ภาพรักสีจางกลางสมุทร 164 คนมีครอบครัว

Now you are reading ภาพรักสีจางกลางสมุทร Chapter 164 คนมีครอบครัว at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“พี่ต้องการอะไรกันแน่ หันเลี่ยงก็อยู่ข้างนอกนั่นนะ! พี่ไม่กลัวว่าเขาจะเข้าใจว่ามีบางอย่างระหว่างเราสองคน ถ้าเห็นเราอยู่ด้วยกันและทำให้ชื่อเสียงของพี่เสียหายบ้างเหรอ” ซย่าชิงอีมองเขาที่กำลังทำเรื่องให้ยุ่งด้วยความผิดหวัง และเริ่มพูดจารุนแรงขึ้น

 

 

โม่หันผลักเธอแนบชิดกับกำแพงอย่าง่ายดายและขยับเข้าไปเอามือยันกักขังตัวเธอไว้ “เอาเลยสิ แล้วมาดูกันว่าใครที่จะเสียชื่อกันแน่”

 

 

เธอจ้องเขาเขม็ง “โม่หัน พี่บ้าไปแล้ว!”

 

 

“ใช่ พี่บ้าไปแล้ว!” เขาเชยคางเธอขึ้น ขยับเข้าไปไกลจนเธอสัมผัสได้ถึงลมหายใจของอีกฝ่ายที่รินรดใบหน้า สายตาที่นิ่งค้างอยู่ที่ริมฝีปากของเธอ “จริงๆ พี่ก็อยากจะปล่อยให้หันเลี่ยงเห็นว่าตอนนี้เราเป็นยังไงกันอยู่เหมือนกันนะ ไม่คิดว่าเราเหมือนคู่รักที่ทะเลาะกันแบบที่คนอื่นกำลังพูดถึงอยู่บ้างเหรอ”

 

 

เธอใช้แรงทั้งหมดผลักเขาออกห่าง “ฉันอยากกลับแล้ว”

 

 

“เธอจะกลับไปทำอะไรล่ะ กลับไปใช้ชีวิตชื่นมื่นกับเขาที่บ้านและ…” ไม่ทันที่เขาจะพูดจบ ฝ่ามือของเธอก็ประทับเข้าที่ใบหน้าเขาอย่างแรง

 

 

ศีรษะของเขาหันไปอีกทาง ก่อนเขาจะหันมายิ้ม ผละมือซ้ายของตัวเองจากกำแพงและเอ่ยเสียงทุ้ม “กลับไปซะ”

 

 

เธอถอยห่างจากการจับกุมของอีกฝ่าย หันหลังจะเดินจากไปทว่าก็หยุดเท้าหลังจากก้าวไปเพียงไม่กี่ก้าว “ฉันไม่ใช่คนแบบที่พี่คิด และฉันก็ไม่เคยคิดว่าพี่จะคิดกับฉันแบบนั้นเลย”

 

 

เธอว่าสำทับ “ความทรงจำมันเป็นของฉัน พี่อาจจะไม่เข้าใจมันแต่ฉันอยากได้มันกลับมาจริงๆ”

 

 

ซย่าชิงอีจากไปหลังจากพูดจบ หลังจากเลี้ยวที่หัวมุมเธอก็เห็นหันเลี่ยงยิ้มให้เมื่อเธอเดินไปหาและนั่งอยู่ข้างๆ เขา ทำเหมือนไม่เกิดอะไรขึ้น

 

 

เธอรู้ว่าเขาคงเห็นสิ่งที่เธอทำกับโม่หันหมดแล้ว

 

 

เก้าอี้ของเขาหันหน้าออกไปด้านนอก และที่สำคัญคือเขามักจะไม่ปล่อยให้เธอคลาดสายตานานนัก โดยเฉพาะในยามที่เธอกับโม่หันไม่ได้อยู่ที่โต๊ะทั้งคู่ เธอเริ่มค่อยๆ เข้าใจการกระทำของหันเลี่ยงทีละนิด

 

 

“รีบกินเข้า อาหารเย็นหมดแล้ว” เขาเอ่ยยิ้มเหมือนเช่นเคย

 

 

เธอนั่งลงและเริ่มลงมือกินอาหารคำเล็กๆ โม่หันกลับมาหลังจากนั้นไม่นาน เขานั่งลงตรงข้ามกับเธอและกล่าวกับหันเลี่ยง “ขอโทษด้วยครับ ก่อนหน้านี้มีเรื่องด่วนนิดหน่อย”

 

 

เธอต่อว่าเขาที่เขาโกหกในใจ รู้ดีว่าก่อนหน้านี้เขาเป็นคนเย็นชาแค่ไหน ทว่าเธอไม่เคยรู้ว่าเขาจะมีมุมเสแสร้งแบบนี้ด้วย

 

 

หันเลี่ยงบอกเขาว่าไม่เป็นไร จากนั้นจึงตักผักให้เธอ “ฉันรู้ว่าเธอชอบกินนี่ กินเยอะๆ นะ”

 

 

ซย่าชิงอียิ้มขอบคุณให้เขาและกินอาหารของตัวเองต่อเงียบๆ

 

 

หลังจากนั้นหันเลี่ยงและโม่หันก็ไม่ได้พูดเรื่องเงินต่อนานนัก พวกเขาพูดคุยกันเหมือนเพื่อน ไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบและเรื่องการงาน ยิ่งเธอได้ยินเธอก็ยิ่งโกรธมากขึ้น

 

 

ทุกคนต่างทำตีสองหน้าใส่กันเมื่ออยู่ต่อหน้าคนอื่นหมดเลยเหรอ เพื่อผลประประโยชน์หรือเพียงเพราะทิฐิของตัวเองกัน

 

 

แม้แต่โม่หันก็เช่นกัน เขาทำตัวอีกอย่างตอนที่เขาคุยกับเธอข้างนอกห้องน้ำ แต่ตอนนี้เขากลับดูสงบใจเย็นเหมือนเป็นคนละคนเมื่อคุยกับหันเลี่ยงต่อหน้าเธอ แน่นอนว่าเขาเป็นคนเย็นชาแต่เขาก็ยังทำตัวเหมือนกับตอนที่คุยกับคนอื่นให้หันเลี่ยงเห็น

 

 

“ฉันอิ่มแล้ว ฉันอยากกลับบ้าน” เธอไม่อยากอยู่ตรงนี้นานมากไปกว่านี้อีกแล้ว ก่อนเอ่ยกับหันเลี่ยง

 

 

“ไม่กินอีกหน่อยล่ะ ฉันว่าเธอกินไปนิดเดียวเองนะ” เขาว่าขึ้น

 

 

“ไม่เป็นไร ฉันกินมาระหว่างทางมาที่นี่แล้ว คุณสองคนคุยกันต่อไปเถอะ” เธอลุกขึ้น ตั้งท่าจะเดินออกไป

 

 

“อยู่ต่ออีกหน่อยสิ เธอไม่อยากรำลึกความหลังกับพี่ชายของเธอหน่อยเหรอ” หันเลี่ยงถาม

 

 

เธอไม่แม้จะมองโม่หัน คว้ากระเป๋าขึ้นสะพายและลุกขึ้นยืน “ไม่จำเป็นหรอก แม่อยู่ที่บ้านคนเดียว ฉันอยากกลับไปคุยกับเธอ”

 

 

“เอาอย่างนั้นก็ได้ กลับบ้านดีๆ นะ”

 

 

หันเลี่ยงมองซย่าชิงอีที่เดินออกไปนอกร้านและหันกลับมาหาอีกฝ่าย พลันรอยยิ้มอบอุ่นที่มีก็หายไปทันทีและถูกแทนที่ด้วยสีหน้าเย็นชา “ทนายโม่ คุณคงลำบากที่ต้องอดกลั้นไว้มากสินะครับ”

 

 

โม่หันยกยิ้ม “ผมไม่ค่อยเข้าใจที่คุณหมายถึงหรอกนะครับ คุณหันช่วยอธิบายให้ผมฟังสักหน่อยได้ไหมครับ”

 

 

“จากที่ได้ยินชื่อเสียงความชาญฉลาดของคุณมา ผมรู้ว่าคุณเดาได้ว่าผมหมายถึงอะไร”

 

 

เขาทำเพียงยิ้ม ก้มหน้าตักผักที่เธอกินก่อนหน้านี้ขึ้นมากินอย่างใจเย็น

 

 

“ผมรู้ว่ามันไม่ใช่ความผิดของเธอ เธอเป็นคนสวย ไม่แปลกที่ผู้ชายเห็นเธอแล้วจะตกหลุมรักเธอ ผมก็เลยพอจะเข้าใจความรู้สึกของทนายโม่ที่มีต่อเธอ”

 

 

หันเลี่ยงมองเขาก่อนเอ่ยขึ้น “แต่เธอเป็นคนมีครอบครัวแล้ว และผมก็เป็นสามีของเธอ เรามีทะเบียนสมรส เรายังมีความรู้สึกดีๆ ให้กันอีกด้วย และเราก็ยังไม่ได้หย่ากัน หากไม่เกิดอุบัติเหตุขึ้น เราคงยังใช้ชีวิตอย่างมีความสุขอยู่ด้วยกัน ผมหวังว่าทนายโม่จะควบคุมความรู้สึกของตัวเองและไม่เข้ามาก้าวก่ายครอบครัวของคนอื่นนะครับ”

 

 

เขายิ้มเล็กๆ จากนั้นจึงกล่าวย้ำน้ำเสียงสบายๆ “อีกอย่างมันก็เป็นเรื่องผิดศีลธรรมด้วยนะครับ”

 

 

“ผมจะทำอะไรมันก็เป็นเรื่องของผม ถ้าคุณไม่มั่นใจและกลัวว่าเธอจะจากไปกับผม งั้นก็ดูแลเธอให้ดีและอย่าปล่อยโอกาสให้ใครมาพาเธอไปอย่างผมอีกแล้วกัน” โม่หันว่าอย่างเอื่อยเฉื่อย ดูไม่ได้สนใจคำพูดของอีกฝ่ายเท่าไรนัก และทำเพียงยิ้ม

 

 

“ขอบคุณทนายโม่ที่เตือนนะครับ ผมจะจำเอาไว้” หันเลี่ยงตอบกลับ “ถ้าไม่มีอะไรแล้ว งั้นผมขอตัวแล้วกันครับ ไม่อยากให้เธอกลับเองผมไปเป็นเพื่อนเธอดีกว่า ผมจ่ายค่าอาหารเรียบร้อยแล้วนะครับ ทานให้อร่อยนะครับทนายโม่ ผมไปก่อนล่ะ” หันเลี่ยงลุกจากที่นั่งไปด้วยสีหน้าจองหองราวกับตัวเองเป็นพระราชา

 

 

โม่หันนั่งก้มหน้ากินอาหารของตัวเองและไม่ได้เงยหน้ามองอีกฝ่าย “ครับ ขอบคุณ”

 

 

เมื่อทั้งคู่แยกจากกัน ทั้งโต๊ะก็เหลือเพียงแต่โม่หันที่นั่งกินอาหารตรงหน้าที่แทบจะไม่ถูกแตะเลย จู่ๆ เขาก็หัวเราะขึ้นมาระหว่างที่กินอาหาร วางตะเกียบลง พิงตัวกับเก้าอี้และถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

 

 

เขายอมรับว่าเขาพ่ายแพ้เข้าแล้วจริงๆ

 

 

ตลอดทั้งชีวิตของเขา ไม่เคยแพ้คดีแม้ครั้งเดียวไม่ว่าจะคดีใหญ่หรือเล็กก็ตาม ไม่เคยพลาดท่าเสียทีให้กับคู่แข่งตลอดชีวิตมหาวิทยาลัย ไม่แม้แต่กับคู่แข่งนักกีฬานอกมหาวิทยาลัย แต่เขาก็กลับมาพ่ายแพ้ที่นี่จนได้

 

 

ความรู้สึกสิ้นหวังที่เขาไม่เคยได้รับมาก่อน เมื่อเห็นเธอนั่งอยู่กับเขาก็ทำให้หึงแทบบ้า ทีแรกเขาคิดว่าคงจะรู้สึกดีและสงบใจลงขึ้นบ้างหลังจากเห็นเธอที่ร้านกาแฟวันนั้น แต่เมื่อเขากลับไปและเห็นเธออยู่กับชายอีกคนอีกครั้ง เขาก็รู้ว่ามันไม่ได้ช่วยเขาเลยแม้แต่น้อย

 

 

ความรู้สึกพ่ายแพ้และสิ้นหวังได้เข้าจู่โจมเขาเข้าอย่างจัง

 

 

ซย่าชิงอีที่เพิ่งถึงและก้าวเข้ามาในบ้าน พบว่าไม่มีใครอยู่ในห้องนั่งเล่นหรือห้องครัวเลย เธอเรียกสองครั้งแต่ก็ไม่มีใครตอบกลับมา พลางคิดไปว่าดูแปลกๆ ไปก่อนจะเปลี่ยนรองเท้าและเดินขึ้นไปชั้นสอง

 

 

“แม่… แม่…” เธอเรียกขณะที่เดิน

 

 

ทว่าก็ยังไม่มีใครตอบ เธอขึ้นมาถึงชั้นสองและเปิดประตูทีละห้องเพื่อตามหาแม่ของเธอ

 

 

จนมาถึงประตูด้านในสุดและรู้สึกแปลกใจว่าทำไมเธอถึงไม่เคยเห็นห้องนี้มาก่อน จับที่ลูกบิดประตูและพบว่ามันถูกล็อกจากด้านใน

 

 

เธอได้ยินเสียงร้องไห้ของแม่อยู่รางๆ ออกแรงผลักประตูเข้าไปอีกครั้งและเคาะประตู “แม่… อยู่ข้างในหรือเปล่าคะ”

 

 

“แม่… เปิดประตูหน่อย” เธอเคาะประตูอีกครั้ง

 

 

หลังจากนั้นไม่นานเสียงปลดล็อกก็กังขึ้น ประตูถูกเปิดออกพร้อมกับแม่ของเธอที่ยืนตาแดงก่ำอยู่ตรงหน้าเธอ ก้มหน้าลงอย่างต้องการหลบตาเธอ

 

 

“เกิดอะไรขึ้นคะ” เธอเอ่ยถาม

 

 

เธอทำเพียงส่ายหน้า ปิดประตูด้านหลังและเดินออกมา

 

 

เธอตอบสนองอย่างรวดเร็ว ขยับตัวไปข้างหน้าเพื่อหยุดการกะรทำของแม่ตัวเองก่อนที่จะผลักประตูด้านหลังออก เดินผ่านอีกฝ่ายและเดินเข้าไปด้านใน

 

 

เมื่อมองครั้งแรก ภายในห้องไม่ได้มีอะไรที่แตกต่างมากนัก โต๊ะอ่านหนังสือตั้งอยู่อีกด้านบริเวณริมหน้าต่าง ด้านบนมีหนังสือไม่กี่เล่มและโคมไฟวางอยู่ ข้างโต๊ะมีเตียงที่มีหมอนสองใบนอนอยู่ แต่เตียงนั้นเป็นเตียงขนาดเล็กและน่าจะเป็นของเด็ก พรมขนปุกปุยลายการ์ตูนสีชมพูแผ่อยู่บนพื้น ผนังถูกทาด้วยสีชมพูอ่อนและดูเหมือนเป็นห้องของเด็กผู้หญิง

 

 

“ทำไมหนูไม่เคยเห็นห้องนี้มาก่อนเลยล่ะคะ” เธอถามขึ้นขณะที่มองไปรอบห้อง

 

 

“ที่นี่ไม่มีอะไรให้ดูหรอกลูก เดี๋ยวก็จะกลายเป็นห้องเก็บของแล้ว ตอนยังเล็กลูกอยู่ที่ห้องนี้ มันไม่ได้ใช้นานแล้วล่ะ” ท่าทางแม่ของเธอดูไม่ต้องการให้เธออยู่ในห้องนี้นานนัก

 

 

แต่เธอกลับไม่คิดอย่างนั้น ห้องนี้ดูสะอาดและไม่มีฝุ่นจับที่โต๊ะเลยสักนิดราวกับถูกทำความสะอาดตลอดเวลา เธอมองแม่ของตัวเองที่ยืนอยู่หน้าประตู มองสำรวจไปรอบๆ และถามน้ำเสียงเรื่อยๆ “แม่คะ แล้วแม่มาทำอะไรที่ห้องนี้ล่ะ หนูเรียกแม่ก็ไม่ตอบ”

 

 

“ไม่ ไม่มีอะไรหรอก… แม่แค่เอาแต่เก็บของอยู่เฉยๆ น่ะเลยไม่ได้ยินลูก”

 

 

“เก็บของอะไรคะ”

 

 

“เอ่อ… ไม่มีอะไร… แค่หนังสือเก่าๆ น่ะ แม่ว่าจะเอามันไปไว้ในห้องอ่านหนังสือ” หญิงอายุมากกว่าเดินมาหยิบหนังสือจากชั้นด้วยท่าทีรีบร้อน

 

 

เธอมองตามมือของแม่ตัวเองและหยิบหนังสือออกมาพลิกเปิดดู มันมีทั้งเรื่องเจ้าหญิงกับอัศวิน เทพนิยายแอนเดอร์เสน และตำนานเทพเจ้ากรีก หนังสือพวกนี้ถูกฝุ่นเกาะจนฟุ้งกระจายเมื่อเธอแตะมัน

 

 

“ไม่มีอะไรให้ดูนักหรอก แค่หนังสือที่ลูกเคยอ่านเมื่อก่อนน่ะ” แม่ของเธอคว้าหนังสือจากมือเธอไป “ไปๆๆ … ออกไปกันเถอะ ห้องนี้ฝุ่นเยอะเดี๋ยวจะเปื้อนเสื้อผ้าเอา”

 

 

แม่ของเธอดันตัวให้เธอออกไป สายตาของเธอรีบมองสำรวจไปรอบห้อง เห็นผ้าม่านสีฟ้าอ่อนแขวนอยู่ที่หน้าต่าง เก้าอี้ไม้สองตัวที่ถูกตั้งไว้ที่โต๊ะและตู้ลิ้นชักที่ถูกล็อกเอาไว้ ตู้เสื้อผ้าขนาดใหญ่ที่ครึ่งหนึ่งเป็นสีฟ้า อีกครึ่งหนึ่งเป็นสีชมพู และตุ๊กตากระต่ายที่นอนฝุ่นเกาะอยู่ที่มุมหนึ่งของห้อง

 

 

เธอถูกดึงออกมานอกห้องก่อนที่อีกฝ่ายจะล็อกประตูต่อหน้าเธอ

 

 

“ทำไมต้องล็อกห้องนี้ด้วยล่ะคะ”

 

 

“เอ่อ…” แม่ของเธอเอ่ย “มันเป็นนิสัยน่ะ ห้องนี้ไม่ได้ใช้นานแล้ว ไม่ค่อยมีคนมาที่นี่แม่ก็เลยล็อกเอาไว้เฉยๆ อย่างไรก็มีอีกตั้งหลายห้องที่ใช้ได้”

 

 

เธอฮึมฮัมตอบรับในลำคอและไม่ได้พูดอะไรออกมา มองไปที่หนังสือที่อยู่ในมือของอีกฝ่ายก่อนถามขึ้น “ช่วงนี้หนูเบื่อๆ ขออ่านหนังสือพวกนี้ได้ไหมคะ”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ภาพรักสีจางกลางสมุทร 164 คนมีครอบครัว

Now you are reading ภาพรักสีจางกลางสมุทร Chapter 164 คนมีครอบครัว at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“พี่ต้องการอะไรกันแน่ หันเลี่ยงก็อยู่ข้างนอกนั่นนะ! พี่ไม่กลัวว่าเขาจะเข้าใจว่ามีบางอย่างระหว่างเราสองคน ถ้าเห็นเราอยู่ด้วยกันและทำให้ชื่อเสียงของพี่เสียหายบ้างเหรอ” ซย่าชิงอีมองเขาที่กำลังทำเรื่องให้ยุ่งด้วยความผิดหวัง และเริ่มพูดจารุนแรงขึ้น

 

 

โม่หันผลักเธอแนบชิดกับกำแพงอย่าง่ายดายและขยับเข้าไปเอามือยันกักขังตัวเธอไว้ “เอาเลยสิ แล้วมาดูกันว่าใครที่จะเสียชื่อกันแน่”

 

 

เธอจ้องเขาเขม็ง “โม่หัน พี่บ้าไปแล้ว!”

 

 

“ใช่ พี่บ้าไปแล้ว!” เขาเชยคางเธอขึ้น ขยับเข้าไปไกลจนเธอสัมผัสได้ถึงลมหายใจของอีกฝ่ายที่รินรดใบหน้า สายตาที่นิ่งค้างอยู่ที่ริมฝีปากของเธอ “จริงๆ พี่ก็อยากจะปล่อยให้หันเลี่ยงเห็นว่าตอนนี้เราเป็นยังไงกันอยู่เหมือนกันนะ ไม่คิดว่าเราเหมือนคู่รักที่ทะเลาะกันแบบที่คนอื่นกำลังพูดถึงอยู่บ้างเหรอ”

 

 

เธอใช้แรงทั้งหมดผลักเขาออกห่าง “ฉันอยากกลับแล้ว”

 

 

“เธอจะกลับไปทำอะไรล่ะ กลับไปใช้ชีวิตชื่นมื่นกับเขาที่บ้านและ…” ไม่ทันที่เขาจะพูดจบ ฝ่ามือของเธอก็ประทับเข้าที่ใบหน้าเขาอย่างแรง

 

 

ศีรษะของเขาหันไปอีกทาง ก่อนเขาจะหันมายิ้ม ผละมือซ้ายของตัวเองจากกำแพงและเอ่ยเสียงทุ้ม “กลับไปซะ”

 

 

เธอถอยห่างจากการจับกุมของอีกฝ่าย หันหลังจะเดินจากไปทว่าก็หยุดเท้าหลังจากก้าวไปเพียงไม่กี่ก้าว “ฉันไม่ใช่คนแบบที่พี่คิด และฉันก็ไม่เคยคิดว่าพี่จะคิดกับฉันแบบนั้นเลย”

 

 

เธอว่าสำทับ “ความทรงจำมันเป็นของฉัน พี่อาจจะไม่เข้าใจมันแต่ฉันอยากได้มันกลับมาจริงๆ”

 

 

ซย่าชิงอีจากไปหลังจากพูดจบ หลังจากเลี้ยวที่หัวมุมเธอก็เห็นหันเลี่ยงยิ้มให้เมื่อเธอเดินไปหาและนั่งอยู่ข้างๆ เขา ทำเหมือนไม่เกิดอะไรขึ้น

 

 

เธอรู้ว่าเขาคงเห็นสิ่งที่เธอทำกับโม่หันหมดแล้ว

 

 

เก้าอี้ของเขาหันหน้าออกไปด้านนอก และที่สำคัญคือเขามักจะไม่ปล่อยให้เธอคลาดสายตานานนัก โดยเฉพาะในยามที่เธอกับโม่หันไม่ได้อยู่ที่โต๊ะทั้งคู่ เธอเริ่มค่อยๆ เข้าใจการกระทำของหันเลี่ยงทีละนิด

 

 

“รีบกินเข้า อาหารเย็นหมดแล้ว” เขาเอ่ยยิ้มเหมือนเช่นเคย

 

 

เธอนั่งลงและเริ่มลงมือกินอาหารคำเล็กๆ โม่หันกลับมาหลังจากนั้นไม่นาน เขานั่งลงตรงข้ามกับเธอและกล่าวกับหันเลี่ยง “ขอโทษด้วยครับ ก่อนหน้านี้มีเรื่องด่วนนิดหน่อย”

 

 

เธอต่อว่าเขาที่เขาโกหกในใจ รู้ดีว่าก่อนหน้านี้เขาเป็นคนเย็นชาแค่ไหน ทว่าเธอไม่เคยรู้ว่าเขาจะมีมุมเสแสร้งแบบนี้ด้วย

 

 

หันเลี่ยงบอกเขาว่าไม่เป็นไร จากนั้นจึงตักผักให้เธอ “ฉันรู้ว่าเธอชอบกินนี่ กินเยอะๆ นะ”

 

 

ซย่าชิงอียิ้มขอบคุณให้เขาและกินอาหารของตัวเองต่อเงียบๆ

 

 

หลังจากนั้นหันเลี่ยงและโม่หันก็ไม่ได้พูดเรื่องเงินต่อนานนัก พวกเขาพูดคุยกันเหมือนเพื่อน ไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบและเรื่องการงาน ยิ่งเธอได้ยินเธอก็ยิ่งโกรธมากขึ้น

 

 

ทุกคนต่างทำตีสองหน้าใส่กันเมื่ออยู่ต่อหน้าคนอื่นหมดเลยเหรอ เพื่อผลประประโยชน์หรือเพียงเพราะทิฐิของตัวเองกัน

 

 

แม้แต่โม่หันก็เช่นกัน เขาทำตัวอีกอย่างตอนที่เขาคุยกับเธอข้างนอกห้องน้ำ แต่ตอนนี้เขากลับดูสงบใจเย็นเหมือนเป็นคนละคนเมื่อคุยกับหันเลี่ยงต่อหน้าเธอ แน่นอนว่าเขาเป็นคนเย็นชาแต่เขาก็ยังทำตัวเหมือนกับตอนที่คุยกับคนอื่นให้หันเลี่ยงเห็น

 

 

“ฉันอิ่มแล้ว ฉันอยากกลับบ้าน” เธอไม่อยากอยู่ตรงนี้นานมากไปกว่านี้อีกแล้ว ก่อนเอ่ยกับหันเลี่ยง

 

 

“ไม่กินอีกหน่อยล่ะ ฉันว่าเธอกินไปนิดเดียวเองนะ” เขาว่าขึ้น

 

 

“ไม่เป็นไร ฉันกินมาระหว่างทางมาที่นี่แล้ว คุณสองคนคุยกันต่อไปเถอะ” เธอลุกขึ้น ตั้งท่าจะเดินออกไป

 

 

“อยู่ต่ออีกหน่อยสิ เธอไม่อยากรำลึกความหลังกับพี่ชายของเธอหน่อยเหรอ” หันเลี่ยงถาม

 

 

เธอไม่แม้จะมองโม่หัน คว้ากระเป๋าขึ้นสะพายและลุกขึ้นยืน “ไม่จำเป็นหรอก แม่อยู่ที่บ้านคนเดียว ฉันอยากกลับไปคุยกับเธอ”

 

 

“เอาอย่างนั้นก็ได้ กลับบ้านดีๆ นะ”

 

 

หันเลี่ยงมองซย่าชิงอีที่เดินออกไปนอกร้านและหันกลับมาหาอีกฝ่าย พลันรอยยิ้มอบอุ่นที่มีก็หายไปทันทีและถูกแทนที่ด้วยสีหน้าเย็นชา “ทนายโม่ คุณคงลำบากที่ต้องอดกลั้นไว้มากสินะครับ”

 

 

โม่หันยกยิ้ม “ผมไม่ค่อยเข้าใจที่คุณหมายถึงหรอกนะครับ คุณหันช่วยอธิบายให้ผมฟังสักหน่อยได้ไหมครับ”

 

 

“จากที่ได้ยินชื่อเสียงความชาญฉลาดของคุณมา ผมรู้ว่าคุณเดาได้ว่าผมหมายถึงอะไร”

 

 

เขาทำเพียงยิ้ม ก้มหน้าตักผักที่เธอกินก่อนหน้านี้ขึ้นมากินอย่างใจเย็น

 

 

“ผมรู้ว่ามันไม่ใช่ความผิดของเธอ เธอเป็นคนสวย ไม่แปลกที่ผู้ชายเห็นเธอแล้วจะตกหลุมรักเธอ ผมก็เลยพอจะเข้าใจความรู้สึกของทนายโม่ที่มีต่อเธอ”

 

 

หันเลี่ยงมองเขาก่อนเอ่ยขึ้น “แต่เธอเป็นคนมีครอบครัวแล้ว และผมก็เป็นสามีของเธอ เรามีทะเบียนสมรส เรายังมีความรู้สึกดีๆ ให้กันอีกด้วย และเราก็ยังไม่ได้หย่ากัน หากไม่เกิดอุบัติเหตุขึ้น เราคงยังใช้ชีวิตอย่างมีความสุขอยู่ด้วยกัน ผมหวังว่าทนายโม่จะควบคุมความรู้สึกของตัวเองและไม่เข้ามาก้าวก่ายครอบครัวของคนอื่นนะครับ”

 

 

เขายิ้มเล็กๆ จากนั้นจึงกล่าวย้ำน้ำเสียงสบายๆ “อีกอย่างมันก็เป็นเรื่องผิดศีลธรรมด้วยนะครับ”

 

 

“ผมจะทำอะไรมันก็เป็นเรื่องของผม ถ้าคุณไม่มั่นใจและกลัวว่าเธอจะจากไปกับผม งั้นก็ดูแลเธอให้ดีและอย่าปล่อยโอกาสให้ใครมาพาเธอไปอย่างผมอีกแล้วกัน” โม่หันว่าอย่างเอื่อยเฉื่อย ดูไม่ได้สนใจคำพูดของอีกฝ่ายเท่าไรนัก และทำเพียงยิ้ม

 

 

“ขอบคุณทนายโม่ที่เตือนนะครับ ผมจะจำเอาไว้” หันเลี่ยงตอบกลับ “ถ้าไม่มีอะไรแล้ว งั้นผมขอตัวแล้วกันครับ ไม่อยากให้เธอกลับเองผมไปเป็นเพื่อนเธอดีกว่า ผมจ่ายค่าอาหารเรียบร้อยแล้วนะครับ ทานให้อร่อยนะครับทนายโม่ ผมไปก่อนล่ะ” หันเลี่ยงลุกจากที่นั่งไปด้วยสีหน้าจองหองราวกับตัวเองเป็นพระราชา

 

 

โม่หันนั่งก้มหน้ากินอาหารของตัวเองและไม่ได้เงยหน้ามองอีกฝ่าย “ครับ ขอบคุณ”

 

 

เมื่อทั้งคู่แยกจากกัน ทั้งโต๊ะก็เหลือเพียงแต่โม่หันที่นั่งกินอาหารตรงหน้าที่แทบจะไม่ถูกแตะเลย จู่ๆ เขาก็หัวเราะขึ้นมาระหว่างที่กินอาหาร วางตะเกียบลง พิงตัวกับเก้าอี้และถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

 

 

เขายอมรับว่าเขาพ่ายแพ้เข้าแล้วจริงๆ

 

 

ตลอดทั้งชีวิตของเขา ไม่เคยแพ้คดีแม้ครั้งเดียวไม่ว่าจะคดีใหญ่หรือเล็กก็ตาม ไม่เคยพลาดท่าเสียทีให้กับคู่แข่งตลอดชีวิตมหาวิทยาลัย ไม่แม้แต่กับคู่แข่งนักกีฬานอกมหาวิทยาลัย แต่เขาก็กลับมาพ่ายแพ้ที่นี่จนได้

 

 

ความรู้สึกสิ้นหวังที่เขาไม่เคยได้รับมาก่อน เมื่อเห็นเธอนั่งอยู่กับเขาก็ทำให้หึงแทบบ้า ทีแรกเขาคิดว่าคงจะรู้สึกดีและสงบใจลงขึ้นบ้างหลังจากเห็นเธอที่ร้านกาแฟวันนั้น แต่เมื่อเขากลับไปและเห็นเธออยู่กับชายอีกคนอีกครั้ง เขาก็รู้ว่ามันไม่ได้ช่วยเขาเลยแม้แต่น้อย

 

 

ความรู้สึกพ่ายแพ้และสิ้นหวังได้เข้าจู่โจมเขาเข้าอย่างจัง

 

 

ซย่าชิงอีที่เพิ่งถึงและก้าวเข้ามาในบ้าน พบว่าไม่มีใครอยู่ในห้องนั่งเล่นหรือห้องครัวเลย เธอเรียกสองครั้งแต่ก็ไม่มีใครตอบกลับมา พลางคิดไปว่าดูแปลกๆ ไปก่อนจะเปลี่ยนรองเท้าและเดินขึ้นไปชั้นสอง

 

 

“แม่… แม่…” เธอเรียกขณะที่เดิน

 

 

ทว่าก็ยังไม่มีใครตอบ เธอขึ้นมาถึงชั้นสองและเปิดประตูทีละห้องเพื่อตามหาแม่ของเธอ

 

 

จนมาถึงประตูด้านในสุดและรู้สึกแปลกใจว่าทำไมเธอถึงไม่เคยเห็นห้องนี้มาก่อน จับที่ลูกบิดประตูและพบว่ามันถูกล็อกจากด้านใน

 

 

เธอได้ยินเสียงร้องไห้ของแม่อยู่รางๆ ออกแรงผลักประตูเข้าไปอีกครั้งและเคาะประตู “แม่… อยู่ข้างในหรือเปล่าคะ”

 

 

“แม่… เปิดประตูหน่อย” เธอเคาะประตูอีกครั้ง

 

 

หลังจากนั้นไม่นานเสียงปลดล็อกก็กังขึ้น ประตูถูกเปิดออกพร้อมกับแม่ของเธอที่ยืนตาแดงก่ำอยู่ตรงหน้าเธอ ก้มหน้าลงอย่างต้องการหลบตาเธอ

 

 

“เกิดอะไรขึ้นคะ” เธอเอ่ยถาม

 

 

เธอทำเพียงส่ายหน้า ปิดประตูด้านหลังและเดินออกมา

 

 

เธอตอบสนองอย่างรวดเร็ว ขยับตัวไปข้างหน้าเพื่อหยุดการกะรทำของแม่ตัวเองก่อนที่จะผลักประตูด้านหลังออก เดินผ่านอีกฝ่ายและเดินเข้าไปด้านใน

 

 

เมื่อมองครั้งแรก ภายในห้องไม่ได้มีอะไรที่แตกต่างมากนัก โต๊ะอ่านหนังสือตั้งอยู่อีกด้านบริเวณริมหน้าต่าง ด้านบนมีหนังสือไม่กี่เล่มและโคมไฟวางอยู่ ข้างโต๊ะมีเตียงที่มีหมอนสองใบนอนอยู่ แต่เตียงนั้นเป็นเตียงขนาดเล็กและน่าจะเป็นของเด็ก พรมขนปุกปุยลายการ์ตูนสีชมพูแผ่อยู่บนพื้น ผนังถูกทาด้วยสีชมพูอ่อนและดูเหมือนเป็นห้องของเด็กผู้หญิง

 

 

“ทำไมหนูไม่เคยเห็นห้องนี้มาก่อนเลยล่ะคะ” เธอถามขึ้นขณะที่มองไปรอบห้อง

 

 

“ที่นี่ไม่มีอะไรให้ดูหรอกลูก เดี๋ยวก็จะกลายเป็นห้องเก็บของแล้ว ตอนยังเล็กลูกอยู่ที่ห้องนี้ มันไม่ได้ใช้นานแล้วล่ะ” ท่าทางแม่ของเธอดูไม่ต้องการให้เธออยู่ในห้องนี้นานนัก

 

 

แต่เธอกลับไม่คิดอย่างนั้น ห้องนี้ดูสะอาดและไม่มีฝุ่นจับที่โต๊ะเลยสักนิดราวกับถูกทำความสะอาดตลอดเวลา เธอมองแม่ของตัวเองที่ยืนอยู่หน้าประตู มองสำรวจไปรอบๆ และถามน้ำเสียงเรื่อยๆ “แม่คะ แล้วแม่มาทำอะไรที่ห้องนี้ล่ะ หนูเรียกแม่ก็ไม่ตอบ”

 

 

“ไม่ ไม่มีอะไรหรอก… แม่แค่เอาแต่เก็บของอยู่เฉยๆ น่ะเลยไม่ได้ยินลูก”

 

 

“เก็บของอะไรคะ”

 

 

“เอ่อ… ไม่มีอะไร… แค่หนังสือเก่าๆ น่ะ แม่ว่าจะเอามันไปไว้ในห้องอ่านหนังสือ” หญิงอายุมากกว่าเดินมาหยิบหนังสือจากชั้นด้วยท่าทีรีบร้อน

 

 

เธอมองตามมือของแม่ตัวเองและหยิบหนังสือออกมาพลิกเปิดดู มันมีทั้งเรื่องเจ้าหญิงกับอัศวิน เทพนิยายแอนเดอร์เสน และตำนานเทพเจ้ากรีก หนังสือพวกนี้ถูกฝุ่นเกาะจนฟุ้งกระจายเมื่อเธอแตะมัน

 

 

“ไม่มีอะไรให้ดูนักหรอก แค่หนังสือที่ลูกเคยอ่านเมื่อก่อนน่ะ” แม่ของเธอคว้าหนังสือจากมือเธอไป “ไปๆๆ … ออกไปกันเถอะ ห้องนี้ฝุ่นเยอะเดี๋ยวจะเปื้อนเสื้อผ้าเอา”

 

 

แม่ของเธอดันตัวให้เธอออกไป สายตาของเธอรีบมองสำรวจไปรอบห้อง เห็นผ้าม่านสีฟ้าอ่อนแขวนอยู่ที่หน้าต่าง เก้าอี้ไม้สองตัวที่ถูกตั้งไว้ที่โต๊ะและตู้ลิ้นชักที่ถูกล็อกเอาไว้ ตู้เสื้อผ้าขนาดใหญ่ที่ครึ่งหนึ่งเป็นสีฟ้า อีกครึ่งหนึ่งเป็นสีชมพู และตุ๊กตากระต่ายที่นอนฝุ่นเกาะอยู่ที่มุมหนึ่งของห้อง

 

 

เธอถูกดึงออกมานอกห้องก่อนที่อีกฝ่ายจะล็อกประตูต่อหน้าเธอ

 

 

“ทำไมต้องล็อกห้องนี้ด้วยล่ะคะ”

 

 

“เอ่อ…” แม่ของเธอเอ่ย “มันเป็นนิสัยน่ะ ห้องนี้ไม่ได้ใช้นานแล้ว ไม่ค่อยมีคนมาที่นี่แม่ก็เลยล็อกเอาไว้เฉยๆ อย่างไรก็มีอีกตั้งหลายห้องที่ใช้ได้”

 

 

เธอฮึมฮัมตอบรับในลำคอและไม่ได้พูดอะไรออกมา มองไปที่หนังสือที่อยู่ในมือของอีกฝ่ายก่อนถามขึ้น “ช่วงนี้หนูเบื่อๆ ขออ่านหนังสือพวกนี้ได้ไหมคะ”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+