ภาพรักสีจางกลางสมุทร 195 นายน้อยสามในเรือนจำ

Now you are reading ภาพรักสีจางกลางสมุทร Chapter 195 นายน้อยสามในเรือนจำ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

โม่หันจุมพิตที่หน้าผากพลางตบหลังของเธอเบาๆ “ไม่ต้องห่วงหรอก พี่จะอยู่ข้างเธอไม่ไปไหน คอยดูแลเธออยู่แบบนี้”

 

 

มือถูกเลื่อนลงมาลูบที่แขนของเธอ “แล้ววันไหน… พาพี่ไปเยี่ยมเสียวเหยี่ยบ้างนะ”

 

 

เธอสบตามองอีกฝ่าย “เขาต้องเป็นคนสำคัญของเธอแน่ๆ หลังจากได้พบเขาพี่คงสัมผัสได้ถึงเรื่องราวในอดีตของเธอ”

 

 

“แล้วสักวันหนึ่ง… เราไปด้วยกันนะคะ ฉันจะพาพี่ไปหาเขาในวันครบรอบการตายของเขาค่ะ” เธอว่าขึ้น

 

 

เขารู้ว่าซย่าชิงอีกังวลกับเรื่องอะไรอยู่แม้ไม่ได้ต้องการให้เธอต้องมาเป็นกังวลกับเรื่องของเขา

 

 

ว่ากันตามจริงระหว่างที่ฟังเรื่องราวในอดีตของเธอ เขาเองไม่ได้พอใจมากนัก ทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตของเธอถูกรับรู้เข้าไปในจิตใจของเขา แต่มันเทียบไม่ได้กับความไม่ต้องการแยกจากเธอและปรารถนาให้เธออยู่เคียงข้างเขาเลยแม้แต่น้อย

 

 

ตั้งแต่ที่เธอตกลงที่จะคบกัน เขาไม่เคยคิดที่จะปล่อยเธอไปแม้เพียงสักนิด

 

 

เพราะรู้ว่าสิ่งใดสำคัญที่สุดจึงไม่อาจปล่อยให้เรื่องที่ไม่ใช่สลักสำคัญมาทำให้เขาหวั่นไหว

 

 

หลังจากบอกทุกอย่างกับโม่หัน ความรู้สึกเดียวที่เธอได้รับคือความโล่งใจ เธอได้แต่ทำตัวลับๆ ล่อๆ กับเขาตั้งแต่จำเรื่องทุกอย่างได้ และไม่กล้าแม้จะสบตากับอีกฝ่าย ในตอนนี้ที่ทุกสิ่งเป็นไปได้ด้วยดีแล้ว เธอไม่ต้องรู้สึกผิดยามที่ส่งยิ้มในเขาอีกต่อไป

 

 

ตลอดคาบเรียนในวันถัดมา เธอสัมผัสได้ถึงพลังงานเต็มเปี่ยมของตัวเอง จดจ่ออยู่กับการเรียนอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

 

 

เมื่อเห็นข้อความของโม่หันที่บอกว่าจะมารับเธอหลังเลิกเรียน ดวงตาก็ยิ่งเป็นประกายด้วยความสุขและรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงให้กำลังใจที่ดังขึ้นระหว่างคาบเรียน

 

 

ตอนนั้นเองที่นึกได้ว่าเธอไม่เคยมีความสุขขนาดนี้มาก่อน

 

 

เช่นเดียวกับโม่หันซึ่งอยู่ที่บริษัท เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกสบายใจเพราะในที่สุดปมปัญหาที่ใหญ่ที่สุดระหว่างเขาและซย่าชิงอีก็ถูกคลายออก และคงไม่มีปัญหาใดระหว่างพวกเขาที่จะใหญ่กว่านี้แล้ว

 

 

เป็นเหตุให้เขาตัดสินใจออกตัวทำงานง่ายๆ อย่างการเอาเอกสารไปส่งให้หัวหน้าจางที่สถานีตำรวจแทนหลิวจื้อหย่วนที่อาสาจะไปในตอนแรก แน่นอนว่าเหตุผลหลักๆ เป็นเพราะว่าสถานีตำรวจอยู่ใกล้กับมหาวิทยาลัยของเธอซึ่งสะดวกกับการไปรับเจ้าตัวหลังจากที่ส่งเอกสารเสร็จ

 

 

เขาออกรถและมาถึงสถานีตำรวจอย่างรวดเร็ว เมื่อเข้าไปในห้องทำงานของหัวหน้าจางกลับไม่พบเจ้าของห้อง พอเอ่ยปากถามจึงได้ความว่าอีกฝ่ายน่าจะอยู่ในห้องสอบสวน พวกเขาเพิ่งจับกุมตัวหัวหน้ากลุ่มผู้มีอิทธิพลได้และคงกำลังสอบปากคำเขาอยู่

 

 

เขาถือเอกสารติดตัวไปก่อนจะมุ่งหน้าไปยังห้องสอบสวน เห็นหัวหน้าจางนั่งอยู่บนโต๊ะในห้องผ่านกระจก ท่าทางเข้มงวดจริงจังและกำลังเผชิญหน้ากับชายที่อยู่ตรงข้าม

 

 

โม่หันโบกเอกสารในมือให้หัวหน้าจางแต่อีกฝ่ายไม่ได้มีท่าทีตอบสนอง ก่อนนึกได้ว่าคนในห้องไม่สามารถเห็นคนด้านนอกผ่านกระจกสะท้อนแสงได้

 

 

ดูท่าอีกฝ่ายคงจะไม่ว่างอีกพักใหญ่ เขาจึงหันกลับไปทิ้งเอกสารไว้ให้หัวหน้าจางมาเห็นหลังจากเสร็จงานที่ห้องทำงาน

 

 

ทว่าในจังหวะที่เขากำลังจะจากไปก็เห็นชายที่นั่งตรงข้ามกับหัวหน้าจางมองมาทางเขาผ่านกระจก เขาจึงชะงักฝีเท้า

 

 

ดูเหมือนสายตาของเขาจะจ้องมาด้วยแววตาเย็นชาและเชือดเฉือน แม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายไม่เห็นเขาผ่านกระจกแต่ในใจก็ยังอดแปรเปลี่ยนเป็นเฉยชาไม่ได้

 

 

เขาถามจางหยางที่อยู่ข้างๆ ซึ่งกำลังมองเข้าไปในกระจกเช่นกัน “คนที่ถูกสอบสวนด้านในเป็นใคร”

 

 

ตอนนั้นเองที่คนถูกถามรู้ว่าคนที่มายืนอยู่ข้างๆ คือโม่หัน ก่อนมีท่าทางตกใจเล็กน้อย “โอ๊ะ… ทนายโม่ วันนี้คุณมาทำที่นี่ครับ”

 

 

“ผมมาส่งเอกสารให้หัวหน้าจางน่ะ” เขาถามซ้ำ “คนที่หัวหน้าจางสอบปากคำอยู่ด้านในคือใครเหรอ”

 

 

จางหยางมองชายที่นั่งอยู่ด้านใน “เฉินเทียน หัวหน้ากลุ่มผู้มีอิทธิพลที่เพิ่งจับกุมตัวได้น่ะครับ เขายังอายุน้อยแต่ก็คลุกคลีในวงการอาชญากรมากว่าสิบปีแล้วครับ เขาจัดการฝ่ายตรงข้ามอย่างไร้ความปรานี และได้ฉายาว่ายาพิษหมายเลขสามในหมู่อาชญากรด้วยกัน”

 

 

เขามองท่าทางแข็งกร้าวของชายที่นั่งอยู่ภายในห้องพลางครุ่นคิด

 

 

จางหยางจ้องไปที่เฉินเทียนที่นั่งอยู่ด้านในและยิ้มออกมา “จริงๆ แล้วเขายังมีอีกชื่อหนึ่ง คนในวงการต่างเรียกเขาด้วยชื่อนั้น อะไรนะ อ้อ ใช่ นายน้อยสาม”

 

 

“นายน้อยสามเหรอ” เขานิ่งค้างไป

 

 

“ใช่ครับ นายน้อยสาม มันดูแปลกใช่ไหมล่ะครับ แต่เป็นเพราะว่าเขาอายุน้อยและหน้าตาดีที่สุดในหมู่พี่น้องสามคนซึ่งเป็นหัวหน้าของกลุ่ม คนรอบตัวเลยเรียกเขาแบบนั้น” อีกฝ่ายพูดพึมพำกับตัวเองระหว่างที่มองไปที่เฉินเทียน “เอาเข้าจริงๆ เขาหน้าตาหล่อเหลาทีเดียว แม้แต่หลังจากที่ถูกโกนผมเขาก็ยังคงดูดีอยู่เลย ก่อนที่จะเห็นหน้าเขา ผมยังคิดว่าคนที่อยู่ในวงการใต้ดินแบบนั้นคงต้องดูโหดร้ายและมีรอยแผลบนหน้าและร่างกายไปทั่ว แต่ตอนนี้ความคิดของผมเปลี่ยนไปแล้วล่ะ”

 

 

จางหยางเริ่มพูดคุยกับเขา “คุณไม่คิดว่าคนที่นั่งอยู่ตรงหน้าตอนนี้ดูเหมือนนายน้อยจากครอบครัวเศรษฐีมากกว่าจะเป็นนักโทษบ้างเหรอครับ”

 

 

เขามองเฉินเทียนที่นั่งอยู่ด้านในผ่านกระจก หากเดาไม่ผิดเขาคงเป็นนายน้อยสามที่ซย่าชิงอีพูดถึงเมื่อคืน

 

 

โลกใบนี้ช่างกลมนัก เขานึกไม่ถึงจะมาเจออีกฝ่ายที่นี่ในวันนี้

 

 

โม่หันยังไม่เดินออกไปและยืนมองหัวหน้าจางสอบปากคำเฉินเทียนอย่างดุดัน ในขณะที่อีกฝ่ายไม่ได้เอ่ยแก้ตัวมากนักและยอมรับข้อกล่าวหาแต่โดยดี

 

 

“จากคดีที่เขารับสารภาพตอนนี้ เขาจะถูกตัดสินต้องโทษจำคุกกี่ปีครับ” เขาเอ่ยถาม

 

 

จางหยางตอบกลับ “อย่างน้อยก็สิบห้าปีได้ครับ เขาฆ่าคนไปสองคน และเกี่ยวข้องกับการลักลอบนำเข้าสินค้าและเลี่ยงภาษี ยังไม่รวมถึงข้อหาอื่นๆ อีก ทั้งหมดรวมกันประมาณสิบห้าปีได้ แต่เขากลับไม่ได้ขายยาเสพติดและทำให้เราแปลกใจกับเรื่องนี้ไม่น้อย”

 

 

ดูเหมือนจางหยางจะกระตือรือร้นในการเล่าเป็นพิเศษ “เขาอยู่ในวงการใต้ดินมากว่าสิบปีและไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดแม้แต่น้อย ธุรกิจที่เกี่ยวกับยาเสพติดอยู่ภายใต้การดูแลของพี่ชายคนโตของเขาโดยที่เขาไม่เคยเข้าไปยุ่มย่าม ผมเองก็ไม่แน่ใจว่าทำไม”

 

 

“ให้ผมเข้าไปคุยกับเขาสักครู่ได้ไหมครับ”

 

 

อีกฝ่ายจ้องมองมาที่เขา “คุณมีอะไรจะพูดกับเขาเหรอครับ มีคดีความเกี่ยวข้องกับเขาที่คุณรับผิดชอบอยู่เหรอ”

 

 

“ไม่ครับ เรื่องส่วนตัวน่ะครับ” เขาตอบ “แค่บอกมาว่าพอจะให้ผมเข้าไปคุยกับเขาไหม”

 

 

“ก็พอเป็นไปได้นะครับ แค่ต้องทำตามขั้นตอนหลังจากที่หัวหน้าจางสอบปากคำเขาเสร็จ ตอนนี้เขาอยู่ระหว่างช่วงเวลากักกันตัวเป็นพิเศษ อาจจะคุยกับเขาได้ไม่นานมากนัก”

 

 

“ผมขอแค่สามนาทีเท่านั้น”

 

 

เขามองนายน้อยสามที่นั่งอยู่ด้านในด้วยท่าทางสบายๆ แม้จะใส่กุญแจมืออยู่ก็ตามผ่านกระจก และคิดถึงเรื่องที่ซย่าชิงอีพูดถึงเกี่ยวกับตัวเขาเมื่อคืน

 

 

สิ่งที่เธอเล่าเกี่ยวกับเขามีไม่มากนักจนโม่หันไม่ได้สนใจเขานักในทีแรก แต่เมื่อมาเห็นอีกฝ่ายที่นี่และเห็นท่าทางของเขาก็สัมผัสได้ถึงความผิดปกติ

 

 

โม่หันจะได้เผชิญหน้ากับนายน้อยสามในอีกไม่ช้า หัวหน้าจางเพิ่งสอบปากคำเขาเสร็จและรู้ว่าโม่หันต้องการคุยกับนายน้อยสาม เขาไม่ได้ถามอะไรมากนักก่อนนำตัวนายน้อยสามมาที่ห้องเยี่ยมที่อยู่อีกด้านหนึ่ง

 

 

คนที่ถูกพาตัวมาทำเพียงนั่งลงและยิ้มขึ้นเมื่อเห็นโม่หันนั่งอยู่ตรงข้าม

 

 

ที่เดิมกับที่ซย่าชิงอีนั่งเมื่อหลายวัน

 

 

โม่หันขมวดคิ้วมุ่นและเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเอนพิงเก้าอี้และยิ้มออกมา “ทำไมคุณถึงยิ้มพอเห็นหน้าผม”

 

 

นายน้อยสามส่ายหน้า “ไม่มีอะไรหรอก ไม่ใช่เรื่องของคุณ”

 

 

“คุณไม่อยากรู้ว่าผมเป็นใครและอยากพบคุณทำไมบ้างเหรอ” เขาถามซ้ำ

 

 

ฝ่ายตรงข้ามตอบกลับ “ผมรู้ว่าคุณเป็นใครและรู้ว่าทำไมคุณถึงอยากเจอผม”

 

 

ในจังหวะนั้นเองที่โม่หันยกยิ้ม “คุณรู้ได้ยังไงว่าผมเป็นใคร”

 

 

“โม่หัน ทนายโม่ คุณคงมาอยู่ที่นี่เพราะลิน่า โอ๊ะ… ไม่สิ…” เขาส่ายหน้า “ตอนนี้ต้องเรียกเธอว่าซย่าชิงอีใช่ไหมครับ”

 

 

สีหน้าของโม่หันเปลี่ยนไป “คุณรู้เรื่องระหว่างผมกับเธอเหรอ”

 

 

“ผมพูดได้ไม่เต็มปากว่ารู้นักหรอกครับ แต่เรื่องนี้มันเกี่ยวข้องกับผม”

 

 

“เรื่องของผมกับแฟนของผมไปเกี่ยวข้องอะไรกับคุณไม่ทราบครับ”

 

 

“โอ้ เกี่ยวมากเลยล่ะครับ… เธอไม่ได้บอกคุณเหรอ” เขามองท่าทีเย็นชาของโม่หันและส่งยิ้มให้อย่างเดาว่าเธอคงไม่ได้บอกเรื่องระหว่างพวกเขากับโม่หัน มุมปากยกขึ้นพร้อมดวงตาที่ฉายแววหยอกเย้า “เมื่อก่อนแฟนสาวของคุณตกหลุมรักผมมาหกปี…”

 

 

คำพูดของอีกฝ่ายทำให้โม่หันรู้สึกราวกับถูกขังอยู่ในถ้ำน้ำแข็ง ทำได้เพียงจ้องเขม็งไปที่คนตรงข้าม

 

 

“ผมไปหาเธอครั้งหนึ่งก่อนที่จะถูกจับ แต่ตอนนั้นเธอยังจำอะไรไม่ได้ พูดจาห่างเหินกับผมเสียจนรู้สึกหงุดหงิด… เธอจำทุกอย่างได้เมื่อหลายวันก่อนและมาเยี่ยมที่เรือนจำครั้งหนึ่ง เราพูดคุยกันเยอะเลยครับ และใช่… พอพูดถึงมันแล้ว บังเอิญที่ที่เธอนั่งอยู่ที่เดียวกับที่ที่คุณนั่งอยู่ตอนนี้เลย”

 

 

เขายังจำวันที่พวกเขาไปดูหนังด้วยกันเมื่อหลายวันก่อนได้ ท่าทีของเธอที่ไม่ยอมปริปากพูดกับเขาสักคำระหว่างที่หนังฉายอยู่ หลังจากที่ออกมาจากโรงหนังเธอก็บอกว่ามีบางอย่างต้องไปทำ พอมาครุ่นคิดดูแล้วตอนนั้นเธอคงจะมาเยี่ยมนายน้อยสาม

 

 

ทว่าเขาคิดมาตลอดว่าเธอคงมาจัดการเรื่องของเสียวเหยี่ย ไม่นึกว่าเธอจะมาพบชายที่ตกหลุมรักมาหกปีในอดีต

 

 

อีกฝ่ายเอ่ยขึ้น “คุณคงคาดไม่ถึงว่าเมื่อก่อนเธอมีชีวิตยังไง ผมเองที่เป็นคนฝึกเธอให้มาอยู่ข้างๆ ผมตั้งแต่ที่เธอจากครอบครัวมาตอนอายุสิบเอ็ด พอมาย้อนนึกถึงเรื่องนี้ มันก็ผ่านมาได้เก้าปีแล้ว ผมเพิ่งจะมารู้ถึงความรู้สึกของเธอเอาตอนปีก่อนนี้เอง แต่ตอนที่ผมรู้ เธอก็รักผมมาได้ห้าปีแล้ว”

 

 

“คำพูดทุกคำที่ออกมาจากปากคุณมันเชื่อไม่ได้” โม่หันจ้องมองอีกฝ่ายผ่านกระจก

 

 

นายน้อยสามยกยิ้มอีกครั้ง “ฟังจากที่คุณพูดแล้วดูเหมือนมันจะสร้างความปั่นป่วนให้คุณสินะ” เขาว่าขึ้น “กลับไปถามเธอดูก็ได้ครับ มีเพียงแค่เธอเท่านั้นล่ะที่เข้าใจความรู้สึกของตัวเองตลอดหลายปีที่ผ่านมา”

 

 

โม่หันตอบกลับ “สิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างพวกคุณสองคนเป็นเพียงเรื่องในอดีต ผมจะไม่ตั้งแง่กับเธอเพราะเรื่องนี้หรอกนะครับ”

 

 

“ผมไม่ได้จะเข้าไปแทรกแซงความสัมพันธ์ของพวกคุณสองคนหรอกนะครับ กลับหวังว่าพวกคุณจะไปด้วยกันได้ดีด้วยซ้ำ ผมรู้ว่าจริงๆ แล้วเธอเป็นเด็กสาวที่ดีคนหนึ่งและจากที่ผมรู้มาคุณก็ดูแลเธออย่างดี ผมแอบสืบเรื่องของคุณเมื่อหลายเดือนก่อน คุณเป็นคนมีความสามารถในหลายๆ ด้าน นับว่าเธอตาแหลมทีเดียว เห็นแบบนั้นผมก็โล่งใจ”

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ภาพรักสีจางกลางสมุทร 195 นายน้อยสามในเรือนจำ

Now you are reading ภาพรักสีจางกลางสมุทร Chapter 195 นายน้อยสามในเรือนจำ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

โม่หันจุมพิตที่หน้าผากพลางตบหลังของเธอเบาๆ “ไม่ต้องห่วงหรอก พี่จะอยู่ข้างเธอไม่ไปไหน คอยดูแลเธออยู่แบบนี้”

 

 

มือถูกเลื่อนลงมาลูบที่แขนของเธอ “แล้ววันไหน… พาพี่ไปเยี่ยมเสียวเหยี่ยบ้างนะ”

 

 

เธอสบตามองอีกฝ่าย “เขาต้องเป็นคนสำคัญของเธอแน่ๆ หลังจากได้พบเขาพี่คงสัมผัสได้ถึงเรื่องราวในอดีตของเธอ”

 

 

“แล้วสักวันหนึ่ง… เราไปด้วยกันนะคะ ฉันจะพาพี่ไปหาเขาในวันครบรอบการตายของเขาค่ะ” เธอว่าขึ้น

 

 

เขารู้ว่าซย่าชิงอีกังวลกับเรื่องอะไรอยู่แม้ไม่ได้ต้องการให้เธอต้องมาเป็นกังวลกับเรื่องของเขา

 

 

ว่ากันตามจริงระหว่างที่ฟังเรื่องราวในอดีตของเธอ เขาเองไม่ได้พอใจมากนัก ทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตของเธอถูกรับรู้เข้าไปในจิตใจของเขา แต่มันเทียบไม่ได้กับความไม่ต้องการแยกจากเธอและปรารถนาให้เธออยู่เคียงข้างเขาเลยแม้แต่น้อย

 

 

ตั้งแต่ที่เธอตกลงที่จะคบกัน เขาไม่เคยคิดที่จะปล่อยเธอไปแม้เพียงสักนิด

 

 

เพราะรู้ว่าสิ่งใดสำคัญที่สุดจึงไม่อาจปล่อยให้เรื่องที่ไม่ใช่สลักสำคัญมาทำให้เขาหวั่นไหว

 

 

หลังจากบอกทุกอย่างกับโม่หัน ความรู้สึกเดียวที่เธอได้รับคือความโล่งใจ เธอได้แต่ทำตัวลับๆ ล่อๆ กับเขาตั้งแต่จำเรื่องทุกอย่างได้ และไม่กล้าแม้จะสบตากับอีกฝ่าย ในตอนนี้ที่ทุกสิ่งเป็นไปได้ด้วยดีแล้ว เธอไม่ต้องรู้สึกผิดยามที่ส่งยิ้มในเขาอีกต่อไป

 

 

ตลอดคาบเรียนในวันถัดมา เธอสัมผัสได้ถึงพลังงานเต็มเปี่ยมของตัวเอง จดจ่ออยู่กับการเรียนอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

 

 

เมื่อเห็นข้อความของโม่หันที่บอกว่าจะมารับเธอหลังเลิกเรียน ดวงตาก็ยิ่งเป็นประกายด้วยความสุขและรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงให้กำลังใจที่ดังขึ้นระหว่างคาบเรียน

 

 

ตอนนั้นเองที่นึกได้ว่าเธอไม่เคยมีความสุขขนาดนี้มาก่อน

 

 

เช่นเดียวกับโม่หันซึ่งอยู่ที่บริษัท เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกสบายใจเพราะในที่สุดปมปัญหาที่ใหญ่ที่สุดระหว่างเขาและซย่าชิงอีก็ถูกคลายออก และคงไม่มีปัญหาใดระหว่างพวกเขาที่จะใหญ่กว่านี้แล้ว

 

 

เป็นเหตุให้เขาตัดสินใจออกตัวทำงานง่ายๆ อย่างการเอาเอกสารไปส่งให้หัวหน้าจางที่สถานีตำรวจแทนหลิวจื้อหย่วนที่อาสาจะไปในตอนแรก แน่นอนว่าเหตุผลหลักๆ เป็นเพราะว่าสถานีตำรวจอยู่ใกล้กับมหาวิทยาลัยของเธอซึ่งสะดวกกับการไปรับเจ้าตัวหลังจากที่ส่งเอกสารเสร็จ

 

 

เขาออกรถและมาถึงสถานีตำรวจอย่างรวดเร็ว เมื่อเข้าไปในห้องทำงานของหัวหน้าจางกลับไม่พบเจ้าของห้อง พอเอ่ยปากถามจึงได้ความว่าอีกฝ่ายน่าจะอยู่ในห้องสอบสวน พวกเขาเพิ่งจับกุมตัวหัวหน้ากลุ่มผู้มีอิทธิพลได้และคงกำลังสอบปากคำเขาอยู่

 

 

เขาถือเอกสารติดตัวไปก่อนจะมุ่งหน้าไปยังห้องสอบสวน เห็นหัวหน้าจางนั่งอยู่บนโต๊ะในห้องผ่านกระจก ท่าทางเข้มงวดจริงจังและกำลังเผชิญหน้ากับชายที่อยู่ตรงข้าม

 

 

โม่หันโบกเอกสารในมือให้หัวหน้าจางแต่อีกฝ่ายไม่ได้มีท่าทีตอบสนอง ก่อนนึกได้ว่าคนในห้องไม่สามารถเห็นคนด้านนอกผ่านกระจกสะท้อนแสงได้

 

 

ดูท่าอีกฝ่ายคงจะไม่ว่างอีกพักใหญ่ เขาจึงหันกลับไปทิ้งเอกสารไว้ให้หัวหน้าจางมาเห็นหลังจากเสร็จงานที่ห้องทำงาน

 

 

ทว่าในจังหวะที่เขากำลังจะจากไปก็เห็นชายที่นั่งตรงข้ามกับหัวหน้าจางมองมาทางเขาผ่านกระจก เขาจึงชะงักฝีเท้า

 

 

ดูเหมือนสายตาของเขาจะจ้องมาด้วยแววตาเย็นชาและเชือดเฉือน แม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายไม่เห็นเขาผ่านกระจกแต่ในใจก็ยังอดแปรเปลี่ยนเป็นเฉยชาไม่ได้

 

 

เขาถามจางหยางที่อยู่ข้างๆ ซึ่งกำลังมองเข้าไปในกระจกเช่นกัน “คนที่ถูกสอบสวนด้านในเป็นใคร”

 

 

ตอนนั้นเองที่คนถูกถามรู้ว่าคนที่มายืนอยู่ข้างๆ คือโม่หัน ก่อนมีท่าทางตกใจเล็กน้อย “โอ๊ะ… ทนายโม่ วันนี้คุณมาทำที่นี่ครับ”

 

 

“ผมมาส่งเอกสารให้หัวหน้าจางน่ะ” เขาถามซ้ำ “คนที่หัวหน้าจางสอบปากคำอยู่ด้านในคือใครเหรอ”

 

 

จางหยางมองชายที่นั่งอยู่ด้านใน “เฉินเทียน หัวหน้ากลุ่มผู้มีอิทธิพลที่เพิ่งจับกุมตัวได้น่ะครับ เขายังอายุน้อยแต่ก็คลุกคลีในวงการอาชญากรมากว่าสิบปีแล้วครับ เขาจัดการฝ่ายตรงข้ามอย่างไร้ความปรานี และได้ฉายาว่ายาพิษหมายเลขสามในหมู่อาชญากรด้วยกัน”

 

 

เขามองท่าทางแข็งกร้าวของชายที่นั่งอยู่ภายในห้องพลางครุ่นคิด

 

 

จางหยางจ้องไปที่เฉินเทียนที่นั่งอยู่ด้านในและยิ้มออกมา “จริงๆ แล้วเขายังมีอีกชื่อหนึ่ง คนในวงการต่างเรียกเขาด้วยชื่อนั้น อะไรนะ อ้อ ใช่ นายน้อยสาม”

 

 

“นายน้อยสามเหรอ” เขานิ่งค้างไป

 

 

“ใช่ครับ นายน้อยสาม มันดูแปลกใช่ไหมล่ะครับ แต่เป็นเพราะว่าเขาอายุน้อยและหน้าตาดีที่สุดในหมู่พี่น้องสามคนซึ่งเป็นหัวหน้าของกลุ่ม คนรอบตัวเลยเรียกเขาแบบนั้น” อีกฝ่ายพูดพึมพำกับตัวเองระหว่างที่มองไปที่เฉินเทียน “เอาเข้าจริงๆ เขาหน้าตาหล่อเหลาทีเดียว แม้แต่หลังจากที่ถูกโกนผมเขาก็ยังคงดูดีอยู่เลย ก่อนที่จะเห็นหน้าเขา ผมยังคิดว่าคนที่อยู่ในวงการใต้ดินแบบนั้นคงต้องดูโหดร้ายและมีรอยแผลบนหน้าและร่างกายไปทั่ว แต่ตอนนี้ความคิดของผมเปลี่ยนไปแล้วล่ะ”

 

 

จางหยางเริ่มพูดคุยกับเขา “คุณไม่คิดว่าคนที่นั่งอยู่ตรงหน้าตอนนี้ดูเหมือนนายน้อยจากครอบครัวเศรษฐีมากกว่าจะเป็นนักโทษบ้างเหรอครับ”

 

 

เขามองเฉินเทียนที่นั่งอยู่ด้านในผ่านกระจก หากเดาไม่ผิดเขาคงเป็นนายน้อยสามที่ซย่าชิงอีพูดถึงเมื่อคืน

 

 

โลกใบนี้ช่างกลมนัก เขานึกไม่ถึงจะมาเจออีกฝ่ายที่นี่ในวันนี้

 

 

โม่หันยังไม่เดินออกไปและยืนมองหัวหน้าจางสอบปากคำเฉินเทียนอย่างดุดัน ในขณะที่อีกฝ่ายไม่ได้เอ่ยแก้ตัวมากนักและยอมรับข้อกล่าวหาแต่โดยดี

 

 

“จากคดีที่เขารับสารภาพตอนนี้ เขาจะถูกตัดสินต้องโทษจำคุกกี่ปีครับ” เขาเอ่ยถาม

 

 

จางหยางตอบกลับ “อย่างน้อยก็สิบห้าปีได้ครับ เขาฆ่าคนไปสองคน และเกี่ยวข้องกับการลักลอบนำเข้าสินค้าและเลี่ยงภาษี ยังไม่รวมถึงข้อหาอื่นๆ อีก ทั้งหมดรวมกันประมาณสิบห้าปีได้ แต่เขากลับไม่ได้ขายยาเสพติดและทำให้เราแปลกใจกับเรื่องนี้ไม่น้อย”

 

 

ดูเหมือนจางหยางจะกระตือรือร้นในการเล่าเป็นพิเศษ “เขาอยู่ในวงการใต้ดินมากว่าสิบปีและไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดแม้แต่น้อย ธุรกิจที่เกี่ยวกับยาเสพติดอยู่ภายใต้การดูแลของพี่ชายคนโตของเขาโดยที่เขาไม่เคยเข้าไปยุ่มย่าม ผมเองก็ไม่แน่ใจว่าทำไม”

 

 

“ให้ผมเข้าไปคุยกับเขาสักครู่ได้ไหมครับ”

 

 

อีกฝ่ายจ้องมองมาที่เขา “คุณมีอะไรจะพูดกับเขาเหรอครับ มีคดีความเกี่ยวข้องกับเขาที่คุณรับผิดชอบอยู่เหรอ”

 

 

“ไม่ครับ เรื่องส่วนตัวน่ะครับ” เขาตอบ “แค่บอกมาว่าพอจะให้ผมเข้าไปคุยกับเขาไหม”

 

 

“ก็พอเป็นไปได้นะครับ แค่ต้องทำตามขั้นตอนหลังจากที่หัวหน้าจางสอบปากคำเขาเสร็จ ตอนนี้เขาอยู่ระหว่างช่วงเวลากักกันตัวเป็นพิเศษ อาจจะคุยกับเขาได้ไม่นานมากนัก”

 

 

“ผมขอแค่สามนาทีเท่านั้น”

 

 

เขามองนายน้อยสามที่นั่งอยู่ด้านในด้วยท่าทางสบายๆ แม้จะใส่กุญแจมืออยู่ก็ตามผ่านกระจก และคิดถึงเรื่องที่ซย่าชิงอีพูดถึงเกี่ยวกับตัวเขาเมื่อคืน

 

 

สิ่งที่เธอเล่าเกี่ยวกับเขามีไม่มากนักจนโม่หันไม่ได้สนใจเขานักในทีแรก แต่เมื่อมาเห็นอีกฝ่ายที่นี่และเห็นท่าทางของเขาก็สัมผัสได้ถึงความผิดปกติ

 

 

โม่หันจะได้เผชิญหน้ากับนายน้อยสามในอีกไม่ช้า หัวหน้าจางเพิ่งสอบปากคำเขาเสร็จและรู้ว่าโม่หันต้องการคุยกับนายน้อยสาม เขาไม่ได้ถามอะไรมากนักก่อนนำตัวนายน้อยสามมาที่ห้องเยี่ยมที่อยู่อีกด้านหนึ่ง

 

 

คนที่ถูกพาตัวมาทำเพียงนั่งลงและยิ้มขึ้นเมื่อเห็นโม่หันนั่งอยู่ตรงข้าม

 

 

ที่เดิมกับที่ซย่าชิงอีนั่งเมื่อหลายวัน

 

 

โม่หันขมวดคิ้วมุ่นและเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเอนพิงเก้าอี้และยิ้มออกมา “ทำไมคุณถึงยิ้มพอเห็นหน้าผม”

 

 

นายน้อยสามส่ายหน้า “ไม่มีอะไรหรอก ไม่ใช่เรื่องของคุณ”

 

 

“คุณไม่อยากรู้ว่าผมเป็นใครและอยากพบคุณทำไมบ้างเหรอ” เขาถามซ้ำ

 

 

ฝ่ายตรงข้ามตอบกลับ “ผมรู้ว่าคุณเป็นใครและรู้ว่าทำไมคุณถึงอยากเจอผม”

 

 

ในจังหวะนั้นเองที่โม่หันยกยิ้ม “คุณรู้ได้ยังไงว่าผมเป็นใคร”

 

 

“โม่หัน ทนายโม่ คุณคงมาอยู่ที่นี่เพราะลิน่า โอ๊ะ… ไม่สิ…” เขาส่ายหน้า “ตอนนี้ต้องเรียกเธอว่าซย่าชิงอีใช่ไหมครับ”

 

 

สีหน้าของโม่หันเปลี่ยนไป “คุณรู้เรื่องระหว่างผมกับเธอเหรอ”

 

 

“ผมพูดได้ไม่เต็มปากว่ารู้นักหรอกครับ แต่เรื่องนี้มันเกี่ยวข้องกับผม”

 

 

“เรื่องของผมกับแฟนของผมไปเกี่ยวข้องอะไรกับคุณไม่ทราบครับ”

 

 

“โอ้ เกี่ยวมากเลยล่ะครับ… เธอไม่ได้บอกคุณเหรอ” เขามองท่าทีเย็นชาของโม่หันและส่งยิ้มให้อย่างเดาว่าเธอคงไม่ได้บอกเรื่องระหว่างพวกเขากับโม่หัน มุมปากยกขึ้นพร้อมดวงตาที่ฉายแววหยอกเย้า “เมื่อก่อนแฟนสาวของคุณตกหลุมรักผมมาหกปี…”

 

 

คำพูดของอีกฝ่ายทำให้โม่หันรู้สึกราวกับถูกขังอยู่ในถ้ำน้ำแข็ง ทำได้เพียงจ้องเขม็งไปที่คนตรงข้าม

 

 

“ผมไปหาเธอครั้งหนึ่งก่อนที่จะถูกจับ แต่ตอนนั้นเธอยังจำอะไรไม่ได้ พูดจาห่างเหินกับผมเสียจนรู้สึกหงุดหงิด… เธอจำทุกอย่างได้เมื่อหลายวันก่อนและมาเยี่ยมที่เรือนจำครั้งหนึ่ง เราพูดคุยกันเยอะเลยครับ และใช่… พอพูดถึงมันแล้ว บังเอิญที่ที่เธอนั่งอยู่ที่เดียวกับที่ที่คุณนั่งอยู่ตอนนี้เลย”

 

 

เขายังจำวันที่พวกเขาไปดูหนังด้วยกันเมื่อหลายวันก่อนได้ ท่าทีของเธอที่ไม่ยอมปริปากพูดกับเขาสักคำระหว่างที่หนังฉายอยู่ หลังจากที่ออกมาจากโรงหนังเธอก็บอกว่ามีบางอย่างต้องไปทำ พอมาครุ่นคิดดูแล้วตอนนั้นเธอคงจะมาเยี่ยมนายน้อยสาม

 

 

ทว่าเขาคิดมาตลอดว่าเธอคงมาจัดการเรื่องของเสียวเหยี่ย ไม่นึกว่าเธอจะมาพบชายที่ตกหลุมรักมาหกปีในอดีต

 

 

อีกฝ่ายเอ่ยขึ้น “คุณคงคาดไม่ถึงว่าเมื่อก่อนเธอมีชีวิตยังไง ผมเองที่เป็นคนฝึกเธอให้มาอยู่ข้างๆ ผมตั้งแต่ที่เธอจากครอบครัวมาตอนอายุสิบเอ็ด พอมาย้อนนึกถึงเรื่องนี้ มันก็ผ่านมาได้เก้าปีแล้ว ผมเพิ่งจะมารู้ถึงความรู้สึกของเธอเอาตอนปีก่อนนี้เอง แต่ตอนที่ผมรู้ เธอก็รักผมมาได้ห้าปีแล้ว”

 

 

“คำพูดทุกคำที่ออกมาจากปากคุณมันเชื่อไม่ได้” โม่หันจ้องมองอีกฝ่ายผ่านกระจก

 

 

นายน้อยสามยกยิ้มอีกครั้ง “ฟังจากที่คุณพูดแล้วดูเหมือนมันจะสร้างความปั่นป่วนให้คุณสินะ” เขาว่าขึ้น “กลับไปถามเธอดูก็ได้ครับ มีเพียงแค่เธอเท่านั้นล่ะที่เข้าใจความรู้สึกของตัวเองตลอดหลายปีที่ผ่านมา”

 

 

โม่หันตอบกลับ “สิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างพวกคุณสองคนเป็นเพียงเรื่องในอดีต ผมจะไม่ตั้งแง่กับเธอเพราะเรื่องนี้หรอกนะครับ”

 

 

“ผมไม่ได้จะเข้าไปแทรกแซงความสัมพันธ์ของพวกคุณสองคนหรอกนะครับ กลับหวังว่าพวกคุณจะไปด้วยกันได้ดีด้วยซ้ำ ผมรู้ว่าจริงๆ แล้วเธอเป็นเด็กสาวที่ดีคนหนึ่งและจากที่ผมรู้มาคุณก็ดูแลเธออย่างดี ผมแอบสืบเรื่องของคุณเมื่อหลายเดือนก่อน คุณเป็นคนมีความสามารถในหลายๆ ด้าน นับว่าเธอตาแหลมทีเดียว เห็นแบบนั้นผมก็โล่งใจ”

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+