ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล 596 ลืมตา!

Now you are reading ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล Chapter 596 ลืมตา! at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 596 ลืมตา!

เฉิงหวงหรือที่เรียกกันว่าเทพเจ้าประจำเมือง อยู่ในวัฒนธรรมทางศาสนาของประวัติศาสตร์จีน ได้รับการนับถืออย่างสูงสุด ถึงแม้จะเป็นตอนนี้ ทุกพื้นที่ล้วนมีวัดเฉิงหวงเมี่ยวอยู่มากมาย และได้รับการจุดธูปกราบไหว้บูชาอย่างล้นหลาม

ท่านคล้ายกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คุ้มครองเมือง หากแบ่งตามขอบเขตหน้าที่ที่รับผิดชอบแล้ว ยมทูตอย่างโจวเจ๋อมีความคล้ายหัวหน้าสถานีตำรวจท้องถิ่นที่ถูกส่งมาจากยมโลก มีผู้จับกุมเป็นอธิบดี ส่วนเทพเจ้าประจำเมืองเป็นนายอำเภอกระทั่งอาจมีระดับสูงถึงนายกเทศมนตรี

เนื่องจากเมืองในสมัยโบราณมีทั้งเล็กใหญ่ ขอบเขตอำนาจการปกครองของเทพเจ้าประจำเมืองจึงเกิดการเปลี่ยนแปลงและต่างกันด้วยเหตุนี้ หากมีพื้นที่เล็ก อย่างเช่นนายกเทศมนตรีของเมืองบนทุ่งหญ้า จริงๆ แล้วคนที่ต้องดูแลถือว่าไม่เยอะมาก

หากมีพื้นที่ใหญ่ อย่างคนใหญ่คนโตตามสถานที่สำคัญในเมืองหลวงและปริมณฑล จะมีตำแหน่งเกือบเทียบเท่าเจ้าครองนครเกือบทั้งหมด

นักพรตเฒ่าพาพวกโกวซินทั้งสามคนเดินชมวัดเฉิงหวงเมี่ยวอย่างอารมณ์ดี ตอนแรกนักพรตเฒ่ายังกังวลว่าทั้งสามคนจะรู้สึกเบื่อ แต่กลับเห็นพวกโกวซินทั้งสามคนให้ความเคารพและจริงจัง กระทั่งตอนที่กราบไหว้ยังตั้งใจเป็นพิเศษ

ทั้งสามคนกราบไหว้อย่างเป็นระเบียบ ทำให้ผู้คนที่อยู่โดยรอบต่างมองด้วยความประหลาดใจ เพราะนานมาแล้วคนจีนไม่ว่าอย่างไรเห็นวัดก็จะไหว้ ดูเหมือนจะไหว้กันเยอะ แต่คนที่ไหว้จากใจจริงจะมีสักกี่คน ด้วยเหตุนี้ ท่าทางการไหว้จึงแปลกนับร้อยพัน ไม่ว่าอย่างไรตัวเองสบายแบบไหนก็ทำแบบนั้น ถนัดไหว้แบบไหนก็ไหว้แบบนั้น

ท่าทางของทั้งสามคนทำพร้อมกันอย่างเป็นระเบียบ ให้ความรู้สึกถึงความเคารพจริงจัง เป็นที่สะดุดตาแก่ผู้ที่มากราบไหว้ขอพรทั้งหลายที่อยู่โดยรอบ

นักพรตเฒ่าคิดว่าทั้งสามคนมาที่วัดเฉิงหวงเมี่ยวแล้วในที่สุดก็เก็บหาง จึงรู้สึกภาคภูมิใจในการเลือกของตัวเองอยู่ในใจ แต่ใครจะรู้ว่า พวกโกวซินทั้งสามคนถึงแม้จะกำลังกราบไหว้ แต่ไม่ได้ทำเพื่อเอาใจใคร ทว่าพวกเขามองด้วยความเคารพและคิดถึงอย่างแท้จริง ถูกแล้ว กำลังคะนึงถึง

เนื่องจากนักพรตเฒ่าไม่รู้ว่า ในสารบบของยมโลกไม่มีเทพเจ้าประจำเมืองมานานแล้ว เมื่อหนึ่งพันปีก่อนหลังจากไท่ซานฝู่จวินรุ่นสุดท้ายหายตัวไป พญายมทั้งสิบกำเนิดขึ้น ความสงบสุขเกิดการเปลี่ยนแปลง เกิดการสถาปนายมโลกในปัจจุบันนี้

ถึงแม้ในนรกจะมีคนต่อต้านและไม่เห็นด้วย แต่ก็ถูกกำจัดอย่างรวดเร็ว ทว่าพวกเทพเจ้าประจำเมืองทั้งหลายในโลกมนุษย์ส่วนใหญ่ยังคงคิดถึงไท่ซานฝู่จวิน ไม่อยู่ในความควบคุมของยมโลก

หลังจากนั้นก็คือวิธีการต่อต้านของยมโลก พวกที่เป็นเทพเจ้าประจำเมือง ถ้าไม่ถูกปราบปรามก็ถูกเนรเทศ และในระบบของยมโลกต่อมาหลังจากนั้นจึงไม่แต่งตั้งตำแหน่งนี้เลย

ถึงแม้ในโลกมนุษย์จะมีการกราบไหว้บูชากันอย่างคึกคัก ทว่าในยมโลกกลับเป็นบรรยากาศและสถานการณ์ที่ต่างกัน

ดังนั้นสาเหตุที่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ ก็เป็นเพราะเทพเจ้าประจำเมืองแต่ละพื้นที่ล้วนเป็นผู้ซื่อสัตย์ในท้องถิ่น หรือไม่ก็เป็นนักรบผู้กล้าที่ตายในสนามรบที่รับการแต่งตั้ง เลือดของความไม่ยอมแพ้และดื้อรั้นยังคงไหลเวียนอยู่ในกระดูกของพวกเขา

หลังจากไหว้เสร็จแล้ว โกวซินได้ซื้อธูป เตรียมจะนำไปถวาย แต่ในเวลานี้บนเพดานกลับมีเสียงดังจี๊ดๆๆๆ โกวซินแหงนหน้ามองไปข้างบน ข้างบนมีหนูตัวอ้วนกลมสามตัว มีประกายแสงสีแดงออกมาตามลำตัวรางๆ กำลังกระโดดไปมาอยู่บนคานไม้ ส่วนผู้ที่เข้ามากราบไหว้ขอพรที่อยู่ด้านล่าง กลับไม่สามารถสัมผัสได้อย่างสิ้นเชิง

โกวซินเห็นดังนั้นจึงหัวเราะ นี่คือหนูมงคล ผู้ที่ได้เจอนับว่าเป็นสิริมงคล วัดเจริญรุ่งเรือง การจุดธูปกราบไหว้บูชาเฟื่องฟู ดังนั้นหนูที่อยู่ที่นี่จึงตัวอ้วนพี และยังมีกลิ่นอายของควันธูป คนที่มีบุญมีโชคถึงจะมองเห็น

โกวซินหยิบลูกอมหนึ่งกำมือจากในอ้อมอก แล้วแอบวางไว้มุมหนึ่งหลังเทวรูปที่ไม่มีใครสังเกตเห็น

นักพรตเฒ่าเห็นพวกโกวซินกำลังสักการะบูชาอยู่ เขาเลยว่างมาก จากนั้นจึงวิ่งไปคุยเล่นกับนักพรตวัยกลางคนคนหนึ่งในวัด

นักพรตวัยกลางคนตั้งโต๊ะดูดวงอยู่ตรงหน้าของเขา และยังมีตะกร้าผลไม้ใบหนึ่ง บนนั้นเขียนว่า ‘ซื่อเจียกั่ว (ผลศากยะ)’ เพราะผลไม้ชนิดนี้ดูแล้วเหมือนลายเส้นที่อยู่บนศีรษะของพระพุทธรูป

นักพรตเฒ่ารู้ว่าผลไม้ชนิดนี้มีชื่อเรียกอีกอย่างว่า ‘ฟานลี่จือ (น้อยหน่า)’ ถือว่าเป็นผลไม้เขตร้อน แต่บนภูเขาก็ยังหาเก็บกินได้ ถือว่าเป็นผลไม้ป่าที่ถูกปากคน

น้อยหน่าของแท้จริงๆ แล้วรสชาติดีมาก เนื้อหวานนุ่มลิ้น มีสีขาวขุ่น แต่นักพรตเฒ่ารู้ว่าน้อยหน่าที่อยู่ในตะกร้านี้ต้องเก็บมาจากในป่าแน่นอน สาเหตุจากสภาพภูมิอากาศและสภาพดินและน้ำ เป็นผลทำให้ผลไม้ในตะกร้านี้ไม่ค่อยอร่อยอย่างจริงแท้แน่นอน

“อยากกินไหม” นักพรตวัยกลางคนถามนักพรตเฒ่า

“แพงไหม” นักพรตเฒ่าถาม

“พอได้” จริงๆ ก็ระบุราคาอยู่แล้ว และราคาแพงนิดหน่อย

“หวานไหม” นักพรตเฒ่าถาม

“ไม่เก็บเงินถ้าไม่หวาน” นักพรตวัยกลางคนหัวเราะตอบเหอะๆๆ

“ได้ ถ้าอย่างนั้นข้าขอซื้อแบบไม่หวานหนึ่งกิโลกรัม”

“…” นักพรตวัยกลางคน

ยังดีที่เวลานี้มีผู้ที่มากราบไหว้ขอพรถือใบเซียมซีเข้ามา กระบอกเซียมซีที่วางอยู่หน้าวัด บนนั้นเขียนว่าทำนายเซียมซีหนึ่งหยวน ด้วยเหตุนี้ ผู้ที่เขย่าเซียมซีจึงมีไม่น้อย เพราะรู้สึกว่าราคาถูก ไม่เขย่าก็เสียของเปล่าน่ะสิ

นักพรตวัยกลางคนพูดคำกำกวมมากมาย และแน่นอนว่ามีคำอวยพรก็ต้องมีคำเตือนอยู่ในนั้น ไม่ว่าอย่างไรทำให้คนที่ได้ฟังแล้วรู้สึกเช่นนั้น หลังจากทำนายเซียมซีเสร็จ นักพรตวัยกลางคนได้หยิบสมุดสีแดงเล่มหนึ่งออกมา และท่องว่าขอเทียนจวินอำนวยพร ก่อนจะกล่าวว่า “กี่มากน้อยเป็นความศรัทธา ไม่เกี่ยวกับจำนวนเงิน”

ถึงแม้จะเป็นเงินค่าครูเล็กๆ น้อยๆ แต่ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ควรได้รับ ผู้ที่มาเซ่นไหว้ขอพรยิ้มเล็กน้อยพร้อมกับหยิบสมุดมา จากนั้นต้องตกตะลึง บนนั้นมีชื่อเรียงกันเป็นตับ ด้านหลังคือจำนวนเงินบริจาค เมื่อกวาดตามองลงมาก็ไม่เห็นเงินที่น้อยกว่าหนึ่งร้อยหยวนเลย! กระทั่งยังมีอีกมากที่บริจาคด้วยหลักพันถึงหลักหมื่น!

ผู้มาเซ่นไหว้ขอพรลังเลอยู่บ้าง แต่ก็รู้สึกเกรงใจถ้าให้น้อยไป จึงได้แต่หยิบเงินหนึ่งร้อยหยวนใบหนึ่งซึ่งเป็นค่าบริการขั้นต่ำ แล้วเขียนชื่อของตัวเองลงไป

นักพรตวัยกลางคนรับเงินแล้วจึงเก็บสมุดกลับมา นักพรตเฒ่ายืนมองเหตุการณ์ทั้งหมดอยู่ข้างๆ วิธีหลอกลวงเช่นนี้ถือว่าไม่เลวจริงๆ เสียดายที่เขาเล่นบทที่เหลือไปหมดแล้ว จึงได้แต่มองเป็นเรื่องตลกขบขันเท่านั้น นักพรตเฒ่าเลยไม่พูดอะไร เมื่อเห็นพวกโกวซินเดินออกมาแล้ว ตัวเองจึงเดินออกไปเพื่อไปหาพวกเขา

รอให้พวกโกวซินทั้งสามคนเดินออกจากวิหารเพื่อไปดูหลักศิลาจารึก หนูตัวอ้วนพีทั้งสามตัวที่อยู่บนคานไม้แต่เดิมได้กระโดดลอดลงมา และเริ่มแทะกินลูกอมเหล่านั้น พวกมันกินเร็วมาก ฟันของหนูตัวใหญ่มีความแหลมคมมากกว่าหนูทั่วไปเยอะมาก หลังจากกินเสร็จแล้ว พวกมันจึงร้อง ‘จี๊ดๆๆ’ วิ่งไปข้างบน

พวกโกวซินทั้งสามคนเดินออกไปดูหลักศิลาจารึกด้านนอก เสี่ยวไป๋ยืนอยู่ด้านหลังโกวซิน เสี่ยวเฮยกลับทอดมองนักพรตเฒ่าที่ยังอยู่ในวิหาร

“ไม่ต้องเป็นห่วง เขาเป็นคน” โกวซินยื่นมือห้ามเสี่ยวเฮยพูด เขามีความมั่นใจอย่างเห็นได้ชัด สองสามปีที่ผ่านมาเขาราบรื่นมาตลอด ไม่ว่าเจอเรื่องอะไร ไม่ว่าเจอคนแบบไหน เขามักสะดวกราบรื่นไปทุกทาง!

เสี่ยวเฮยพยักหน้า ไม่คิดจะพูดอะไร ทั้งสามคนหลังจากเดินชมวัดแล้วจึงเตรียมตัวกลับ โกวซินส่งสัญญาณเป็นนัยบอกเสี่ยวไป๋ให้เรียกไกด์นำเที่ยวที่ถูกส่งมาจากร้านหนังสือ

นักพรตเฒ่าที่ออกมาก่อนหน้านั้นเห็นพวกเขากำลังชมหลักศิลาจารึก จึงปลีกตัวไปเข้าห้องน้ำ ตอนที่ปัสสาวะนั้น เขาไม่ระวังทำยันต์กระดาษที่ซ่อนอยู่ในเป้ากางเกงร่วงลงมา มันไม่ได้ร่วงลงไปในปัสสาวะ แต่ร่วงบนพื้น ทว่าโถปัสสาวะมีแต่น้ำอยู่ทุกที่ ยันต์กระดาษจึงเปียกชื้นไปครึ่งหนึ่ง หากจะยัดกลับเข้าไปในเป้ากางเกงของตัวเองคงเป็นไปไม่ได้ นักพรตเฒ่าถึงแม้จะไม่รักสะอาดเท่าเถ้าแก่ของตัวเอง แต่ก็ไม่ถึงขั้นสกปรกมาก

เขาจึงได้แต่ส่ายหน้าถอนหายใจหนึ่งที เก็บยันต์กระดาษขึ้นมา หลังจากเดินออกจากห้องน้ำ เขาจึงโยนทิ้งบนพื้นไม่ว่าอย่างไรไม่ควรทิ้งยันต์กระดาษไว้ในห้องน้ำ วันนี้ลมพัดแรงมาก ยันต์กระดาษถูกลมพัดออกไปโดยตรง

พวกโกวซินทั้งสามคนรออยู่หน้าประตูวิหาร ในเมื่อโจวเจ๋อจัดการแบบนี้ โกวซินจึงยินดีให้นักพรตเฒ่าพาตัวเองเดินเที่ยว หลังจากรอนักพรตเฒ่าเดินมาหา ทั้งสองคนจึงเริ่มปรึกษากันว่าจะไปเที่ยวที่ไหนต่อ

และเวลานี้ทุกคนที่อยู่ในนี้กลับไม่รู้สึกตัวว่า ด้านบนของรูปปั้นเทพเจ้าประจำเมือง มีใบหน้าของผู้หญิงคนหนึ่งกำลังลอยขึ้นมาอย่างช้าๆ ด้านล่างของใบหน้าผู้หญิง เหมือนจะมีใบหน้าที่หมองคล้ำยิ่งกว่ากำลังต่อต้าน แต่กลับไม่สามารถหลุดพ้นจากพันธนาการของผู้หญิงคนนี้

“ทิ้งศาลของตัวเอง แล้วมาแย่งข้า!” เสียงผู้ชายดังมาจากรูปปั้นเทพเจ้า แต่ผู้คนที่มากราบไหว้ขอพรที่อยู่ด้านล่างกลับไม่รู้สึกตัว เวลานี้เสี่ยวเฮยกับเสี่ยวไป๋ที่ยืนอยู่นอกวิหารกลับเงยหน้ามองเข้าไปด้านใน

“เป็นอะไร” โกวซินถาม

“ดูเหมือนจะมีอะไรผิดปกติ” เสี่ยวไป๋ตอบ

“ไม่มีอะไร เป็นเรื่องปกติ ตอนที่นรกคิดบัญชีปีนั้นถึงแม้จะปราบเทพเจ้าประจำเมืองได้ส่วนใหญ่ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็มีคนหลุดรอดไปได้ เพราะทุกคนต่างลำบากเหมือนกัน”

พูดจบ โกวซินจึงหันไปไหว้วิหารอีกครั้ง เสี่ยวเฮยกับเสี่ยวไป๋จึงไหว้ตามเช่นกัน มีความคล้ายจักรพรรดิเฉียนหลงที่เคยตั้งป้ายสุสานให้แก่วีรบุรุษที่เคยต่อต้านราชวงศ์ชิงในปีนั้น ถึงแม้ตอนนี้ทุกคจะทำงานกินเงินเดือนของยมโลก แต่ในใจกลับยังเคารพเหล่าวีรบุรุษผู้กล้าที่ร่วมกันต่อต้านผู้ที่ร่วมกันกระทำความชั่ว ซึ่งอยู่ภายใต้อิทธิพลอันยิ่งใหญ่ในตอนนั้น

เวลานี้รูปปั้นเทพเจ้าที่อยู่ในวัดมีเสียงของผู้หญิงดังออกมา “ตัววัดของเจ้าหรือ เจ้าจงเบิกตาของเจ้าและดูให้ละเอียด ในยมโลก ยังมีป้ายบ่งบอกฐานะของเจ้าอยู่ไหม อย่างมากก็เป็นแค่หนูตัวใหญ่ทวนกระแสในปีนั้น ยิ่งคนอื่นแสดงความกล้าหาญ ก็ยิ่งแสดงให้เห็นความความขี้ขลาดของเจ้า และจะเก็บควันธูปควันเทียนเอาไว้ทำอะไร สู้ให้ข้าเสียยังดีกว่า!” ผู้หญิงที่กำลังยื้อแย่งแท้จริงแล้วอยู่ในจุดที่เหนือกว่า แต่ถ้าอยากจะหลอมละลายเทพเจ้าประจำเมืองกลับไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างเด็ดขาด

และเวลานี้ หนูตัวอ้วนทั้งสามตัวดูเหมือนจะกินอิ่มแล้ว จึงเริ่มเคลื่อนไหวขึ้นมา มีสองตัวในนั้นกัดคานไม้ ไม่น่าเชื่อว่าพวกมันจะกัดเชือกที่อยู่ด้านบนจนขาด แผ่นป้ายมากมายที่เดิมทีแขวนไว้ด้านบนร่วงหล่นลงบนรูปปั้นเทพเจ้าประจำเมืองทันที

ชั่วเวลาเดียว เหมือนมีใบหน้าคนสองคนถูกกดทับเอาไว้ ไม่ปรากฏตัวขึ้นมาอีก หายนะครั้งนี้เหมือนถูกขจัดไปอย่างไร้รูปในเวลานี้

“พวกเราไปกันเถอะ ไปเที่ยวอีกที่หนึ่ง” หลังจากกราบไหว้บูชาเสร็จแล้ว โกวซินจึงพูดกับนักพรตเฒ่า

“ได้เลย รถอยู่ข้างนอก พวกเราเดินไปกันเถอะ” นักพรตเฒ่าก็พยักหน้า วัดเฉิงหวงเมี่ยวใหญ่เท่านี้ พวกเขาสามคนเดินเล่นอยู่นานถือว่าเกินความคาดหมายของนักพรตเฒ่าจริงๆ

แต่ในเวลานี้ นักพรตวัยกลางคนคนนั้นเดินหาวออกมา บิดขี้เกียจ บิดตัวไปมา แผ่นป้ายที่ร่วงลงมา เขามองเห็นแล้ว และคิดว่าวันพรุ่งนี้เช้าจะเรียกให้คนเอาขึ้นไปแขวนใหม่ แต่ตอนที่เขาโน้มตัวกลับมองเห็นยันต์กระดาษใบหนึ่ง

“เหอะๆ” นักพรตวัยกลางคนเก็บยันต์กระดาษขึ้นมา เดิมทีเขายึดหลักอย่าสิ้นเปลือง จึงนำไปใส่ในกระถางธูปที่อยู่ตรงหน้ารูปปั้นเทพเจ้าประจำเมืองเพื่อให้ยันต์กระดาษเผาไหม้ด้วยตัวมันเอง

ยันต์กระดาษได้ลุกไหม้ขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ตอนที่นักพรตวัยกลางคนกำลังจะกลับไปนั่งที่ เขากลับตกตะลึงนิ่งอึ้งไปทั้งตัว เพราะแผ่นป้ายที่ร่วงลงมาจากด้านบนคลุมรูปปั้นเทพเจ้าประจำเมืองนั้น จู่ๆ กลับลุกไหม้ขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ

“โอ้แม่เจ้า ไฟไหม้แล้ว ไฟไหม้ รีบหยิบถังดับเพลิงเร็ว ไปเอาถังดับเพลิงมา!” นักพรตวัยกลางคนตะโกนเสียงดัง

ส่วนรูปปั้นเทพเจ้าประจำเมืองที่นั่งอยู่ตรงนั้นไม่ขยับตัวมานานไม่รู้กี่ปี พลันลืมตาขึ้นในทันใด!

………………………………………………………………………..

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด