ภาพรักสีจางกลางสมุทร 167 รอยจูบ

Now you are reading ภาพรักสีจางกลางสมุทร Chapter 167 รอยจูบ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เธอมองหน้าอีกฝ่ายและก้มลงมองมือของตัวเอง ยกมือขึ้นแตะใบหน้าโดยที่ไม่ได้พูดอะไรออกมา

 

 

“เธอเป็นอะไรไหม รู้สึกไม่สบายเหรอ” หันเลี่ยงดึงแขนเธอเข้ามาหาด้วยความเป็นห่วง

 

 

ในที่สุดซย่าชิงอีก็กลับมามีสติ เธอเหลือบมองหันเลี่ยงที่มองกลับมาเหมือนปกติ “ไม่มีอะไร ฉันแค่นึกบางอย่างขึ้นมาได้เฉยๆ”

 

 

“เรื่องอะไร”

 

 

“เรื่อง… ออกไปซื้อปลาให้คุณ” เธอพึมพำจนดูเหมือนพูดกับตัวเอง

 

 

เขารู้สึกเป็นห่วงเธอขึ้นมาเล็กน้อย “ไปวันอื่นดีกว่าไหม วันนี้เธอดูอาการไม่ค่อยดีเลย”

 

 

“ไม่… ฉันจะไปวันนี้…” เธอยืนกรานคำเดิม

 

 

เพราะว่าเธอกำลังจะไปซื้อปลาให้เขา หันเลี่ยงจึงคิดว่าเธอคงรู้สึกคุ้นชินกับชีวิตประจำวันที่นี่แล้วและปล่อยให้เธอทำตามที่ต้องการ “อย่างนั้นก็ตามใจเธอนะ เราจะรอเธออยู่ที่บ้าน กลับมาเร็วๆ นะ”

 

 

เมื่อซย่าชิงอีเดินออกมาจากตัวอาคาร เธอก็ยังคงไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมถึงอยากจะหนีออกมา ในจังหวะที่ได้รู้ความจริงเธอก็รู้สึกงุนงง เรื่องราวมากมายที่จู่ๆ ก็ได้รับรู้อย่างไม่คาดคิดมาก่อนทำให้ทุกประสาทสัมผัสของเธอเสียศูนย์ไปในทันที เธอลืมแม้กระทั่งการเข้าไปถามหันเลี่ยงและแม่ของเธอว่าทำไมต้องหลบซ่อนเรื่องราวที่สำคัญอย่างนี้กับเธอด้วย

 

 

ทว่าเธอก็ไม่กล้าที่จะเอ่ยปากถามด้วยกลัวว่าจะยอมรับความจริงที่มาอยู่ตรงหน้าเธอไม่ได้

 

 

เธอคิดถึงความเป็นไปได้ของสิ่งที่เกิดขึ้นมากมายแต่กลับไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน เรื่องที่ไม่น่าเชื่อเลยสักนิด

 

 

เธอกลายเป็นคนขี้ขลาดและเลือกที่จะหลบหนีจากสิ่งที่เผชิญ คิดว่าคงไม่สามารถกลับไปที่บ้านหลังนั้นได้อย่างมีความสุขและกลับไปอยู่กับพวกเขาเหมือนเดิมได้ในช่วงเวลาสั้นๆ

 

 

แต่ดูเหมือนเธอจะนึกอะไรไม่ออกและไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร ทั้งแม่ของเธอ หันเลี่ยง ลุงของเธอ และคนอื่นๆ ต่างก็ร่วมมือกับปิดบังความจริงกับเธอ พวกเขาทั้งหมดโกหกตัวเองอยู่ทุกวัน วาดฝันไว้รอบตัวเพื่อปกป้องตัวเองอยู่ตลอดเวลา และขังเธอไว้ในนั้นไม่ให้ออกไปไหน

 

 

ในที่สุดตอนนี้เธอก็ได้เดินออกมาจากห้วงฝันนั้นและเห็นความจริงในโลกภายนอก แม้จะยังไม่มีใครบอกเธอว่าต่อไปเธอต้องทำอย่างไรเพื่อพาตัวเองไปในทางที่ถูกต้อง

 

 

เธอเดินไปตามถนนอย่างรู้สึกสิ้นหวัง เฝ้าบอกตัวเองซ้ำไปมาให้สงบใจลงแต่มือทั้งสองข้างก็ยังสั่นระริกไม่หยุด

 

 

ในตอนนั้นที่เธอเองก็ไม่รู้ตัวแต่เมื่อเธอเงยหน้าขึ้นก็พบว่าตัวเองมาถึงสถานีรถบัสเสียแล้ว

 

 

เธอเดินทางกลับไปที่เมือง S

 

 

ราวเที่ยงคืนโม่หันฝืนตัวเองเพื่อจัดการงานของวันนี้ให้เสร็จ เป็นภาพที่ห่างไกลจากการทำงานในยามปกติของเขา แม้แต่พนักงานในบริษัทยังรู้ว่าเขาเปลี่ยนไป โม่หันรู้ว่าลึกๆ ในใจของพวกเขากำลังสงสัยว่าเจ้านายของพวกเขาคงจะป่วยจึงทำให้เขาสับสนวุ่นวายแบบนี้ เมื่อก่อนเขาไม่เคยใจลอยไปไหนตอนอ่านเอกสารการพิจารณาคดี ไม่เคยทิ้งช่วงคำพูดของตัวเองระหว่างการประชุมทางไกลและหยุดคิดว่าตัวเองจะพูดอะไร เขาคงไม่ได้มีอาการนอนไม่หลับแน่

 

 

ตั้งแต่กลับมาจากเมือง F เขาก็หลับไม่ลงตลอดทั้งคืน เมื่อปิดตาลงในหัวของเขาก็จะถูกแทนที่ด้วยภาพของซย่าชิงอี ท่าทีของเธอครั้งล่าสุดที่เขาเห็นในวันนั้นและสายตาที่มองไปที่หันเลี่ยงอย่างเชื่อฟัง

 

 

เขาคิดว่าที่เขาตกอยู่ในสภาพเดียวกับเธอคงเป็นบทลงโทษที่เขาพูดจาแบบนั้นกับเธอในวันนั้น

 

 

เมื่อคิดเช่นนี้พวกเขาก็ถือว่าไม่ได้ติดค้างสิ่งใดต่อกันอีก เขาเองก็นอนไม่หลับเช่นเดียวกันกับเธอแม้ว่าเขาจะต้องการหรือไม่ก็ตาม

 

 

โชคดีที่ยังมีทางรักษาอาการนอนไม่หลับของเขา เพียงแค่เขานอนลงบนเตียงของเธอและสูดกลิ่นของอีกฝ่ายที่ติดอยู่บนเตียงเขาก็หลับลงได้อย่างไม่รู้ตัว

 

 

เขาไม่เคยบอกใครเรื่องนี้และไม่ได้ทำไปมากกว่าการต่อสายหาไป๋อวี่ตอนตีสอง เพื่อเรียกให้ออกมานั่งดื่มเป็นเพื่อนในคืนหนึ่งที่เขาทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้วเท่านั้น คนถูกโทรหามั่นใจว่าเขาคงมีอะไรอยู่ในใจแน่และตั้งใจจะหลอกล่อให้อีกฝ่ายพูดออกมา ถามว่าช่วงนี้เป็นอย่างไรบ้าง บอกว่าถ้าหากเขายอมบอกเขาจะแนะนำบริษัทของโม่หันให้กับลูกความรายใหญ่

 

 

แต่เขาก็ยังไม่ยอมปริปากและทำเพียงดื่มเงียบๆ ต่อไปเท่านั้น

 

 

เมื่ออยู่ในอาการกรึ่มๆ เขาต้องฝืนตัวเองให้เลิกล้มความคิดที่จะโทรไปหาซย่าชิงอี บอกตัวเองว่าจะหลงไปเดินทางผิดไม่ได้ อย่าล้ำเส้นเด็ดขาด

 

 

เขาไม่ควรเข้าไปรบกวนชีวิตเธอและพาตัวเองไปทุกข์ทรมานกับเรื่องนี้อีก

 

 

เขาจึงต้องอดทนอยู่อย่างนี้

 

 

จนกระทั่งหันเลี่ยงโทรมา

 

 

[สวัสดีครับ วันนี้คุณได้พูดอะไรกับเนี่ยนเนี่ยนหรือเปล่า] น้ำเสียงของปลายสายดูตื่นตระหนก

 

 

เขายกยิ้ม “ทำไมคุณถึงมั่นใจว่าผมเป็นคนบอกบางอย่างกับเธอนักล่ะครับ”

 

 

[แล้วจะเป็นใครไปได้อีกนอกจากคุณ! เธอจะไปรู้จักใครได้อีก ผมว่าแล้วว่าเธอดูแปลกๆ ไปตอนที่เธอกลับมาวันนี้ ตกลงคุณได้พูดอะไรกับเธอหรือเปล่า]

 

 

“คุณช่วยเลิกเอาเรื่องของพวกคุณสองคนมารบกวนผมสักทีได้ไหม!” แค่ได้ยินเสียงของหันเลี่ยงเขาจะแทบจะอยากวางสายเอาซะตอนนี้ “เธอไม่ได้มาข้องแวะอะไรกับผมทั้งนั้นแหละ ไม่ใช่อย่างที่คุณต้องการหรือ”

 

 

[คุณไม่ได้ติดต่อกับเธอจริงๆ เหรอ] เสียงของอีกฝ่ายดูผิดหวังอยู่ในที [ถ้างั้นเกิดอะไรขึ้นกับเธอกัน ทำไมจู่ๆ เธอถึงมีท่าทางแบบนั้น] หันเลี่ยงยังจำแววตาที่เศร้าสร้อยและว่างเปล่าของเธอตอนที่เธอยืนอยู่หน้าประตูได้

 

 

“เกิดอะไรขึ้นกับเธอ” โม่หันรู้สึกถึงสิ่งผิดปกติบางอย่าง

 

 

[เธอไปหาคุณหรือเปล่า] หันเลี่ยงกลัวว่าเธอจะรู้บางอย่างเข้า

 

 

“ไม่”

 

 

คำตอบของเขาทำให้หันเลี่ยงเป็นกังวลอีกครั้ง ถ้าไม่เป็นเพราะโม่หันอย่างนั้นทำไมอยู่ๆ เธอถึงออกไปโดยที่ไม่เอาโทรศัพท์ติดตัวไปด้วย ท่าทางของเธอก่อนที่เจ้าตัวจะออกไปทำให้เขากลัวขึ้นมา

 

 

กลัวว่าครั้งนี้เธอจะไม่ยอมกลับมาอีกแล้ว

 

 

“พวกคุณสองคนทะเลาะกันเหรอ หรือคุณทำอะไรให้เธอรู้สึกแย่ ตอนแรกที่คุณพาเธอไป คุณบอกว่าจะดูแลเธอเป็นอย่างดี แต่แค่เธอจากไปแค่ไม่เท่าไรก็เกิดเรื่องกับเธอแล้วเหรอ” โม่หันเอ่ยถามพลางกัดฟันกรอดๆ

 

 

[ถ้าเธอติดต่อคุณมาโทรบอกผมด้วย] หันเลี่ยงว่าขึ้นในตอนท้าย

 

 

หลังจากวางสายโม่หันก็สงบใจไม่ลงอีก นาฬิกาบนผนังบอกเวลาเกือบตีหนึ่ง เขาดึงผ้าม่านเปิดขึ้นและเห็นว่าฝนเริ่มตกได้สักพักแล้ว ท่ามกลางความเงียบมีเพียงเสียงน้ำฝนที่ตกกระทบบานหน้าต่าง หยดแล้วหยดเล่าที่เกาะบนกระจกที่กั้นเขาออกจากความมืดครึ้มของโลกภายนอก

 

 

เขาครุ่นคิดก่อนจะหยิบเสื้อกันฝนและเตรียมจะออกไปข้างนอก

 

 

ทว่าเมื่อเปิดประตูเขาก็เหลือบเห็นใครบางคนที่นั่งเงียบๆ อยู่ที่มุมหนึ่ง

 

 

ซย่าชิงอีอยู่ในสภาพเปียกโชก เส้นผมชุ่มน้ำ เธอนั่งชันเข่าอยู่เงียบๆ บนพื้นเย็นเฉียบ พื้นเปียกปอนที่เสื้อผ้าเธอกองทับอยู่ทำให้เธอดูเหมือนกับนั่งอยู่ในแอ่งน้ำเล็กๆ

 

 

สายตาที่จ้องมองตรงไปยังกำแพงตรงหน้าของเธอฉายแววว่างเปล่า

 

 

“เธอมาทำอะไรที่นี่” โม่หันเอ่ยถาม

 

 

เสียงของเขาดังขึ้นให้เธอหันหน้าไปมอง จากนั้นจึงค่อยๆ ลุกขึ้นโดยใช้กำแพงยันตัวขึ้นมาก่อนจ้องมองมาที่เขา

 

 

“พี่ถามเธอว่าเธอมาทำอะไรที่นี่”

 

 

อีกฝ่ายทำเพียงส่งสายตามาหาเขา ไม่พูดอะไรเหมือนกับว่าเธอได้ใช้แรงทั้งหมดไปแล้ว

 

 

เขาเอื้อมมือไปจับเสื้อผ้าของเธอที่เปียกชุ่มเหมือนกับไปตกลงไปในแม่น้ำมา พลางขมวดคิ้วมุ่น “ทำไมไม่รู้จักพกร่มติดตัวมาตอนออกจากบ้าน แล้วเธอมาอยู่ในสภาพนี้ได้ยังไง”

 

 

น้ำเสียงสั่นไหวของเธอดังขึ้น “ฉันขอนอนที่นี่ได้ไหมคะ”

 

 

คนฟังจ้องมองเธอพักใหญ่ก่อนจะว่าขึ้น “เกิดอะไรขึ้นระหว่างเธอสองคน”

 

 

เธอส่ายหน้า ความหนาวเย็นจากฝนทำให้เธอตัวสั่นระริก ยืนนิ่งอยู่ใกล้ๆ กำแพงไม่ได้ขยับตัวมาข้างหน้าหรือถอยหลัง ทำเพียงมองโม่หันด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยหลากหลายอารมณ์

 

 

“ถ้าเธอสองคนทะเลาะกัน พี่คิดว่าเธอไม่ควรมาหาพี่กลางดึกแบบนี้หรอกนะ เธอควรกลับไป” เขาสะกดกลั้นความรู้สึกของตัวเองไว้

 

 

“ฉัน…แค่อยากอยู่ที่นี่สักพัก” เธอตอบเสียงเบาอย่างไร้ชีวิตชีวา

 

 

สำหรับโม่หันมันไม่แปลกเลยที่เธอจะมาที่นี่เพื่อหาความอบอุ่นและคำปลอบโยนหลังจากทะเลาะกับหันเลี่ยง โดยที่เขาไม่รู้ว่าตัวเองมักจะลืมทุกเหตุผลไปเสมอเมื่อเป็นเรื่องของซย่าชิงอี

 

 

“เธอรู้ตัวหรือเปล่าว่ากำลังเธอทำอะไรอยู่” เขาเอ่ยถาม

 

 

เธอรู้สึกเหนื่อยเหลือเกิน “รู้ค่ะ”

 

 

“หลังจากที่เธอก้าวผ่านประตูนี้ไปไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เธอจะออกไปไม่ได้อีก” เขาย้ำ

 

 

เธอพยักหน้ารับ ดูเหมือนจะไม่เหลือแรงที่จะตอบคำถามของเขาอีกต่อไป เธอเพียงแค่อยากพักหลังจากเห็นหน้าเขาเท่านั้น

 

 

โม่หันก้าวมาตรงหน้าอีกฝ่าย สบตาเข้ากับเธอและดึงเธอเข้ามาหาตัวเองและพาเข้าไปในบ้าน ใช้เท้าเตะปิดประตูอย่างแรงและผลักเธอแนบชิดกับบานประตู

 

 

“ซย่าชิงอี ตอนนี้เธอเข้ามาที่นี่แล้วอย่าหวังว่าจะได้ออกไปอีก” เขากล่าวขึ้นข้างหูเธอ

 

 

อีกฝ่ายยังคงนิ่งเฉย ด้วยเธอกำลังก้มหน้าอยู่เขาจึงไม่รู้ว่าเธอมีสีหน้าอย่างไร

 

 

เขาไม่ได้มีความสุขกับสภาพของเธอตอนนี้เลยสักนิดเมื่อคิดว่าเธอเข้ามาในบ้านของเขาอย่างไม่เต็มใจ แม้ว่าเธอจะมาที่นี่ด้วยตัวเอง แม้ว่าเธอจะเข้ามาในบ้านอย่างไม่ขัดขืนหลังจากเขาพูดจบ ดังนั้นเพื่อเป็นการลงโทษเธอที่ปล่อยให้ตัวเองเป็นแบบนี้ เขาจึงเอื้อมมือมาจับเชยคางเธอไว้แน่นและประกบจูบอีกฝ่ายอย่างไม่ปรานี

 

 

ริมฝีปากของเธอนิ่มเหมือนเคย ลิ้นของเขาถูดสอดเข้าไปในโพรงปากของเธออย่างง่ายดาย ดูดกลืนความหวานจากอีกฝ่ายอย่างโหยหาและขบกัดริมฝีปากของเธอ แต่เธอกลับไม่มีอาการตอบสนองใดๆ

 

 

เขาผละริมฝีปากออกและมองท่าทีของซย่าชิงอี สายตาของเธอยังดูล่องลอยและยืนนิ่งไม่ไหวติง มองเลยไปด้านหลังของเขาอย่างไร้จุดหมาย ความรู้สึกกลัวเริ่มก่อตัวขึ้น ตัวเธอในตอนนี้ช่างดูแตกต่างไปจากเมื่อก่อนนัก

 

 

เหมือนกับกำลังกลับมาจากขุมนรกอย่างไรอย่างนั้น

 

 

“เกิดอะไรขึ้นกับเธอกัน”

 

 

เธอกะพริบตาก่อนเงยหน้าสบตามองเขา จากนั้นจึงเข้ามากอดเขาอย่างแผ่วเบา น้ำเสียงจางใสราวกับน้ำเปล่าของเธอดังขึ้นในอ้อมกอดของเขา “ฉันอยากพักผ่อนสักพักน่ะค่ะ”

 

 

เขารู้สึกงุนงงเล็กน้อยก่อนที่จะแตะที่หน้าผากของเธอ “เธอ… ป่วยเหรอ”

 

 

ร่างของเธอสั่นระริกในวงแขนของเขาแต่ก็ยังคงเอาแต่นิ่งเงียบ

 

 

โม่หันดันเธอออกจากอกและรู้สึกตกใจเมื่อเห็นน้ำตาที่ไหลอาบใบหน้าของเธอ

 

 

ท่าทางเจ็บปวดของเธอพร้อมริมฝีปากที่อ้ากว้างให้เธอดูเหมือนเด็กเล็กๆ ที่สูญเสียของเล่นชิ้นโปรดไป

 

 

“นี่มันอะไรกัน เกิดอะไรขึ้นกับเธอ” เขามองภาพที่เธอสะอื้นไห้และอ่อนเสียงลง พลางปาดน้ำตาบนใบหน้าของเธอออกอย่างร้อนรน

 

 

ซย่าชิงอีกระชับกอดเขาแน่นขึ้น “ฉันอยากหลับค่ะพี่”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ภาพรักสีจางกลางสมุทร 167 รอยจูบ

Now you are reading ภาพรักสีจางกลางสมุทร Chapter 167 รอยจูบ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เธอมองหน้าอีกฝ่ายและก้มลงมองมือของตัวเอง ยกมือขึ้นแตะใบหน้าโดยที่ไม่ได้พูดอะไรออกมา

 

 

“เธอเป็นอะไรไหม รู้สึกไม่สบายเหรอ” หันเลี่ยงดึงแขนเธอเข้ามาหาด้วยความเป็นห่วง

 

 

ในที่สุดซย่าชิงอีก็กลับมามีสติ เธอเหลือบมองหันเลี่ยงที่มองกลับมาเหมือนปกติ “ไม่มีอะไร ฉันแค่นึกบางอย่างขึ้นมาได้เฉยๆ”

 

 

“เรื่องอะไร”

 

 

“เรื่อง… ออกไปซื้อปลาให้คุณ” เธอพึมพำจนดูเหมือนพูดกับตัวเอง

 

 

เขารู้สึกเป็นห่วงเธอขึ้นมาเล็กน้อย “ไปวันอื่นดีกว่าไหม วันนี้เธอดูอาการไม่ค่อยดีเลย”

 

 

“ไม่… ฉันจะไปวันนี้…” เธอยืนกรานคำเดิม

 

 

เพราะว่าเธอกำลังจะไปซื้อปลาให้เขา หันเลี่ยงจึงคิดว่าเธอคงรู้สึกคุ้นชินกับชีวิตประจำวันที่นี่แล้วและปล่อยให้เธอทำตามที่ต้องการ “อย่างนั้นก็ตามใจเธอนะ เราจะรอเธออยู่ที่บ้าน กลับมาเร็วๆ นะ”

 

 

เมื่อซย่าชิงอีเดินออกมาจากตัวอาคาร เธอก็ยังคงไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมถึงอยากจะหนีออกมา ในจังหวะที่ได้รู้ความจริงเธอก็รู้สึกงุนงง เรื่องราวมากมายที่จู่ๆ ก็ได้รับรู้อย่างไม่คาดคิดมาก่อนทำให้ทุกประสาทสัมผัสของเธอเสียศูนย์ไปในทันที เธอลืมแม้กระทั่งการเข้าไปถามหันเลี่ยงและแม่ของเธอว่าทำไมต้องหลบซ่อนเรื่องราวที่สำคัญอย่างนี้กับเธอด้วย

 

 

ทว่าเธอก็ไม่กล้าที่จะเอ่ยปากถามด้วยกลัวว่าจะยอมรับความจริงที่มาอยู่ตรงหน้าเธอไม่ได้

 

 

เธอคิดถึงความเป็นไปได้ของสิ่งที่เกิดขึ้นมากมายแต่กลับไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน เรื่องที่ไม่น่าเชื่อเลยสักนิด

 

 

เธอกลายเป็นคนขี้ขลาดและเลือกที่จะหลบหนีจากสิ่งที่เผชิญ คิดว่าคงไม่สามารถกลับไปที่บ้านหลังนั้นได้อย่างมีความสุขและกลับไปอยู่กับพวกเขาเหมือนเดิมได้ในช่วงเวลาสั้นๆ

 

 

แต่ดูเหมือนเธอจะนึกอะไรไม่ออกและไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร ทั้งแม่ของเธอ หันเลี่ยง ลุงของเธอ และคนอื่นๆ ต่างก็ร่วมมือกับปิดบังความจริงกับเธอ พวกเขาทั้งหมดโกหกตัวเองอยู่ทุกวัน วาดฝันไว้รอบตัวเพื่อปกป้องตัวเองอยู่ตลอดเวลา และขังเธอไว้ในนั้นไม่ให้ออกไปไหน

 

 

ในที่สุดตอนนี้เธอก็ได้เดินออกมาจากห้วงฝันนั้นและเห็นความจริงในโลกภายนอก แม้จะยังไม่มีใครบอกเธอว่าต่อไปเธอต้องทำอย่างไรเพื่อพาตัวเองไปในทางที่ถูกต้อง

 

 

เธอเดินไปตามถนนอย่างรู้สึกสิ้นหวัง เฝ้าบอกตัวเองซ้ำไปมาให้สงบใจลงแต่มือทั้งสองข้างก็ยังสั่นระริกไม่หยุด

 

 

ในตอนนั้นที่เธอเองก็ไม่รู้ตัวแต่เมื่อเธอเงยหน้าขึ้นก็พบว่าตัวเองมาถึงสถานีรถบัสเสียแล้ว

 

 

เธอเดินทางกลับไปที่เมือง S

 

 

ราวเที่ยงคืนโม่หันฝืนตัวเองเพื่อจัดการงานของวันนี้ให้เสร็จ เป็นภาพที่ห่างไกลจากการทำงานในยามปกติของเขา แม้แต่พนักงานในบริษัทยังรู้ว่าเขาเปลี่ยนไป โม่หันรู้ว่าลึกๆ ในใจของพวกเขากำลังสงสัยว่าเจ้านายของพวกเขาคงจะป่วยจึงทำให้เขาสับสนวุ่นวายแบบนี้ เมื่อก่อนเขาไม่เคยใจลอยไปไหนตอนอ่านเอกสารการพิจารณาคดี ไม่เคยทิ้งช่วงคำพูดของตัวเองระหว่างการประชุมทางไกลและหยุดคิดว่าตัวเองจะพูดอะไร เขาคงไม่ได้มีอาการนอนไม่หลับแน่

 

 

ตั้งแต่กลับมาจากเมือง F เขาก็หลับไม่ลงตลอดทั้งคืน เมื่อปิดตาลงในหัวของเขาก็จะถูกแทนที่ด้วยภาพของซย่าชิงอี ท่าทีของเธอครั้งล่าสุดที่เขาเห็นในวันนั้นและสายตาที่มองไปที่หันเลี่ยงอย่างเชื่อฟัง

 

 

เขาคิดว่าที่เขาตกอยู่ในสภาพเดียวกับเธอคงเป็นบทลงโทษที่เขาพูดจาแบบนั้นกับเธอในวันนั้น

 

 

เมื่อคิดเช่นนี้พวกเขาก็ถือว่าไม่ได้ติดค้างสิ่งใดต่อกันอีก เขาเองก็นอนไม่หลับเช่นเดียวกันกับเธอแม้ว่าเขาจะต้องการหรือไม่ก็ตาม

 

 

โชคดีที่ยังมีทางรักษาอาการนอนไม่หลับของเขา เพียงแค่เขานอนลงบนเตียงของเธอและสูดกลิ่นของอีกฝ่ายที่ติดอยู่บนเตียงเขาก็หลับลงได้อย่างไม่รู้ตัว

 

 

เขาไม่เคยบอกใครเรื่องนี้และไม่ได้ทำไปมากกว่าการต่อสายหาไป๋อวี่ตอนตีสอง เพื่อเรียกให้ออกมานั่งดื่มเป็นเพื่อนในคืนหนึ่งที่เขาทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้วเท่านั้น คนถูกโทรหามั่นใจว่าเขาคงมีอะไรอยู่ในใจแน่และตั้งใจจะหลอกล่อให้อีกฝ่ายพูดออกมา ถามว่าช่วงนี้เป็นอย่างไรบ้าง บอกว่าถ้าหากเขายอมบอกเขาจะแนะนำบริษัทของโม่หันให้กับลูกความรายใหญ่

 

 

แต่เขาก็ยังไม่ยอมปริปากและทำเพียงดื่มเงียบๆ ต่อไปเท่านั้น

 

 

เมื่ออยู่ในอาการกรึ่มๆ เขาต้องฝืนตัวเองให้เลิกล้มความคิดที่จะโทรไปหาซย่าชิงอี บอกตัวเองว่าจะหลงไปเดินทางผิดไม่ได้ อย่าล้ำเส้นเด็ดขาด

 

 

เขาไม่ควรเข้าไปรบกวนชีวิตเธอและพาตัวเองไปทุกข์ทรมานกับเรื่องนี้อีก

 

 

เขาจึงต้องอดทนอยู่อย่างนี้

 

 

จนกระทั่งหันเลี่ยงโทรมา

 

 

[สวัสดีครับ วันนี้คุณได้พูดอะไรกับเนี่ยนเนี่ยนหรือเปล่า] น้ำเสียงของปลายสายดูตื่นตระหนก

 

 

เขายกยิ้ม “ทำไมคุณถึงมั่นใจว่าผมเป็นคนบอกบางอย่างกับเธอนักล่ะครับ”

 

 

[แล้วจะเป็นใครไปได้อีกนอกจากคุณ! เธอจะไปรู้จักใครได้อีก ผมว่าแล้วว่าเธอดูแปลกๆ ไปตอนที่เธอกลับมาวันนี้ ตกลงคุณได้พูดอะไรกับเธอหรือเปล่า]

 

 

“คุณช่วยเลิกเอาเรื่องของพวกคุณสองคนมารบกวนผมสักทีได้ไหม!” แค่ได้ยินเสียงของหันเลี่ยงเขาจะแทบจะอยากวางสายเอาซะตอนนี้ “เธอไม่ได้มาข้องแวะอะไรกับผมทั้งนั้นแหละ ไม่ใช่อย่างที่คุณต้องการหรือ”

 

 

[คุณไม่ได้ติดต่อกับเธอจริงๆ เหรอ] เสียงของอีกฝ่ายดูผิดหวังอยู่ในที [ถ้างั้นเกิดอะไรขึ้นกับเธอกัน ทำไมจู่ๆ เธอถึงมีท่าทางแบบนั้น] หันเลี่ยงยังจำแววตาที่เศร้าสร้อยและว่างเปล่าของเธอตอนที่เธอยืนอยู่หน้าประตูได้

 

 

“เกิดอะไรขึ้นกับเธอ” โม่หันรู้สึกถึงสิ่งผิดปกติบางอย่าง

 

 

[เธอไปหาคุณหรือเปล่า] หันเลี่ยงกลัวว่าเธอจะรู้บางอย่างเข้า

 

 

“ไม่”

 

 

คำตอบของเขาทำให้หันเลี่ยงเป็นกังวลอีกครั้ง ถ้าไม่เป็นเพราะโม่หันอย่างนั้นทำไมอยู่ๆ เธอถึงออกไปโดยที่ไม่เอาโทรศัพท์ติดตัวไปด้วย ท่าทางของเธอก่อนที่เจ้าตัวจะออกไปทำให้เขากลัวขึ้นมา

 

 

กลัวว่าครั้งนี้เธอจะไม่ยอมกลับมาอีกแล้ว

 

 

“พวกคุณสองคนทะเลาะกันเหรอ หรือคุณทำอะไรให้เธอรู้สึกแย่ ตอนแรกที่คุณพาเธอไป คุณบอกว่าจะดูแลเธอเป็นอย่างดี แต่แค่เธอจากไปแค่ไม่เท่าไรก็เกิดเรื่องกับเธอแล้วเหรอ” โม่หันเอ่ยถามพลางกัดฟันกรอดๆ

 

 

[ถ้าเธอติดต่อคุณมาโทรบอกผมด้วย] หันเลี่ยงว่าขึ้นในตอนท้าย

 

 

หลังจากวางสายโม่หันก็สงบใจไม่ลงอีก นาฬิกาบนผนังบอกเวลาเกือบตีหนึ่ง เขาดึงผ้าม่านเปิดขึ้นและเห็นว่าฝนเริ่มตกได้สักพักแล้ว ท่ามกลางความเงียบมีเพียงเสียงน้ำฝนที่ตกกระทบบานหน้าต่าง หยดแล้วหยดเล่าที่เกาะบนกระจกที่กั้นเขาออกจากความมืดครึ้มของโลกภายนอก

 

 

เขาครุ่นคิดก่อนจะหยิบเสื้อกันฝนและเตรียมจะออกไปข้างนอก

 

 

ทว่าเมื่อเปิดประตูเขาก็เหลือบเห็นใครบางคนที่นั่งเงียบๆ อยู่ที่มุมหนึ่ง

 

 

ซย่าชิงอีอยู่ในสภาพเปียกโชก เส้นผมชุ่มน้ำ เธอนั่งชันเข่าอยู่เงียบๆ บนพื้นเย็นเฉียบ พื้นเปียกปอนที่เสื้อผ้าเธอกองทับอยู่ทำให้เธอดูเหมือนกับนั่งอยู่ในแอ่งน้ำเล็กๆ

 

 

สายตาที่จ้องมองตรงไปยังกำแพงตรงหน้าของเธอฉายแววว่างเปล่า

 

 

“เธอมาทำอะไรที่นี่” โม่หันเอ่ยถาม

 

 

เสียงของเขาดังขึ้นให้เธอหันหน้าไปมอง จากนั้นจึงค่อยๆ ลุกขึ้นโดยใช้กำแพงยันตัวขึ้นมาก่อนจ้องมองมาที่เขา

 

 

“พี่ถามเธอว่าเธอมาทำอะไรที่นี่”

 

 

อีกฝ่ายทำเพียงส่งสายตามาหาเขา ไม่พูดอะไรเหมือนกับว่าเธอได้ใช้แรงทั้งหมดไปแล้ว

 

 

เขาเอื้อมมือไปจับเสื้อผ้าของเธอที่เปียกชุ่มเหมือนกับไปตกลงไปในแม่น้ำมา พลางขมวดคิ้วมุ่น “ทำไมไม่รู้จักพกร่มติดตัวมาตอนออกจากบ้าน แล้วเธอมาอยู่ในสภาพนี้ได้ยังไง”

 

 

น้ำเสียงสั่นไหวของเธอดังขึ้น “ฉันขอนอนที่นี่ได้ไหมคะ”

 

 

คนฟังจ้องมองเธอพักใหญ่ก่อนจะว่าขึ้น “เกิดอะไรขึ้นระหว่างเธอสองคน”

 

 

เธอส่ายหน้า ความหนาวเย็นจากฝนทำให้เธอตัวสั่นระริก ยืนนิ่งอยู่ใกล้ๆ กำแพงไม่ได้ขยับตัวมาข้างหน้าหรือถอยหลัง ทำเพียงมองโม่หันด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยหลากหลายอารมณ์

 

 

“ถ้าเธอสองคนทะเลาะกัน พี่คิดว่าเธอไม่ควรมาหาพี่กลางดึกแบบนี้หรอกนะ เธอควรกลับไป” เขาสะกดกลั้นความรู้สึกของตัวเองไว้

 

 

“ฉัน…แค่อยากอยู่ที่นี่สักพัก” เธอตอบเสียงเบาอย่างไร้ชีวิตชีวา

 

 

สำหรับโม่หันมันไม่แปลกเลยที่เธอจะมาที่นี่เพื่อหาความอบอุ่นและคำปลอบโยนหลังจากทะเลาะกับหันเลี่ยง โดยที่เขาไม่รู้ว่าตัวเองมักจะลืมทุกเหตุผลไปเสมอเมื่อเป็นเรื่องของซย่าชิงอี

 

 

“เธอรู้ตัวหรือเปล่าว่ากำลังเธอทำอะไรอยู่” เขาเอ่ยถาม

 

 

เธอรู้สึกเหนื่อยเหลือเกิน “รู้ค่ะ”

 

 

“หลังจากที่เธอก้าวผ่านประตูนี้ไปไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เธอจะออกไปไม่ได้อีก” เขาย้ำ

 

 

เธอพยักหน้ารับ ดูเหมือนจะไม่เหลือแรงที่จะตอบคำถามของเขาอีกต่อไป เธอเพียงแค่อยากพักหลังจากเห็นหน้าเขาเท่านั้น

 

 

โม่หันก้าวมาตรงหน้าอีกฝ่าย สบตาเข้ากับเธอและดึงเธอเข้ามาหาตัวเองและพาเข้าไปในบ้าน ใช้เท้าเตะปิดประตูอย่างแรงและผลักเธอแนบชิดกับบานประตู

 

 

“ซย่าชิงอี ตอนนี้เธอเข้ามาที่นี่แล้วอย่าหวังว่าจะได้ออกไปอีก” เขากล่าวขึ้นข้างหูเธอ

 

 

อีกฝ่ายยังคงนิ่งเฉย ด้วยเธอกำลังก้มหน้าอยู่เขาจึงไม่รู้ว่าเธอมีสีหน้าอย่างไร

 

 

เขาไม่ได้มีความสุขกับสภาพของเธอตอนนี้เลยสักนิดเมื่อคิดว่าเธอเข้ามาในบ้านของเขาอย่างไม่เต็มใจ แม้ว่าเธอจะมาที่นี่ด้วยตัวเอง แม้ว่าเธอจะเข้ามาในบ้านอย่างไม่ขัดขืนหลังจากเขาพูดจบ ดังนั้นเพื่อเป็นการลงโทษเธอที่ปล่อยให้ตัวเองเป็นแบบนี้ เขาจึงเอื้อมมือมาจับเชยคางเธอไว้แน่นและประกบจูบอีกฝ่ายอย่างไม่ปรานี

 

 

ริมฝีปากของเธอนิ่มเหมือนเคย ลิ้นของเขาถูดสอดเข้าไปในโพรงปากของเธออย่างง่ายดาย ดูดกลืนความหวานจากอีกฝ่ายอย่างโหยหาและขบกัดริมฝีปากของเธอ แต่เธอกลับไม่มีอาการตอบสนองใดๆ

 

 

เขาผละริมฝีปากออกและมองท่าทีของซย่าชิงอี สายตาของเธอยังดูล่องลอยและยืนนิ่งไม่ไหวติง มองเลยไปด้านหลังของเขาอย่างไร้จุดหมาย ความรู้สึกกลัวเริ่มก่อตัวขึ้น ตัวเธอในตอนนี้ช่างดูแตกต่างไปจากเมื่อก่อนนัก

 

 

เหมือนกับกำลังกลับมาจากขุมนรกอย่างไรอย่างนั้น

 

 

“เกิดอะไรขึ้นกับเธอกัน”

 

 

เธอกะพริบตาก่อนเงยหน้าสบตามองเขา จากนั้นจึงเข้ามากอดเขาอย่างแผ่วเบา น้ำเสียงจางใสราวกับน้ำเปล่าของเธอดังขึ้นในอ้อมกอดของเขา “ฉันอยากพักผ่อนสักพักน่ะค่ะ”

 

 

เขารู้สึกงุนงงเล็กน้อยก่อนที่จะแตะที่หน้าผากของเธอ “เธอ… ป่วยเหรอ”

 

 

ร่างของเธอสั่นระริกในวงแขนของเขาแต่ก็ยังคงเอาแต่นิ่งเงียบ

 

 

โม่หันดันเธอออกจากอกและรู้สึกตกใจเมื่อเห็นน้ำตาที่ไหลอาบใบหน้าของเธอ

 

 

ท่าทางเจ็บปวดของเธอพร้อมริมฝีปากที่อ้ากว้างให้เธอดูเหมือนเด็กเล็กๆ ที่สูญเสียของเล่นชิ้นโปรดไป

 

 

“นี่มันอะไรกัน เกิดอะไรขึ้นกับเธอ” เขามองภาพที่เธอสะอื้นไห้และอ่อนเสียงลง พลางปาดน้ำตาบนใบหน้าของเธอออกอย่างร้อนรน

 

 

ซย่าชิงอีกระชับกอดเขาแน่นขึ้น “ฉันอยากหลับค่ะพี่”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+