ภาพรักสีจางกลางสมุทร 196 รอยจูบช้ำ

Now you are reading ภาพรักสีจางกลางสมุทร Chapter 196 รอยจูบช้ำ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

อารมณ์หงุดหงิดของโม่หันพลุ่งพล่านขึ้นมา เขาไม่พอใจตั้งแต่ที่นายน้อยสามอยู่ในอดีตแล้ว ทั้งเขายังแอบสืบเรื่องระหว่างซย่าชิงอีกับตัวเองอีก “คุณไม่ต้องกังวลเรื่องระหว่างผมกับเธอ ตอนนี้เธออยู่กับผมและผมก็ดูแลเธออย่างดี มันเป็นสิ่งที่ผมควรทำอยู่แล้ว คุณไม่ต้องมาห่วงเรื่องนี้หรอกนะครับ”

 

 

“ถึงยังไงผมก็อยู่ในคุกและก็รู้ตัวดีว่าไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะพูดอะไรได้แล้ว” นายน้อยสามยกกุญแจมือขึ้นมาให้เขาดู “คุณพูดถูก ไม่ว่าจะในอดีตหรืออนาคต มีแค่คุณที่มีสิทธิ์พูด”

 

 

แววผิดหวังค่อยๆ ปะปนมาในน้ำเสียงของเขา “เธอรักผมมาหกปีและเป็นช่วงเวลาหกปีที่ทุกข์ทรมานเช่นกัน ผิดกับตอนที่อยู่ข้างคุณที่ทำให้เธอมีรอยยิ้มได้ในทุกๆ วัน”

 

 

เขายังคงเอ่ยกับตัวเองต่อ “อันที่จริงแล้วผมอยากจะคบกับเธอตั้งแต่ที่เธอบอกว่ารักผมมากว่าหกปี แต่เพราะว่าไม่สามารถให้เธอใช้ชีวิตในแบบที่เธอต้องการได้เลยได้แต่ปล่อยเธอไป”

 

 

นายน้อยสามเงยหน้ามองโม่หันด้วยท่าทางจริงจัง “ต่อไปช่วยดูแลเธอให้ดีด้วยนะครับ”

 

 

คนฟังมองเขากลับและนิ่งเงียบอยู่ครู่ใหญ่

 

 

เวลาในการเข้าเยี่ยมหมดลงหลังจากนั้น นายน้อยสามตามเจ้าหน้าที่กลับไปที่เรือนจำ ด้านโม่หันลุกขึ้นและเดินออกจากสถานีตำรวจไป

 

 

ช่วงราวๆ หนึ่งทุ่มซึ่งเลยจากเวลาที่รับปากว่าจะมารับซย่าชิงอีไว้มาก เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและเห็นสายที่ไม่ได้รับสี่สายจากเธอก่อนจะกดโทรกลับ

 

 

“ตอนนี้เธออยู่ไหน” เขาเอ่ยถาม

 

 

[ฉันอยู่ที่บ้านแล้วค่ะ] อีกฝ่ายเปลี่ยนเสื้อผ้าและกำลังนั่งอยู่บนโซฟา

 

 

“พี่ขอโทษ… มีธุระกะทันหันแทรกเข้ามาเลยเลิกงานช้า พี่ขับรถอยู่เลยไม่ได้ยินเสียงโทรศัพท์”

 

 

เธอไม่ได้เก็บเรื่องนี้มาใส่ใจนัก [ไม่เป็นไรหรอกค่ะ แต่ก่อนฉันก็กลับบ้านเองตลอดอยู่แล้ว ครั้งหน้าถ้าพี่ยุ่งก็ไม่ต้องมารับฉันก็ได้นะคะ วุ่นวายเปล่าๆ]

 

 

“จะไม่มีครั้งหน้าอีกแล้ว”

 

 

คนปลายสายยกยิ้ม [ฉันไม่ได้งอนพี่นะคะ พี่ไม่ต้องมารับฉันก็ได้แค่กลับมาบ้านเร็วๆ ก็พอแล้วล่ะค่ะ]

 

 

เมื่อได้ยินดังนั้นเขาก็กำโทรศัพท์ในมือแน่น เขาไม่อาจปล่อยให้เธอจากเขาไปได้ ไม่ว่าอย่างไรเขาจะไม่ปล่อยให้เธอจากเขาไป

 

 

ในตอนนั้นนั่นคือความคิดเดียวในใจของเขา

 

 

“งั้นเดี๋ยวพี่รีบกลับไปนะ” เขาว่าขึ้น

 

 

[อ่า… อย่าลืมซื้อเกี๊ยวจิ๋วที่โจวจี้มาด้วยนะคะ ฉันหิวแล้ว] เธอออดอ้อนเขาเหมือนอย่างเคย

 

 

“ได้ เดี๋ยวจะซื้อบิสกิตถั่วแดงเข้าไปให้ด้วยแล้วกัน”

 

 

[ไม่ต้องซื้อมาเยอะมากนะคะ ถ้าพี่กินตอนดึกๆ เดี๋ยวก็อ้วนเอาหรอก] เธอบ่นเขา

 

 

ความไม่สบายใจจากการพบกับนายน้อยสามค่อยๆ จางหายไปหลังจากพูดคุยกับเธอเพียงไม่กี่ประโยค ซย่าชิงอีไม่รู้ตัวว่าตัวเองมักทำให้เขาสงบใจลงได้อย่างรวดเร็ว

 

 

เขาบอกตัวเองไม่ให้เก็บเรื่องในอดีตมาเป็นปัญหาระหว่างพวกเขา กว่าพวกเขาจะได้อยู่ด้วยกันต้องผ่านความลำบากมามาก เขาไม่อาจทำลายทุกอย่างที่ในที่สุดก็ได้พบเจอหลังจากผ่านเรื่องราวมามากมาย เพียงเพราะนายน้อยสามที่จู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้น

 

 

เป็นเหตุให้เขาต้องแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องใดๆ เมื่อกลับไปถึงบ้าน เขาคิดในใจ

 

 

เขากลับมาถึงบ้านพร้อมเกี๊ยวจิ๋วและบิสกิตถั่วแดงของโปรดของเธอ

 

 

เธอไม่ได้อยู่ในห้องนั่งเล่น เขาถือเกี๊ยวจิ๋วติดมือไปด้วยและเห็นว่าเจ้าตัวอยู่ในห้องทำงาน กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ สายตาจดจ่ออยู่บนหน้าจอคอมพิวเตอร์พร้อมนิ้วมือที่รัวพิมพ์ไปบนคีย์บอร์ด

 

 

“พี่กลับมาแล้วเหรอ” เธอเงยหน้ามองเขาในขณะที่นิ้วยังขยับไม่หยุด

 

 

เขายกถุงเกี๊ยวจิ๋วขึ้นมา “นี่ของที่เธอต้องการ ออกมากินได้แล้ว”

 

 

อีกฝ่ายยังคงพิมพ์อยู่ สายตาจดจ้องบนหน้าจอ “อีกเดี๋ยวนะคะ ฉันใกล้จะเสร็จแล้ว วางไว้ด้านนอกได้เลยค่ะ พี่กินไปก่อนก็ได้นะคะ”

 

 

เขาปิดประตูและเดินไปที่ห้องครัว เทเกี๊ยวลงในชาม ทิ้งตัวนั่งบนเก้าอี้และรออยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่าเธอไม่ยอมออกมาเสียทีก็ผลักประตูเข้าไปอีกครั้ง และเห็นว่าเธอยังคงพิมพ์งานอยู่ก่อนจะเอ่ยขึ้น “ทำต่อทีหลังก็ได้ ออกมากินก่อน เดี๋ยวอาหารก็เย็นหมดหรอก”

 

 

เธอตอบกลับ “ก็ได้ค่ะ ก็ได้… ขออีกไม่กี่คำนะคะ”

 

 

ไม่นานหลังจากพูดจบเธอก็ทำงานเสร็จและยิ้มออกมา “เสร็จแล้วค่ะ! เอาล่ะ ไปกินข้าวกันเถอะค่ะ!” เธอลุกขึ้นและตามโม่หันไปด้านนอก

 

 

ระหว่างมื้ออาหารเสียงขยับตะเกียบไปมาของซย่าชิงอีดังขึ้นอย่างต่อเนื่องในขณะที่ชามเกี๊ยวของเขาแทบจะไม่พร่องลงไป เขาเอาแต่จ้องเธอกินอาหารจนคนถูกมองรู้สึกเอะใจเล็กน้อยก่อนถามอีกฝ่าย “วันนี้พี่…งานยุ่งมากเลยเหรอคะ”

 

 

เขาตอบกลับ “ก็ไม่นี่”

 

 

“ถ้างั้น… เกิดเรื่องวุ่นวายอะไรกับพี่หรือเปล่า”

 

 

“ก็ไม่อีกเหมือนกันนั่นแหละ”

 

 

“แล้วทำไมพี่ดูซึมๆ ไปล่ะคะ”

 

 

เขายกมือแตะใบหน้าตัวเองและเอ่ยถามขึ้น “พี่น่ะนะ พี่ดูเป็นอย่างนั้นเหรอ”

 

 

“ค่ะ สีหน้าดูไม่ค่อยดีเลย” เธอกัดตะเกียบในมือ “ปกติพี่กินเยอะกว่านี้เวลาที่อยู่กับฉัน แต่วันนี้พี่กินไปนิดเดียวเองนะคะ”

 

 

เขาส่งยิ้มให้ “พี่กินมาจากข้างนอกบ้างแล้ว”

 

 

“ถึงอย่างนั้นพี่ก็ดูซึมๆ ไปอยู่ดี ทำไมล่ะคะ เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า” คำถามถูกส่งมาจากเธอ

 

 

เขาเคยคิดมาตลอดว่าเธอคงมองความรู้สึกข้างในใจของเขาไม่ออกแต่เห็นทีน่าจะไม่เป็นเช่นนั้นแล้ว สำหรับเขาที่มักจะรักษาท่าทีต่อหน้าคนอื่นๆ มาเสมอ ทว่าดูเหมือนเมื่อเห็นเธอเขาจะหลงลืมการหลบซ่อนความรู้สึกในใจทุกครั้งไป

 

 

มุมปากของเขาถูกฝืนยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม “ไม่มีอะไรหรอก แค่เรื่องคดีความที่ค่อนข้างยากที่ต้องจัดการช่วงนี้น่ะ”

 

 

“มีอะไรให้ฉันช่วยไหมคะ” เธอยังคงถามต่ออย่างไม่ลดละ

 

 

เขาเอื้อมมือข้ามโต๊ะมาแตะหลังมือของเธอเบาๆ อย่างรู้สึกอ่อนใจ “ไม่เป็นไรหรอก แค่ดูแลตัวเองดีๆ ก็พอแล้ว พี่จะจัดการเรื่องนี้เองนะ”

 

 

เธอสบตามองจ้องตรงมาที่เขา “ต่อไปถ้าพี่ไม่สบายใจอย่าเก็บเงียบไว้กับตัวเองนะคะ แม้ว่าฉันจะช่วยอะไรไม่ได้แต่ก็เป็นที่ระบายให้พี่ได้ ฉันจะอยู่ข้างๆ คอยรับฟังพี่เองค่ะ”

 

 

เมื่อเห็นท่าทางจริงจังของอีกฝ่ายก็สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นที่ก่อตัวขึ้นในใจ เขานิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ เธอเห็นดังนั้นก็ก้มหน้าจัดการอาหารตรงหน้าต่อ เขามองเธอที่เคี้ยวตุ้ยๆ ก่อนจะยิ้มออกมาและถามขึ้น “กินเสร็จหรือยัง”

 

 

เกี๊ยวคำสุดท้ายถูกกลืนลงไปพร้อมใบหน้าของเธอที่เงยขึ้นมองเขาอย่างสงสัยในคำถามของอีกฝ่าย

 

 

เขาลุกขึ้นยืนในจังหวะเดียวกับที่โน้มตัวลงไปประกบจูบเธอ อีกฝ่ายนั่งนิ่งค้างไป สายตาจดจ้องอยู่ที่ใบหน้าของเขาที่เอียงรับองศา ริมฝีปากของเขาประทับอยู่ที่อวัยวะเดียวกันของเธอ ก่อนสอดแทรกลิ้นไปในโพรงปาก จุมพิตที่แสนอ่อนโยนและเย้ายวนชวนรู้สึกวาบหวามในใจ ลิ้นของเขาปัดป่ายไปทั่วเพดานปากให้สั่นไหว เธอขยับถอยออกด้วยสัญชาตญาณทว่าอีกฝ่ายกลับยิ่งเอนร่างเข้ามาใกล้ เอื้อมมือมาเชยคางเธอให้อยู่นิ่งๆ

 

 

เธอค่อยๆ จูบตอบเขาก่อนที่อีกฝ่ายจะจูบกลับมาอย่างร้อนแรง ใบหน้าถูกจับเชยขึ้นจนอาการเมื่อยคอเริ่มมาเยือน จึงขยับออกทิ้งระยะห่างกับอีกฝ่ายเมื่อฝืนทนไม่ไหวอีกต่อไป

 

 

เขายังคงค้างอยู่ท่าเดิมและโน้มศีรษะมามองเธอพร้อมรอยยิ้มที่ส่งมาให้และลมหายใจหอบกระชั้นเล็กน้อย เธอแหงนหน้ามองและส่งยิ้มกลับให้เขา “เกี๊ยวยังอยู่ในปากฉันเลย พี่ไม่กลัวมีกลิ่นบ้างเหรอ”

 

 

“ไม่เลย รู้สึกดีออก” เขาตอบกลับ

 

 

ซย่าชิงอีดันชามเกี๊ยวที่ยังกินไม่หมดให้เขา “ยังมีเหลืออยู่ พี่กินก็ได้นะคะ”

 

 

โม่หันนั่งลงจับมือเธอไม่ยอมปล่อยก่อนสบตามอง “ไม่อร่อยเท่าชิ้นที่อยู่ในปากของเธอหรอก”

 

 

เธอค้อนมองเขาอย่างรังเกียจและดึงมือตัวเองอออก “อี๋… สกปรกจะตาย”

 

 

เขาเอ่ยเย้าเธอ “มีสกปรกกว่านี้อีกนะ เธออยากจะลองไหมล่ะ”

 

 

เธอว่าขึ้น “ไม่อยากค่ะ ฉันอิ่มแล้ว ถ้าพี่อยากกินก็กินเลยค่ะ”

 

 

ก่อนลุกขึ้นยืนและตั้งท่าจะเดินออกไป แต่กลับถูกอีกคนดึงมือเอาไว้พร้อมเสียงที่ดังมาจากด้านหลัง “คืนนี้นอนห้องพี่นะ”

 

 

เธองุนงง “ทำไมเหรอคะ ช่วงนี้ฉันก็นอนหลับสบายดีนี่ ไม่มีอาการนอนไม่หลับมาสักพักแล้ว ทำไมฉันต้องไปนอนห้องพี่อีกล่ะ”

 

 

มือของเขาที่จับมือเธอไว้อยู่สั่นขึ้นมาอย่างไม่ได้ตั้งใจ เอาแต่จ้องมองเธออย่างเงียบๆ ตอนนั้นเองที่เธอเข้าใจสิ่งที่เขาพูดก่อนใบหน้าจะขึ้นสีแดง “ฉันไม่ไปหรอกค่ะ… นอนหลับคนเดียวให้สบายแล้วกันนะคะ”

 

 

เขายังไม่ยอมปล่อยมือเธอ “เธอจะไม่มาจริงๆ เหรอ”

 

 

เธอสะบัดมือออก “ใช่สิคะ ฉันมีรายงานที่ต้องทำให้เสร็จและส่งพรุ่งนี้ ตอนนี้ต้องกลับไปทำต่อที่ห้องทำงานแล้วล่ะค่ะ”

 

 

อีกฝ่ายยืนขึ้น โอบกอดเธอจากด้านหลังก่อนขบเม้มที่ใบหูของเธอเบาๆ “ถ้างั้นเธอจะทำเสร็จเมื่อไหร่ล่ะ”

 

 

เธอย่นคอหนีริมฝีปากของเขาที่โฉบลงมาจู่โจมใบหูให้ใจสั่นไหว “คงอีกสักพัก… ช่วงนี้ฉันมีการบ้านเยอะและก็เรียนหนักด้วยค่ะ”

 

 

เขาโน้มตัวมาด้านหน้าก่อนขบเม้มฝากรอยจูบไว้บนลำคอของเธอจนต้องเอียงคอขึ้นด้วยสัญชาตญาณ ให้สัมผัสราวกับแมวที่ข่วนทิ้งรอยเล็บเอาไว้ เธอดันร่างของเขาออก “เลิกแกล้งได้แล้วค่ะ ฉันต้องไปทำงานแล้ว”

 

 

จูบหนักๆ ถูกมอบให้เธออีกครั้งก่อนที่เขาจะปล่อยตัวเธอไป ทิ้งรอยจูบช้ำสีเข้มไว้บริเวณท้ายทอยซึ่งทำให้เธอเจ็บจนต้องนิ่วหน้าและลูบลำคอของตัวเอง ก่อนหันไปสบตาอีกฝ่าย

 

 

ไม่ต่างกับคนกระทำที่ลูบไล้ไปบนรอยนั้นเช่นกันพร้อมรอยยิ้มพึงพอใจ “กลับไปทำรายงานของเธอต่อเถอะ พี่ไม่กวนแล้ว”

 

 

ซย่าชิงอีชำเลืองค้อนมองเขาก่อนกลับไปทำรายงานในห้องทำงานให้เสร็จ

 

 

เพราะว่ามีคาบเรียนในตอนเช้า วันถัดมาเธอจึงต้องตื่นนอนแต่หัววัน เมื่อคืนนี้เธอส่งรายงานที่เพิ่งทำเสร็จให้อาจารย์ตรวจดูว่ามีส่วนไหนที่ต้องแก้บ้าง

 

 

เสร็จจากการแก้รายงานตามคำแนะนำของอาจารย์ เธอต้องเตรียมตัวกับการสอบครั้งถัดไปทันที แม้ว่าเธอจะพยายามอย่างหนักในการเรียนคาบเช้า แต่เมื่อมาถึงบ้านกลับไม่มีกะจิตกะใจจะอ่านหนังสือต่อไปแม้แต่น้อย

 

 

เทศกาลการสอบใกล้มาถึงแล้วในขณะที่เธอยังไม่ได้เริ่มอ่านหนังสือสักตัวเดียว เธอจึงปรึกษากับโม่หันว่าจะย้ายไปอยู่ที่หอพักนักศึกษาสักระยะหนึ่ง

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ภาพรักสีจางกลางสมุทร 196 รอยจูบช้ำ

Now you are reading ภาพรักสีจางกลางสมุทร Chapter 196 รอยจูบช้ำ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

อารมณ์หงุดหงิดของโม่หันพลุ่งพล่านขึ้นมา เขาไม่พอใจตั้งแต่ที่นายน้อยสามอยู่ในอดีตแล้ว ทั้งเขายังแอบสืบเรื่องระหว่างซย่าชิงอีกับตัวเองอีก “คุณไม่ต้องกังวลเรื่องระหว่างผมกับเธอ ตอนนี้เธออยู่กับผมและผมก็ดูแลเธออย่างดี มันเป็นสิ่งที่ผมควรทำอยู่แล้ว คุณไม่ต้องมาห่วงเรื่องนี้หรอกนะครับ”

 

 

“ถึงยังไงผมก็อยู่ในคุกและก็รู้ตัวดีว่าไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะพูดอะไรได้แล้ว” นายน้อยสามยกกุญแจมือขึ้นมาให้เขาดู “คุณพูดถูก ไม่ว่าจะในอดีตหรืออนาคต มีแค่คุณที่มีสิทธิ์พูด”

 

 

แววผิดหวังค่อยๆ ปะปนมาในน้ำเสียงของเขา “เธอรักผมมาหกปีและเป็นช่วงเวลาหกปีที่ทุกข์ทรมานเช่นกัน ผิดกับตอนที่อยู่ข้างคุณที่ทำให้เธอมีรอยยิ้มได้ในทุกๆ วัน”

 

 

เขายังคงเอ่ยกับตัวเองต่อ “อันที่จริงแล้วผมอยากจะคบกับเธอตั้งแต่ที่เธอบอกว่ารักผมมากว่าหกปี แต่เพราะว่าไม่สามารถให้เธอใช้ชีวิตในแบบที่เธอต้องการได้เลยได้แต่ปล่อยเธอไป”

 

 

นายน้อยสามเงยหน้ามองโม่หันด้วยท่าทางจริงจัง “ต่อไปช่วยดูแลเธอให้ดีด้วยนะครับ”

 

 

คนฟังมองเขากลับและนิ่งเงียบอยู่ครู่ใหญ่

 

 

เวลาในการเข้าเยี่ยมหมดลงหลังจากนั้น นายน้อยสามตามเจ้าหน้าที่กลับไปที่เรือนจำ ด้านโม่หันลุกขึ้นและเดินออกจากสถานีตำรวจไป

 

 

ช่วงราวๆ หนึ่งทุ่มซึ่งเลยจากเวลาที่รับปากว่าจะมารับซย่าชิงอีไว้มาก เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและเห็นสายที่ไม่ได้รับสี่สายจากเธอก่อนจะกดโทรกลับ

 

 

“ตอนนี้เธออยู่ไหน” เขาเอ่ยถาม

 

 

[ฉันอยู่ที่บ้านแล้วค่ะ] อีกฝ่ายเปลี่ยนเสื้อผ้าและกำลังนั่งอยู่บนโซฟา

 

 

“พี่ขอโทษ… มีธุระกะทันหันแทรกเข้ามาเลยเลิกงานช้า พี่ขับรถอยู่เลยไม่ได้ยินเสียงโทรศัพท์”

 

 

เธอไม่ได้เก็บเรื่องนี้มาใส่ใจนัก [ไม่เป็นไรหรอกค่ะ แต่ก่อนฉันก็กลับบ้านเองตลอดอยู่แล้ว ครั้งหน้าถ้าพี่ยุ่งก็ไม่ต้องมารับฉันก็ได้นะคะ วุ่นวายเปล่าๆ]

 

 

“จะไม่มีครั้งหน้าอีกแล้ว”

 

 

คนปลายสายยกยิ้ม [ฉันไม่ได้งอนพี่นะคะ พี่ไม่ต้องมารับฉันก็ได้แค่กลับมาบ้านเร็วๆ ก็พอแล้วล่ะค่ะ]

 

 

เมื่อได้ยินดังนั้นเขาก็กำโทรศัพท์ในมือแน่น เขาไม่อาจปล่อยให้เธอจากเขาไปได้ ไม่ว่าอย่างไรเขาจะไม่ปล่อยให้เธอจากเขาไป

 

 

ในตอนนั้นนั่นคือความคิดเดียวในใจของเขา

 

 

“งั้นเดี๋ยวพี่รีบกลับไปนะ” เขาว่าขึ้น

 

 

[อ่า… อย่าลืมซื้อเกี๊ยวจิ๋วที่โจวจี้มาด้วยนะคะ ฉันหิวแล้ว] เธอออดอ้อนเขาเหมือนอย่างเคย

 

 

“ได้ เดี๋ยวจะซื้อบิสกิตถั่วแดงเข้าไปให้ด้วยแล้วกัน”

 

 

[ไม่ต้องซื้อมาเยอะมากนะคะ ถ้าพี่กินตอนดึกๆ เดี๋ยวก็อ้วนเอาหรอก] เธอบ่นเขา

 

 

ความไม่สบายใจจากการพบกับนายน้อยสามค่อยๆ จางหายไปหลังจากพูดคุยกับเธอเพียงไม่กี่ประโยค ซย่าชิงอีไม่รู้ตัวว่าตัวเองมักทำให้เขาสงบใจลงได้อย่างรวดเร็ว

 

 

เขาบอกตัวเองไม่ให้เก็บเรื่องในอดีตมาเป็นปัญหาระหว่างพวกเขา กว่าพวกเขาจะได้อยู่ด้วยกันต้องผ่านความลำบากมามาก เขาไม่อาจทำลายทุกอย่างที่ในที่สุดก็ได้พบเจอหลังจากผ่านเรื่องราวมามากมาย เพียงเพราะนายน้อยสามที่จู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้น

 

 

เป็นเหตุให้เขาต้องแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องใดๆ เมื่อกลับไปถึงบ้าน เขาคิดในใจ

 

 

เขากลับมาถึงบ้านพร้อมเกี๊ยวจิ๋วและบิสกิตถั่วแดงของโปรดของเธอ

 

 

เธอไม่ได้อยู่ในห้องนั่งเล่น เขาถือเกี๊ยวจิ๋วติดมือไปด้วยและเห็นว่าเจ้าตัวอยู่ในห้องทำงาน กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ สายตาจดจ่ออยู่บนหน้าจอคอมพิวเตอร์พร้อมนิ้วมือที่รัวพิมพ์ไปบนคีย์บอร์ด

 

 

“พี่กลับมาแล้วเหรอ” เธอเงยหน้ามองเขาในขณะที่นิ้วยังขยับไม่หยุด

 

 

เขายกถุงเกี๊ยวจิ๋วขึ้นมา “นี่ของที่เธอต้องการ ออกมากินได้แล้ว”

 

 

อีกฝ่ายยังคงพิมพ์อยู่ สายตาจดจ้องบนหน้าจอ “อีกเดี๋ยวนะคะ ฉันใกล้จะเสร็จแล้ว วางไว้ด้านนอกได้เลยค่ะ พี่กินไปก่อนก็ได้นะคะ”

 

 

เขาปิดประตูและเดินไปที่ห้องครัว เทเกี๊ยวลงในชาม ทิ้งตัวนั่งบนเก้าอี้และรออยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่าเธอไม่ยอมออกมาเสียทีก็ผลักประตูเข้าไปอีกครั้ง และเห็นว่าเธอยังคงพิมพ์งานอยู่ก่อนจะเอ่ยขึ้น “ทำต่อทีหลังก็ได้ ออกมากินก่อน เดี๋ยวอาหารก็เย็นหมดหรอก”

 

 

เธอตอบกลับ “ก็ได้ค่ะ ก็ได้… ขออีกไม่กี่คำนะคะ”

 

 

ไม่นานหลังจากพูดจบเธอก็ทำงานเสร็จและยิ้มออกมา “เสร็จแล้วค่ะ! เอาล่ะ ไปกินข้าวกันเถอะค่ะ!” เธอลุกขึ้นและตามโม่หันไปด้านนอก

 

 

ระหว่างมื้ออาหารเสียงขยับตะเกียบไปมาของซย่าชิงอีดังขึ้นอย่างต่อเนื่องในขณะที่ชามเกี๊ยวของเขาแทบจะไม่พร่องลงไป เขาเอาแต่จ้องเธอกินอาหารจนคนถูกมองรู้สึกเอะใจเล็กน้อยก่อนถามอีกฝ่าย “วันนี้พี่…งานยุ่งมากเลยเหรอคะ”

 

 

เขาตอบกลับ “ก็ไม่นี่”

 

 

“ถ้างั้น… เกิดเรื่องวุ่นวายอะไรกับพี่หรือเปล่า”

 

 

“ก็ไม่อีกเหมือนกันนั่นแหละ”

 

 

“แล้วทำไมพี่ดูซึมๆ ไปล่ะคะ”

 

 

เขายกมือแตะใบหน้าตัวเองและเอ่ยถามขึ้น “พี่น่ะนะ พี่ดูเป็นอย่างนั้นเหรอ”

 

 

“ค่ะ สีหน้าดูไม่ค่อยดีเลย” เธอกัดตะเกียบในมือ “ปกติพี่กินเยอะกว่านี้เวลาที่อยู่กับฉัน แต่วันนี้พี่กินไปนิดเดียวเองนะคะ”

 

 

เขาส่งยิ้มให้ “พี่กินมาจากข้างนอกบ้างแล้ว”

 

 

“ถึงอย่างนั้นพี่ก็ดูซึมๆ ไปอยู่ดี ทำไมล่ะคะ เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า” คำถามถูกส่งมาจากเธอ

 

 

เขาเคยคิดมาตลอดว่าเธอคงมองความรู้สึกข้างในใจของเขาไม่ออกแต่เห็นทีน่าจะไม่เป็นเช่นนั้นแล้ว สำหรับเขาที่มักจะรักษาท่าทีต่อหน้าคนอื่นๆ มาเสมอ ทว่าดูเหมือนเมื่อเห็นเธอเขาจะหลงลืมการหลบซ่อนความรู้สึกในใจทุกครั้งไป

 

 

มุมปากของเขาถูกฝืนยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม “ไม่มีอะไรหรอก แค่เรื่องคดีความที่ค่อนข้างยากที่ต้องจัดการช่วงนี้น่ะ”

 

 

“มีอะไรให้ฉันช่วยไหมคะ” เธอยังคงถามต่ออย่างไม่ลดละ

 

 

เขาเอื้อมมือข้ามโต๊ะมาแตะหลังมือของเธอเบาๆ อย่างรู้สึกอ่อนใจ “ไม่เป็นไรหรอก แค่ดูแลตัวเองดีๆ ก็พอแล้ว พี่จะจัดการเรื่องนี้เองนะ”

 

 

เธอสบตามองจ้องตรงมาที่เขา “ต่อไปถ้าพี่ไม่สบายใจอย่าเก็บเงียบไว้กับตัวเองนะคะ แม้ว่าฉันจะช่วยอะไรไม่ได้แต่ก็เป็นที่ระบายให้พี่ได้ ฉันจะอยู่ข้างๆ คอยรับฟังพี่เองค่ะ”

 

 

เมื่อเห็นท่าทางจริงจังของอีกฝ่ายก็สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นที่ก่อตัวขึ้นในใจ เขานิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ เธอเห็นดังนั้นก็ก้มหน้าจัดการอาหารตรงหน้าต่อ เขามองเธอที่เคี้ยวตุ้ยๆ ก่อนจะยิ้มออกมาและถามขึ้น “กินเสร็จหรือยัง”

 

 

เกี๊ยวคำสุดท้ายถูกกลืนลงไปพร้อมใบหน้าของเธอที่เงยขึ้นมองเขาอย่างสงสัยในคำถามของอีกฝ่าย

 

 

เขาลุกขึ้นยืนในจังหวะเดียวกับที่โน้มตัวลงไปประกบจูบเธอ อีกฝ่ายนั่งนิ่งค้างไป สายตาจดจ้องอยู่ที่ใบหน้าของเขาที่เอียงรับองศา ริมฝีปากของเขาประทับอยู่ที่อวัยวะเดียวกันของเธอ ก่อนสอดแทรกลิ้นไปในโพรงปาก จุมพิตที่แสนอ่อนโยนและเย้ายวนชวนรู้สึกวาบหวามในใจ ลิ้นของเขาปัดป่ายไปทั่วเพดานปากให้สั่นไหว เธอขยับถอยออกด้วยสัญชาตญาณทว่าอีกฝ่ายกลับยิ่งเอนร่างเข้ามาใกล้ เอื้อมมือมาเชยคางเธอให้อยู่นิ่งๆ

 

 

เธอค่อยๆ จูบตอบเขาก่อนที่อีกฝ่ายจะจูบกลับมาอย่างร้อนแรง ใบหน้าถูกจับเชยขึ้นจนอาการเมื่อยคอเริ่มมาเยือน จึงขยับออกทิ้งระยะห่างกับอีกฝ่ายเมื่อฝืนทนไม่ไหวอีกต่อไป

 

 

เขายังคงค้างอยู่ท่าเดิมและโน้มศีรษะมามองเธอพร้อมรอยยิ้มที่ส่งมาให้และลมหายใจหอบกระชั้นเล็กน้อย เธอแหงนหน้ามองและส่งยิ้มกลับให้เขา “เกี๊ยวยังอยู่ในปากฉันเลย พี่ไม่กลัวมีกลิ่นบ้างเหรอ”

 

 

“ไม่เลย รู้สึกดีออก” เขาตอบกลับ

 

 

ซย่าชิงอีดันชามเกี๊ยวที่ยังกินไม่หมดให้เขา “ยังมีเหลืออยู่ พี่กินก็ได้นะคะ”

 

 

โม่หันนั่งลงจับมือเธอไม่ยอมปล่อยก่อนสบตามอง “ไม่อร่อยเท่าชิ้นที่อยู่ในปากของเธอหรอก”

 

 

เธอค้อนมองเขาอย่างรังเกียจและดึงมือตัวเองอออก “อี๋… สกปรกจะตาย”

 

 

เขาเอ่ยเย้าเธอ “มีสกปรกกว่านี้อีกนะ เธออยากจะลองไหมล่ะ”

 

 

เธอว่าขึ้น “ไม่อยากค่ะ ฉันอิ่มแล้ว ถ้าพี่อยากกินก็กินเลยค่ะ”

 

 

ก่อนลุกขึ้นยืนและตั้งท่าจะเดินออกไป แต่กลับถูกอีกคนดึงมือเอาไว้พร้อมเสียงที่ดังมาจากด้านหลัง “คืนนี้นอนห้องพี่นะ”

 

 

เธองุนงง “ทำไมเหรอคะ ช่วงนี้ฉันก็นอนหลับสบายดีนี่ ไม่มีอาการนอนไม่หลับมาสักพักแล้ว ทำไมฉันต้องไปนอนห้องพี่อีกล่ะ”

 

 

มือของเขาที่จับมือเธอไว้อยู่สั่นขึ้นมาอย่างไม่ได้ตั้งใจ เอาแต่จ้องมองเธออย่างเงียบๆ ตอนนั้นเองที่เธอเข้าใจสิ่งที่เขาพูดก่อนใบหน้าจะขึ้นสีแดง “ฉันไม่ไปหรอกค่ะ… นอนหลับคนเดียวให้สบายแล้วกันนะคะ”

 

 

เขายังไม่ยอมปล่อยมือเธอ “เธอจะไม่มาจริงๆ เหรอ”

 

 

เธอสะบัดมือออก “ใช่สิคะ ฉันมีรายงานที่ต้องทำให้เสร็จและส่งพรุ่งนี้ ตอนนี้ต้องกลับไปทำต่อที่ห้องทำงานแล้วล่ะค่ะ”

 

 

อีกฝ่ายยืนขึ้น โอบกอดเธอจากด้านหลังก่อนขบเม้มที่ใบหูของเธอเบาๆ “ถ้างั้นเธอจะทำเสร็จเมื่อไหร่ล่ะ”

 

 

เธอย่นคอหนีริมฝีปากของเขาที่โฉบลงมาจู่โจมใบหูให้ใจสั่นไหว “คงอีกสักพัก… ช่วงนี้ฉันมีการบ้านเยอะและก็เรียนหนักด้วยค่ะ”

 

 

เขาโน้มตัวมาด้านหน้าก่อนขบเม้มฝากรอยจูบไว้บนลำคอของเธอจนต้องเอียงคอขึ้นด้วยสัญชาตญาณ ให้สัมผัสราวกับแมวที่ข่วนทิ้งรอยเล็บเอาไว้ เธอดันร่างของเขาออก “เลิกแกล้งได้แล้วค่ะ ฉันต้องไปทำงานแล้ว”

 

 

จูบหนักๆ ถูกมอบให้เธออีกครั้งก่อนที่เขาจะปล่อยตัวเธอไป ทิ้งรอยจูบช้ำสีเข้มไว้บริเวณท้ายทอยซึ่งทำให้เธอเจ็บจนต้องนิ่วหน้าและลูบลำคอของตัวเอง ก่อนหันไปสบตาอีกฝ่าย

 

 

ไม่ต่างกับคนกระทำที่ลูบไล้ไปบนรอยนั้นเช่นกันพร้อมรอยยิ้มพึงพอใจ “กลับไปทำรายงานของเธอต่อเถอะ พี่ไม่กวนแล้ว”

 

 

ซย่าชิงอีชำเลืองค้อนมองเขาก่อนกลับไปทำรายงานในห้องทำงานให้เสร็จ

 

 

เพราะว่ามีคาบเรียนในตอนเช้า วันถัดมาเธอจึงต้องตื่นนอนแต่หัววัน เมื่อคืนนี้เธอส่งรายงานที่เพิ่งทำเสร็จให้อาจารย์ตรวจดูว่ามีส่วนไหนที่ต้องแก้บ้าง

 

 

เสร็จจากการแก้รายงานตามคำแนะนำของอาจารย์ เธอต้องเตรียมตัวกับการสอบครั้งถัดไปทันที แม้ว่าเธอจะพยายามอย่างหนักในการเรียนคาบเช้า แต่เมื่อมาถึงบ้านกลับไม่มีกะจิตกะใจจะอ่านหนังสือต่อไปแม้แต่น้อย

 

 

เทศกาลการสอบใกล้มาถึงแล้วในขณะที่เธอยังไม่ได้เริ่มอ่านหนังสือสักตัวเดียว เธอจึงปรึกษากับโม่หันว่าจะย้ายไปอยู่ที่หอพักนักศึกษาสักระยะหนึ่ง

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+