ภาพรักสีจางกลางสมุทร 137 เนี่ยนเนี่ยน / 138 ความโกรธ

Now you are reading ภาพรักสีจางกลางสมุทร Chapter 137 เนี่ยนเนี่ยน / 138 ความโกรธ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 137 เนี่ยนเนี่ยน

 

 

การที่มีคนหล่อๆ แถมยังไม่ชอบสุงสิงกับคนอื่นนักมาซื้อของให้เธอแบบนี้มันก็ดีไม่น้อย

 

 

ซย่าชิงอีรู้สึกราวกับหัวใจถูกเติมเต็มจนแทบระเบิดขึ้นมาทันที ความสุขฉายแววผ่านดวงตาของเธอ

 

 

ในจังหวะที่เธอกำลังดื่มด่ำกับความสุข อยู่ๆ เสียงของชายคนหนึ่งก็ดังขึ้นด้านหลัง

 

 

“เนี่ยนเนี่ยน” น้ำเสียงแฝงไปด้วยความรักใคร่ เธอหันมองผู้คนรอบตัวที่เดินผ่านไปมาไม่หยุดอย่างรีบเร่ง ไม่แม้แต่หันมองด้านหลังของพวกเขา

 

 

“เนี่ยนเนี่ยน…” คนคนนั้นตะโกนขึ้นอีกครั้ง

 

 

ซย่าชิงอีรู้สึกแปลกๆ เธอยืดตัวตรงและหันหลังไปมองคนที่ตะโกนมา

 

 

เหมือนกับเวลาหยุดเดินในจังหวะที่เธอหันหน้าไปด้านหลัง ทั้งโลกตกอยู่ในความเงียบและนิ่งค้าง แม้แต่ฝุ่นเม็ดเล็กๆ ที่ลอยอยู่ยังหยุดไม่ไหวติงกลางอากาศ

 

 

เธอนิ่งค้างอยู่ในท่าเดิม เส้นผมปลิวไปตามสายลม

 

 

หลายปีหลังจากนั้น ซย่าชิงอียังคงคิดว่าถ้าหากในตอนนั้นเธอไม่ได้หันไป ถ้าหากแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินประโยคนั้น ถ้าหากตอนนั้นเดินไปกับโม่หัน สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาจะแตกต่างไปจากเดิมหรือเปล่า และมันจะดีกับตัวเธอมากกว่าหรือไม่

 

 

เว้นเสียแต่ว่าไม่มีสิ่งที่เกิดจากคำว่าถ้าหากในโลกใบนี้

 

 

ซย่าชิงอีหันกลับไปมองในวันนั้น

 

 

เธอเห็นผู้ชายที่ใบหน้าอาบไปด้วยน้ำตา เธอจำไม่ได้ว่าเขาเป็นใคร

 

 

ท่าทีแบบนั้นหมายความว่าอย่างไรกัน เขาจ้องมองมาและไม่กล้าที่จะก้าวมาข้างหน้า แม้ประโยคเพียงเท่านั้นของเขาจะทำให้หลายสิ่งเปลี่ยนไป

 

 

ถึงแม้จะมีผู้คนเดินผ่านไปมามากมาย แม้จะมีถนนกว้างคั่นระหว่างพวกเขา ทว่าเธอก็ยังรู้สึกถึงสายตาของเขาที่จ้องมองมาที่เธอ

 

 

ทั้งเขาและเธอจ้องมองกันจากคนละฟากถนน แววตาของเธอยังคงไม่เปลี่ยนไปและนิ่งเงียบ ชายที่ยืนฝั่งตรงข้ามนิ่งงันและทำเพียงส่งยิ้มให้เธอพร้อมกับน้ำตาที่ไหลลงมาตามใบหน้าของเขา

 

 

“มีอะไรเหรอ” โม่หันที่กลับมาแล้วยื่นแก้วชานมส่งให้เธอ

 

 

เธอหันกลับและรับแก้วมาก่อนส่ายหน้า “ไม่มีอะไรค่ะ ไปกันเถอะ”

 

 

เธอดึงโม่หันให้เดินตามไปข้างหน้าและยืนอยู่ข้างๆ เธออย่างไม่ต้องการให้เขาเห็นชายคนที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้าม

 

 

จากนั้นก็เร่งฝีเท้าระหว่างที่เดินไปข้างหน้า รู้สึกอยู่ในใจลึกๆ ราวกับจะถูกดึงในจมลงไปในอดีตหากเธอมองกลับไป

 

 

และเธอไม่ต้องการให้เรื่องราวในอดีตกลับมาทำร้ายเธออีก

 

 

“เนี่ยนเนี่ยน!” ชายคนนั้นตะโกนดังลั่นอีกครั้ง เสียงแหบของเขาดังก้องไปทั่วบริเวณถนน

 

 

ทั้งโม่หันและซย่าชิงอีชะงักเท้า เขาหันหน้าไปแต่เธอดึงเสื้อเขาไว้ให้เดินต่อไปข้างหน้า

 

 

โม่หันเห็นผู้ชายคนหนึ่งกำลังเดินฝ่าฝูงคนจากฝั่งตรงข้ามตรงมาหาพวกเขา เขาลูบหลังมือเธอเบาๆ ก่อนเอ่ยขึ้น “ไม่เป็นไรนะ”

 

 

ชายคนนั้นวิ่งหอบจนมาถึงตัวของซย่าชิงอี เขาไม่ได้มองโม่หัน สายตาของเขากลับจ้องไปที่เธอจากด้านหลัง เธอครุ่นคิดและหันกลับไปมองเขา

 

 

เขาเตี้ยกว่าโม่หันเล็กน้อย รูปร่างหน้าตาดูโดดเด่น เว้นเสียว่าตอนนี้ท่าทางของเขาดูเหนื่อยล้าและผมยุ่งเหยิงไม่เป็นทรง เขาคงไม่ได้ตัดผมมานานมากแล้ว พร้อมรอยคล้ำใต้ตาและไรหนวดเขียวครึ้มที่คาง

 

 

“เนี่ยนเนี่ยน…” เขาพึมพำขณะที่จ้องมองเธอ

 

 

“คุณคะ คุณจำคนผิดแล้วล่ะค่ะ ฉันชื่อซย่าชิงอีต่างหาก” เธอสบตามองเขา ตอนแรกคิดว่าตัวเองคงประหม่าไม่มากก็น้อย แต่แปลกที่เธอกลับไม่ได้รู้สึกมากขนาดนั้นเหมือนเขาเป็นคนแปลกหน้าจริงๆ

 

 

เขาเอื้อมมือมาจะจับตัวเธอแต่เธอก็เบี่ยงตัวหลบ เขาลดมือลงอย่างเก้ๆ กังๆ และทำเพียงมองหน้าเธอ “ฉันจะจำเธอผิดได้ยังไง”

 

 

เธอหยิบบัตรประชาชนของตัวเองออกมาจากกระเป๋าและเอาให้เขาดู “อืม… นี่บัตรประชาชนของฉันค่ะ คุณทักคนผิดแล้วจริงๆ ค่ะ”

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 138 ความโกรธ

 

 

โม่หันที่ยืนอยู่ด้านข้างมองเธอและไม่ได้พูดอะไรออกมา

 

 

ชายคนนั้นนิ่งไปชั่วขณะเมื่อเห็นบัตรประชาชนของเธอ ฝืนยกมุมปากยิ้มขึ้นก่อนพูด “ขอโทษด้วยนะครับ ผมคงจำคนผิดจริงๆ ”

 

 

เขาจ้องซย่าชิงอีขณะที่พึมพำกับตัวเอง “เธอสองคนเหมือนกันมากจริงๆ ผมน่าจะให้คุณดูรูปของเธอแต่วันนี้ผมรีบเลยไม่ได้เอาติดมาด้วย ผม… ไม่ได้เจอเธอมานานแล้ว เธอหายตัวไปที่นี่ ผมออกตามหาตัวเธอมานานแล้ว”

 

 

ซย่าชิงอีกล่าวขอโทษกับเขา และบอกเขาว่าพวกเขาต้องไปแล้ว จากนั้นจึงดึงมือของโม่หัน “พี่คะ กลับบ้านกันเถอะ”

 

 

เธอไม่มองเขาอีกและหันกลับ พร้อมดึงตัวโม่หันตามมาด้วยขณะที่เดินไปข้างหน้า

 

 

ชายคนนั้นมองเธอจากด้านหลังจนลับตาไป

 

 

หลังจากจากมาจริงๆ แล้วเธอรู้สึกสับสบไม่น้อย ความกลัวที่อธิบายไม่ได้ก่อตัวขึ้นในใจของเธอทันที เธอไม่ได้กลัวผู้ชายที่อยู่ๆ ก็ปรากฎตัวขึ้น สิ่งที่เธอกลัวคือความจริงที่ว่าเธอไม่มีความรู้สึกอะไรต่อชายคนนั้นเลยต่างหาก

 

 

จังหวะหัวใจของเธอเต้นเป็นปกติเมื่อเห็นเขา คิดย้อนไปถึงอารมณ์ของตัวเองที่ไม่ได้เปลี่ยนไปยามที่มองใบหน้าอาบน้ำตาของเขา

 

 

เธอคงลืมเรื่องราวทุกอย่างในอดีตไปหมดแล้วถึงได้ไม่รู้สึกอะไรกับสิ่งที่เกิดขึ้นวันนั้น

 

 

เธอจากมาไกลก่อนที่จะรู้ตัวว่าโม่หันกุมมือเธอเอาไว้ เขากำลังขับรถอยู่ ใช้เพียงมือซ้ายบังคับพวงมาลัยอย่างสบายๆ ขณะที่มืออีกข้างกระชับมือเธอไว้อย่างอ่อนโยน

 

 

เธอดึงมือออกและมองออกไปนอกหน้าต่าง แปลกที่เธอรู้สึกมั่นใจขนาดนี้

 

 

“ทำไมเธอถึงพูดอย่างนั้นล่ะ” เขาเอ่ยขึ้นหลังจากเงียบมานาน

 

 

“แล้วฉันควรพูดว่าอะไรล่ะคะ”

 

 

“เธอไม่อยากรู้เรื่องในอดีตของเธอแล้วเหรอ”

 

 

“ไม่ค่ะ” ทิวทัศน์ริมถนนด้านนอกเลื่อนผ่านไปช้าๆ พร้อมกับแสงสลัวจากไฟข้างทางที่ทอดยาวให้ถนนเรียงกันเป็นเส้นเดียว เธอจ้องมองมันเนิ่นนานและว่าขึ้น “ฉันไม่อยากรู้ว่าฉันเกือบตายได้ยังไงอีกแล้ว”

 

 

“แต่คนคนนั้นดูมีความสัมพันธ์ในอดีตที่ดีกับเธอไม่น้อยเลยนะ” เขากล่าว

 

 

เธอเหยียดยิ้มขึ้นมาแวบหนึ่ง “ฉันไม่คิดแบบนั้นหรอกค่ะ ตอนที่โรงพยาบาลประกาศหาญาติคนไข้ตั้งเจ็ดครั้งระหว่างที่นอนหมดสติที่โรงพยาบาลเป็นเดือน ทำไมพวกเขาไม่มาหาฉันล่ะคะ ถ้าอยากตามหาฉันจริงๆ แค่แจ้งความคนหายที่กองความมั่นคงสาธารณะ พวกเขาก็จะหาฉันเจอจากประวัติการรักษาแล้ว ฉันคิดว่าพวกเขาคงคิดว่าฉันตายไปแล้วมากกว่า”

 

 

เขามองแผ่นหลังรั้นของเธอและต้องการเอื้อมมือไปลูบปลอบเธอ “แล้วพ่อแม่ของเธอล่ะ เธอไม่อยากรู้เรื่องของพวกเขาบ้างเหรอ”

 

 

สายตาของเธอกลับมาฉายแววว่างเปล่า อ่อนเสียงลงและถอนใจ “ฉันไม่รู้ค่ะ”

 

 

“พี่คิดว่ามันคงดีกว่าถ้าเธอรู้ความจริง รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในอดีต ก่อนที่จะตัดสินใจอะไรลงไป”

 

 

“ความจริงมันสำคัญมากเลยเหรอ เรื่องมันก็ผ่านมานานแล้ว” เธอพูดกับตัวเองเสียงเบาข้างกระจกรถ

 

 

“พี่ไม่อยากให้เธอต้องมาเสียใจทีหลัง” เขาว่าขึ้น

 

 

“ก่อนหน้านี้พี่คิดจะปล่อยให้ฉันกลับไปหาพวกเขา ถ้าพี่เห็นฉันร้องไห้กอดพวกเขาด้วยความดีใจ พี่ก็คงจะมีความสุขเพราะฉันจะได้ออกไปจากชีวิตพี่สักทีใช่ไหมล่ะคะ พี่เบื่อที่ต้องมาสะสางเรื่องที่ฉันทำยุ่งไว้น่ะสิ” น้ำเสียงเย็นชาและห่างเหินของเธอดังขึ้น

 

 

มือของโม่หันที่จับพวงมาลัยอยู่กระชับแน่นขึ้น เม้มริมฝีปากและขมวดคิ้วมุ่น

 

 

“ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ ต่อให้ฉันไม่กลับไปหาพวกเขา ฉันก็จะไม่อยู่รบกวนพี่หรอกค่ะ แค่พี่พูดมาคำเดียวฉันก็จะไปตามที่พี่ต้องการ” น้ำเสียงเรียบเฉยขณะที่เธอเพียงมองทิวทัศน์ที่ผ่านไปด้านนอก ราวกับกำลังพูดถึงเรื่องว่าจะกินอะไรตอนเช้า

 

 

อีกฝ่ายอดกลั้นอารมณ์ที่จะหยุดรถข้างถนน มือกำพวงมาลัยแน่น หักเลี้ยวเข้าที่มุมหนึ่งจนเธอโดนเหวี่ยงไปอีกด้าน

 

 

“ช่วงหลังมานี้พูดเก่งจังเลยนะ แม้แต่ตอนที่พูดกับพี่ที่เป็นนักกฎหมายก็ด้วย พี่ควรจะทำยังไงดีล่ะ ให้พี่มอบถ้วยรางวัลให้เธอเก็บไว้ที่บ้านดีไหม” เขาพูดขึ้นในท้ายที่สุด

 

 

เธอฮึดฮัดอย่างพูดไม่ออก ยกมุมปากฝืนยิ้มขึ้นแม้ปลายตาจะมีน้ำใสๆ คลออยู่ก็ตาม

 

 

“ซย่าชิงอี จำไว้นะ อย่าให้พี่ได้ยินเธอพูดแบบนี้ออกจากปากเป็นครั้งที่สองอีก!” น้ำเสียงของโม่หันเย็นชากว่าเดิม

 

 

เธอยังคงยิ้ม แหงนหน้าขึ้นและพยายามกลั้นน้ำตาที่กำลังจะไหลลงมา

 

 

ช่างเป็นช่วงเวลาที่ยิ้มออกมาทั้งน้ำตาที่เกิดขึ้นในโลกใบนี้เสียจริงๆ ช่วงเวลาที่มีแต่การฝืนยิ้มที่สามารถเก็บซ่อนความเศร้าในใจของเธอได้

 

 

รอยยิ้มที่ใช้ปกปิดทุกอย่างได้ดีที่สุด

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด