ภาพรักสีจางกลางสมุทร 163 ปล่อยฉันไป

Now you are reading ภาพรักสีจางกลางสมุทร Chapter 163 ปล่อยฉันไป at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“ฉันไม่คิดว่าเขาจะเป็นอย่างนั้นนะคะ วันนั้นเขานั่งข้างคุณอยู่ตรงนี้อยู่นาน เอาแต่นั่งดื่มกาแฟ ไม่ได้ทำอย่างอื่นเลย ฉันคิดว่าเขาคงอยากรอจนกว่าคุณจะหลับให้พอก่อน แต่สุดท้ายคุณก็หลับไปนานมากก่อนที่เขาจะออกไปก่อน”

 

 

ซย่าชิงอีไม่ได้คิดว่าจู่ๆ ตัวเองจะได้ยินเรื่องของโม่หันจากปากของคนแปลกหน้า เธอมองเด็กสาวคนนั้นที่ยังคงพูดคุยอย่างต้องการออกไปจากร้าน “คือว่า… ฉันมีธุระต้องไปทำต่อ… ครั้งหน้า… ถ้ามีเวลาเราค่อยคุยกันต่อนะคะ”

 

 

เธอหันหลังออกไปและไม่ได้อยู่ฟังสิ่งที่เด็กสาวคนนั้นพูดอีก รีบจากไปราวกับกำลังหนีเอาตัวรอด

 

 

เธอเดินไปตามถนน นึกย้อนไปถึงสิ่งที่เด็กสาวคนนั้นเล่าพลันนึกถึงบางอย่างขึ้นมาได้ เธอชะงักเท้าและเบิกตากว้างก่อนที่เริ่มจะควานไปในกระเป๋า

 

 

มิน่าล่ะหลายวันที่ผ่านมาเธอถึงรู้สึกว่ายานอนหลับของเธอถึงได้หายไปเยอะนัก เธอเพิ่งจะกินมันแต่เมื่อเธอตื่นมากลับรู้สึกว่ายาในขวดเหลืออยู่ไม่ถึงครึ่ง เมื่อคิดถึงมันก็รู้ว่าโม่หันคงจะเทยาออกไปตอนที่เธอหลับอยู่

 

 

เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและคิดว่าจะต่อสายหาเขาดีหรือไม่ แต่ในที่สุดเธอก็ตัดสินใจไม่โทรหาเขา เขาไม่ได้บอกเธอด้วยซ้ำว่าเขามาที่นี่ คงเพราะว่าไม่อยากให้เธอรู้ อีกอย่างเขาก็เป็นคนบอกเธอเองว่าไม่ให้เธอติดต่อเขาอีก

 

 

ถ้าหากเขาโกรธขึ้นมาล่ะ

 

 

เธอสลัดความคิดทิ้งไปและเตรียมตัวกลับ ทำตัวเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเมื่อหันเลี่ยงโทรหาเธอ

 

 

[นี่ เธออยู่ที่ไหนน่ะ]

 

 

“ถนนหลินอิน ฉันกำลังจะกลับแล้ว”

 

 

[ไม่ต้องไปที่บ้าน มาหาฉันที่นี่ก่อน ฉันมีบางอย่างให้เธอทำ]

 

 

“อะไรเหรอ”

 

 

[เดี๋ยวมาถึงเธอก็รู้เอง ฉันอยู่ที่ร้านซัมเดย์ เธอนั่งแท็กซี่มาที่นี่ก็ได้]

 

 

“ฉันต้องไปด้วยเหรอ”

 

 

[ใช่ มาเถอะน่า]

 

 

เธอหลีกเลี่ยงไม่ได้อีกต่อไป “ก็ได้ งั้นก็รอฉันสักครู่แล้วกัน”

 

 

หลังจากวางสายจากซย่าชิงอี หันเลี่ยงก็เขย่าโทรศัพท์ของเขาต่อหน้าคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามที่ร้านอาหาร “ไม่ต้องเป็นห่วงครับ เดี๋ยวเธอก็มาแล้ว”

 

 

คนที่นั่งอยู่ตรงข้ามเขาส่งยิ้มบางๆ และเอ่ยด้วยเสียงทุ้มต่ำน่าดึงดูด “ไม่เป็นไรครับ ผมเคยชินกับการรอเธอแล้ว”

 

 

เมื่อเธอมาถึงและเห็นหันเลี่ยงที่นั่งอยู่คนเดียวที่โต๊ะ อีกฝ่ายยิ้มและโบกมือให้เธอ เธอเดินเข้าไปหาเขาและนั่งลง วางกระป๋าไว้ข้างตัว ทว่าเสื้อของเธอกลับบังเอิญติดกับซิปของกระเป๋า เธอเอี้ยวศีรษะก้มลงมองขณะที่พยายามดึงมันออก

 

 

ระหว่างที่เธอง่วนอยู่กับการจัดการเสื้อที่ติดกับซิป น้ำเสียงของใครบางคนที่ดูเหมือนนั่งอยู่ใกล้ๆ เธอก็ดังขึ้น และหันเลี่ยงก็ถามเขาว่าอยากจะกินอะไร

 

 

เธอเงยหน้าขึ้นมาด้วยความอยากรู้ว่าเพื่อนของหันเลี่ยงหน้าตาเป็นอย่างไร หากแต่ไม่คิดว่าจะได้เห็นใบหน้าที่เธอคุ้นเคย เป็นโม่หันนั่นเอง

 

 

สายตาของพวกเขาสบประสานกัน คำพูดมากมายที่พวกเขาต้องการบอกกันและกันหลบซ่อนอยู่ในดวงตาของทั้งคู่ ทว่าพวกเขากลับทำเพียงจ้องตากันและกันอย่างเงียบๆ

 

 

“ฉันคิดแล้วว่าเธอจะต้องตกใจ” หันเลี่ยงเอื้อมมือมาจับมือเธอ “เราอยากจะคุยกันเรื่องเงินค่าชดเชยที่เราคุยกันค้างไว้ก่อนหน้านี้กับเธอน่ะ จริงๆ แล้วเพื่อเป็นการให้เกียรติกับทนายโม่ ฉันต้องไปที่เมือง S วันนี้ แต่เขาบอกว่าเขาอยู่ที่นี่พอดี เราเลยตัดสินใจมาเจอกันที่นี่แทน และที่ฉันเรียกเธอมาก็เพราะว่าคิดว่าเธอคงช่วยออกความเห็นได้บ้าง”

 

 

“นี่เป็นเรื่องระหว่างพวกคุณสองคน คุณคุยกันไปเองเถอะ ไม่จำเป็นต้องเรียกฉันมาที่นี่ก็ได้” เธอชำเลืองมองโม่หันอย่างประหม่าก่อนที่จะหลบตาอีกฝ่าย หัวใจเต้นแรง และขยับมือไปมาเล็กน้อยเพื่อซ่อนอาการตื่นๆ ของตัวเอง เธอก้มหน้าและพยายามแกะเสื้อออกจากซิป แต่ยิ่งพยายามแกะเท่าไหร่มันก็ยิ่งติดแน่นขึ้น

 

 

“มีอะไรเหรอ เสื้อเธอติดเหรอ” หันเลี่ยงและเธอนั่งอยู่อีกฝั่งหนึ่ง ในขณะที่เขามองเธอมาจากอีกฝั่งของโต๊ะ

 

 

“อืม” เธอไม่ได้เงยหน้าขึ้นมา มือชื้นเหงื่อพลางจับที่เสื้อของตัวเองไม่ปล่อย

 

 

“ให้ฉันช่วยเธอนะ” หันเลี่ยงโน้มตัวมาหา

 

 

“ไม่ต้อง…” เธออยากจะขัดขืนแต่เขากลับจับมือเธอและเข้ามาช่วยเธอดึงเสื้อออกให้

 

 

“ไม่ต้องหน้าตาตื่นขนาดนี้ก็ได้ ดูสิ มือของเธอเปียกไปหมดแล้ว ถึงได้ดึงไม่ออกอยู่แบบนี้ไงล่ะ” เขาว่าขึ้น เอื้อมมือมาดึงซิปช้าๆ และเสื้อของเธอก็หลุดออกมา

 

 

ซย่าชิงอีแอบเช็ดเหงื่อที่มือของตัวเองบนเสื้อ และยิ้มขอบคุณให้หันเลี่ยง หลังจากเขาช่วยเธอดึงเสื้อออกมาได้ก็มองไปที่โม่หันที่ทำหน้านิ่งและเงียบก่อนส่งยิ้มให้ “ผมต้องขอโทษด้วยนะครับ ทนายโม่ ดูผมสิ! เอาแต่ช่วยเธอจนลืมคุณไปเลย ขอโทษจริงๆ นะครับ”

 

 

อีกฝ่ายทำเพียงเอ่ย “สั่งอาหารเถอะ”

 

 

มื้ออาหารดำเนินไปท่ามกลางบรรยากาศอึดอัด เธอเอาแต่ก้มหน้ากินอาหารของตัวเองอย่างหวังให้อาหารมื้อนี้จบลงเสียที

 

 

เธอเคยคิดว่าจะเจอเขาในสถานการณ์ไหน แต่ก็ไม่คิดว่าจะต้องมาเจออีกฝ่ายแบบนี้ แบบที่นั่งอยู่ข้างหันเลี่ยงเพื่อคุยเรื่องค่าชดเชยกับโม่หัน

 

 

หันเลี่ยงกล่าว “ผมจะรับผิดชอบค่ารักษาพยาบาล ค่าเล่าเรียน ค่ากินค่าอยู่ และอะไรก็ตามที่เนี่ยนเนี่ยนใช้ไป นอกจากนี้เราสองคนยังเตรียมเงินจำนวนหนึ่งให้คุณเป็นค่าเสียเวลาที่คุณต้องดูแลเธออีกด้วย”

 

 

สายตาของโม่หันจ้องมองหันเลี่ยงอย่างไม่ละไปไหน “ส่วนใหญ่ตอนที่เธออยู่กับผมเธอจะใช้จ่ายเล็กๆ น้อยๆ ถ้าคุณอยากจะชดเชยให้ผมทุกหยวนจริงๆ ผมก็จำไม่ได้ว่าเธอใช้เงินไปเท่าไหร่เหมือนกันครับ”

 

 

“เอาอย่างนี้ละกันนะครับ เราจะตัดสินใจเอง เนี่ยนเนี่ยน เธอคิดว่าควรจะจ่ายให้เขาเท่าไรดี”

 

 

มือที่จบตะเกียบอยู่สั่นขึ้นเล็กน้อย เธอไม่กล้าแม้แต่จะมองโม่หัน ก่อนพูดออกมา “มากเท่าที่เขาพอใจ พวกคุณไม่ต้องมาถามความคิดเห็นของฉันหรอก”

 

 

“เราจะไม่สนใจความคิดเห็นของเธอได้ยังไง มันสำคัญมากนะ”

 

 

โม่หันเอ่ยขัดเขาขึ้น คล้ายจะเป็นการตอบคำถามของเธอก่อนหน้านี้ “จริงๆ แล้ว…” เขาหยุดไปครู่หนึ่ง ยกมุมปากยิ้ม จิ้มผักในชามด้วยท่าทีสบายๆ ก่อนจะพูดต่อ “ไม่ต้องทำเป็นเรื่องวุ่นวายขนาดนั้นก็ได้ครับ ถ้าทั้งสองคนยินดีที่จะจ่ายค่าชดเชยให้ผมมากกว่านี้ เท่าไหร่ผมก็ไม่มีปัญหา ยังไงเธอก็อยู่ที่บ้านผมมานาน”

 

 

เธอเงยหน้าขึ้นมองเขาเป็นครั้งแรกตั้งแต่มานั่งที่โต๊ะ

 

 

“ผมไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเนี่ยนเนี่ยน แค่แสร้งทำเป็นพี่ชายของเธอแต่ในนามเท่านั้น ตอนนี้เธอก็กลับไปแล้ว หากคุณอยากจะจ่ายค่าชดเชยให้ผมจริงๆ คุณก็จ่ายมา เท่าไหร่ก็ไม่สำคัญหรอกครับ ผมไม่ได้ใส่ใจนักอยู่แล้ว”

 

 

ได้ยินเขาพูดดังนั้นเธอก็อดรู้สึกแย่ไม่ได้ เมื่อคิดว่าความรู้สึกและความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขานั้นถูกตีค่าเป็นเงิน ข้าวที่เคี้ยวอยู่ในปากกลับกลายเป็นไร้รสชาติ เธอทนนั่งฟังพวกเขาคุยกันเรื่องเงินอยู่ที่นี่ไม่ไหวอีกแล้ว จึงลุกยืนและว่าขึ้น “ฉันขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อนนะคะ”

 

 

เธอยังรักษาท่าทีเช่นเดิม เห็นได้ชัดว่าเธอไม่ได้ต้องการไปห้องน้ำแต่ต้องการขังตัวเองอยู่ในนั้นอย่างไม่อยากออกมาข้างนอกต่างหาก ไม่ต้องการเห็นหน้าคนสองคนด้านนอกที่พูดคุยเรื่องเงินเกี่ยวกับตัวเธอ ในเวลาแบบนี้ เธอก็รู้สึกว่าตัวเองไม่ได้ต่างอะไรกับสินค้าไร้ค่าชิ้นหนึ่งเลยสักนิด

 

 

เธอนั่งบนอ่างล้างหน้าในห้องน้ำหญิง ก้มหน้ามองขาตัวเองที่แกว่งไปมา และเงยหน้าขึ้นมามองตัวเองในกระจก ไม่มีร่องรอยของรอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าแม้แต่น้อย รวมถึงรอยคล้ำใต้ตา สภาพไร้ชีวิตชีวาของตัวเองทำให้เธอรู้สึกราวกับเป็นคนแปลกหน้าของตัวเอง

 

 

ถ้าหากความทรงจำของเธอกลับมาล่ะ เธอก็ยังคงจะกลับไปไม่ได้อยู่ดี

 

 

ทำไมเธอถึงอยากกลับไปล่ะ ถ้าไม่มีเธอสักคน ชีวิตของโม่หันก็คงไม่วุ่นวาย หากไม่มีเธอสักคน เขาก็คงสามารถกลับไปใช้ชีวิตแบบเดิมของตัวเองได้ในไม่ช้า และกลับไปมีชีวิตที่ราบเรียบและสงบสุขเหมือนอย่างอดีต

 

 

เธอกระโดดลงจากอ่างล้างหน้า มองตัวเองในกระจกและถอนหายใจออกมา ตบหน้าตัวเองเบาๆ บอกตัวเองให้หยุดคิดเรื่องนี้ ได้เวลาที่ต้องออกไปแล้ว

 

 

เสียงปิดประตูห้องน้ำดังขึ้น และเมื่อเธอหันไปก็ต้องตกใจกับคนที่ยืนพิงกับกำแพงอยู่

 

 

เป็นโม่หันนั่นเอง เขาเอนตัวพิงกับกำแพง ฝั่งตรงข้ามเขาคือห้องน้ำชาย กำลังสูบบุหรี่ สายตาจดจ้องอยู่กับกลุ่มควันที่ลอยวนไปมาดูเหมือนจะไม่ทันรู้ถึงการปรากฏตัวของเธอ

 

 

กลิ่ยบุหรี่โชยมาให้เธอต้องมุ่นหน้า เมื่อเห็นท่าทางเงียบๆ และไร้ชีวิตชีวาของเขา เธอก็ไม่รู้จะพูดอะไรและตัดสินใจที่จะหันเดินหนีไปเหมือนกับไม่เห็นอะไร

 

 

“เธอไม่อยากทำแม้แต่ทักทายพี่หลังจากเห็นหน้ากันเลยเหรอ” เขาสูบควันเข้าปอดลึก

 

 

เธอหันไปอีกครั้งและฝืนยิ้มออกมา “ฉันแค่ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรน่ะค่ะ”

 

 

“เธอไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรงั้นเหรอ ดูไม่เหมือนเธอเลยนะ” เขายิ้ม “แต่ก่อนเธอชอบพูดมากไม่ใช่เหรอไง”

 

 

“คนเราเปลี่ยนกันได้ค่ะ”

 

 

“ถ้าอย่างนั้นเธอก็คงเปลี่ยนเร็วมากเลยล่ะ ผ่านไปแค่สิบวันเอง”

 

 

เธอยิ่งฝืนยิ้มมากขึ้นอย่างไม่รู้จะตอบเขาอย่างไร

 

 

เขามองท่าทางอ่อนน้อมของเธอ ไร้ซึ่งความหยิ่งทะนงและเจ้ากี้เจ้าการที่เธอเคยเป็น ไม่เหมือนซย่าชิงอีที่ร่าเริงและช่างพูดที่คอยเถียงกับเขาแม้แต่นิด เขาเลิกสูบบุหรี่และกดหัวของมันดับลงบนโต๊ะข้างตัว

 

 

“เขารังแกเธอหรือเปล่า” เขาถามเสียงแผ่วเบา

 

 

เธอเงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างไม่เข้าใจว่าทำไมอีกฝ่ายถึงถามเช่นนี้ ทำเพียงส่ายหน้า “ไม่ค่ะ ทุกอย่างเป็นไปด้วยดี”

 

 

เขายิ้มอย่างเย็นชา “งั้นการขึ้นเตียงกับเขาก็เป็นสิ่งที่เธอสมยอมจะทำสินะ”

 

 

เธอมองเขาอย่างไม่เชื่อหู “พี่หมายความว่ายังไง”

 

 

“หลังจากเธอกลับไปใช้ชีวิตของเธอ เธอก็จำทุกอย่างได้และเริ่มใช้ชีวิตชื่นมื่นกับสามีของเธอสินะ เธออดทนรอที่จะจับมือเขาต่อหน้าคนอื่นไม่ได้เลยสินะ” โม่หันไม่รู้ว่าทำไมแต่ภาพที่หันเลี่ยงช่วยเธอดึงเสื้อออกกลับเล่นวนซ้ำในหัวของเขา และมันทำให้เขาโกรธจนหลุดวาจาเชือดเฉือนอย่างนี้

 

 

เธอเอ่ย “ฉันไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะมีวันที่ได้ยินคำพูดแบบนี้ออกมาจากปากพี่”

 

 

“พี่ก็ไม่อยากจะเชื่อเหมือนกันว่าเธอจะกลายไปเป็นภรรยาของเขาได้เร็วขนาดนี้”

 

 

ความรู้สึกโกรธของเธอพลุ่งพล่านจนตัวสั่น ไม่ต้องการที่จะต่อปากต่อคำกับอีกฝ่ายอีกต่อไป ก่อนหันกลับออกไป ทว่าเขากลับจับแขนของเธอไว้แน่น

 

 

“ปล่อยฉันนะ!” เธอว่าเสียงเบาขณะที่ใช้แรงทั้งหมดในการสะบัดมือออกจากแรงจับของเขา

 

 

“พี่ไม่ปล่อย!” โม่หันจ้องมองมาที่เธอ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ภาพรักสีจางกลางสมุทร 163 ปล่อยฉันไป

Now you are reading ภาพรักสีจางกลางสมุทร Chapter 163 ปล่อยฉันไป at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“ฉันไม่คิดว่าเขาจะเป็นอย่างนั้นนะคะ วันนั้นเขานั่งข้างคุณอยู่ตรงนี้อยู่นาน เอาแต่นั่งดื่มกาแฟ ไม่ได้ทำอย่างอื่นเลย ฉันคิดว่าเขาคงอยากรอจนกว่าคุณจะหลับให้พอก่อน แต่สุดท้ายคุณก็หลับไปนานมากก่อนที่เขาจะออกไปก่อน”

 

 

ซย่าชิงอีไม่ได้คิดว่าจู่ๆ ตัวเองจะได้ยินเรื่องของโม่หันจากปากของคนแปลกหน้า เธอมองเด็กสาวคนนั้นที่ยังคงพูดคุยอย่างต้องการออกไปจากร้าน “คือว่า… ฉันมีธุระต้องไปทำต่อ… ครั้งหน้า… ถ้ามีเวลาเราค่อยคุยกันต่อนะคะ”

 

 

เธอหันหลังออกไปและไม่ได้อยู่ฟังสิ่งที่เด็กสาวคนนั้นพูดอีก รีบจากไปราวกับกำลังหนีเอาตัวรอด

 

 

เธอเดินไปตามถนน นึกย้อนไปถึงสิ่งที่เด็กสาวคนนั้นเล่าพลันนึกถึงบางอย่างขึ้นมาได้ เธอชะงักเท้าและเบิกตากว้างก่อนที่เริ่มจะควานไปในกระเป๋า

 

 

มิน่าล่ะหลายวันที่ผ่านมาเธอถึงรู้สึกว่ายานอนหลับของเธอถึงได้หายไปเยอะนัก เธอเพิ่งจะกินมันแต่เมื่อเธอตื่นมากลับรู้สึกว่ายาในขวดเหลืออยู่ไม่ถึงครึ่ง เมื่อคิดถึงมันก็รู้ว่าโม่หันคงจะเทยาออกไปตอนที่เธอหลับอยู่

 

 

เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและคิดว่าจะต่อสายหาเขาดีหรือไม่ แต่ในที่สุดเธอก็ตัดสินใจไม่โทรหาเขา เขาไม่ได้บอกเธอด้วยซ้ำว่าเขามาที่นี่ คงเพราะว่าไม่อยากให้เธอรู้ อีกอย่างเขาก็เป็นคนบอกเธอเองว่าไม่ให้เธอติดต่อเขาอีก

 

 

ถ้าหากเขาโกรธขึ้นมาล่ะ

 

 

เธอสลัดความคิดทิ้งไปและเตรียมตัวกลับ ทำตัวเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเมื่อหันเลี่ยงโทรหาเธอ

 

 

[นี่ เธออยู่ที่ไหนน่ะ]

 

 

“ถนนหลินอิน ฉันกำลังจะกลับแล้ว”

 

 

[ไม่ต้องไปที่บ้าน มาหาฉันที่นี่ก่อน ฉันมีบางอย่างให้เธอทำ]

 

 

“อะไรเหรอ”

 

 

[เดี๋ยวมาถึงเธอก็รู้เอง ฉันอยู่ที่ร้านซัมเดย์ เธอนั่งแท็กซี่มาที่นี่ก็ได้]

 

 

“ฉันต้องไปด้วยเหรอ”

 

 

[ใช่ มาเถอะน่า]

 

 

เธอหลีกเลี่ยงไม่ได้อีกต่อไป “ก็ได้ งั้นก็รอฉันสักครู่แล้วกัน”

 

 

หลังจากวางสายจากซย่าชิงอี หันเลี่ยงก็เขย่าโทรศัพท์ของเขาต่อหน้าคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามที่ร้านอาหาร “ไม่ต้องเป็นห่วงครับ เดี๋ยวเธอก็มาแล้ว”

 

 

คนที่นั่งอยู่ตรงข้ามเขาส่งยิ้มบางๆ และเอ่ยด้วยเสียงทุ้มต่ำน่าดึงดูด “ไม่เป็นไรครับ ผมเคยชินกับการรอเธอแล้ว”

 

 

เมื่อเธอมาถึงและเห็นหันเลี่ยงที่นั่งอยู่คนเดียวที่โต๊ะ อีกฝ่ายยิ้มและโบกมือให้เธอ เธอเดินเข้าไปหาเขาและนั่งลง วางกระป๋าไว้ข้างตัว ทว่าเสื้อของเธอกลับบังเอิญติดกับซิปของกระเป๋า เธอเอี้ยวศีรษะก้มลงมองขณะที่พยายามดึงมันออก

 

 

ระหว่างที่เธอง่วนอยู่กับการจัดการเสื้อที่ติดกับซิป น้ำเสียงของใครบางคนที่ดูเหมือนนั่งอยู่ใกล้ๆ เธอก็ดังขึ้น และหันเลี่ยงก็ถามเขาว่าอยากจะกินอะไร

 

 

เธอเงยหน้าขึ้นมาด้วยความอยากรู้ว่าเพื่อนของหันเลี่ยงหน้าตาเป็นอย่างไร หากแต่ไม่คิดว่าจะได้เห็นใบหน้าที่เธอคุ้นเคย เป็นโม่หันนั่นเอง

 

 

สายตาของพวกเขาสบประสานกัน คำพูดมากมายที่พวกเขาต้องการบอกกันและกันหลบซ่อนอยู่ในดวงตาของทั้งคู่ ทว่าพวกเขากลับทำเพียงจ้องตากันและกันอย่างเงียบๆ

 

 

“ฉันคิดแล้วว่าเธอจะต้องตกใจ” หันเลี่ยงเอื้อมมือมาจับมือเธอ “เราอยากจะคุยกันเรื่องเงินค่าชดเชยที่เราคุยกันค้างไว้ก่อนหน้านี้กับเธอน่ะ จริงๆ แล้วเพื่อเป็นการให้เกียรติกับทนายโม่ ฉันต้องไปที่เมือง S วันนี้ แต่เขาบอกว่าเขาอยู่ที่นี่พอดี เราเลยตัดสินใจมาเจอกันที่นี่แทน และที่ฉันเรียกเธอมาก็เพราะว่าคิดว่าเธอคงช่วยออกความเห็นได้บ้าง”

 

 

“นี่เป็นเรื่องระหว่างพวกคุณสองคน คุณคุยกันไปเองเถอะ ไม่จำเป็นต้องเรียกฉันมาที่นี่ก็ได้” เธอชำเลืองมองโม่หันอย่างประหม่าก่อนที่จะหลบตาอีกฝ่าย หัวใจเต้นแรง และขยับมือไปมาเล็กน้อยเพื่อซ่อนอาการตื่นๆ ของตัวเอง เธอก้มหน้าและพยายามแกะเสื้อออกจากซิป แต่ยิ่งพยายามแกะเท่าไหร่มันก็ยิ่งติดแน่นขึ้น

 

 

“มีอะไรเหรอ เสื้อเธอติดเหรอ” หันเลี่ยงและเธอนั่งอยู่อีกฝั่งหนึ่ง ในขณะที่เขามองเธอมาจากอีกฝั่งของโต๊ะ

 

 

“อืม” เธอไม่ได้เงยหน้าขึ้นมา มือชื้นเหงื่อพลางจับที่เสื้อของตัวเองไม่ปล่อย

 

 

“ให้ฉันช่วยเธอนะ” หันเลี่ยงโน้มตัวมาหา

 

 

“ไม่ต้อง…” เธออยากจะขัดขืนแต่เขากลับจับมือเธอและเข้ามาช่วยเธอดึงเสื้อออกให้

 

 

“ไม่ต้องหน้าตาตื่นขนาดนี้ก็ได้ ดูสิ มือของเธอเปียกไปหมดแล้ว ถึงได้ดึงไม่ออกอยู่แบบนี้ไงล่ะ” เขาว่าขึ้น เอื้อมมือมาดึงซิปช้าๆ และเสื้อของเธอก็หลุดออกมา

 

 

ซย่าชิงอีแอบเช็ดเหงื่อที่มือของตัวเองบนเสื้อ และยิ้มขอบคุณให้หันเลี่ยง หลังจากเขาช่วยเธอดึงเสื้อออกมาได้ก็มองไปที่โม่หันที่ทำหน้านิ่งและเงียบก่อนส่งยิ้มให้ “ผมต้องขอโทษด้วยนะครับ ทนายโม่ ดูผมสิ! เอาแต่ช่วยเธอจนลืมคุณไปเลย ขอโทษจริงๆ นะครับ”

 

 

อีกฝ่ายทำเพียงเอ่ย “สั่งอาหารเถอะ”

 

 

มื้ออาหารดำเนินไปท่ามกลางบรรยากาศอึดอัด เธอเอาแต่ก้มหน้ากินอาหารของตัวเองอย่างหวังให้อาหารมื้อนี้จบลงเสียที

 

 

เธอเคยคิดว่าจะเจอเขาในสถานการณ์ไหน แต่ก็ไม่คิดว่าจะต้องมาเจออีกฝ่ายแบบนี้ แบบที่นั่งอยู่ข้างหันเลี่ยงเพื่อคุยเรื่องค่าชดเชยกับโม่หัน

 

 

หันเลี่ยงกล่าว “ผมจะรับผิดชอบค่ารักษาพยาบาล ค่าเล่าเรียน ค่ากินค่าอยู่ และอะไรก็ตามที่เนี่ยนเนี่ยนใช้ไป นอกจากนี้เราสองคนยังเตรียมเงินจำนวนหนึ่งให้คุณเป็นค่าเสียเวลาที่คุณต้องดูแลเธออีกด้วย”

 

 

สายตาของโม่หันจ้องมองหันเลี่ยงอย่างไม่ละไปไหน “ส่วนใหญ่ตอนที่เธออยู่กับผมเธอจะใช้จ่ายเล็กๆ น้อยๆ ถ้าคุณอยากจะชดเชยให้ผมทุกหยวนจริงๆ ผมก็จำไม่ได้ว่าเธอใช้เงินไปเท่าไหร่เหมือนกันครับ”

 

 

“เอาอย่างนี้ละกันนะครับ เราจะตัดสินใจเอง เนี่ยนเนี่ยน เธอคิดว่าควรจะจ่ายให้เขาเท่าไรดี”

 

 

มือที่จบตะเกียบอยู่สั่นขึ้นเล็กน้อย เธอไม่กล้าแม้แต่จะมองโม่หัน ก่อนพูดออกมา “มากเท่าที่เขาพอใจ พวกคุณไม่ต้องมาถามความคิดเห็นของฉันหรอก”

 

 

“เราจะไม่สนใจความคิดเห็นของเธอได้ยังไง มันสำคัญมากนะ”

 

 

โม่หันเอ่ยขัดเขาขึ้น คล้ายจะเป็นการตอบคำถามของเธอก่อนหน้านี้ “จริงๆ แล้ว…” เขาหยุดไปครู่หนึ่ง ยกมุมปากยิ้ม จิ้มผักในชามด้วยท่าทีสบายๆ ก่อนจะพูดต่อ “ไม่ต้องทำเป็นเรื่องวุ่นวายขนาดนั้นก็ได้ครับ ถ้าทั้งสองคนยินดีที่จะจ่ายค่าชดเชยให้ผมมากกว่านี้ เท่าไหร่ผมก็ไม่มีปัญหา ยังไงเธอก็อยู่ที่บ้านผมมานาน”

 

 

เธอเงยหน้าขึ้นมองเขาเป็นครั้งแรกตั้งแต่มานั่งที่โต๊ะ

 

 

“ผมไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเนี่ยนเนี่ยน แค่แสร้งทำเป็นพี่ชายของเธอแต่ในนามเท่านั้น ตอนนี้เธอก็กลับไปแล้ว หากคุณอยากจะจ่ายค่าชดเชยให้ผมจริงๆ คุณก็จ่ายมา เท่าไหร่ก็ไม่สำคัญหรอกครับ ผมไม่ได้ใส่ใจนักอยู่แล้ว”

 

 

ได้ยินเขาพูดดังนั้นเธอก็อดรู้สึกแย่ไม่ได้ เมื่อคิดว่าความรู้สึกและความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขานั้นถูกตีค่าเป็นเงิน ข้าวที่เคี้ยวอยู่ในปากกลับกลายเป็นไร้รสชาติ เธอทนนั่งฟังพวกเขาคุยกันเรื่องเงินอยู่ที่นี่ไม่ไหวอีกแล้ว จึงลุกยืนและว่าขึ้น “ฉันขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อนนะคะ”

 

 

เธอยังรักษาท่าทีเช่นเดิม เห็นได้ชัดว่าเธอไม่ได้ต้องการไปห้องน้ำแต่ต้องการขังตัวเองอยู่ในนั้นอย่างไม่อยากออกมาข้างนอกต่างหาก ไม่ต้องการเห็นหน้าคนสองคนด้านนอกที่พูดคุยเรื่องเงินเกี่ยวกับตัวเธอ ในเวลาแบบนี้ เธอก็รู้สึกว่าตัวเองไม่ได้ต่างอะไรกับสินค้าไร้ค่าชิ้นหนึ่งเลยสักนิด

 

 

เธอนั่งบนอ่างล้างหน้าในห้องน้ำหญิง ก้มหน้ามองขาตัวเองที่แกว่งไปมา และเงยหน้าขึ้นมามองตัวเองในกระจก ไม่มีร่องรอยของรอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าแม้แต่น้อย รวมถึงรอยคล้ำใต้ตา สภาพไร้ชีวิตชีวาของตัวเองทำให้เธอรู้สึกราวกับเป็นคนแปลกหน้าของตัวเอง

 

 

ถ้าหากความทรงจำของเธอกลับมาล่ะ เธอก็ยังคงจะกลับไปไม่ได้อยู่ดี

 

 

ทำไมเธอถึงอยากกลับไปล่ะ ถ้าไม่มีเธอสักคน ชีวิตของโม่หันก็คงไม่วุ่นวาย หากไม่มีเธอสักคน เขาก็คงสามารถกลับไปใช้ชีวิตแบบเดิมของตัวเองได้ในไม่ช้า และกลับไปมีชีวิตที่ราบเรียบและสงบสุขเหมือนอย่างอดีต

 

 

เธอกระโดดลงจากอ่างล้างหน้า มองตัวเองในกระจกและถอนหายใจออกมา ตบหน้าตัวเองเบาๆ บอกตัวเองให้หยุดคิดเรื่องนี้ ได้เวลาที่ต้องออกไปแล้ว

 

 

เสียงปิดประตูห้องน้ำดังขึ้น และเมื่อเธอหันไปก็ต้องตกใจกับคนที่ยืนพิงกับกำแพงอยู่

 

 

เป็นโม่หันนั่นเอง เขาเอนตัวพิงกับกำแพง ฝั่งตรงข้ามเขาคือห้องน้ำชาย กำลังสูบบุหรี่ สายตาจดจ้องอยู่กับกลุ่มควันที่ลอยวนไปมาดูเหมือนจะไม่ทันรู้ถึงการปรากฏตัวของเธอ

 

 

กลิ่ยบุหรี่โชยมาให้เธอต้องมุ่นหน้า เมื่อเห็นท่าทางเงียบๆ และไร้ชีวิตชีวาของเขา เธอก็ไม่รู้จะพูดอะไรและตัดสินใจที่จะหันเดินหนีไปเหมือนกับไม่เห็นอะไร

 

 

“เธอไม่อยากทำแม้แต่ทักทายพี่หลังจากเห็นหน้ากันเลยเหรอ” เขาสูบควันเข้าปอดลึก

 

 

เธอหันไปอีกครั้งและฝืนยิ้มออกมา “ฉันแค่ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรน่ะค่ะ”

 

 

“เธอไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรงั้นเหรอ ดูไม่เหมือนเธอเลยนะ” เขายิ้ม “แต่ก่อนเธอชอบพูดมากไม่ใช่เหรอไง”

 

 

“คนเราเปลี่ยนกันได้ค่ะ”

 

 

“ถ้าอย่างนั้นเธอก็คงเปลี่ยนเร็วมากเลยล่ะ ผ่านไปแค่สิบวันเอง”

 

 

เธอยิ่งฝืนยิ้มมากขึ้นอย่างไม่รู้จะตอบเขาอย่างไร

 

 

เขามองท่าทางอ่อนน้อมของเธอ ไร้ซึ่งความหยิ่งทะนงและเจ้ากี้เจ้าการที่เธอเคยเป็น ไม่เหมือนซย่าชิงอีที่ร่าเริงและช่างพูดที่คอยเถียงกับเขาแม้แต่นิด เขาเลิกสูบบุหรี่และกดหัวของมันดับลงบนโต๊ะข้างตัว

 

 

“เขารังแกเธอหรือเปล่า” เขาถามเสียงแผ่วเบา

 

 

เธอเงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างไม่เข้าใจว่าทำไมอีกฝ่ายถึงถามเช่นนี้ ทำเพียงส่ายหน้า “ไม่ค่ะ ทุกอย่างเป็นไปด้วยดี”

 

 

เขายิ้มอย่างเย็นชา “งั้นการขึ้นเตียงกับเขาก็เป็นสิ่งที่เธอสมยอมจะทำสินะ”

 

 

เธอมองเขาอย่างไม่เชื่อหู “พี่หมายความว่ายังไง”

 

 

“หลังจากเธอกลับไปใช้ชีวิตของเธอ เธอก็จำทุกอย่างได้และเริ่มใช้ชีวิตชื่นมื่นกับสามีของเธอสินะ เธออดทนรอที่จะจับมือเขาต่อหน้าคนอื่นไม่ได้เลยสินะ” โม่หันไม่รู้ว่าทำไมแต่ภาพที่หันเลี่ยงช่วยเธอดึงเสื้อออกกลับเล่นวนซ้ำในหัวของเขา และมันทำให้เขาโกรธจนหลุดวาจาเชือดเฉือนอย่างนี้

 

 

เธอเอ่ย “ฉันไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะมีวันที่ได้ยินคำพูดแบบนี้ออกมาจากปากพี่”

 

 

“พี่ก็ไม่อยากจะเชื่อเหมือนกันว่าเธอจะกลายไปเป็นภรรยาของเขาได้เร็วขนาดนี้”

 

 

ความรู้สึกโกรธของเธอพลุ่งพล่านจนตัวสั่น ไม่ต้องการที่จะต่อปากต่อคำกับอีกฝ่ายอีกต่อไป ก่อนหันกลับออกไป ทว่าเขากลับจับแขนของเธอไว้แน่น

 

 

“ปล่อยฉันนะ!” เธอว่าเสียงเบาขณะที่ใช้แรงทั้งหมดในการสะบัดมือออกจากแรงจับของเขา

 

 

“พี่ไม่ปล่อย!” โม่หันจ้องมองมาที่เธอ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+