ภาพรักสีจางกลางสมุทร 171 ไม่ชอบ

Now you are reading ภาพรักสีจางกลางสมุทร Chapter 171 ไม่ชอบ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“ถ้าพี่พูดแบบนี้แล้ว อย่างนั้นเดี๋ยวฉันจะกลับไปก็ได้ค่ะ แต่ว่าตอนนี้ไม่มีรถอยู่ข้างนอกเลย พรุ่งนี้ฉันจะกลับแล้วกันนะคะ” ซย่าชิงอีจงใจพูดเย้าแหย่อีกฝ่าย

 

 

“อย่าคิดเชียวนะ! ลืมที่พี่บอกเธอไปเมื่อคืนแล้วงั้นเหรอ” เขาว่าเสียงดัง

 

 

“ลืมแล้วค่ะ” เธอตอบกลับมาพลางยักไหล่อย่างทำเหมือนว่าไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไร ขณะที่หันไปหยิบไดร์เป่าผมมาเป่าผมให้แห้ง

 

 

เว้นเสียแต่ว่าเธอจะไม่ทันเห็นว่าโม่หันค่อยๆ ก้าวเข้ามาใกล้เธอทีละนิด ในจังหวะที่เธอเสียบปลั๊กและกำลังจะเปิดไดร์เป่าผม เขาก็เข้ามาจับแขนเธอจากด้านหลังให้เธอลงต้องวางไดร์เป่าผมลง

 

 

เธอหันหน้าไปมองเขา เห็นว่าเขาที่สูงเหนือศรีษะเธอไปกำลังยืนอยู่ติดด้านหลังและก้มหน้าลงมามองเธอ มุมปากของเขายกขึ้นปรากฏเป็นรอยยิ้ม เธอได้แต่กะพริบตามองและหันหน้ากลับมา “พี่จะทำอะไรน่ะ”

 

 

“เธอลืมจริงๆ เหรอ” น้ำเสียงของเขาแฝงเสน่ห์เย้ายวนอยู่ในที

 

 

“ไม่… ไม่ค่ะ…” เธอเริ่มเอ่ยปฏิเสธออกมา

 

 

“งั้นก็พูดให้พี่ฟังหน่อยสิ…” เขาเอนตัวขยับแนบชิดเธอยิ่งขึ้น

 

 

อีกฝ่ายเริ่มพูดละล่ำละลักและขยับถอยหลัง “พี่อย่า… อย่าทำแบบนี้สิคะ”

 

 

“เธอไม่คิดว่าเราควรมาสะสางเรื่องระหว่างเราสองคนหน่อยเหรอ” เขาเอ่ยพลางขบเม้มริมฝีปากของตัวเองที่ใบหูของเธอ

 

 

เธอยังคงขยับถอยห่างอย่างไม่กล้ามองหน้าของเขา “อย่าทำแบบนั้นค่ะ มันจั๊กจี้นะ”

 

 

เมื่อเห็นใบหูแดงๆ ของเธอและสายตาที่กะพริบปริบๆ อย่างน่าเอ็นดูไม่น้อย หัวใจของเขาก็เต้นระรัว อดไม่ได้ที่จะโน้มศีรษะหมายจะจูบแก้มของอีกฝ่าย

 

 

เธอหลบเลี่ยงเขา ตีเข้าที่แขนซ้ายของเขาและถือโอกาสลอดตัวหนีทางพื้นที่ว่างใต้แขนของเขา ท่าทางไม่ค่อยพอใจนักก่อนมุ่นหน้าว่าขึ้น “ต่อไป… อย่าทำแบบนี้นะคะ… ฉันไม่ชอบ”

 

 

เขามองท่าทีของเธอและสงบอารมณ์ของตัวเองลง แม้แต่น้ำเสียงของเขาก็ยังเปลี่ยนไป “เธอไม่ชอบพี่เหรอ”

 

 

เธอยืนทิ้งระยะห่างกับเขา ไม่กล้าสบตากับอีกฝ่ายและทำเพียงมองเสี้ยวหน้าของเขา “ฉัน…เห็นพี่เป็นพี่ชายของฉัน ฉัน…”

 

 

เขาขัดเธอขึ้นมา “พอแล้ว ไม่ต้องพูด พี่รู้แล้ว”

 

 

“ฉันขอโทษค่ะ”

 

 

น้ำเสียงของเขากลับกลายเป็นเย็นชาเหมือนกับตอนที่เธอพบกับเขาครั้งแรก “เธอไม่ต้องพูดอะไรแล้ว นอนหลับให้สบายเถอะ”

 

 

พูดจบเขาก็ไม่มองหน้าเธอและหันหลังเดินออกจากห้องไป

 

 

เธอเห็นเขาเดินออกไปจากห้อง ประตูถูกปิดลงเสียงดังทิ้งให้เธออยู่คนเดียวในห้อง เธอหันไปมองด้านหลังและเห็นเสื้อสูทและเนกไทสีน้ำเงินของอีกฝ่ายวางอยู่บนเตียง

 

 

เธอไม่เคยคิดว่าเขาจะมีปฏิกิริยาตอบสนองขนาดนี้

 

 

ก่อนจะหยิบเสื้อผ้าและเนกไทของเขาย่องออกไปวางไว้บนโซฟาในห้องนั่งเล่นให้เจ้าของมันเห็นในตอนเช้า หันไปมองห้องของอีกฝ่ายและเห็นว่าประตูถูกล็อกไว้แน่น

 

 

ทำไมเธอถึงปฏิเสธเขา แน่นอนว่าเขาเป็นคนดี โชคดีแค่ไหนที่มีคนอย่างเขามาชอบ แต่ทำไมเธอถึงปฏิเสธเขาล่ะ

 

 

เธอเป็นใครกัน เป็นคนที่ไม่รู้แม้กระทั่งอดีตของตัวเองแถมนิสัยก็ยังไม่ดีอีก บางครั้งเธอยังเกลียดตัวเองเลย ถ้าพวกเขาคบกันจริงๆ ในฐานะคนรักของเธอ เขาก็จะค่อยๆ รู้ตัวตนที่แท้จริงและคงไม่ชอบเธอเข้าสักวัน

 

 

อย่างนั้นแล้วทำไมต้องทำให้ยุ่งยากด้วย เธอเองไม่ใช่คนที่ชอบเรื่องรักๆ ใคร่ๆ และชอบอยู่ตัวคนเดียว ไม่อยากให้ใครมารบกวนอยู่ข้างๆ มันคงจะดีกว่าถ้าหยุดเรื่องนี้ก่อนที่พวกเขาจะจริงจังต่อกันไปมากกว่านี้

 

 

เธอรู้สึกว่ามันเป็นเพียงความคิดชั่ววูบของเขา คงเป็นเพราะว่าอยู่ๆ หันเลี่ยงก็ปรากฎตัวขึ้นจึงทำให้เขารู้สึกเหมือนกับถูกพรากบางอย่างที่เป็นของเขาไป ไม่ใช่เรื่องของความรักที่ไม่สมหวังแบบนั้น

 

 

เธอยอมรับว่าบางทีความทุกข์ของเธอก็ทำให้เธอระวังตัวกับความอ่อนโยนใจดีที่จู่ๆ ก็เข้ามาในชีวิต

 

 

ดูเหมือนว่าสิ่งดีๆ จะดูห่างไกลเกินกว่าจะเกิดขึ้นกับเธออย่างยอมรับว่าตัวเองช่างโชคร้ายในเรื่องนี้นัก

 

 

โม่หันนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารแล้วในตอนที่เธอตื่นนอนและเดินออกมาจากห้องในวันถัดมา เขาเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว สูทที่ถูกรีดเรียบวางอยู่ข้างตัวขณะที่เขานั่งกินอาหารเช้าอยู่

 

 

“ทำไมพี่ไม่ปลุกฉันล่ะ” เธอทิ้งตัวนั่งอีกฝั่งของโต๊ะ

 

 

“พี่อยากให้เธอหลับอีกหน่อย” เขาตอบเสียงเรียบอย่างเย็นชาขณะที่จัดการอาการตรงหน้าไปด้วย

 

 

“ค่ะ” เธอพยักหน้ารับพร้อมกัดตะเกียบในมือ ท่าทีห่างเหินของเขาทำให้เธอไม่รู้จะพูดอะไรจึงเอาแต่นั่งนั่งกินอาหารไปอย่างเงียบๆ

 

 

การที่เธอตัดสินใจที่จะไม่พูดในครั้งนี้ทำให้เธอรู้ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาระหว่างมื้ออาหารเธอมักเป็นคนที่เริ่มบทสนทนากับเขาก่อนเสมอ เมื่อเธอไม่ได้พูดอะไรออกมาทั้งบ้านจึงตกอยู่ในความเงียบจนน่ากลัว

 

 

เธอทนไม่ไหวอีกต่อไปจึงพูดออกมาในที่สุด “ฉันจะไปยื่นเรื่องที่มหาวิทยาลัยให้เรียบร้อยตอนบ่ายและจะเริ่มไปเรียนภายในอาทิตย์นี้นะคะ”

 

 

เขาไม่ปริปากใดๆ และทำเพียงกินอาหารของตัวเอง

 

 

“ฉันไม่มีอะไรทำหลังจากกลับมาตอนบ่าย ขอแวะไปอยู่ที่บริษัทพี่สักพักได้ไหมคะ” เธอเอ่ยถาม

 

 

“ไม่ได้”

 

 

เธอมองเขาที่ว่าขึ้น “ช่วงนี้บริษัทค่อนข้างยุ่ง ถ้าเธอไปอยู่ที่นั่นคงไม่สะดวกนักหรอก”

 

 

“ฉันจะไม่ก่อเรื่องค่ะ จะนั่งมองอยู่เฉยๆ เลยนะคะ”

 

 

เธอเห็นทีว่าเขายังคงยืนกรานปฏิเสธเธอจึงพูด “ก็ได้ค่ะๆ ฉันไม่ไปก็ได้”

 

 

“พี่กินเสร็จแล้ว ไปทำงานก่อนนะ” เขาวางตะเกียบลง หยิบกระเป๋าก่อนลุกขึ้นยืน เธอมองเขาและชำเลืองมองนาฬิกาบนผนัง “ทำไมวันนี้พี่ออกเช้าจังเลยล่ะ เดี๋ยวก็ไปถึงที่นั่นเช้าเกินไปหรอกค่ะ”

 

 

โม่หันเดินไปที่หน้าประตูและกำลังจะใส่รองเท้า “ช่วงนี้ที่บริษัทงานยุ่ง พี่ต้องไปเช้าหน่อย”

 

 

ในจังหวะที่เธออ้าปากจะถามว่าเขาจะกลับมากี่โมง อีกฝ่ายก็ปิดประตูเสียงดังและออกไปเสียแล้ว

 

 

เธอถอนหายใจเฮือกใหญ่พลางทิ้งตัวนั่งนิ่งบนเก้าอี้ มองอาหารบนโต๊ะที่ยังกินไม่หมดแต่เธอก็ไม่มีอารมณ์จะกินต่อไปแล้ว

 

 

เขาตั้งใจจะตีตัวออกห่างจากเธอหรือ หรือว่าเขาจะหลบหน้าเธอกัน เป็นเพราะเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานหรือ

 

 

เมื่อเธอกลับมาจากมหาวิทยาลัยในช่วงบ่ายเธอก็ใจลอยไปเรื่อย เพราะว่าเธออยู่คนเดียวและทำอาหารไม่เป็นจึงสั่งอาหารเข้ามาและนั่งกินบนพรม

 

 

ปกติแล้วเมื่อก่อนโม่หันมักจะกลับมาในเวลาหลังจากนี้ไม่นาน บางครั้งเขาจะซื้ออาหารเข้ามานั่งกินด้วยกันที่โต๊ะอาหาร แต่ตอนนี้มีเพียงเธอที่ต้องนั่งกินอาหารไร้รสชาติอยู่คนเดียว เธอกินอย่างไร้ชีวิตชีวาเพียงไม่กี่คำก็กินต่อไม่ไหว ก่อนจะเทที่เหลือทิ้งลงถังขยะและเข้าไปอ่านหนังสือในห้องทำงานของเขา

 

 

เวลาราวสามทุ่ม โม่หันนั่งอยู่เงียบๆ ในรถของตัวเองที่จอดในลานจอดรถ จริงๆ แล้วเขามาถึงบ้านตั้งแต่ครึ่งชั่วโมงที่แล้วแต่เขาไม่ยังอยากขึ้นไป

 

 

อันที่จริงที่เขาบอกซย่าชิงอีไปเมื่อเช้าว่างานที่บริษัทยุ่งเป็นเรื่องโกหก ท่าทีที่เธอมองมาที่เขาตอนที่ออกมาจากบ้านบ่งบอกว่าเธอเองก็รู้เรื่องนี้ เธอคงอยากให้เขากลับมาทำตัวเหมือนก่อนหน้านี้ แต่เขาก็ยังหุนหันออกไปราวกับกำลังวิ่งหนี

 

 

เขาไม่ได้คาดคิดถึงคำปฏิเสธของเธอ ทีแรกเขาคิดว่าจะคงไม่มีปัญหาระหว่างพวกเขาหากไม่มี

 

 

หันเลี่ยง เขาคิดว่าเธอจะชอบเขา แต่หันเลี่ยงดันโผล่มาแทรกกลางระหว่างพวกเขาหลังจากนั้นเสียก่อน

 

 

แต่ตอนนี้เธอกลับไม่ได้ทำอย่างที่เขาคาดไว้ แม้จะไม่มีหันเลี่ยงก็ตาม

 

 

เขาคงมองข้ามปัญหาสำคัญไป ปัญหาที่เธอไม่ได้ชอบเข้าแม้แต่น้อย เธอคิดกับเขาเป็นเพียงพี่ชายคนหนึ่งเท่านั้น

 

 

เมื่อได้ยินสิ่งที่เธอพูดเมื่อวาน เขาก็อึ้งไปไม่น้อย

 

 

เมื่อเช้าเขาจึงไม่อยากเห็นหน้าของอีกฝ่ายนัก มันไม่ใช่ความผิดของเธอ แต่เป็นเขาเองที่ยังเก็บเอาความรู้สึกแย่ๆ ที่เกิดขึ้นตอนที่เธอบอกว่าเธอไม่ชอบเขามาคิด บอกให้รู้ว่าเขายังคงมีความรู้สึกรักๆ ใคร่ๆ แบบนี้อยู่บ้าง

 

 

ท่าทีของเขาในตอนนั้นดูน่าเกลียดไม่น้อย เป็นเหตุให้เขาต้องรีบหันเดินออกไปกลับห้องของตัวเองด้วยท่าทีประหม่า

 

 

และตอนนี้เขาก็รู้สึกละอายเหลือเกิน จึงเอาแต่นั่งอยู่ในรถที่ลานจอดรถพลางคิดว่าจะเข้าไปในบ้านเมื่อไหร่ดี

 

 

ระหว่างที่เขานั่งรอ เมื่อมองเวลาและเห็นว่าสามทุ่มครึ่งแล้ว คงไม่ดีนักหากเขาจะยังอยู่ในนี้ต่อไป เธอจะยังรอให้เขากลับไปเหมือนเมื่อก่อนหรือเปล่า โม่หันส่ายหน้าไปมาเร็วๆ

 

 

อย่าคิดมาก! เธอไม่ได้คิดเหมือนกับเขาเสียหน่อย เธอแค่ทำเหมือนเขาเป็นพี่ชายของเธอเท่านั้น เลิกคิดเรื่องนี้ได้แล้ว

 

 

ในที่สุดเขาก็เปิดประตูและกลับขึ้นบ้าน ในตอนที่เขาเปิดประตูและเห็นว่าบ้านยังคงอยู่ในสภาพเดิม เว้นแต่ว่าเธอไม่ได้อยู่ที่ห้องนั่งเล่น ทั้งบ้านว่างเปล่าและเงียบสงัด มีเพียงแสงไฟที่ส่องสว่างไปทั่วห้อง

 

 

เขาไม่ได้เดินไปที่ห้องของเธอเพื่อดูเธอเหมือนอย่างที่เขาเคยทำแต่ก่อน ห้องของเธอกลายเป็นสถานที่ต้องห้ามของเขา

 

 

ยังมีรายละเอียดเกี่ยวกับคดีการโจรกรรมความลับทางการค้าและการยักยอกเงินกองทุนของบริษัทหยวนเฉินที่ต้องสะสาง ตั้งใจว่าจะทำต่อในตอนที่กลับไปทำงานพรุ่งนี้ แต่เมื่อคิดว่าเขายังไม่รู้สึกง่วงแม้แต่นิดหลังจากที่กลับมาถึงบ้าน จึงทำตามนิสัยเดิมของตัวเองที่หยิบแก้วน้ำและแล็ปท็อปติดตัวไปที่ห้องอ่านหนังสือเพื่อเตรียมตัวทำงาน

 

 

แต่เมื่อเปิดประตูเข้าไปในห้องเขาก็ชะงักไป

 

 

ซย่าชิงอีกำลังนอนหลับบนโซฟาตัวเล็กที่ตั้งอยู่ในห้อง หนังสือในมือของเธอหล่นลงบนพื้น เธอนอนตะแคงหันหน้าเข้าด้านใน ขาวางพาดสูงบนพนักมืออีกด้าน ไม่รู้ว่าเธอหลับไปนานแค่ไหนแล้วและไม่มีสิ่งใดห่มคลุมร่างของเธออยู่

 

 

เขามองไปที่เธอขณะที่เดินผ่านเธอไปและปิดประตูเบาๆ

 

 

บางทีอาจถูกอย่างที่กฎของเมอร์ฟี่ว่าไว้ ยิ่งคุณกังวลว่าบางอย่างจะเกิดขึ้น สิ่งนั้นก็ยิ่งเป็นไปได้ว่าจะเกิดขึ้น

 

 

เหมือนเช่นในตอนนี้

 

 

โม่หันเดินเข้ามาและเห็นว่าเธอนอนในท่าที่ไม่ได้ระวังตัวสักนิดก่อนที่เขาส่ายหน้า เห็นได้ชัดว่าเธอคงหลับสนิท เขาหยิบหนังสือที่ตกลงบนพื้นและเห็นว่าเธอกำลังอ่าน  หลักการพื้นฐานของกฎหมายเศรษฐกิจ  อยู่

 

 

เธอคงอ่านหนังสือพวกนี้จริงๆ ถึงได้ง่วงจนผล็อยหลับไปแบบนี้ เขาหันกลับมามองใบหน้ายามหลับใหลของอีกฝ่าย ลังเลว่าสะกิดปลุกเธอตรงไหนดี

 

 

จังหวะที่เขากำลังครุ่นคิดอยู่ เธอที่คงเมื่อยตัวจากการนอนบนโซฟาก็กำลังพลิกตัวไปมาเพื่อหาท่านอนที่สบายตัวเพื่อนอนต่อ เขากลับมามีสติอีกครั้งก่อนกระแอมออกมาและเอ่ยขึ้น “ไปนอนที่ห้องของเธอได้แล้ว”

 

 

เสียงของเขาที่ปลุกเธอให้ตื่นขึ้นทำให้เธอไม่สบอารมณ์นัก ก่อนซุกศีรษะลงบนโซฟาและครางฮึดฮัดออกมาเบาๆ

 

 

“ออกไปนอนที่ห้องได้แล้ว” โม่หันว่าซ้ำ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ภาพรักสีจางกลางสมุทร 171 ไม่ชอบ

Now you are reading ภาพรักสีจางกลางสมุทร Chapter 171 ไม่ชอบ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“ถ้าพี่พูดแบบนี้แล้ว อย่างนั้นเดี๋ยวฉันจะกลับไปก็ได้ค่ะ แต่ว่าตอนนี้ไม่มีรถอยู่ข้างนอกเลย พรุ่งนี้ฉันจะกลับแล้วกันนะคะ” ซย่าชิงอีจงใจพูดเย้าแหย่อีกฝ่าย

 

 

“อย่าคิดเชียวนะ! ลืมที่พี่บอกเธอไปเมื่อคืนแล้วงั้นเหรอ” เขาว่าเสียงดัง

 

 

“ลืมแล้วค่ะ” เธอตอบกลับมาพลางยักไหล่อย่างทำเหมือนว่าไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไร ขณะที่หันไปหยิบไดร์เป่าผมมาเป่าผมให้แห้ง

 

 

เว้นเสียแต่ว่าเธอจะไม่ทันเห็นว่าโม่หันค่อยๆ ก้าวเข้ามาใกล้เธอทีละนิด ในจังหวะที่เธอเสียบปลั๊กและกำลังจะเปิดไดร์เป่าผม เขาก็เข้ามาจับแขนเธอจากด้านหลังให้เธอลงต้องวางไดร์เป่าผมลง

 

 

เธอหันหน้าไปมองเขา เห็นว่าเขาที่สูงเหนือศรีษะเธอไปกำลังยืนอยู่ติดด้านหลังและก้มหน้าลงมามองเธอ มุมปากของเขายกขึ้นปรากฏเป็นรอยยิ้ม เธอได้แต่กะพริบตามองและหันหน้ากลับมา “พี่จะทำอะไรน่ะ”

 

 

“เธอลืมจริงๆ เหรอ” น้ำเสียงของเขาแฝงเสน่ห์เย้ายวนอยู่ในที

 

 

“ไม่… ไม่ค่ะ…” เธอเริ่มเอ่ยปฏิเสธออกมา

 

 

“งั้นก็พูดให้พี่ฟังหน่อยสิ…” เขาเอนตัวขยับแนบชิดเธอยิ่งขึ้น

 

 

อีกฝ่ายเริ่มพูดละล่ำละลักและขยับถอยหลัง “พี่อย่า… อย่าทำแบบนี้สิคะ”

 

 

“เธอไม่คิดว่าเราควรมาสะสางเรื่องระหว่างเราสองคนหน่อยเหรอ” เขาเอ่ยพลางขบเม้มริมฝีปากของตัวเองที่ใบหูของเธอ

 

 

เธอยังคงขยับถอยห่างอย่างไม่กล้ามองหน้าของเขา “อย่าทำแบบนั้นค่ะ มันจั๊กจี้นะ”

 

 

เมื่อเห็นใบหูแดงๆ ของเธอและสายตาที่กะพริบปริบๆ อย่างน่าเอ็นดูไม่น้อย หัวใจของเขาก็เต้นระรัว อดไม่ได้ที่จะโน้มศีรษะหมายจะจูบแก้มของอีกฝ่าย

 

 

เธอหลบเลี่ยงเขา ตีเข้าที่แขนซ้ายของเขาและถือโอกาสลอดตัวหนีทางพื้นที่ว่างใต้แขนของเขา ท่าทางไม่ค่อยพอใจนักก่อนมุ่นหน้าว่าขึ้น “ต่อไป… อย่าทำแบบนี้นะคะ… ฉันไม่ชอบ”

 

 

เขามองท่าทีของเธอและสงบอารมณ์ของตัวเองลง แม้แต่น้ำเสียงของเขาก็ยังเปลี่ยนไป “เธอไม่ชอบพี่เหรอ”

 

 

เธอยืนทิ้งระยะห่างกับเขา ไม่กล้าสบตากับอีกฝ่ายและทำเพียงมองเสี้ยวหน้าของเขา “ฉัน…เห็นพี่เป็นพี่ชายของฉัน ฉัน…”

 

 

เขาขัดเธอขึ้นมา “พอแล้ว ไม่ต้องพูด พี่รู้แล้ว”

 

 

“ฉันขอโทษค่ะ”

 

 

น้ำเสียงของเขากลับกลายเป็นเย็นชาเหมือนกับตอนที่เธอพบกับเขาครั้งแรก “เธอไม่ต้องพูดอะไรแล้ว นอนหลับให้สบายเถอะ”

 

 

พูดจบเขาก็ไม่มองหน้าเธอและหันหลังเดินออกจากห้องไป

 

 

เธอเห็นเขาเดินออกไปจากห้อง ประตูถูกปิดลงเสียงดังทิ้งให้เธออยู่คนเดียวในห้อง เธอหันไปมองด้านหลังและเห็นเสื้อสูทและเนกไทสีน้ำเงินของอีกฝ่ายวางอยู่บนเตียง

 

 

เธอไม่เคยคิดว่าเขาจะมีปฏิกิริยาตอบสนองขนาดนี้

 

 

ก่อนจะหยิบเสื้อผ้าและเนกไทของเขาย่องออกไปวางไว้บนโซฟาในห้องนั่งเล่นให้เจ้าของมันเห็นในตอนเช้า หันไปมองห้องของอีกฝ่ายและเห็นว่าประตูถูกล็อกไว้แน่น

 

 

ทำไมเธอถึงปฏิเสธเขา แน่นอนว่าเขาเป็นคนดี โชคดีแค่ไหนที่มีคนอย่างเขามาชอบ แต่ทำไมเธอถึงปฏิเสธเขาล่ะ

 

 

เธอเป็นใครกัน เป็นคนที่ไม่รู้แม้กระทั่งอดีตของตัวเองแถมนิสัยก็ยังไม่ดีอีก บางครั้งเธอยังเกลียดตัวเองเลย ถ้าพวกเขาคบกันจริงๆ ในฐานะคนรักของเธอ เขาก็จะค่อยๆ รู้ตัวตนที่แท้จริงและคงไม่ชอบเธอเข้าสักวัน

 

 

อย่างนั้นแล้วทำไมต้องทำให้ยุ่งยากด้วย เธอเองไม่ใช่คนที่ชอบเรื่องรักๆ ใคร่ๆ และชอบอยู่ตัวคนเดียว ไม่อยากให้ใครมารบกวนอยู่ข้างๆ มันคงจะดีกว่าถ้าหยุดเรื่องนี้ก่อนที่พวกเขาจะจริงจังต่อกันไปมากกว่านี้

 

 

เธอรู้สึกว่ามันเป็นเพียงความคิดชั่ววูบของเขา คงเป็นเพราะว่าอยู่ๆ หันเลี่ยงก็ปรากฎตัวขึ้นจึงทำให้เขารู้สึกเหมือนกับถูกพรากบางอย่างที่เป็นของเขาไป ไม่ใช่เรื่องของความรักที่ไม่สมหวังแบบนั้น

 

 

เธอยอมรับว่าบางทีความทุกข์ของเธอก็ทำให้เธอระวังตัวกับความอ่อนโยนใจดีที่จู่ๆ ก็เข้ามาในชีวิต

 

 

ดูเหมือนว่าสิ่งดีๆ จะดูห่างไกลเกินกว่าจะเกิดขึ้นกับเธออย่างยอมรับว่าตัวเองช่างโชคร้ายในเรื่องนี้นัก

 

 

โม่หันนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารแล้วในตอนที่เธอตื่นนอนและเดินออกมาจากห้องในวันถัดมา เขาเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว สูทที่ถูกรีดเรียบวางอยู่ข้างตัวขณะที่เขานั่งกินอาหารเช้าอยู่

 

 

“ทำไมพี่ไม่ปลุกฉันล่ะ” เธอทิ้งตัวนั่งอีกฝั่งของโต๊ะ

 

 

“พี่อยากให้เธอหลับอีกหน่อย” เขาตอบเสียงเรียบอย่างเย็นชาขณะที่จัดการอาการตรงหน้าไปด้วย

 

 

“ค่ะ” เธอพยักหน้ารับพร้อมกัดตะเกียบในมือ ท่าทีห่างเหินของเขาทำให้เธอไม่รู้จะพูดอะไรจึงเอาแต่นั่งนั่งกินอาหารไปอย่างเงียบๆ

 

 

การที่เธอตัดสินใจที่จะไม่พูดในครั้งนี้ทำให้เธอรู้ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาระหว่างมื้ออาหารเธอมักเป็นคนที่เริ่มบทสนทนากับเขาก่อนเสมอ เมื่อเธอไม่ได้พูดอะไรออกมาทั้งบ้านจึงตกอยู่ในความเงียบจนน่ากลัว

 

 

เธอทนไม่ไหวอีกต่อไปจึงพูดออกมาในที่สุด “ฉันจะไปยื่นเรื่องที่มหาวิทยาลัยให้เรียบร้อยตอนบ่ายและจะเริ่มไปเรียนภายในอาทิตย์นี้นะคะ”

 

 

เขาไม่ปริปากใดๆ และทำเพียงกินอาหารของตัวเอง

 

 

“ฉันไม่มีอะไรทำหลังจากกลับมาตอนบ่าย ขอแวะไปอยู่ที่บริษัทพี่สักพักได้ไหมคะ” เธอเอ่ยถาม

 

 

“ไม่ได้”

 

 

เธอมองเขาที่ว่าขึ้น “ช่วงนี้บริษัทค่อนข้างยุ่ง ถ้าเธอไปอยู่ที่นั่นคงไม่สะดวกนักหรอก”

 

 

“ฉันจะไม่ก่อเรื่องค่ะ จะนั่งมองอยู่เฉยๆ เลยนะคะ”

 

 

เธอเห็นทีว่าเขายังคงยืนกรานปฏิเสธเธอจึงพูด “ก็ได้ค่ะๆ ฉันไม่ไปก็ได้”

 

 

“พี่กินเสร็จแล้ว ไปทำงานก่อนนะ” เขาวางตะเกียบลง หยิบกระเป๋าก่อนลุกขึ้นยืน เธอมองเขาและชำเลืองมองนาฬิกาบนผนัง “ทำไมวันนี้พี่ออกเช้าจังเลยล่ะ เดี๋ยวก็ไปถึงที่นั่นเช้าเกินไปหรอกค่ะ”

 

 

โม่หันเดินไปที่หน้าประตูและกำลังจะใส่รองเท้า “ช่วงนี้ที่บริษัทงานยุ่ง พี่ต้องไปเช้าหน่อย”

 

 

ในจังหวะที่เธออ้าปากจะถามว่าเขาจะกลับมากี่โมง อีกฝ่ายก็ปิดประตูเสียงดังและออกไปเสียแล้ว

 

 

เธอถอนหายใจเฮือกใหญ่พลางทิ้งตัวนั่งนิ่งบนเก้าอี้ มองอาหารบนโต๊ะที่ยังกินไม่หมดแต่เธอก็ไม่มีอารมณ์จะกินต่อไปแล้ว

 

 

เขาตั้งใจจะตีตัวออกห่างจากเธอหรือ หรือว่าเขาจะหลบหน้าเธอกัน เป็นเพราะเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานหรือ

 

 

เมื่อเธอกลับมาจากมหาวิทยาลัยในช่วงบ่ายเธอก็ใจลอยไปเรื่อย เพราะว่าเธออยู่คนเดียวและทำอาหารไม่เป็นจึงสั่งอาหารเข้ามาและนั่งกินบนพรม

 

 

ปกติแล้วเมื่อก่อนโม่หันมักจะกลับมาในเวลาหลังจากนี้ไม่นาน บางครั้งเขาจะซื้ออาหารเข้ามานั่งกินด้วยกันที่โต๊ะอาหาร แต่ตอนนี้มีเพียงเธอที่ต้องนั่งกินอาหารไร้รสชาติอยู่คนเดียว เธอกินอย่างไร้ชีวิตชีวาเพียงไม่กี่คำก็กินต่อไม่ไหว ก่อนจะเทที่เหลือทิ้งลงถังขยะและเข้าไปอ่านหนังสือในห้องทำงานของเขา

 

 

เวลาราวสามทุ่ม โม่หันนั่งอยู่เงียบๆ ในรถของตัวเองที่จอดในลานจอดรถ จริงๆ แล้วเขามาถึงบ้านตั้งแต่ครึ่งชั่วโมงที่แล้วแต่เขาไม่ยังอยากขึ้นไป

 

 

อันที่จริงที่เขาบอกซย่าชิงอีไปเมื่อเช้าว่างานที่บริษัทยุ่งเป็นเรื่องโกหก ท่าทีที่เธอมองมาที่เขาตอนที่ออกมาจากบ้านบ่งบอกว่าเธอเองก็รู้เรื่องนี้ เธอคงอยากให้เขากลับมาทำตัวเหมือนก่อนหน้านี้ แต่เขาก็ยังหุนหันออกไปราวกับกำลังวิ่งหนี

 

 

เขาไม่ได้คาดคิดถึงคำปฏิเสธของเธอ ทีแรกเขาคิดว่าจะคงไม่มีปัญหาระหว่างพวกเขาหากไม่มี

 

 

หันเลี่ยง เขาคิดว่าเธอจะชอบเขา แต่หันเลี่ยงดันโผล่มาแทรกกลางระหว่างพวกเขาหลังจากนั้นเสียก่อน

 

 

แต่ตอนนี้เธอกลับไม่ได้ทำอย่างที่เขาคาดไว้ แม้จะไม่มีหันเลี่ยงก็ตาม

 

 

เขาคงมองข้ามปัญหาสำคัญไป ปัญหาที่เธอไม่ได้ชอบเข้าแม้แต่น้อย เธอคิดกับเขาเป็นเพียงพี่ชายคนหนึ่งเท่านั้น

 

 

เมื่อได้ยินสิ่งที่เธอพูดเมื่อวาน เขาก็อึ้งไปไม่น้อย

 

 

เมื่อเช้าเขาจึงไม่อยากเห็นหน้าของอีกฝ่ายนัก มันไม่ใช่ความผิดของเธอ แต่เป็นเขาเองที่ยังเก็บเอาความรู้สึกแย่ๆ ที่เกิดขึ้นตอนที่เธอบอกว่าเธอไม่ชอบเขามาคิด บอกให้รู้ว่าเขายังคงมีความรู้สึกรักๆ ใคร่ๆ แบบนี้อยู่บ้าง

 

 

ท่าทีของเขาในตอนนั้นดูน่าเกลียดไม่น้อย เป็นเหตุให้เขาต้องรีบหันเดินออกไปกลับห้องของตัวเองด้วยท่าทีประหม่า

 

 

และตอนนี้เขาก็รู้สึกละอายเหลือเกิน จึงเอาแต่นั่งอยู่ในรถที่ลานจอดรถพลางคิดว่าจะเข้าไปในบ้านเมื่อไหร่ดี

 

 

ระหว่างที่เขานั่งรอ เมื่อมองเวลาและเห็นว่าสามทุ่มครึ่งแล้ว คงไม่ดีนักหากเขาจะยังอยู่ในนี้ต่อไป เธอจะยังรอให้เขากลับไปเหมือนเมื่อก่อนหรือเปล่า โม่หันส่ายหน้าไปมาเร็วๆ

 

 

อย่าคิดมาก! เธอไม่ได้คิดเหมือนกับเขาเสียหน่อย เธอแค่ทำเหมือนเขาเป็นพี่ชายของเธอเท่านั้น เลิกคิดเรื่องนี้ได้แล้ว

 

 

ในที่สุดเขาก็เปิดประตูและกลับขึ้นบ้าน ในตอนที่เขาเปิดประตูและเห็นว่าบ้านยังคงอยู่ในสภาพเดิม เว้นแต่ว่าเธอไม่ได้อยู่ที่ห้องนั่งเล่น ทั้งบ้านว่างเปล่าและเงียบสงัด มีเพียงแสงไฟที่ส่องสว่างไปทั่วห้อง

 

 

เขาไม่ได้เดินไปที่ห้องของเธอเพื่อดูเธอเหมือนอย่างที่เขาเคยทำแต่ก่อน ห้องของเธอกลายเป็นสถานที่ต้องห้ามของเขา

 

 

ยังมีรายละเอียดเกี่ยวกับคดีการโจรกรรมความลับทางการค้าและการยักยอกเงินกองทุนของบริษัทหยวนเฉินที่ต้องสะสาง ตั้งใจว่าจะทำต่อในตอนที่กลับไปทำงานพรุ่งนี้ แต่เมื่อคิดว่าเขายังไม่รู้สึกง่วงแม้แต่นิดหลังจากที่กลับมาถึงบ้าน จึงทำตามนิสัยเดิมของตัวเองที่หยิบแก้วน้ำและแล็ปท็อปติดตัวไปที่ห้องอ่านหนังสือเพื่อเตรียมตัวทำงาน

 

 

แต่เมื่อเปิดประตูเข้าไปในห้องเขาก็ชะงักไป

 

 

ซย่าชิงอีกำลังนอนหลับบนโซฟาตัวเล็กที่ตั้งอยู่ในห้อง หนังสือในมือของเธอหล่นลงบนพื้น เธอนอนตะแคงหันหน้าเข้าด้านใน ขาวางพาดสูงบนพนักมืออีกด้าน ไม่รู้ว่าเธอหลับไปนานแค่ไหนแล้วและไม่มีสิ่งใดห่มคลุมร่างของเธออยู่

 

 

เขามองไปที่เธอขณะที่เดินผ่านเธอไปและปิดประตูเบาๆ

 

 

บางทีอาจถูกอย่างที่กฎของเมอร์ฟี่ว่าไว้ ยิ่งคุณกังวลว่าบางอย่างจะเกิดขึ้น สิ่งนั้นก็ยิ่งเป็นไปได้ว่าจะเกิดขึ้น

 

 

เหมือนเช่นในตอนนี้

 

 

โม่หันเดินเข้ามาและเห็นว่าเธอนอนในท่าที่ไม่ได้ระวังตัวสักนิดก่อนที่เขาส่ายหน้า เห็นได้ชัดว่าเธอคงหลับสนิท เขาหยิบหนังสือที่ตกลงบนพื้นและเห็นว่าเธอกำลังอ่าน  หลักการพื้นฐานของกฎหมายเศรษฐกิจ  อยู่

 

 

เธอคงอ่านหนังสือพวกนี้จริงๆ ถึงได้ง่วงจนผล็อยหลับไปแบบนี้ เขาหันกลับมามองใบหน้ายามหลับใหลของอีกฝ่าย ลังเลว่าสะกิดปลุกเธอตรงไหนดี

 

 

จังหวะที่เขากำลังครุ่นคิดอยู่ เธอที่คงเมื่อยตัวจากการนอนบนโซฟาก็กำลังพลิกตัวไปมาเพื่อหาท่านอนที่สบายตัวเพื่อนอนต่อ เขากลับมามีสติอีกครั้งก่อนกระแอมออกมาและเอ่ยขึ้น “ไปนอนที่ห้องของเธอได้แล้ว”

 

 

เสียงของเขาที่ปลุกเธอให้ตื่นขึ้นทำให้เธอไม่สบอารมณ์นัก ก่อนซุกศีรษะลงบนโซฟาและครางฮึดฮัดออกมาเบาๆ

 

 

“ออกไปนอนที่ห้องได้แล้ว” โม่หันว่าซ้ำ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+