ภาพรักสีจางกลางสมุทร 202 ดวงดาวของฉัน

Now you are reading ภาพรักสีจางกลางสมุทร Chapter 202 ดวงดาวของฉัน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

โม่หันจับที่ขอบโต๊ะแน่น อยู่ๆ ก็รู้สึกราวกับมีเงาดำมืดครอบงำอยู่รอบกายในขณะที่เอ่ย “รู้ไหมครับว่าผู้เสียชีวิตเป็นใคร”

 

 

“เรายังไม่ได้รับรายงาน พวกเขาบอกแค่ว่าเป็นผู้ชายคนหนึ่งกับผู้หญิงอีกคนครับ”

 

 

อย่างไรก็ตามเขาไม่อาจวางใจกับเรื่องนี้ได้ ราวกับว่าทุกอย่างได้ผลักให้เขาไปข้างหน้าและทำได้เพียงยอมรับกับผลที่เกิดขึ้นโดยไม่สามารถต่อรองใดๆ ได้

 

 

เขาฝืนตัวเองไม่ให้เสียงสั่นเกินไปนัก “พวกเขาจะยืนยันตัวตนได้เมื่อไหร่ครับ”

 

 

“อย่างช้าที่สุดน่าจะภายในคืนพรุ่งนี้ครับ กลุ่มเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบในการค้นหาและเข้าช่วยเหลือส่งศพกลับมาแล้ว เจ้าพนักงานที่ทำหน้าที่ชันสูตรคงสามารถระบุตัวตนพวกเขาได้เร็วๆ นี้ครับ”

 

 

“ศพถูกส่งไปที่ไหนเหรอครับ”

 

 

“โรงพยาบาลทั่วไปรองประจำเมือง D ครับ ศพจะถูกนำไปเก็บที่ห้องดับจิตเป็นการชั่วคราวเพื่อรอให้ญาติมารับครับ”

 

 

เจ้าหน้าที่ส่งเก้าอี้ให้เขานั่งเมื่อเห็นโม่หันตัวสั่นระริกและดูเหมือนจะยืนไม่อยู่จนต้องยันตัวไว้กับโต๊ะ “อย่าเพิ่งเศร้าไปเลยครับ ผู้หญิงที่เสียชีวิตอาจจะไม่ใช่แฟนสาวของคุณก็ได้ เธอต้องกลับมาอย่างปลอดภัย มีความหวังหน่อยสิครับ”

 

 

เขาเอ่ยถามอย่างแผ่วเบาหลังจากนั้นครู่ใหญ่ “เธอจะ… กลับมาจริงๆ เหรอครับ”

 

 

ว่ากันตามจริงด้วยพายุทรายลูกใหญ่ในครั้งนี้โอกาสที่จะรอดชีวิตนั้นมีไม่มากนัก ยังไม่รวมถึงการที่กลุ่มนักท่องเที่ยวดูเหมือนจะอยู่ในบริเวณใจกลางของพายุ ถึงจะเป็นเช่นนั้นเจ้าหน้าที่ก็ไม่อาจทนให้โม่หันอยู่ในสภาพเช่นนี้ได้และพูดขึ้น “เธอจะกลับมาครับ… เธอต้องกลับมาแน่นอนครับ…”

 

 

เขานั่งก้มหน้าอยู่บนเก้าอี้โดยไม่ปริปากออกมาสักคำ เจ้าหน้าที่กล่าวหลังจากเห็นมือที่สั่นไหวของเขาซึ่งวางอยู่บนหัวเข่าของเจ้าตัว “ทำไมคุณไม่กลับไปพักสักหน่อยล่ะครับ ทิ้งช่องทางการติดต่อไว้แล้วผมจะโทรแจ้งคุณถ้าศพมาถึงที่นี่พรุ่งนี้เองครับ”

 

 

เขาหยิบแบบฟอร์มมาให้โม่หันกรอกรายละเอียดส่วนตัว โม่หันรับปากกาและกระดาษมาจากเจ้าหน้าที่ แต่ดูเหมือนว่าเขาจะไม่สามารถถือมันไว้ได้ในขณะที่มือที่จับปากกาอยู่สั่นขึ้นอย่างควบคุมไม่ได้ เขาถอนหายใจครั้งหนึ่งก่อนวางกระดาษกับปากกาลง “เดี๋ยวผมจะเขียนทีหลัง”

 

 

ในฐานะนักกฎหมายโม่หันมักจะติดนิสัยในการนึกถึงสถานการณ์ที่แย่ที่สุดไว้ก่อนเสมอ เขาเคยชินกับการคิดถึงความน่าจะเป็นของผลที่จะเกิดขึ้นจากแย่ที่สุดไปจนถึงดีที่สุด จากนั้นจึงหาทางแก้ปัญหาที่คาดไว้ว่าจะเป็นสิ่งที่แย่ที่สุด

 

 

ทว่าเมื่อเป็นเรื่องของเธอเขากลับไม่กล้าคิดถึงสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดเลยสักนิด

 

 

เพียงคิดว่าเธออาจจะจากเขาไปเรี่ยวแรงทั้งหมดในร่างกายก็พลันหดหาย เหมือนกับตัวเองเป็นตุ๊กตาที่ไม่มีอากาศอยู่ด้านใน ไร้ซึ่งจิตวิญญาณและไม่มีแรงใจในการใช้ชีวิตต่อไปข้างหน้า

 

 

คุณเคยมีคนแบบนั้นในชีวิตไหม

 

 

คนที่ให้ความอบอุ่นและแสงสว่างท่ามกลางค่ำคืนที่มืดมิดในยามที่คุณเดินไปข้างหน้าอย่างโดดเดี่ยว พวกเขาปรากฏตัวจากที่ไกลๆ และอยู่ตรงนั้นเพื่อเฝ้ามองและอยู่เคียงข้างให้ผ่านพ้นทุกความโหดร้ายบนท้องถนนอันมืดมนอยู่เสมอในทุกครั้งที่คุณแหงนหน้ามองขึ้นไปบนฟากฟ้ายามกลางคืนที่เงียบงัน

 

 

เธอเป็นเหมือนดวงดาว แม้จะมีมากมายนับไม่ถ้วนที่ส่องสว่างกว่าเธอบนท้องฟ้ายามค่ำคืน แต่เธอจะเป็นดาวเพียงดวงเดียวที่อยู่ตรงนั้นเพื่อคุณและทำให้ไม่อาจละสายตาไปจากดวงดาวอ่อนแสงนั้นได้

 

 

เธอกำลังส่งยิ้มให้คุณเช่นเดียวกับคุณที่กำลังส่งยิ้มให้เธอ

 

 

การมีชีวิตของอยู่ของคุณกลายเป็นเรื่องที่แสนง่ายดายเพราะดาวดวงนั้น

 

 

ซย่าชิงอีคือดาวดวงนั้นสำหรับโม่หัน

 

 

ทว่าช่างโชคร้ายเหลือเกินที่เขาไม่อาจเห็นดาวดวงนั้นของตัวเองได้อีกต่อไปแล้ว เขาสูญเสียดาวดวงนั้นไปอย่างไม่คาดคิด

 

 

เขาไม่สามารถทำอะไรได้เลยนอกจากเฝ้ารอคอยอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

 

 

เฝ้ารอให้ดวงดาวของเขากลับมา

 

 

เมื่อซย่าชิงอีฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง ความมืดมิดโรยตัวอยู่รอบกายเหมือนเช่นก่อนหน้านี้

 

 

เธอเกือบคิดว่าตัวเองสูญเสียการมองเห็นไปเสียแล้ว ก่อนที่จะรู้ในที่สุดว่าคงเป็นเวลากลางคืนแล้วหลังจากที่สัมผัสได้ถึงเสียงสายลมที่โชยมาเบาๆ รอบตัว และอากาศหนาวเย็นที่พบได้เฉพาะในทะเลทรายบนผิวของตัวเอง

 

 

สติของเธอเริ่มกลับคืนมา รู้สึกเพียงความมึนงงเล็กน้อยและความเจ็บที่มีไม่มากนัก เธอพยายามขยับร่างกายด้วยการใช้มือยันตัวขึ้นมาในขณะที่ลุกขึ้นจากผืนทรายใต้ร่างของตัวเอง

 

 

ท้องฟ้ากว้างใหญ่ยามค่ำคืนที่ระยิบระยับไปด้วยดวงดาวพร่างพราวปรากฏสู่สายตาของเธอในขณะที่ยืนเคล้าเสียงสายลมที่โชยพัดอ่อนๆ อยู่รอบกาย

 

 

เธอไม่เคยเห็นท้องฟ้าเป็นประกายงดงามเช่นนี้มาก่อน

 

 

อย่างไรก็ตามตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่เธอจะมาดื่มด่ำกับฟ้างามในตอนกลางคืน เธอทิ้งตัวนั่งลงบนผืนทราย ตะโกนชื่อของคนที่อยู่ในรถคันเดียวกัน

 

 

ตะโกนเรียกไม่กี่ครั้งแต่ไม่มีใครตอบกลับมา มีเพียงน้ำเสียงแหบแห้งของเธอที่ดังขึ้นในทะเลทรายที่ว่างเปล่าและกว้างใหญ่นี้

 

 

อากาศเย็นเยียบไล้เลียตามท่อนแขนให้ขนลุก เธอรู้สึกหนาวเย็นพลางกอดตัวเองและถูไถแขนไปด้วย ขณะนี้เวลาล่วงเลยเข้าสู่ยามกลางคืนแล้วทำให้เธอไม่สามารถเห็นสิ่งใดได้นอกจากดวงดาวที่อยู่เหนือไปบนฟากฟ้า เธอตัดสินใจนอนพักครู่หนึ่งและรอจนกว่าพระอาทิตย์จะขึ้นในเช้าวันถัดมาค่อยหาทางว่าจะทำอย่างไรต่อไป

 

 

เธอทำตามที่เคยอ่านมาจากหนังสือและใช้มือขุดทรายเป็นหลุมลึก ก่อนจะนอนฝังตัวเองลงในหลุมนั้นโดยไม่ให้เหลือช่องว่าง เพื่อรักษาอุณหภูมิของร่างกายและจะได้ไม่หนาวตายจากอากาศเย็นของทะเลทรายในตอนกลางคืน

 

 

เธอนอนลงบนทรายและผล็อยหลับไปอย่างรวดเร็ว อาจเพราะว่าเธอเหนื่อยล้าเหลือเกินหรือไม่ก็คงเป็นเพราะอาการมึนหัว เธอจึงไม่ทันจะได้ดูท้องฟ้าสวยยามกลางคืนอีก

 

 

เมื่อตื่นขึ้นมาก็พบว่าท้องฟ้าสว่างเสียแล้ว พระอาทิตย์ขึ้นสูงประดับบนฟากฟ้า ซย่าชิงอียังปรับสายตากับแสงอาทิตย์ร้อนแรงไม่ได้ในจังหวะที่ลืมตาขึ้น เธอยกแขนออกมาจากทรายขึ้นป้องดวงตาของตัวเองไว้ชั่วครู่ก่อนค่อยๆ เปิดเปลือกตามากขึ้น

 

 

เธอลุกขึ้นนั่งมองสำรวจไปรอบๆ ก่อนนิ่งค้างไปทันที

 

 

ทุกสิ่งที่เห็นท่ามกลางทะเลทรายที่ไกลสุดลูกหูลูกตานี้เต็มไปด้วยสีเหลือง เธอเป็นเพียงคนเดียวที่อยู่ที่นี่ ไม่พบสิ่งใดนอกจากผืนทราย ทั้งรถเอสยูวี ที่พวกเขาขับมา คนในกลุ่มที่มาด้วยกัน แม้แต่ร่องรอยของคนที่เดินผ่านมา มีเพียงเธอที่นั่งอยู่ในทะเลทรายที่กว้างขวางนี้

 

 

หากไม่มีภัยพิบัติเกิดขึ้นเธอคงแอบคิดว่าตัวเองถูกใครบางคนโยนทิ้งไว้ที่นี่

 

 

เด็กสาวเริ่มสงสัยว่าตัวเองจำอะไรคลาดเคลื่อนไปหรือเปล่า

 

 

เธอค่อยๆ ลุกขึ้นยืน ความหวาดกลัวก่อตัวขึ้นในขณะที่กวาดสายตาไปทั่วทะเลทรายที่กว้างใหญ่ไม่มีที่สิ้นสุดอย่างคิดว่าเธอคงได้ตายที่นี่

 

 

โม่หันไม่ได้กลับมาพัก เป็นอีกคืนที่เขาไม่อาจนอนหลับลงและได้แต่นั่งอยู่บนเก้าอี้ในศูนย์ช่วยเหลือและป้องกันภัยพิบัติในเมือง D เขาไม่กล้าคิดถึงสิ่งใดต่อไปและรอให้เจ้าหน้าที่มาแจ้งความคืบหน้าในการค้นหาและช่วยเหลืออย่างเงียบๆ

 

 

ในช่วงบ่ายของวันที่สอง ชายคนที่คุยกับเขาเมื่อวานเดินเข้ามาบอกเขาว่าศพผู้เสียชีวิตที่พบในรถมาถึงที่โรงพยาบาลแล้ว ตัวรถที่ถูกพายุทรายพัดกระแทกจนเสียรูปถูกส่งไปที่ศูนย์ซ่อมแซมและรอรับการจัดการอยู่

 

 

เขาตามพวกเขาไปที่โรงพยาบาลและมุ่งหน้าไปที่ห้องดับจิตที่ชั้นใต้ดิน เสียงฝีเท้าหนักๆ ที่ดังขึ้นตามโถงทางเดินทำให้ผู้คนยิ่งหวาดกลัว

 

 

ประตูบานหนึ่งอยู่ตรงหน้าเขา เบื้องหลังประตูบานนั้นคือศพของผู้หญิงคนหนึ่ง เจ้าหน้าที่ก้าวเข้าไปด้านในแล้วในขณะที่โม่หันชะงักเท้าอยู่หน้าประตูอย่างไม่กล้าเดินเข้าไป

 

 

เขากลัวว่าสิ่งที่รอเขาอยู่ด้านในหลังจากที่เหยียบเข้าไปในห้องจะกลายเป็นโลกอีกใบของเขา

 

 

แต่สุดท้ายเขาก็ก้าวเข้าไปในห้อง เจ้าหน้าที่ช่วยเขาดึงผ้าสีขาวที่คลุมศพหญิงสาวไว้จนเห็นหน้าตาของคนที่นอนอยู่ตรงหน้า

 

 

น้ำตาของเขาไหลพร้อมกับลมหายใจที่ถอดถอนออกมา มุมปากยกยิ้มขึ้นบางๆ ในขณะที่น้ำตายังคงร่วงหล่นลงมาทีละหยดจนเปียกชุ่มผ้าสีขาวบนร่างของเธอ

 

 

“ใช่…แฟนของคุณหรือเปล่าครับ” เจ้าหน้าที่เอ่ยถามขึ้น

 

 

เขาปาดน้ำตาออกจากใบหน้า ส่งยิ้มกว้างขึ้นพลางส่ายหน้า “ไม่ใช่เธอครับ… ไม่ใช่เธอ…”

 

 

โชคดีที่คนที่นอนอยู่ในห้องดับจิตเย็นยะเยือกนี้ไม่ใช่ซย่าชิงอี

 

 

โชคดีที่คนที่นอนอยู่ตรงหน้าเป็นเพียงหญิงสาวร่างซีดเซียวที่เขาไม่รู้จัก

 

 

โชคดีที่ยังคงหลงเหลือความหวังอยู่

 

 

โชคดีที่เขายังเฝ้ารอคอยต่อไปได้

 

 

โม่หันดึงผ้าสีขาวขึ้นคลุมร่างของหญิงสาวที่ไม่รู้จักด้วยตัวเอง จากนั้นจึงหันเดินออกจากห้องดับจิตไปตามโถงทางเดินด้านนอก ขาทั้งสองข้างอ่อนแรงจนไม่อาจพยุงร่างกายของตัวเองไว้ได้ขณะที่ค่อยๆ ทรุดตัวลงนั่งยองๆ บนพื้น ซบใบหน้าลงบนฝ่ามือทั้งสองข้างและไม่ได้เงยหน้าขึ้นมาครู่ใหญ่

 

 

วันนั้นเขาออกจากศูนย์ช่วยเหลือและป้องกันภัยพิบัติก่อนกลับมาที่โรงแรมที่ซย่าชิงอีเข้าพักก่อนหน้านี้ เจ้าของที่พักยังคงอยู่ดูแลที่โรงแรม โม่หันจองห้องพักเดียวกับที่เธอเคยอยู่ในโรงแรมนั้น

 

 

เขาไม่ได้นอนหลับพักผ่อนอย่างเต็มที่มาสามวันและใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่เหลืออยู่หมดไปหลังจากที่เดินออกมาจากห้องดับจิตในโรงพยาบาลก่อนหน้านี้ เขาต้องการพักผ่อนเพื่อรอเธอกลับมาต่อไปได้ในสภาพร่างกายที่ดีกว่านี้

 

 

เขาไม่แม้แต่จะอาบน้ำหลังจากที่กลับมาถึงห้อง ทำเพียงถอดเสื้อตัวนอกออกก่อนทิ้งตัวนอนลงบนเตียงที่เธอเคยนอนมาก่อน สูดกลิ่นจางๆ ของซย่าชิงอีที่ติดอยู่กับผ้าปูเตียง มันเป็นช่วงเวลาที่เขาสบายใจที่สุดตลอดหลายวันมานี้

 

 

ผ้าห่มในมือถูกเขากอดไว้แน่น เปลือกตาปิดลงราวกับเธอกำลังนอนเงียบๆ อยู่ข้างกายเขาตอนนี้

 

 

“ซย่าชิงอี เธอต้องปลอดภัย พี่จะไม่ไปไหน พี่จะรอเธออยู่ตรงนี้ หลังจากเธอกลับมาเราจะไม่แยกจากกันไปไหนอีก”

 

 

นั่นคือสิ่งเดียวที่เขานึกได้ก่อนที่จะผล็อยหลับไป

 

 

ซย่าชิงอีไม่รู้ว่าตัวเองเดินไปอย่างไร้ทิศทางมาไกลแค่ไหนแล้ว ดวงอาทิตย์สาดแสงอยู่เหนือศีรษะอย่างไม่มีทีท่าว่าจะอ่อนแรง รอบตัวยังคงมีแต่ผืนทรายสีเหลือง ไม่พบสิ่งใดปรากฏตรงหน้าให้เธอยิ่งเร่งฝีเท้าของตัวเอง

 

 

ริมฝีปากของเธอแห้งจนแตกลอก เช่นเดียวกับภายในลำคอและดวงตาจนไม่สามารถพูดออกมาได้ เธอก้าวเดินไปข้างหน้าต่อด้วยขาที่อ่อนแรง ความเวียนศีรษะยิ่งรุนแรงขึ้น ก่อนที่เธอจะชะงักฝีเท้าและส่ายหน้าไม่กี่ครั้ง กะพริบตาขึ้นลง และรู้สึกเหมือนกับบรรยากาศรอบข้างกำลังหมุนรอบตัวเธอ

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ภาพรักสีจางกลางสมุทร 202 ดวงดาวของฉัน

Now you are reading ภาพรักสีจางกลางสมุทร Chapter 202 ดวงดาวของฉัน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

โม่หันจับที่ขอบโต๊ะแน่น อยู่ๆ ก็รู้สึกราวกับมีเงาดำมืดครอบงำอยู่รอบกายในขณะที่เอ่ย “รู้ไหมครับว่าผู้เสียชีวิตเป็นใคร”

 

 

“เรายังไม่ได้รับรายงาน พวกเขาบอกแค่ว่าเป็นผู้ชายคนหนึ่งกับผู้หญิงอีกคนครับ”

 

 

อย่างไรก็ตามเขาไม่อาจวางใจกับเรื่องนี้ได้ ราวกับว่าทุกอย่างได้ผลักให้เขาไปข้างหน้าและทำได้เพียงยอมรับกับผลที่เกิดขึ้นโดยไม่สามารถต่อรองใดๆ ได้

 

 

เขาฝืนตัวเองไม่ให้เสียงสั่นเกินไปนัก “พวกเขาจะยืนยันตัวตนได้เมื่อไหร่ครับ”

 

 

“อย่างช้าที่สุดน่าจะภายในคืนพรุ่งนี้ครับ กลุ่มเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบในการค้นหาและเข้าช่วยเหลือส่งศพกลับมาแล้ว เจ้าพนักงานที่ทำหน้าที่ชันสูตรคงสามารถระบุตัวตนพวกเขาได้เร็วๆ นี้ครับ”

 

 

“ศพถูกส่งไปที่ไหนเหรอครับ”

 

 

“โรงพยาบาลทั่วไปรองประจำเมือง D ครับ ศพจะถูกนำไปเก็บที่ห้องดับจิตเป็นการชั่วคราวเพื่อรอให้ญาติมารับครับ”

 

 

เจ้าหน้าที่ส่งเก้าอี้ให้เขานั่งเมื่อเห็นโม่หันตัวสั่นระริกและดูเหมือนจะยืนไม่อยู่จนต้องยันตัวไว้กับโต๊ะ “อย่าเพิ่งเศร้าไปเลยครับ ผู้หญิงที่เสียชีวิตอาจจะไม่ใช่แฟนสาวของคุณก็ได้ เธอต้องกลับมาอย่างปลอดภัย มีความหวังหน่อยสิครับ”

 

 

เขาเอ่ยถามอย่างแผ่วเบาหลังจากนั้นครู่ใหญ่ “เธอจะ… กลับมาจริงๆ เหรอครับ”

 

 

ว่ากันตามจริงด้วยพายุทรายลูกใหญ่ในครั้งนี้โอกาสที่จะรอดชีวิตนั้นมีไม่มากนัก ยังไม่รวมถึงการที่กลุ่มนักท่องเที่ยวดูเหมือนจะอยู่ในบริเวณใจกลางของพายุ ถึงจะเป็นเช่นนั้นเจ้าหน้าที่ก็ไม่อาจทนให้โม่หันอยู่ในสภาพเช่นนี้ได้และพูดขึ้น “เธอจะกลับมาครับ… เธอต้องกลับมาแน่นอนครับ…”

 

 

เขานั่งก้มหน้าอยู่บนเก้าอี้โดยไม่ปริปากออกมาสักคำ เจ้าหน้าที่กล่าวหลังจากเห็นมือที่สั่นไหวของเขาซึ่งวางอยู่บนหัวเข่าของเจ้าตัว “ทำไมคุณไม่กลับไปพักสักหน่อยล่ะครับ ทิ้งช่องทางการติดต่อไว้แล้วผมจะโทรแจ้งคุณถ้าศพมาถึงที่นี่พรุ่งนี้เองครับ”

 

 

เขาหยิบแบบฟอร์มมาให้โม่หันกรอกรายละเอียดส่วนตัว โม่หันรับปากกาและกระดาษมาจากเจ้าหน้าที่ แต่ดูเหมือนว่าเขาจะไม่สามารถถือมันไว้ได้ในขณะที่มือที่จับปากกาอยู่สั่นขึ้นอย่างควบคุมไม่ได้ เขาถอนหายใจครั้งหนึ่งก่อนวางกระดาษกับปากกาลง “เดี๋ยวผมจะเขียนทีหลัง”

 

 

ในฐานะนักกฎหมายโม่หันมักจะติดนิสัยในการนึกถึงสถานการณ์ที่แย่ที่สุดไว้ก่อนเสมอ เขาเคยชินกับการคิดถึงความน่าจะเป็นของผลที่จะเกิดขึ้นจากแย่ที่สุดไปจนถึงดีที่สุด จากนั้นจึงหาทางแก้ปัญหาที่คาดไว้ว่าจะเป็นสิ่งที่แย่ที่สุด

 

 

ทว่าเมื่อเป็นเรื่องของเธอเขากลับไม่กล้าคิดถึงสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดเลยสักนิด

 

 

เพียงคิดว่าเธออาจจะจากเขาไปเรี่ยวแรงทั้งหมดในร่างกายก็พลันหดหาย เหมือนกับตัวเองเป็นตุ๊กตาที่ไม่มีอากาศอยู่ด้านใน ไร้ซึ่งจิตวิญญาณและไม่มีแรงใจในการใช้ชีวิตต่อไปข้างหน้า

 

 

คุณเคยมีคนแบบนั้นในชีวิตไหม

 

 

คนที่ให้ความอบอุ่นและแสงสว่างท่ามกลางค่ำคืนที่มืดมิดในยามที่คุณเดินไปข้างหน้าอย่างโดดเดี่ยว พวกเขาปรากฏตัวจากที่ไกลๆ และอยู่ตรงนั้นเพื่อเฝ้ามองและอยู่เคียงข้างให้ผ่านพ้นทุกความโหดร้ายบนท้องถนนอันมืดมนอยู่เสมอในทุกครั้งที่คุณแหงนหน้ามองขึ้นไปบนฟากฟ้ายามกลางคืนที่เงียบงัน

 

 

เธอเป็นเหมือนดวงดาว แม้จะมีมากมายนับไม่ถ้วนที่ส่องสว่างกว่าเธอบนท้องฟ้ายามค่ำคืน แต่เธอจะเป็นดาวเพียงดวงเดียวที่อยู่ตรงนั้นเพื่อคุณและทำให้ไม่อาจละสายตาไปจากดวงดาวอ่อนแสงนั้นได้

 

 

เธอกำลังส่งยิ้มให้คุณเช่นเดียวกับคุณที่กำลังส่งยิ้มให้เธอ

 

 

การมีชีวิตของอยู่ของคุณกลายเป็นเรื่องที่แสนง่ายดายเพราะดาวดวงนั้น

 

 

ซย่าชิงอีคือดาวดวงนั้นสำหรับโม่หัน

 

 

ทว่าช่างโชคร้ายเหลือเกินที่เขาไม่อาจเห็นดาวดวงนั้นของตัวเองได้อีกต่อไปแล้ว เขาสูญเสียดาวดวงนั้นไปอย่างไม่คาดคิด

 

 

เขาไม่สามารถทำอะไรได้เลยนอกจากเฝ้ารอคอยอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

 

 

เฝ้ารอให้ดวงดาวของเขากลับมา

 

 

เมื่อซย่าชิงอีฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง ความมืดมิดโรยตัวอยู่รอบกายเหมือนเช่นก่อนหน้านี้

 

 

เธอเกือบคิดว่าตัวเองสูญเสียการมองเห็นไปเสียแล้ว ก่อนที่จะรู้ในที่สุดว่าคงเป็นเวลากลางคืนแล้วหลังจากที่สัมผัสได้ถึงเสียงสายลมที่โชยมาเบาๆ รอบตัว และอากาศหนาวเย็นที่พบได้เฉพาะในทะเลทรายบนผิวของตัวเอง

 

 

สติของเธอเริ่มกลับคืนมา รู้สึกเพียงความมึนงงเล็กน้อยและความเจ็บที่มีไม่มากนัก เธอพยายามขยับร่างกายด้วยการใช้มือยันตัวขึ้นมาในขณะที่ลุกขึ้นจากผืนทรายใต้ร่างของตัวเอง

 

 

ท้องฟ้ากว้างใหญ่ยามค่ำคืนที่ระยิบระยับไปด้วยดวงดาวพร่างพราวปรากฏสู่สายตาของเธอในขณะที่ยืนเคล้าเสียงสายลมที่โชยพัดอ่อนๆ อยู่รอบกาย

 

 

เธอไม่เคยเห็นท้องฟ้าเป็นประกายงดงามเช่นนี้มาก่อน

 

 

อย่างไรก็ตามตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่เธอจะมาดื่มด่ำกับฟ้างามในตอนกลางคืน เธอทิ้งตัวนั่งลงบนผืนทราย ตะโกนชื่อของคนที่อยู่ในรถคันเดียวกัน

 

 

ตะโกนเรียกไม่กี่ครั้งแต่ไม่มีใครตอบกลับมา มีเพียงน้ำเสียงแหบแห้งของเธอที่ดังขึ้นในทะเลทรายที่ว่างเปล่าและกว้างใหญ่นี้

 

 

อากาศเย็นเยียบไล้เลียตามท่อนแขนให้ขนลุก เธอรู้สึกหนาวเย็นพลางกอดตัวเองและถูไถแขนไปด้วย ขณะนี้เวลาล่วงเลยเข้าสู่ยามกลางคืนแล้วทำให้เธอไม่สามารถเห็นสิ่งใดได้นอกจากดวงดาวที่อยู่เหนือไปบนฟากฟ้า เธอตัดสินใจนอนพักครู่หนึ่งและรอจนกว่าพระอาทิตย์จะขึ้นในเช้าวันถัดมาค่อยหาทางว่าจะทำอย่างไรต่อไป

 

 

เธอทำตามที่เคยอ่านมาจากหนังสือและใช้มือขุดทรายเป็นหลุมลึก ก่อนจะนอนฝังตัวเองลงในหลุมนั้นโดยไม่ให้เหลือช่องว่าง เพื่อรักษาอุณหภูมิของร่างกายและจะได้ไม่หนาวตายจากอากาศเย็นของทะเลทรายในตอนกลางคืน

 

 

เธอนอนลงบนทรายและผล็อยหลับไปอย่างรวดเร็ว อาจเพราะว่าเธอเหนื่อยล้าเหลือเกินหรือไม่ก็คงเป็นเพราะอาการมึนหัว เธอจึงไม่ทันจะได้ดูท้องฟ้าสวยยามกลางคืนอีก

 

 

เมื่อตื่นขึ้นมาก็พบว่าท้องฟ้าสว่างเสียแล้ว พระอาทิตย์ขึ้นสูงประดับบนฟากฟ้า ซย่าชิงอียังปรับสายตากับแสงอาทิตย์ร้อนแรงไม่ได้ในจังหวะที่ลืมตาขึ้น เธอยกแขนออกมาจากทรายขึ้นป้องดวงตาของตัวเองไว้ชั่วครู่ก่อนค่อยๆ เปิดเปลือกตามากขึ้น

 

 

เธอลุกขึ้นนั่งมองสำรวจไปรอบๆ ก่อนนิ่งค้างไปทันที

 

 

ทุกสิ่งที่เห็นท่ามกลางทะเลทรายที่ไกลสุดลูกหูลูกตานี้เต็มไปด้วยสีเหลือง เธอเป็นเพียงคนเดียวที่อยู่ที่นี่ ไม่พบสิ่งใดนอกจากผืนทราย ทั้งรถเอสยูวี ที่พวกเขาขับมา คนในกลุ่มที่มาด้วยกัน แม้แต่ร่องรอยของคนที่เดินผ่านมา มีเพียงเธอที่นั่งอยู่ในทะเลทรายที่กว้างขวางนี้

 

 

หากไม่มีภัยพิบัติเกิดขึ้นเธอคงแอบคิดว่าตัวเองถูกใครบางคนโยนทิ้งไว้ที่นี่

 

 

เด็กสาวเริ่มสงสัยว่าตัวเองจำอะไรคลาดเคลื่อนไปหรือเปล่า

 

 

เธอค่อยๆ ลุกขึ้นยืน ความหวาดกลัวก่อตัวขึ้นในขณะที่กวาดสายตาไปทั่วทะเลทรายที่กว้างใหญ่ไม่มีที่สิ้นสุดอย่างคิดว่าเธอคงได้ตายที่นี่

 

 

โม่หันไม่ได้กลับมาพัก เป็นอีกคืนที่เขาไม่อาจนอนหลับลงและได้แต่นั่งอยู่บนเก้าอี้ในศูนย์ช่วยเหลือและป้องกันภัยพิบัติในเมือง D เขาไม่กล้าคิดถึงสิ่งใดต่อไปและรอให้เจ้าหน้าที่มาแจ้งความคืบหน้าในการค้นหาและช่วยเหลืออย่างเงียบๆ

 

 

ในช่วงบ่ายของวันที่สอง ชายคนที่คุยกับเขาเมื่อวานเดินเข้ามาบอกเขาว่าศพผู้เสียชีวิตที่พบในรถมาถึงที่โรงพยาบาลแล้ว ตัวรถที่ถูกพายุทรายพัดกระแทกจนเสียรูปถูกส่งไปที่ศูนย์ซ่อมแซมและรอรับการจัดการอยู่

 

 

เขาตามพวกเขาไปที่โรงพยาบาลและมุ่งหน้าไปที่ห้องดับจิตที่ชั้นใต้ดิน เสียงฝีเท้าหนักๆ ที่ดังขึ้นตามโถงทางเดินทำให้ผู้คนยิ่งหวาดกลัว

 

 

ประตูบานหนึ่งอยู่ตรงหน้าเขา เบื้องหลังประตูบานนั้นคือศพของผู้หญิงคนหนึ่ง เจ้าหน้าที่ก้าวเข้าไปด้านในแล้วในขณะที่โม่หันชะงักเท้าอยู่หน้าประตูอย่างไม่กล้าเดินเข้าไป

 

 

เขากลัวว่าสิ่งที่รอเขาอยู่ด้านในหลังจากที่เหยียบเข้าไปในห้องจะกลายเป็นโลกอีกใบของเขา

 

 

แต่สุดท้ายเขาก็ก้าวเข้าไปในห้อง เจ้าหน้าที่ช่วยเขาดึงผ้าสีขาวที่คลุมศพหญิงสาวไว้จนเห็นหน้าตาของคนที่นอนอยู่ตรงหน้า

 

 

น้ำตาของเขาไหลพร้อมกับลมหายใจที่ถอดถอนออกมา มุมปากยกยิ้มขึ้นบางๆ ในขณะที่น้ำตายังคงร่วงหล่นลงมาทีละหยดจนเปียกชุ่มผ้าสีขาวบนร่างของเธอ

 

 

“ใช่…แฟนของคุณหรือเปล่าครับ” เจ้าหน้าที่เอ่ยถามขึ้น

 

 

เขาปาดน้ำตาออกจากใบหน้า ส่งยิ้มกว้างขึ้นพลางส่ายหน้า “ไม่ใช่เธอครับ… ไม่ใช่เธอ…”

 

 

โชคดีที่คนที่นอนอยู่ในห้องดับจิตเย็นยะเยือกนี้ไม่ใช่ซย่าชิงอี

 

 

โชคดีที่คนที่นอนอยู่ตรงหน้าเป็นเพียงหญิงสาวร่างซีดเซียวที่เขาไม่รู้จัก

 

 

โชคดีที่ยังคงหลงเหลือความหวังอยู่

 

 

โชคดีที่เขายังเฝ้ารอคอยต่อไปได้

 

 

โม่หันดึงผ้าสีขาวขึ้นคลุมร่างของหญิงสาวที่ไม่รู้จักด้วยตัวเอง จากนั้นจึงหันเดินออกจากห้องดับจิตไปตามโถงทางเดินด้านนอก ขาทั้งสองข้างอ่อนแรงจนไม่อาจพยุงร่างกายของตัวเองไว้ได้ขณะที่ค่อยๆ ทรุดตัวลงนั่งยองๆ บนพื้น ซบใบหน้าลงบนฝ่ามือทั้งสองข้างและไม่ได้เงยหน้าขึ้นมาครู่ใหญ่

 

 

วันนั้นเขาออกจากศูนย์ช่วยเหลือและป้องกันภัยพิบัติก่อนกลับมาที่โรงแรมที่ซย่าชิงอีเข้าพักก่อนหน้านี้ เจ้าของที่พักยังคงอยู่ดูแลที่โรงแรม โม่หันจองห้องพักเดียวกับที่เธอเคยอยู่ในโรงแรมนั้น

 

 

เขาไม่ได้นอนหลับพักผ่อนอย่างเต็มที่มาสามวันและใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่เหลืออยู่หมดไปหลังจากที่เดินออกมาจากห้องดับจิตในโรงพยาบาลก่อนหน้านี้ เขาต้องการพักผ่อนเพื่อรอเธอกลับมาต่อไปได้ในสภาพร่างกายที่ดีกว่านี้

 

 

เขาไม่แม้แต่จะอาบน้ำหลังจากที่กลับมาถึงห้อง ทำเพียงถอดเสื้อตัวนอกออกก่อนทิ้งตัวนอนลงบนเตียงที่เธอเคยนอนมาก่อน สูดกลิ่นจางๆ ของซย่าชิงอีที่ติดอยู่กับผ้าปูเตียง มันเป็นช่วงเวลาที่เขาสบายใจที่สุดตลอดหลายวันมานี้

 

 

ผ้าห่มในมือถูกเขากอดไว้แน่น เปลือกตาปิดลงราวกับเธอกำลังนอนเงียบๆ อยู่ข้างกายเขาตอนนี้

 

 

“ซย่าชิงอี เธอต้องปลอดภัย พี่จะไม่ไปไหน พี่จะรอเธออยู่ตรงนี้ หลังจากเธอกลับมาเราจะไม่แยกจากกันไปไหนอีก”

 

 

นั่นคือสิ่งเดียวที่เขานึกได้ก่อนที่จะผล็อยหลับไป

 

 

ซย่าชิงอีไม่รู้ว่าตัวเองเดินไปอย่างไร้ทิศทางมาไกลแค่ไหนแล้ว ดวงอาทิตย์สาดแสงอยู่เหนือศีรษะอย่างไม่มีทีท่าว่าจะอ่อนแรง รอบตัวยังคงมีแต่ผืนทรายสีเหลือง ไม่พบสิ่งใดปรากฏตรงหน้าให้เธอยิ่งเร่งฝีเท้าของตัวเอง

 

 

ริมฝีปากของเธอแห้งจนแตกลอก เช่นเดียวกับภายในลำคอและดวงตาจนไม่สามารถพูดออกมาได้ เธอก้าวเดินไปข้างหน้าต่อด้วยขาที่อ่อนแรง ความเวียนศีรษะยิ่งรุนแรงขึ้น ก่อนที่เธอจะชะงักฝีเท้าและส่ายหน้าไม่กี่ครั้ง กะพริบตาขึ้นลง และรู้สึกเหมือนกับบรรยากาศรอบข้างกำลังหมุนรอบตัวเธอ

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+