ภาพรักสีจางกลางสมุทร 173 โชคชะตา

Now you are reading ภาพรักสีจางกลางสมุทร Chapter 173 โชคชะตา at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

โม่หันขมวดคิ้วมุ่น “คุณเห็นเธอเมื่อวานเหรอ”

“ใช่ครับ ที่ตรงข้ามบริษัทนี้เอง ผมเจอเธอตอนที่ลงไปซื้อกาแฟด้านล่างน่ะครับ”

เขาเงียบไปขณะที่หลิวจื้อหย่วนที่อยู่ข้างๆ จับคางและพึมพำออกมาเบาๆ ตัวเอง “เกิดอะไรขึ้นกับเธอหรือเปล่านะ พอมาคิดดูแล้วก็ไม่ได้เจอเธอมานานแล้วเหมือนกัน ช่วงก่อนหน้านี้เธอไม่ค่อยได้เข้ามาที่บริษัทเลยใช่ไหม อืม เธอไม่ได้มาเลยต่างหาก”

“คุณเป็นห่วงเธอเหรอ” โม่หันว่าขึ้น

เมื่อเห็นโม่หันมีท่าทีเปลี่ยนไป อีกฝ่ายก็รีบบอกปัดทันที “ไม่… ไม่ครับ อย่าห่วงเลยครับเจ้านาย

ซย่าซย่ากับผมเป็นแค่เพื่อนกันเท่านั้น!”

“คุณเรียกเธอว่าซย่าซย่าเหรอ” เขากดเสียงหนักขึ้น

“ไม่… ไม่ครับ ซย่าซย่าบอกให้ผมเรียกเธอแบบนั้น ไม่ใช่… ที่ผมหมายถึงคือ…” เมื่อเจ้านายของเขาค่อยๆ ไล่ต้อนเขาจนจนมุม หลิวจื้อหย่วนก็ละล่ำละลักพูดออกมาไม่เป็นประโยค

เขาถอนหายใจออกมา “ตอนแรกผมคิดว่าชื่อของเธอเรียกยาก เลยบอกเธอไปว่าอย่างนั้นผมควรเรียกเธอว่าซย่าซย่าดีไหม เธอบอกว่าเธอไม่ติดอะไร ให้เรียกตามที่ผมถนัดได้เลย ผมก็เลยเรียกเธอแบบนี้มาตลอด”

“พวกคุณสองคนติดต่อกันเป็นการส่วนตัวบ่อยๆ งั้นเหรอ” เขาถามย้ำ

อีกฝ่ายส่ายหน้าปฏิเสธ “ไม่ขนาดนั้นหรอกครับ เราแค่คุยกันนิดหน่อยเท่านั้นเอง” ใจของเขาเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ เมื่อเห็นอาการของโม่หัน และตัดสินใจเลิกพูดถึงน้องสาวของเขากับเจ้าตัวอีกต่อไป สุดท้ายเขาเองที่ต้องเป็นคนที่จะพูดอะไรไม่ออกและเริ่มหาเรื่องปลีกตัวออกไป “คือว่า…ผมนึกได้ว่าต้องไปทำงานที่ค้างไว้ ขอตัวก่อนนะครับเจ้านาย”

ห่างไปออกไปจากสำนักงานกฎหมายโม่และเพื่อน ประธานตู้นั่งหน้าเคร่งเครียดอยู่ในรถ เขารู้สึกหงุดหงิดทุกครั้งที่นึกถึงคำที่โม่หันพูดกับเขาก่อนหน้านี้ที่บริษัท เขาได้ยินมานานแล้วว่าทนายโม่เป็นคนเถรตรงไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมทั้งนั้นแต่ได้มาสัมผัสเข้ากับตัวเองก็วันนี้

คดีที่เขาถูกฟ้องร้องคงไม่สามารถพลิกกลับมาชนะได้แล้วตราบใดที่พวกเขามีหลักฐานที่เพียงพอ และแน่นอนว่าต่อให้ไม่มีหลักฐานที่แน่นหนาพออีกฝ่ายก็คงจะโน้มน้าวและยืนยันต่อชั้นศาลให้เชื่อได้ไม่ยาก

ตลอดห้าปีที่อีกฝ่ายเป็นนักกฎหมายมา ไม่เคยมีสักคดีเดียวที่เขาปล่อยให้แพ้คดีไปได้

“โม่หันคนนี้ช่างไม่รู้จักอยู่ให้ถูกที่ถูกทางเสียเลย” ประธานตู้มองตรงไปข้างหน้าขณะที่เอ่ยปาก มือหนึ่งเคาะบนกระจกรถ

“เป็นอย่างที่คนพูดกันจริงๆ ด้วยครับ” ตัวแทนทนายความข้างตัวเขากล่าว

“คุณไม่รู้ว่าเขามีจุดอ่อนตรงไหนบ้างเหรอ” คนอายุมากกว่าถามขึ้น

“ผมเองไม่มั่นใจ แต่จากที่ได้ยินมาช่วงหลายปีมานี้บางคนที่ต้องการให้เขาช่วยเหลือต่างก็ถูกปฏิเสธ เราน่าจะเปลี่ยนวิธีระหว่างที่ผมจะลองนัดกินอาหารกับพวกเขาในช่วงนี้ดูและค่อยมาดูว่าจะมีอะไรดีขึ้นบ้างหรือไม่ครับ”

ประธานตู้ห้ามเขาไว้ “อย่าบุ่มบ่าม เรายังต้องทำงานกับเขาต่อไป หากผลการพิจารณาคดีออกมาไม่เป็นอย่างที่คิดจะยิ่งไม่เป็นการดีกับเรานัก”

ตัวแทนทนายเอ่ย “แต่ว่า… วันนี้เรื่องมันก็มาถึงขนาดนี้แล้วนะครับ”

คนฟังยกยิ้ม “แน่นอนว่ามันยากที่จะเจรจาเรื่องนี้กับเขา แต่เราก็ยังเจรจากับคนใกล้ตัวเขาได้นี่”

“คนใกล้ตัวเขางั้นเหรอครับ”

“ฉันได้ยินมาว่าเขามีน้องสาวอยู่คนหนึ่ง”

“โอ๊ะ… ผมก็เคยได้ยินมาเหมือนกัน ดูเหมือนพวกเขาจะไม่ใช่พี่น้องแท้ๆ กันนะครับ เธอถูกพ่อแม่ของโม่หันในอเมริการับเลี้ยงไว้ เพิ่งกลับมาไม่นานนี้เองครับ”

ประธานตู้มีท่าทียินดีเมื่อพบเจอสิ่งที่น่าสนใจ “ไม่ใช่พี่น้องแท้ๆ เหรอ”

“ใช่ครับ จริงๆ แล้วพวกเขาเป็นพี่น้องที่ค่อนข้างสนิทสนมกันเลยทีเดียว น้องสาวของเขามักจะแวะไปเที่ยวเล่นที่บริษัทของเขาบ่อยๆ ”

“เธอชื่ออะไร”

“ซย่าชิงอีครับ”

“ดูเหมือนเรามีอะไรต้องคุยกับคุณซย่าหน่อยแล้วล่ะ”

ตัวแทนทนายมีท่าทางกังวลเล็กน้อย “จะได้ผลเหรอครับ เขาดูไม่เหมือนคนที่น่าจะหลงกลแบบนี้ได้เลย ผมยังจำตอนที่เมื่อก่อนเพื่อนร่วมงานของผมไปตามหาโม่หันด้วยเหตุผลบางอย่างและถูกเมินกลับมา เขาเลยไปหาแฟนสาวของเขาในอเมริกาอย่างหวังให้เธอช่วยขอร้องเขาให้แต่มันก็ไม่ได้ผลครับ”

อีกฝ่ายรู้สึกว่าไม่มีวิธีที่จะเหมาะไปมากกว่านี้แล้วและกล่าวอย่างมั่นใจ “ไม่ต้องกังวลหรอก การเจรจากับเด็กสาวง่ายกว่าทำกับเขามาก ถ้าน้องสาวของเขาไม่ยอมฟังเราก็แค่ใช้วิธีที่รุนแรงขึ้น เดี๋ยวก็คงได้ผลอย่างแน่นอน”

“ถ้างั้นก็ได้ครับ ผมจะลองติดต่อเธอดู” คนฟังตอบรับคำสั่ง

ที่เมือง F ที่ห่างออกไป ซย่าชิงอีไม่รู้ตัวว่าได้เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องวุ่นวายเสียแล้ว เธอยังคงโกรธโม่หันที่ทำตัวเมินเฉยตอนที่เธอบอกเขาในตอนเช้าว่าจะออกไปและไม่ได้กลับมา

เพราะว่าเธอปฏิเสธคำสารภาพรักของเขา เขาจึงทำกับเธอแบบนี้หรือ หรือเขาจะอดใจรอที่จะตัดขาดกับเธอไม่ไหวและแสร้งทำเป็นรู้จักเธอ หรือเขาจะจงใจทำตัวห่างเหินกับเธอกัน หากแม้ว่าพวกเขาไม่ได้เป็นคนรักกัน เขาก็จะตั้งตัวเป็นศัตรูกับเธอและไม่ยอมพูดกับเธอเลยน่ะหรือ

เธอรู้สึกว่าเขาช่างทำตัวน่าขันเสียเหลือเกิน ทำเหมือนกันกับเป็นความผิดของเธอที่ปฏิเสธเขาอย่างนั้นแหละ และนั่นก็ทำให้เขาต้องการจะทิ้งระยะห่างกับเธอซึ่งเป็นสิ่งที่เธอจะต้องทนรับให้ได้

ทว่าเขาไม่ฉุกคิดเสียหน่อยเลยเหรอว่าเขาเป็นคนเดียวที่เธอพูดคุยได้อย่างไม่ตะขิดตะขวงใจ พอเขามาทำท่าทีห่างเหินกับเธอแบบนี้ก็ไม่เหลือใครที่เธอจะพูดด้วยได้อีกแล้ว

แม้จะมีคนมากมายหลายล้านคนบนโลกใบนี้แต่เธอก็ไม่มีใครสักคนที่จะสามารถพูดคุยด้วยได้

ท่ามกลางความโกรธที่คุกรุ่น เธอก็ออกเดินทางมาที่เมือง F และไปที่หลุมศพของซ่งเย่ว์เนี่ยนกับแม่ของเธอ

เมื่อได้พูดคุยกับแม่ของตัวเองก็เห็นว่าท่านดูไม่ได้โกรธที่เธอหนีกลับไปที่เมือง S หลังจากที่รู้ความจริง เมื่อทั้งสองเจอหน้ากันอีกครั้ง ท่านยังคงส่งยิ้มให้เธอและยังเข้ามาดึงเธอไปยืนข้างๆ

พวกเขายืนอยู่หน้าหลุมศพของซ่งเย่ว์เนี่ยนด้วยกัน เธอรู้สึกราวกับปมในใจของตัวเองได้ถูกคลายลงและผ่อนคลายได้มากกว่าที่เคย

“แม่คิดว่าลูกจะไม่มาให้แม่เห็นหน้าอีกแล้วหลังจากรู้ความจริง” ท่านเอ่ยขึ้น

“ยังไงแม่ก็ยังเป็นแม่ของหนูนะคะ” เธอยืนอยู่ต่อหน้าหลุมศพเคียงคู่กับแม่ของตัวเองขณะที่จ้องมองรูปของเด็กสาวที่หน้าตาเหมือนกับเธอบนหิน

ท่านเหลือบมองมาที่เธอก่อนจะส่งยิ้มและพูดขึ้น “ลูกอยากฟังเรื่องสมัยก่อนไหม”

“ค่ะแม่ เล่าให้หนูฟังหน่อยสิคะ”

หญิงมีอายุเริ่มเล่าออกมา “นิสัยของลูกยังเหมือนเดิมเลยนะ น้องสาวของลูกเป็นคนร่าเริง เธอชอบออกไปเล่นข้างนอกกับเพื่อน แต่พออยู่ที่บ้านกลับเอาแต่เงียบและพูดน้อย ส่วนลูกน่ะต่างออกไปเลย ลูกมักจะทำหน้าบูดบึ้งใส่คนอื่นเวลาออกไปข้างนอกและชอบเอาหนังสือติดตัวไปอ่านด้วยตลอด แต่จริงๆ แล้วลูกเป็นคนใจดีมากเลยล่ะ ตอนที่เห็นใครบางคนทำรุนแรงกับเจ้ากระต่าย ลูกก็เป็นห่วงว่ามันจะเจ็บ ตอนอยู่ที่บ้านลูกยังชอบแกล้งเย้าแหย่พวกเราและทำให้พวกเราหัวเราะออกมาบ่อยๆ ”

เธอฉีกยิ้มออกมา “จริงเหรอคะ หนูเป็นแบบนั้นตอนเด็กๆ เหรอ จำไม่ค่อยได้เลย จำได้แต่ตอนที่กำลังร้องไห้อยู่บนตักของแม่”

อีกฝ่ายส่งยิ้มกลับมาให้ “อ้อ ลูกหมายถึงตอนนั้นสินะ มีแค่ครั้งเดียวที่ลูกร้องไห้ รู้ไหมว่าเพราะอะไร”

“ทำไมล่ะคะ”

“เพราะว่าลูกเห็นหมาถูกรถชนจนเลือดไหลนองออกมาน่ะสิ ตอนนั้นลูกไปโรงเรียนคนเดียว อุ้มหมาและขอให้คนที่เดินผ่านไปมาช่วยพาลูกไปหาหมอ แต่พวกเขาก็ไม่สนใจและบอกว่ามันตายไปแล้ว ลูกก็เลยไม่ไปโรงเรียน แล้วก็หาทางพามันไปหาหมอจนได้ แต่หมอก็บอกว่าช่วยมันไม่ทันแล้ว”

เธอเล่าต่อ “ตอนที่แม่ไปถึงโรงพยาบาลสัตว์ ก็เห็นลูกกำลังร้องไห้อยู่ที่ทางเดิน”

ระหว่างที่ฟังแม่ของเธอพูด เธอก็คิดตามอย่างเหม่อลอยและความทรงจำหลายอย่างก็เริ่มปรากฏขึ้น มันเป็นความรู้สึกที่แสนพิเศษ แม้ว่าจะเป็นเพียงเศษเสี้ยวของความทรงจำ แต่การที่สามารถค่อยๆ จำเรื่องราวในได้อดีตก็ทำให้เธอรู้สึกตัวขึ้น

“หันเลี่ยงคงบอกลูกก่อนหน้านี้ว่าเราแยกจากกันมานานแล้ว” พูดจบรอยยิ้มก็พลันหายไปจากใบหน้าของแม่ของเธอและถูกแทนที่ด้วยความเศร้าสร้อย

เธอนิ่งฟังสิ่งที่ท่านเอ่ย “แม่คิดว่าตลอดว่าทุกสิ่งในโลกใบนี้เกิดขึ้นเป็นวัฏจักร ตอนนั้นลูกจากไป เหลือเพียงเนี่ยนเนี่ยนที่อยู่กับเรา และในตอนนี้ลูกก็กลับมาแต่เนี่ยนเนี่ยนกลับจากไปเสียแล้ว นี่คงเป็นโชคชะตาที่กำหนดให้มีเพียงลูกคนใดคนหนึ่งที่จะได้อยู่”

ท่าทีของท่านดูสิ้นหวังขณะที่ค่อยๆ จมดิ่งไปกับความทรงจำในอดีตของตัวเอง “ตอนนั้นบริษัทของพ่อของลูกมีปัญหา การเงินฝืดเคือง แม้แต่การจ่ายเงินเดือนพนักงานยังลำบาก เขายืมเงินจากเจ้าหนี้หน้าเลือดและตั้งใจจะจ่ายคืนทันทีที่ได้กำไร แต่ไม่มีใครคาดคิดว่าเขาจะใช้เงินทั้งหมดที่ยืมมาหมดภายในเดือนเดียว หลังจากนั้นเจ้าหนี้ก็มาที่บ้านเราและเข้ามาทำลายข้าวของข้างนอก จับเราเข้าไปในบ้าน พ่อของลูกและแม่นั่งคุกเข่าขอร้องให้พวกมันปล่อยเราไป แต่พวกมันกลับจับพ่อของลูกลากขึ้นไปที่ชั้นดาดฟ้าบนชั้นสามที่มีไม้กางเขนติดไว้อยู่ และตั้งใจจะโยนเขาลงไปเพื่อฆ่าเขาเอาเงินประกัน

“ตอนนั้นลูกอายุแค่สิบเอ็ดขวบ น้องสาวของลูกกลัวมากและเอาแต่ร้องไห้อยู่บนตักของแม่ แต่ลูกกลับมองไปที่มันและถามว่าต้องการอะไรเพื่อแลกกับการปล่อยเราไป”

เธอมองแม่ของตัวเองอย่างแทบไม่เชื่อว่าเธอจะพูดอะไรแบบนั้นออกมา ตอนนั้นเธอทำอย่างนั้นจริงๆ เหรอ

อีกฝ่ายสบตาเธอกลับมา รอยยิ้มปรากฏขึ้นพร้อมเอ่ยอย่างแผ่วเบา “มันเป็นเรื่องจริง”

ก่อนจะพูดต่อ “พวกเราตกใจมาก ตอนนั้นลูกดูเหมือนนักรบตัวน้อยๆ เลย ลูกยืนอยู่ข้างหน้าพวกเราและถามเจ้าหนี้หน้าเลือดที่มีรอยแผลเป็นบนใบหน้า มันมองหน้าลูกและยิ้มออกมาก่อนบอกว่าถ้าลูกทำให้พวกมันพอใจได้มันจะปล่อยพวกเราไป

“แม่รีบไปจับลูกเอาไว้ กลัวว่าพวกมันจะคิดสกปรก แต่ลูกกลับไม่กลัวสักนิดและยังถามพวกมันอีกว่าต้องทำยังไงถึงจะพอใจ ตอนที่ได้ยินแบบนั้นแม่ก็รีบเข้าไปปิดปากลูกไว้และซ่อนลูกไว้ด้านหลัง แต่ลูกก็ไม่ขยับถอยหลังไป เอาแต่ยืนเผชิญหน้าอยู่อย่างนั้น

“หลังจากนั้นพวกมันก็เข้ามาจับตัวลูกไว้ แม่ไม่ยอมให้เอาตัวลูกไปเลยถูกพวกมันเข้ามาจับจนแขนหัก พ่อของลูกถูกแขวนบนไม้กางเขน เขานิ่งไม่ไหวติงเลย แม่ได้แต่กรีดร้องจากด้านหลังและมองพวกมันพรากตัวลูกไปจากแม่ต่อหน้าต่อตา”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ภาพรักสีจางกลางสมุทร 173 โชคชะตา

Now you are reading ภาพรักสีจางกลางสมุทร Chapter 173 โชคชะตา at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

โม่หันขมวดคิ้วมุ่น “คุณเห็นเธอเมื่อวานเหรอ”

“ใช่ครับ ที่ตรงข้ามบริษัทนี้เอง ผมเจอเธอตอนที่ลงไปซื้อกาแฟด้านล่างน่ะครับ”

เขาเงียบไปขณะที่หลิวจื้อหย่วนที่อยู่ข้างๆ จับคางและพึมพำออกมาเบาๆ ตัวเอง “เกิดอะไรขึ้นกับเธอหรือเปล่านะ พอมาคิดดูแล้วก็ไม่ได้เจอเธอมานานแล้วเหมือนกัน ช่วงก่อนหน้านี้เธอไม่ค่อยได้เข้ามาที่บริษัทเลยใช่ไหม อืม เธอไม่ได้มาเลยต่างหาก”

“คุณเป็นห่วงเธอเหรอ” โม่หันว่าขึ้น

เมื่อเห็นโม่หันมีท่าทีเปลี่ยนไป อีกฝ่ายก็รีบบอกปัดทันที “ไม่… ไม่ครับ อย่าห่วงเลยครับเจ้านาย

ซย่าซย่ากับผมเป็นแค่เพื่อนกันเท่านั้น!”

“คุณเรียกเธอว่าซย่าซย่าเหรอ” เขากดเสียงหนักขึ้น

“ไม่… ไม่ครับ ซย่าซย่าบอกให้ผมเรียกเธอแบบนั้น ไม่ใช่… ที่ผมหมายถึงคือ…” เมื่อเจ้านายของเขาค่อยๆ ไล่ต้อนเขาจนจนมุม หลิวจื้อหย่วนก็ละล่ำละลักพูดออกมาไม่เป็นประโยค

เขาถอนหายใจออกมา “ตอนแรกผมคิดว่าชื่อของเธอเรียกยาก เลยบอกเธอไปว่าอย่างนั้นผมควรเรียกเธอว่าซย่าซย่าดีไหม เธอบอกว่าเธอไม่ติดอะไร ให้เรียกตามที่ผมถนัดได้เลย ผมก็เลยเรียกเธอแบบนี้มาตลอด”

“พวกคุณสองคนติดต่อกันเป็นการส่วนตัวบ่อยๆ งั้นเหรอ” เขาถามย้ำ

อีกฝ่ายส่ายหน้าปฏิเสธ “ไม่ขนาดนั้นหรอกครับ เราแค่คุยกันนิดหน่อยเท่านั้นเอง” ใจของเขาเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ เมื่อเห็นอาการของโม่หัน และตัดสินใจเลิกพูดถึงน้องสาวของเขากับเจ้าตัวอีกต่อไป สุดท้ายเขาเองที่ต้องเป็นคนที่จะพูดอะไรไม่ออกและเริ่มหาเรื่องปลีกตัวออกไป “คือว่า…ผมนึกได้ว่าต้องไปทำงานที่ค้างไว้ ขอตัวก่อนนะครับเจ้านาย”

ห่างไปออกไปจากสำนักงานกฎหมายโม่และเพื่อน ประธานตู้นั่งหน้าเคร่งเครียดอยู่ในรถ เขารู้สึกหงุดหงิดทุกครั้งที่นึกถึงคำที่โม่หันพูดกับเขาก่อนหน้านี้ที่บริษัท เขาได้ยินมานานแล้วว่าทนายโม่เป็นคนเถรตรงไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมทั้งนั้นแต่ได้มาสัมผัสเข้ากับตัวเองก็วันนี้

คดีที่เขาถูกฟ้องร้องคงไม่สามารถพลิกกลับมาชนะได้แล้วตราบใดที่พวกเขามีหลักฐานที่เพียงพอ และแน่นอนว่าต่อให้ไม่มีหลักฐานที่แน่นหนาพออีกฝ่ายก็คงจะโน้มน้าวและยืนยันต่อชั้นศาลให้เชื่อได้ไม่ยาก

ตลอดห้าปีที่อีกฝ่ายเป็นนักกฎหมายมา ไม่เคยมีสักคดีเดียวที่เขาปล่อยให้แพ้คดีไปได้

“โม่หันคนนี้ช่างไม่รู้จักอยู่ให้ถูกที่ถูกทางเสียเลย” ประธานตู้มองตรงไปข้างหน้าขณะที่เอ่ยปาก มือหนึ่งเคาะบนกระจกรถ

“เป็นอย่างที่คนพูดกันจริงๆ ด้วยครับ” ตัวแทนทนายความข้างตัวเขากล่าว

“คุณไม่รู้ว่าเขามีจุดอ่อนตรงไหนบ้างเหรอ” คนอายุมากกว่าถามขึ้น

“ผมเองไม่มั่นใจ แต่จากที่ได้ยินมาช่วงหลายปีมานี้บางคนที่ต้องการให้เขาช่วยเหลือต่างก็ถูกปฏิเสธ เราน่าจะเปลี่ยนวิธีระหว่างที่ผมจะลองนัดกินอาหารกับพวกเขาในช่วงนี้ดูและค่อยมาดูว่าจะมีอะไรดีขึ้นบ้างหรือไม่ครับ”

ประธานตู้ห้ามเขาไว้ “อย่าบุ่มบ่าม เรายังต้องทำงานกับเขาต่อไป หากผลการพิจารณาคดีออกมาไม่เป็นอย่างที่คิดจะยิ่งไม่เป็นการดีกับเรานัก”

ตัวแทนทนายเอ่ย “แต่ว่า… วันนี้เรื่องมันก็มาถึงขนาดนี้แล้วนะครับ”

คนฟังยกยิ้ม “แน่นอนว่ามันยากที่จะเจรจาเรื่องนี้กับเขา แต่เราก็ยังเจรจากับคนใกล้ตัวเขาได้นี่”

“คนใกล้ตัวเขางั้นเหรอครับ”

“ฉันได้ยินมาว่าเขามีน้องสาวอยู่คนหนึ่ง”

“โอ๊ะ… ผมก็เคยได้ยินมาเหมือนกัน ดูเหมือนพวกเขาจะไม่ใช่พี่น้องแท้ๆ กันนะครับ เธอถูกพ่อแม่ของโม่หันในอเมริการับเลี้ยงไว้ เพิ่งกลับมาไม่นานนี้เองครับ”

ประธานตู้มีท่าทียินดีเมื่อพบเจอสิ่งที่น่าสนใจ “ไม่ใช่พี่น้องแท้ๆ เหรอ”

“ใช่ครับ จริงๆ แล้วพวกเขาเป็นพี่น้องที่ค่อนข้างสนิทสนมกันเลยทีเดียว น้องสาวของเขามักจะแวะไปเที่ยวเล่นที่บริษัทของเขาบ่อยๆ ”

“เธอชื่ออะไร”

“ซย่าชิงอีครับ”

“ดูเหมือนเรามีอะไรต้องคุยกับคุณซย่าหน่อยแล้วล่ะ”

ตัวแทนทนายมีท่าทางกังวลเล็กน้อย “จะได้ผลเหรอครับ เขาดูไม่เหมือนคนที่น่าจะหลงกลแบบนี้ได้เลย ผมยังจำตอนที่เมื่อก่อนเพื่อนร่วมงานของผมไปตามหาโม่หันด้วยเหตุผลบางอย่างและถูกเมินกลับมา เขาเลยไปหาแฟนสาวของเขาในอเมริกาอย่างหวังให้เธอช่วยขอร้องเขาให้แต่มันก็ไม่ได้ผลครับ”

อีกฝ่ายรู้สึกว่าไม่มีวิธีที่จะเหมาะไปมากกว่านี้แล้วและกล่าวอย่างมั่นใจ “ไม่ต้องกังวลหรอก การเจรจากับเด็กสาวง่ายกว่าทำกับเขามาก ถ้าน้องสาวของเขาไม่ยอมฟังเราก็แค่ใช้วิธีที่รุนแรงขึ้น เดี๋ยวก็คงได้ผลอย่างแน่นอน”

“ถ้างั้นก็ได้ครับ ผมจะลองติดต่อเธอดู” คนฟังตอบรับคำสั่ง

ที่เมือง F ที่ห่างออกไป ซย่าชิงอีไม่รู้ตัวว่าได้เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องวุ่นวายเสียแล้ว เธอยังคงโกรธโม่หันที่ทำตัวเมินเฉยตอนที่เธอบอกเขาในตอนเช้าว่าจะออกไปและไม่ได้กลับมา

เพราะว่าเธอปฏิเสธคำสารภาพรักของเขา เขาจึงทำกับเธอแบบนี้หรือ หรือเขาจะอดใจรอที่จะตัดขาดกับเธอไม่ไหวและแสร้งทำเป็นรู้จักเธอ หรือเขาจะจงใจทำตัวห่างเหินกับเธอกัน หากแม้ว่าพวกเขาไม่ได้เป็นคนรักกัน เขาก็จะตั้งตัวเป็นศัตรูกับเธอและไม่ยอมพูดกับเธอเลยน่ะหรือ

เธอรู้สึกว่าเขาช่างทำตัวน่าขันเสียเหลือเกิน ทำเหมือนกันกับเป็นความผิดของเธอที่ปฏิเสธเขาอย่างนั้นแหละ และนั่นก็ทำให้เขาต้องการจะทิ้งระยะห่างกับเธอซึ่งเป็นสิ่งที่เธอจะต้องทนรับให้ได้

ทว่าเขาไม่ฉุกคิดเสียหน่อยเลยเหรอว่าเขาเป็นคนเดียวที่เธอพูดคุยได้อย่างไม่ตะขิดตะขวงใจ พอเขามาทำท่าทีห่างเหินกับเธอแบบนี้ก็ไม่เหลือใครที่เธอจะพูดด้วยได้อีกแล้ว

แม้จะมีคนมากมายหลายล้านคนบนโลกใบนี้แต่เธอก็ไม่มีใครสักคนที่จะสามารถพูดคุยด้วยได้

ท่ามกลางความโกรธที่คุกรุ่น เธอก็ออกเดินทางมาที่เมือง F และไปที่หลุมศพของซ่งเย่ว์เนี่ยนกับแม่ของเธอ

เมื่อได้พูดคุยกับแม่ของตัวเองก็เห็นว่าท่านดูไม่ได้โกรธที่เธอหนีกลับไปที่เมือง S หลังจากที่รู้ความจริง เมื่อทั้งสองเจอหน้ากันอีกครั้ง ท่านยังคงส่งยิ้มให้เธอและยังเข้ามาดึงเธอไปยืนข้างๆ

พวกเขายืนอยู่หน้าหลุมศพของซ่งเย่ว์เนี่ยนด้วยกัน เธอรู้สึกราวกับปมในใจของตัวเองได้ถูกคลายลงและผ่อนคลายได้มากกว่าที่เคย

“แม่คิดว่าลูกจะไม่มาให้แม่เห็นหน้าอีกแล้วหลังจากรู้ความจริง” ท่านเอ่ยขึ้น

“ยังไงแม่ก็ยังเป็นแม่ของหนูนะคะ” เธอยืนอยู่ต่อหน้าหลุมศพเคียงคู่กับแม่ของตัวเองขณะที่จ้องมองรูปของเด็กสาวที่หน้าตาเหมือนกับเธอบนหิน

ท่านเหลือบมองมาที่เธอก่อนจะส่งยิ้มและพูดขึ้น “ลูกอยากฟังเรื่องสมัยก่อนไหม”

“ค่ะแม่ เล่าให้หนูฟังหน่อยสิคะ”

หญิงมีอายุเริ่มเล่าออกมา “นิสัยของลูกยังเหมือนเดิมเลยนะ น้องสาวของลูกเป็นคนร่าเริง เธอชอบออกไปเล่นข้างนอกกับเพื่อน แต่พออยู่ที่บ้านกลับเอาแต่เงียบและพูดน้อย ส่วนลูกน่ะต่างออกไปเลย ลูกมักจะทำหน้าบูดบึ้งใส่คนอื่นเวลาออกไปข้างนอกและชอบเอาหนังสือติดตัวไปอ่านด้วยตลอด แต่จริงๆ แล้วลูกเป็นคนใจดีมากเลยล่ะ ตอนที่เห็นใครบางคนทำรุนแรงกับเจ้ากระต่าย ลูกก็เป็นห่วงว่ามันจะเจ็บ ตอนอยู่ที่บ้านลูกยังชอบแกล้งเย้าแหย่พวกเราและทำให้พวกเราหัวเราะออกมาบ่อยๆ ”

เธอฉีกยิ้มออกมา “จริงเหรอคะ หนูเป็นแบบนั้นตอนเด็กๆ เหรอ จำไม่ค่อยได้เลย จำได้แต่ตอนที่กำลังร้องไห้อยู่บนตักของแม่”

อีกฝ่ายส่งยิ้มกลับมาให้ “อ้อ ลูกหมายถึงตอนนั้นสินะ มีแค่ครั้งเดียวที่ลูกร้องไห้ รู้ไหมว่าเพราะอะไร”

“ทำไมล่ะคะ”

“เพราะว่าลูกเห็นหมาถูกรถชนจนเลือดไหลนองออกมาน่ะสิ ตอนนั้นลูกไปโรงเรียนคนเดียว อุ้มหมาและขอให้คนที่เดินผ่านไปมาช่วยพาลูกไปหาหมอ แต่พวกเขาก็ไม่สนใจและบอกว่ามันตายไปแล้ว ลูกก็เลยไม่ไปโรงเรียน แล้วก็หาทางพามันไปหาหมอจนได้ แต่หมอก็บอกว่าช่วยมันไม่ทันแล้ว”

เธอเล่าต่อ “ตอนที่แม่ไปถึงโรงพยาบาลสัตว์ ก็เห็นลูกกำลังร้องไห้อยู่ที่ทางเดิน”

ระหว่างที่ฟังแม่ของเธอพูด เธอก็คิดตามอย่างเหม่อลอยและความทรงจำหลายอย่างก็เริ่มปรากฏขึ้น มันเป็นความรู้สึกที่แสนพิเศษ แม้ว่าจะเป็นเพียงเศษเสี้ยวของความทรงจำ แต่การที่สามารถค่อยๆ จำเรื่องราวในได้อดีตก็ทำให้เธอรู้สึกตัวขึ้น

“หันเลี่ยงคงบอกลูกก่อนหน้านี้ว่าเราแยกจากกันมานานแล้ว” พูดจบรอยยิ้มก็พลันหายไปจากใบหน้าของแม่ของเธอและถูกแทนที่ด้วยความเศร้าสร้อย

เธอนิ่งฟังสิ่งที่ท่านเอ่ย “แม่คิดว่าตลอดว่าทุกสิ่งในโลกใบนี้เกิดขึ้นเป็นวัฏจักร ตอนนั้นลูกจากไป เหลือเพียงเนี่ยนเนี่ยนที่อยู่กับเรา และในตอนนี้ลูกก็กลับมาแต่เนี่ยนเนี่ยนกลับจากไปเสียแล้ว นี่คงเป็นโชคชะตาที่กำหนดให้มีเพียงลูกคนใดคนหนึ่งที่จะได้อยู่”

ท่าทีของท่านดูสิ้นหวังขณะที่ค่อยๆ จมดิ่งไปกับความทรงจำในอดีตของตัวเอง “ตอนนั้นบริษัทของพ่อของลูกมีปัญหา การเงินฝืดเคือง แม้แต่การจ่ายเงินเดือนพนักงานยังลำบาก เขายืมเงินจากเจ้าหนี้หน้าเลือดและตั้งใจจะจ่ายคืนทันทีที่ได้กำไร แต่ไม่มีใครคาดคิดว่าเขาจะใช้เงินทั้งหมดที่ยืมมาหมดภายในเดือนเดียว หลังจากนั้นเจ้าหนี้ก็มาที่บ้านเราและเข้ามาทำลายข้าวของข้างนอก จับเราเข้าไปในบ้าน พ่อของลูกและแม่นั่งคุกเข่าขอร้องให้พวกมันปล่อยเราไป แต่พวกมันกลับจับพ่อของลูกลากขึ้นไปที่ชั้นดาดฟ้าบนชั้นสามที่มีไม้กางเขนติดไว้อยู่ และตั้งใจจะโยนเขาลงไปเพื่อฆ่าเขาเอาเงินประกัน

“ตอนนั้นลูกอายุแค่สิบเอ็ดขวบ น้องสาวของลูกกลัวมากและเอาแต่ร้องไห้อยู่บนตักของแม่ แต่ลูกกลับมองไปที่มันและถามว่าต้องการอะไรเพื่อแลกกับการปล่อยเราไป”

เธอมองแม่ของตัวเองอย่างแทบไม่เชื่อว่าเธอจะพูดอะไรแบบนั้นออกมา ตอนนั้นเธอทำอย่างนั้นจริงๆ เหรอ

อีกฝ่ายสบตาเธอกลับมา รอยยิ้มปรากฏขึ้นพร้อมเอ่ยอย่างแผ่วเบา “มันเป็นเรื่องจริง”

ก่อนจะพูดต่อ “พวกเราตกใจมาก ตอนนั้นลูกดูเหมือนนักรบตัวน้อยๆ เลย ลูกยืนอยู่ข้างหน้าพวกเราและถามเจ้าหนี้หน้าเลือดที่มีรอยแผลเป็นบนใบหน้า มันมองหน้าลูกและยิ้มออกมาก่อนบอกว่าถ้าลูกทำให้พวกมันพอใจได้มันจะปล่อยพวกเราไป

“แม่รีบไปจับลูกเอาไว้ กลัวว่าพวกมันจะคิดสกปรก แต่ลูกกลับไม่กลัวสักนิดและยังถามพวกมันอีกว่าต้องทำยังไงถึงจะพอใจ ตอนที่ได้ยินแบบนั้นแม่ก็รีบเข้าไปปิดปากลูกไว้และซ่อนลูกไว้ด้านหลัง แต่ลูกก็ไม่ขยับถอยหลังไป เอาแต่ยืนเผชิญหน้าอยู่อย่างนั้น

“หลังจากนั้นพวกมันก็เข้ามาจับตัวลูกไว้ แม่ไม่ยอมให้เอาตัวลูกไปเลยถูกพวกมันเข้ามาจับจนแขนหัก พ่อของลูกถูกแขวนบนไม้กางเขน เขานิ่งไม่ไหวติงเลย แม่ได้แต่กรีดร้องจากด้านหลังและมองพวกมันพรากตัวลูกไปจากแม่ต่อหน้าต่อตา”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+