

 

“ก็ใช่อยู่หรอก…แต่ส่วนใหญ่พวกเราจะใส่ชุดอื่นมางานเลี้ยงแบบนี้น่ะ ถ้าเคยได้ของขวัญมาก็ต้องใส่ให้เจ้าตัวดีใจ อย่างชุดของผมตอนนี้เหมือนกัน”

 

“อ้อ ที่ว่าได้มาจากราชินีในวันเกิดเดือนก่อนหรือคะ”

 

“ใช่”

 

เจ้าชายยืดอกและจับชายเสื้อให้ดูอย่างมั่นใจ ฉันจึงยิ้มและพูดทวนความทรงจำของตัวเองไป เป็นเรื่องปกติสำหรับขุนนางที่จะจดจำวันเกิดไว้ แล้วก็มีงานเลี้ยงฉลองพร้อมทั้งให้ของขวัญ ฉันเองก็ให้ที่คั่นดอกไม้อย่างง่ายตามธรรมเนียมเหมือนกัน ถึงจะกังวลนิดหน่อยว่าพอได้รึเปล่าแต่อีกฝ่ายดีใจก็ดีแล้วล่ะ

แต่จะว่าไปแล้วก็จริงแฮะ มองไปรอบงานก็มีแค่ฉันคนเดียวที่ใส่ชุดนักเรียนแบบนี้ ทำไงได้ มันใส่สบายนี่นาแถมถ้าจะบอกว่าต้องใส่ของขวัญให้เจ้าตัวเห็น ฉันก็ไม่เคยได้ของขวัญเป็นชุดเดรสสักหน่อย…ไม่สิ ไม่เคยมากกว่า ที่บ้านไม่ต้องพูดถึงเลยเพราะสามัญชนอย่างเราไม่มีอะไรแบบนี้กันอยู่แล้ว ส่วนอาจารย์ก็…เขาค่อนข้างยุ่งแหละ เลยไม่เคยบอก

แล้วในตอนที่ฉันไม่ได้สังเกต ดูเหมือนมารีนจะมองตัวฉันอย่างละเอียดก่อนจะยกพัดขึ้นมาปิดหน้าอีกครั้ง เจ้าตัวมีนิสัยแบบนี้ล่ะนะ ถ้าไม่พอใจจะใช้พัดปิดใบหน้าของตัวเอง คงจะเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายกลัวล่ะมั้ง เป็นคนอ่อนโยนขัดจากท่าทางจริง ๆ

 

“จะว่าไป อย่าว่าแต่ได้ของขวัญเลย สามัญชนอย่างนางจะจำวันเกิดได้หรือเปล่าเถอะ”

 

“เดี๋ยวเถอะมารีน…”

 

“ฮะ ๆ ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ก็…ฉันมีนับไว้อยู่นะคะ”

 

“เอ๊ะจริงเหรอ วันไหนล่ะ”

 

เจ้าชายที่ในตอนแรกดุมารีนเล็กน้อยรีบกลับมาสดใสทันทีเมื่อได้ยินฉันพูดแบบนั้น ทำให้มารีนถอนหายใจเบา ๆ แล้วรอฟังเช่นกัน เอ วันเกิดฉันสินะ…

 

“อะ วันนี้นี่นา”

 

“เอ๊ะ”

 

“เอ๊ะ”

 

‘กึง กึง’

 

แล้วหลังจากเสียงอุทานด้วยความตกใจของทั้งคู่ดังขึ้น สิ่งที่ตามมาก็คือเสียงกึ่งก้องของระฆังโบสถ์ ซึ่งถูกตีเป็นการประกาศว่านักบุญมาถึงแล้ว นั่นหมายความว่าต้องไปเตรียมตัวสำหรับการสวดภาวนาขึ้นปีใหม่นั่นเอง

 

“ถึงเวลาแล้วสินะคะ เจ้าชายต้องไปอยู่กับท่านราชาสินะคะ”

 

“อะ อา…”

 

“ถ้างั้นก็แยกกันตรงนี้เลยนะคะ ฝันดีล่วงหน้าค่ะ”

 

ฉันยิ้มให้เขาพร้อมทั้งโบกมือลาออกมาอย่างเรียบง่ายก่อนจะก้าวเท้าออกมาเร่งไปหาอาจารย์ โดยไม่สนใจท่าทางที่พยายามจะพูดอะไรบางอย่างของเจ้าชาย และเตรียมพร้อมสำหรับการสวดภาวนาข้ามปี…ทุกอย่างไปอย่างรวดเร็วราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ในขณะที่ยืนนิ่งประสานมือเข้าด้วยกัน ระฆังของโบสถ์ใหญ่ก็ดังขึ้นบอกว่าเริ่มวันใหม่ เข้าสู่ปีใหม่เรียบร้อยแล้ว…ใช่ แล้วงานเลี้ยงในคืนนี้ก็จบลงจนชวนให้รู้สึกว่าแค่นี้เหรอ? แต่ทุกคนก็แยกย้ายกลับกันทันที ก็นะดึกขนาดนี้แล้วนี่นาปกติไม่มีใครอยู่กันถึงขนาดนี้หรอก

และเมื่อฉันตรงไปที่ห้องตามคำแนะนำของอาจารย์และเตรียมตัวเข้านอนอยู่นั้นก็มีเสียงเคาะกระจกดังขึ้น

 

‘แกร๊ก แกร๊ก’

 

ฉันรู้ได้ทันทีเลยว่านั่นคือแฟลช ทำให้ร่างที่ล้มลงกับเตียงไปแล้วนั้นเด้งขึ้นมาทันที พร้อมทั้งรอยยิ้มเบิกบานที่ต่างจากรอยยิ้มในงานเลี้ยงลิบลับ แล้วก็รีบไปเปิดกระจกเพื่อให้แฟลชที่เอาจดหมายมาส่งเข้ามาในห้อง และรีบปลดชุดกับเอาจดหมายออกมาอ่านทันที

แต่ว่าฉันก็ต้องแปลกใจ

 

“ผ้าเช็ดหน้าเหรอ?”

 

มีบางอย่างแนบมาด้วยกันกับจดหมายแฟลชก็ส่งเสียงร้องด้วยความดีใจราวกับบอกว่าเป็นของฉัน แม้จะยังไม่เข้าใจแต่ก็หยิบออกมาเปิดดูตามที่บอก…เป็นผ้าที่มีรอยปักบิดเบี้ยวไปมาไม่เป็นรูปร่าง แต่ก็พอมองออกได้ว่าพยายามทำให้เป็นดอกไม้ ทำเอาชวนเอียงคอว่าคืออะไร

แล้วก็หวังว่าในจดหมายจะมีบอกจึงเปิดขึ้นมาอ่านทันที

 

เปิดจดหมายมาก็เป็นเนื้อหาคล้ายกับทุกครั้ง พักหลังมานี้แฟร์เริ่มเขียนจดหมายยาวขึ้นกว่าเก่าเพื่อบอกเล่าสิ่งที่เจอให้ฟัง เหมือนว่าหลังจากครั้งก่อนที่เจอกับมนุษย์บาดาลก็ได้ติดต่อกับพวกเขาอีกเล็กน้อย แล้วก็เรื่องที่ตอนนี้ทุกคนบนเกาะสามารถอ่านเขียนได้ค่อนข้างคล่องแล้วจึงยกเลิกการสอนไป แต่ก็ยังมีแลกเปลี่ยนความรู้กันอยู่บ้าง

นั่นดีเลยนี่นา กลุ่มฟิวของพวกเธอนั้นเต็มไปด้วยคนหลากหลายแบบมาจับกลุ่มรวมกัน ต่อให้ไม่ใช่ฝีมือการต่อสู้แต่พวกภูมิปัญญาหรืออย่างอื่นก็ต้องมีหลากหลายแน่ น่ายินดีจริง ๆ ที่พวกเขาทุกคนเป็นคนใฝ่รู้ คงจะเพราะเห็นแฟร์ที่เป็นผู้นำเป็นแบบนี้ล่ะมั้ง ก็เลยมีใจทำตามขึ้นมา

แฟร์เองก็เริ่มมีความคิดของผู้นำที่ดียิ่งขึ้นไปอีก เรียกว่าพรสวรรค์รึเปล่านะ ไม่สิ อย่างแฟร์คงเป็นความพยายามของตัวเองมากกว่า เป็นคนที่สว่างจังเลยนะ…ฉันเงยหน้าขึ้นและหลับตาลงหวนนึกถึงความทรงจำอันห่างไกลที่มีใบหน้าของแฟร์เมื่อตอนเราให้คำสัญญากันอยู่ แม้จะห่างไกลแค่ไหนแต่ก็ยังคงจำใบหน้าของเธอได้อย่างชัดเจน ในตอนนี้จะโตขึ้นเป็นแบบไหนกันนะ จะต้อง…เป็นคนที่ดูดีมากแน่

หลังจากคิดอะไรไปเรื่อยฉันก็ดึงตัวเองกลับมาด้วยการส่ายหัวไปมาแล้วก้มลงอ่านจดหมายต่อ ว่าแต่แล้วผ้านั่นล่ะคืออะไรกัน ในขณะที่กวาดตาหาคำตอบอยู่นั้นก็เห็นว่าบรรทัดล่างสุดมีข้อความที่ถูกเขียนด้วยตัวหนังสือสั่น ๆ แล้วก็เล็กมากอยู่

 

“ของ…ขวัญ…วันเกิด เหรอ?”

 

เหมือนว่าผ้านี่จะให้เป็นของขวัญวันเกิดล่ะ ข้อความที่อ่านยากเล็กน้อยของเธอนั้นถูกเขียนเอาไว้ว่า

 

‘แล้วก็นะ…พอดีบังเอิญว่าโดนลากไปเรียนถักผ้าน่ะ ก็เลยเอามาให้เป็นของทดลองทำน่ะ…มะ- ไม่ใช่ว่าเพราะพึ่งนึกได้ว่าเป็นวันเกิดเธอเลยตั้งใจทำให้หรอกนะ!! แค่ว่า…ลายที่ว่าทำง่ายที่สุดคือดอกไม้ แล้วเธอก็ชอบดอกไม้หนิ ก็เลยเอามาให้แค่นั้นเอง จำไว้นะ! ไม่ใช่เพราะวันเกิดเธอสักหน่อย!!’

 

“หุ รู้แล้วน่า”

 

เมื่ออ่านจนถึงคำสุดท้ายฉันก็เผลอหัวเราะออกมาในลำคอเพราะนึกถึงหน้าของแฟร์ในตอนที่เขียนประโยคนี้ เธอจะต้อง…น่ารักมากแน่

ฉันทอดสายตามองออกไปด้านนอกหน้าต่าง ข้ามผ่านกำแพงของโรงเรียนขุนนางออกไปจะพบกับช่องว่างของหุบเขาที่เป็นชายแดน ข้างนอกนั่น…แฟร์อยู่ที่นั่น อยากให้วันที่เราได้พบกันมาถึงเร็วขึ้นเหลือเกิน ฉันคิดเช่นนั้นในใจแล้วหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาหอมแตะจมูกเบา ๆ เพื่อปกปิดใบหน้าที่มีความสุขเต็มเปี่ยมเอาไว้ในใจ

ความรู้สึกนี้เป็นเพราะได้ของขวัญวันเกิดชิ้นแรกในชีวิตนี้และนานมากในชีวิตก่อน หรือเป็นเพราะได้ของขวัญจากเธอคนนั้นกันแน่ เรื่องนั้นจะเป็นยังไงก็คงไม่สำคัญ ก็ฉันมีความสุขมากขนาดนี้แล้วนี่นา

 

——————————— —————————–

(มุมคนเขียน)

 

จำได้แล้วค่ะ! ว่าตอนที่แล้วจะเขียนว่าอะไร!! เย้ย! คือเราน่าจะอยากแบ่งปันนิดหน่อยค่ะ เป็นความรู้สึกตอนคุยกับเพื่อนถึงนิยายเรื่องนี้ เรียกง่ายๆ ก็คงเป็นเบื้องหลังฉากการเขียนแหละค่ะ ฮ่า ฮ่า ฮ่า

คือเรื่องนี้เป็นนิยายที่ใครมองมา (ในกลุ่มพูดคุย) ก็คงบอกได้คำเดียวว่าจริงจังสุดๆ ค่ะ การหาข้อมูล การถกเรื่องประเด็นต่างๆ แล้วก็วางเซตติ้งของเรื่องตั้งแต่อดีต ปัจจุบัน อนาคต ที่วางเอาไว้เพื่อให้สมเหตุสมผลต่อกันนี่ก็ค่อนข้างละเอียดมาก ถึงแทบจะไม่ค่อยได้ใช้เลยก็เถอะ (ฮา)

จนถึงขนาดมีคนที่ไม่ได้อ่านนิยายเราแต่ฟังเรื่องที่เราคุยกับเพื่อนแล้วถามเลยว่า “นี่เขียนไซไฟเหรอ?” ขึ้นมาเลยค่ะ หยุดขำไม่ได้เลย ฮ่าๆๆๆ อะ แต่นิยายเรื่องนี้ก็ยังคงยืนกรานว่าเป็นนิยายสบายๆ เขียนเล่นค่ะ ไม่ต้องห่วงว่าเราจะจริงจังจนหมดไฟรึเปล่าเลยค่ะ! (เป็นคนที่ถ้าจริงจังเกินไปจะทำได้ไม่นาน)

นั่นแหละค่ะ เรารู้สึกว่ามันค่อนข้างบันเทิงดีเฉยๆ โดยเฉพาะหัวข้อคุยที่นึกถึงรวมเล่ม…เครดิตนักวาดนี่คงยาวเป็นหางว่าวแน่เลยค่ะ ใช้หลายคนเหลือเกิน (ฮา)

ถึงจะเป็นเรื่องที่ไกลหน่อยเพราะเราจะทำหลังจบภาค 2 โน่นเลยก็เถอะ แต่การพูดถึงเรื่องอนาคตก็สนุกดีไปอีกแบบค่ะ เพราะงั้นก็อยากจะพูดคุยกับนักอ่านทุกท่านเช่นกันค่ะ! เป็นเหมือนการปล่อยจินตนาการที่ไม่ต้องคิดเรื่องงบประมาณ (เพราะถ้าทำก็หาวิธีหาได้เองแหละ ฮ่าๆๆ)

ส่วนในความคิดเรานี่คิดว่าถ้าทำรวมเล่มพวกรูปคาร์ชีทมังกรแต่ละชนิดนี่ คงทำเป็นเล็มเล็กๆ แยกเลยค่ะ เพราะถ้าใส่ในเล่มหลักอาจจะเบียดหน้าเกินไปหน่อย ส่วนในเล่มก็จะไม่มีรูปคาร์ชีทแบบละเอียดเช่นกัน แต่คงจ้างวาดแยกต่างหากเป็นพวกฉากในเรื่องตามสไตล์ไลท์โนเวลญี่ปุ่นที่ทางนี้ชอบ

ประมาณนี้มั้งคะที่คิดไว้คร่าวๆ ฮ่าๆๆ

 

แล้วก็เพิ่มเติมนิดนึง ที่หลายวันมานี้เขียนช้าลงหน่อยที่จริงก็มีเหตุผลนิดหน่อย พอดีเหมือนว่าจะไข้ขึ้นเล็กน้อยค่ะเลยรู้สึกตื้อๆ แล้วเขียนช้า ขออภัยจริงๆ ค่ะ ;-; แต่ก็

ดังนั้นก่อนจะไปขอทิ้งท้ายไว้ด้วยรุปที่อัปเดตจากนักวาดนะคะ เคียร่าในชุดเครื่องแบบนักเรียนที่ลงสีเสร็จเรียบร้อยแล้ว แล้วก็…ริเกลใส่อานกับชุดเกราะ!! ของริเกลนี่ยังเป็นแบบร่างอยู่นะคะ ยังไม่เสร็จเช่นกัน ส่วนจะมีรูปอะไรตามมาอีกนั้นก็…ขอแอบสปอยว่าแฟร์เริ่มมีแบบร่างมานิดๆ หน่อยๆ แล้วค่ะ หลังจากที่เราไม่ได้ใช้รูปน้องมานาน (ฮา)

ยังไงก็ขอขอบคุณที่อ่านถึงตรงนี้นะคะ

(เครดิตผู้ออกแบบ : Okumura )

(เครดิตผู้ออกแบบ : Kola-rabbit )

 

 

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด