ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล 597 ผู้ริเริ่มความเสี่ยง!

Now you are reading ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล Chapter 597 ผู้ริเริ่มความเสี่ยง! at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 597 ผู้ริเริ่มความเสี่ยง!

เทพเจ้าประจำเมืองลืมตาขึ้น ทันใดนั้น กำแพงอากาศไร้รูปได้ปกคลุมไปทั่ววัดเฉิงหวงเมี่ยว ในช่วงที่รุ่งเรืองสูงสุด วัดเฉิงหวงเมี่ยวแห่งเดียวสามารถคุ้มครองได้ทั้งเมือง กระทั่งยังหน้ามีหน้าที่บังลมบังฝน เป็นเจ้าครองนครที่ไม่ต้องอยู่ในการจัดเรียงลำดับของยมโลก

เวลานี้ถึงแม้เวลาจะล่วงผ่านเลยไป ไม่เฟื่องฟูเหมือนก่อน แต่การออกโรงปกคลุมวัดของตัวเองกลับไม่ใช่ปัญหาอะไร

เหล่าผู้คนที่มากราบไหว้ขอพรในวัดเฉิงหวงเมี่ยวรู้สึกสะลึมสะลือขึ้นมาในทันใด เหมือนกำลังสัปหงก หลายคนเคยมีประสบการณ์เช่นนี้ในชีวิตประจำวัน ที่ตัวเองนั่งสัปหงกโดยไม่รู้ตัว แต่เวลากลับผ่านไปไวมาก

แน่นอนว่า ส่วนใหญ่เป็นเพราะตัวเองสัปหงกจริง แต่มีส่วนน้อยที่มีสถานการณ์คล้ายกับผู้คนที่มากราบไหว้ขอพรในวัดเฉิงหวงเมี่ยว ซึ่งอยู่ในสถานะผู้ถูกกระทำ

หลังจากเรื่องนี้ผ่านไป ผู้ที่มากราบไหว้ขอพรส่วนใหญ่จะไม่รู้ตัว แต่มีบางคนที่ความรู้สึกไว อาจจะรู้สึกว่าเมื่อครู่ตัวเองเหม่อนานไปหน่อย แต่ก็ไม่ได้สงสัยอย่างอื่น

นักพรตเฒ่ากับโกวซินและคนอื่นเดินมาถึงหน้าประตู แล้วจึงมองเห็นลายเส้นสีเหลืองเส้นหนึ่งปรากฏอยู่บนธรณีประตู เพียงหนึ่งเส้นตัดขาดจากทุกสิ่ง ถ้าหากฝืนบุกรุกเข้ามา ก็จะเป็นฝ่ายเข้ามาหาเรื่องกับเจ้าของบ้าน

เสี่ยวเฮยเดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าว เตรียมจะทำลายการควบคุมโดยตรง ไม่ว่าข้างในจะเกิดอะไรขึ้น ก็ต้องให้ตัวเองและคนอื่นออกไปก่อนถึงจะเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุด

แต่โกวซินกลับยื่นมือจับไหล่ของเสี่ยวเฮยไว้ เพื่อบอกเป็นนัยให้เขาอย่าทำแบบนี้ เดิมทีมาทงเฉิงเป็นแค่ทางผ่านเท่านั้น และก่อนหน้านั้นที่ไปร้านหนังสือ ก็แค่ไปดูจริงๆ จนกระทั่งได้พบกับเถ้าแก่ร้านหนังสือคนนั้น เขาถึงได้เกิดความคิด ‘ชอบคนเก่งมีความสามารถ’

แต่ตลอดการเดินทางในทงเฉิง ถือว่าคลื่นลมสงบมากเกินไป เดิมทีเขาเป็นคนอยู่นิ่งไม่ได้ เวลานี้ได้เห็นความคึกคักน่าตื่นตาตื่นใจ ดังนั้นจึงมีความสุขอย่างมาก

หลายคนกลัวที่จะดูความคึกคักสนุกสนาน เพราะกลัวว่าตัวเองจะพลอยซวยไปด้วย ซึ่งเหมือนกับตอนที่เถ้าแก่โจวอยู่ที่วังในนรกช่วงก่อนหน้านี้ ไม่รู้ว่ามียมทูตกี่คนถูกบังคับให้อยู่ในวังเพื่อดูความคึกคักผลปรากฏว่าถูกระเบิดตายเป็นเบือ

แต่โกวซินไม่เหมือนกัน ตอนที่เขาดูความคึกคัก โดยทั่วไปจะไม่เจอหายนะไปด้วย และมักจะได้ของดีกลับมาเป็นประจำ เจอคุณตาที่บาดเจ็บหนัก เจอแหวนที่ร่วงหลังจากพวกเขาชกต่อยกัน เป็นคนมีบุญ จึงมีความมั่นใจที่แตกต่างออกไป

โกวซินนั่งอยู่บนบันได เสี่ยวเฮยกับเสี่ยวไป๋ที่อยู่ด้านหลังก็นั่งตาม พวกเขาเชื่อใจผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าคนนี้ไม่อย่างนั้นคงไม่ติดตามเขามาตลอด

ด้วยความสามารถของพวกเขา หากเทียบเคียงกับผู้ตรวจสอบตัวจริงอาจจะไม่ถึงขั้นนั้น แต่เมื่อเทียบกับผู้จับกุมทั่วไปถือว่าแข็งแกร่งกว่าเยอะมาก สาเหตุที่พวกเขายินดีติดตามโกวซิน ก็เป็นเพราะโกวซินใช้แต่ละเรื่องเพื่อพิสูจน์ว่าเขาเป็นโอรสสวรรค์ที่ถูกเลือกอย่างแท้จริง หากอยู่กับเขาก็จะสบายมีเนื้อให้กิน ดังนั้นจึงยอมติดตามอย่างไม่คิดถึงแก่ชีวิต พอได้กินเนื้อนานวันเข้าย่อมกลายเป็นสุนัขเป็นธรรมดา

นักพรตเฒ่ารู้สึกลนลานอยู่บ้าง แต่เวลานี้เขาเป็นตัวแทนที่เป็นหน้าตาของร้านหนังสือ ดังนั้นจะเสียท่าไม่ได้ โดยเฉพาะนักพรตเฒ่ารู้อยู่แก่ใจดี หากเกิดความยุ่งเหยิงในเวลานี้ ด้วยความสามารถของเขา อย่าว่าแต่กำราบให้สงบเลย แม้แต่เอาตัวรอดก็ยังยาก สู้อยู่ข้างๆ โกวซินและคนพวกนี้จะดีกว่า ต่อให้ฟ้าถล่มลงมาก็ยังมีคนที่สูงกว่าคอยค้ำยันให้ไม่ใช่เหรอ เมื่อคิดได้ดังนี้ นักพรตเฒ่าจึงนั่งลงข้างโกวซิน

ภายในตัววิหาร ถูกกดอัดไปด้วยการเคลื่อนไหวของพลังอย่างชัดเจน เงาร่างสีเหลืองปรากฏตัวอยู่ตรงหน้ารูปปั้นเทพเจ้า ท่านเหมือนกำลังสืบค้นและเหมือนกำลังค้นหาเงาร่างของผู้หญิงที่ชอบใส่ชุดสีขาวคนนั้น ที่คอยจู่โจมและก่อกวนท่านไม่หยุดตลอดครึ่งปีที่ผ่านมา แต่กลับกลืนกินตัวท่านไปได้มากกว่าเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์แล้ว ท่านต้านทานอย่างยากลำบาก แต่สุดท้ายกลับยากที่จะควบคุม

ครั้งนี้ประจวบเหมาะโดยบังเอิญ ในที่สุดตัวเองก็ได้ฐานะ ‘เจ้าบ้าน’ ดังนั้นจึงไม่ยอมพลาดเด็ดขาด และอยากอาศัยจังหวะนี้จัดการผู้หญิงชุดขาวคนนั้นให้สิ้นซาก!

เมื่อนานมาแล้ว คนในสายของเทพเจ้าประจำเมืองต่างรำลึกถึงไท่ซานฝู่จวิน ไม่ยอมอยู่ในอาณัติของยมโลก เป็นผลทำให้ทั้งสองฝ่ายต้องแตกหัก และภายใต้การปราบปรามของยมโลก สายของเทพเจ้าประจำเมืองแทบจะพังทลาย แต่ท่านกลับใช้ชีวิตอย่างระมัดระวังมาตลอด แม้แต่ตอนนั้นก็ไม่ได้ออกหน้าออกตา

ซึ่งเหมือนกับหลักการที่ว่าไม่ว่าที่ใดล้วนมีคนจนและคนรวย ในแวดวงหนึ่ง เมื่อมีบรรดาบุรุษทั้งหลายที่กร้าวแกร่งอยู่ในแนวหน้า ก็ย่อมมีคนที่รักตัวกลัวตายอย่างแน่นอน

ยังดีที่หลังจากยมโลกจัดการสายของเทพเจ้าประจำเมืองแล้วไม่ได้เข่นฆ่าให้หมดสิ้น ทำเพียงลบตำแหน่งของเทพเจ้าประจำเมืองออกจากระบบของยมโลกท่านั้น แล้วทั้งสองฝ่ายก็เข้าสู่โหมดวันเวลาที่สงบสุข

เทพเจ้าประจำเมืองที่ยังหลงเหลืออยู่ ขอแค่ไม่โผล่หน้า ไม่กระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจจนเกินไป โดยทั่วไปแล้วจะไม่มีปัญหา

“แม่นางไป๋ ตอนนี้ ทำไมเจ้าไม่กล้าออกมา ออกมาสิ เจ้าออกมาเดี๋ยวนี้! แม่นางไป๋ นังตัวดี!” ท่านหาไปเรื่อยๆ มองหาอยู่นาน แต่ในท้ายที่สุดก็หาไม่เจอ

เทพเจ้าประจำเมืองรู้ดีว่า ผู้หญิงคนนั้นยังอยู่ในร่างของตัวเอง! ยามที่ท่านอยู่ในสถานการณ์ที่เหนือกว่า ผู้หญิงคนนั้นเลือกที่จะซ่อนตัว หลอมรวมอยู่ในภายร่างของท่านอย่างสมบูรณ์ เพื่อให้ท่านไม่สามารถใช้คาถาได้อย่างสิ้นเชิง!

เว้นเสียแต่ว่าท่านจะยอมฆ่าตัวตายเอง! แต่ถ้าหากท่านยอมฆ่าตัวตาย เหตุใดต้องทนอยู่จนถึงป่านนี้ ชั่วเวลาเดียว เทพเจ้าประจำเมืองโกรธจัด ท่านรู้อย่างลึกซึ้งว่าถ้าหากพลาดโอกาสในวันนี้ สิ่งที่กำลังรอตัวเองอยู่คือจุดจบที่จะถูกผู้หญิงชั่วคนนั้นกลืนกินอย่างสมบูรณ์

ท่านเงยหน้า ทันใดนั้นกลิ่นอายอันน่าสะพรึงกลัวได้โผล่ออกมาตรงกลางระหว่างคิ้ว แล้วจึงหายแวบมาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าประตูใหญ่ 艾琳小說

เวลานี้คนที่สามารถมองทุกอย่างในวัดเฉิงหวงเมี่ยวได้อย่างชัดเจนกำลังนั่งอยู่บนบันไดหน้าประตู เสี่ยวเฮยกับเสี่ยวไป๋ลุกขึ้นทันที ยืนอยู่ตรงหน้าโกวซิน สองมือประสานท่ามุทรา

“กากเดนของยมโลก!” ในน้ำเสียงของเทพเจ้าประจำเมืองแฝงไปด้วยความแค้นใจสุดขีด! เมื่อย้อนนึกถึงตอนนั้น สายของเทพเจ้าประจำเมืองเจริญรุ่งเรืองแค่ไหน ถ้าหากไม่ใช่เพราะการปรากฏขึ้นของยมโลก ตอนนี้ท่านจะตกต่ำถึงขั้นนี้ไหม

มนุษย์เรามักจะเป็นเช่นนี้ และไม่ว่าสิ่งใดเมื่อได้แปดเปื้อนความเป็นมนุษย์ ก็จะกลายเป็นแบบนี้อย่างช้าๆ ถ้าหากเวลานี้ผู้พิพากษาหรือบุคคลอื่นของยมโลกนั่งอยู่ตรงนี้ เขาอาจจะไม่กล้าปรากฏตัว ถ้าหากออกมา มีความเป็นไปได้สูงที่จะคุกเข่าบนพื้น พร้อมกับส่ายหางไปมาอย่างน่าสงสาร

แต่เวลานี้ในเมื่อต้องเผชิญหน้ากับยมทูตของยมโลก ซึ่งเป็นตัวตนระดับต่ำที่สุด ดังนั้นจึงเป็น ‘ศัตรูของประเทศและครอบครัว’ แน่นอน สามารถเอามาพูดว่ากล่าวได้

เสี่ยวเฮยกับเสี่ยวไป๋มีสีหน้าตึงเครียด นักพรตเฒ่ายิ่งตกใจซุกตัวไปข้างๆ โกวซิน พลางคิดในใจว่าเกิดเรื่องแบบนี้เถ้าแก่จะสามารถรับรู้และรีบมาได้ทันหรือไม่ แต่ถึงแม้เถ้าแก่จะรู้ อยากจะรีบมาก็ไม่ใช่เรื่องที่จะทำได้โดยใช้เวลาแค่แป๊บเดียว เขาจึงได้แต่อาศัยพ่อหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าให้สู้ไปก่อน

โกวซินกลับทำสีหน้านิ่งเฉย เหมือนไม่เห็นอันตรายที่อยู่ตรงหน้าอยู่ในสายตาเลยด้วยซ้ำ นักพรตเฒ่าจึงสบายใจอดไม่ได้ที่จะยื่นมือลูบหน้าอกของตัวเองแล้วเอ่ยว่า “สู้ไหวเหรอ”

“สู้ไม่ไหว”

“เอ่อ น้องชาย อย่างนั้นเจ้ามีวิธีไหม”

โกวซินส่ายหน้า และกล่าวอย่างจริงใจว่า “ไม่มีวิธี”

“เอ่อ…”

โกวซินหัวเราะ เอ่ยว่า “ไม่เป็นไร เดี๋ยววิธีก็เข้ามาหาเอง” โกวซินหัวเราะเหอะๆ ต่อไป แต่เวลานี้เทพเจ้าประจำเมืองที่กำลังโมโหอยู่ตรงหน้ากลับมีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที และเงาร่างที่เดิมทีเป็นสีเหลืองสว่างก็สั่นไปทั้งตัว มีป้ายไม้โบราณชิ้นหนึ่งลอยออกไปจากกระเป๋าของโกวซิน ลอยไปอยู่ตรงหน้าเงาร่างสีเหลือง

ไฟโกรธของเทพเจ้าประจำเมืองเริ่มหายไป กระทั่งถอนหายใจยาวอย่างโล่งอก ก่อนจะเอ่ยพร้อมกับใบหน้าที่แสดงความเมตตาออกมา “บรรพบุรุษของเจ้า บูชาเทพเจ้าประจำเมืองหรือ”

การกราบไหว้บูชาเทพเจ้าประจำเมือง มักจะมีชื่อเรียกต่างกันในแต่ละพื้นที่ ในวัดเฉิงหวงเมี่ยวแต่ละแห่งจะมีคนที่คอยสักการะบูชาเทพเจ้าประจำเมืองอยู่ คล้ายกับคนดูแลเรื่องธูปเทียนในศาลเล็กน้อย จึงนับว่าครอบครัวที่บูชาเทพเจ้าประจำเมืองเป็นคนกันเอง หากจะยกตัวอย่างที่ไม่ค่อยเหมาะสม จะคล้ายกับบ่าวรับใช้ในสมัยราชวงศ์ชิงแบบนั้น

เมื่อคอยปรนนิบัติรับใช้มานานด้วยความจริงใจ เนื้อตัวกระทั่งสิ่งที่อยู่บนร่างกาย จึงเปื้อนไปด้วยกลิ่นอายที่มีความพิเศษเฉพาะตัวเป็นธรรมดา และเทพเจ้าประจำเมืองสามารถรับรู้ได้จากป้ายไม้ชิ้นนี้ว่า มีกลิ่นอายที่หลงเหลือจากการกราบไหว้บูชาเทพเจ้าประจำเมืองมาถึงสามชั่วอายุคนเป็นอย่างน้อย! ดังนั้นจึงถือว่าเป็นคนกันเองอย่างแท้จริง

โกวซินจึงเผยสีหน้าเศร้าออกมา ลุกขึ้นและคำนับเทพเจ้าประจำเมือง พลางเอ่ยว่า “ใช่แล้วครับ”

เทพเจ้าประจำเมืองเผยสีหน้ารักและเมตตาบนใบหน้า ก่อนหน้านั้น พวกโกวซินสามคนกราบไหว้ตัวเองอยู่ท่านก็มองเห็น แต่คิดว่าเป็นการเสแสร้ง แท้จริงแล้วคือยังคงไม่ลืมเจ้านายเก่า เฮ้อ ชั่วเวลาเดียว ในสายตาของเทพเจ้าประจำเมือง โกวซินก็คือต้นแบบของตัวอยู่ที่ค่ายของเฉาเชาแต่ใจอยู่ที่ดินแดนฮั่นอย่างแท้จริง

เสียดายที่ครั้งนี้ตัวเองพลาดโอกาสไม่สามารถกำจัดแม่นางไป๋ให้สิ้นซาก และเวลาของตัวเองก็เหลือไม่มากแล้วเมื่อคิดว่าตัวเองต่อสู้ตัวสั่นเหมือนเหยียบอยู่บนแผ่นน้ำแข็งบางจนมีชีวิตรอดมาถึงตอนนี้ แต่กลับต้องตกต่ำมีจุดจบเช่นนี้ เทพเจ้าประจำเมืองจึงรู้สึกเสียใจอยู่บ้าง หากรู้ว่าจะเป็นแบบนี้ ตอนนั้นน่าจะร่วมกันต่อต้านยมโลกกับเพื่อนร่วมงานคนอื่นให้ตายตกไปพร้อมกัน ไม่ว่าอย่างไรแค่ทำให้ตัวเองสบายใจก็พอ

โกวซินมีสีหน้าสงบนิ่ง อันที่จริงป้ายไม้ชิ้นนี้ ตัวเขาได้มาตอนที่ไปเที่ยวภูเขาหิมะ เขาถูกไกด์ยัดเยียดให้ซื้อมัน แน่นอนว่าตอนนี้เขาห้ามพูดเรื่องพวกนี้เด็ดขาด คนมีบุญก็คือคนมีบุญ แต่ถ้าหากคุณสมองพิการ ต่อให้มีบุญดีแค่ไหนก็ไม่พอให้คุณตาย

เทพเจ้าประจำเมืองรู้สึกเศร้าและร้องไห้ในใจอยู่บ้าง ตอนที่เห็นโกวซินนั้น ท่านรู้สึกว่าเห็นแล้วถูกชะตา เมื่อเห็นว่าตัวเองใกล้จะไม่ไหวแล้ว ดังนั้นจึงเริ่มคิดถึงเรื่องต่อไปหลังจากนี้ มีของบางอย่างที่ต้องได้รับการสืบทอด ถ้าหากขาดหายไปอย่างสิ้นเชิง คงน่าเสียดายจริงๆ

เมื่อคิดเช่นนี้แล้ว สายตาของท่านจึงยิ่งเมตตาและอ่อนโยน โกวซินยังคงสงบนิ่งเหมือนเดิม เวลาที่ได้เจอเรื่องราวที่คล้ายกันมากขึ้น ก็จะเฉยชาไปเอง กระทั่งสามารถพูดได้ว่าชินชา

ไม่ว่าอย่างไร ต่อจากนี้ไปไม่มีอะไรมากไปกว่าการมอบสิ่งที่มีประโยชน์ให้ตัวเองรับสืบทอดมา โธ่เอ๊ยๆ เบื่อจริงๆ แต่ก็ต้องแสร้งทำเป็นตกใจรับมาด้วยความขอบคุณ น่าโมโหจริงๆ!

และเวลานี้ นักพรตเฒ่าที่อยู่ข้างๆ เห็นเงาร่างสีเหลืองอันน่าเกรงขามกับแขกของร้านหนังสือที่อยู่ข้างกายเขาทักทายกันอย่างสนิทสนม นักพรตเฒ่าจึงอิจฉาตาร้อน จะว่าไปแล้วเทพเจ้าประจำเมืองทงเฉิง ถ้าจะให้ของดี ก็ควรให้เถ้าแก่ของข้าถึงจะถูก! เถ้าแก่ของข้าเป็นยมทูตทงเฉิงตัวจริง ไม่ควรมอบผลประโยชน์ให้คนนอก! ดฮณ๊ฯดฯฌซ

ความคิดของนักพรตเฒ่าแสนจะเรียบง่ายและบริสุทธิ์ ในเมื่อเป็นพนักงานของเถ้าแก่โจว ดังนั้นก็ต้องเรียกหาผลประโยชน์เพื่อเถ้าแก่ของตัวเอง ทันใดนั้นเขาจึงหัวเราะเหอะๆ พร้อมกับไหว้เทพเจ้าประจำเมืองด้วยท่าทีประจบและเอ่ยว่า

“ท่านเทพเจ้าประจำเมือง เถ้าแก่ของข้านับถือท่านมาตลอดเหมือนกัน และมักจะพูดกับพวกเราเป็นประจำว่าทงเฉิงราบรื่นสงบสุขมาตลอด เป็นเพราะพระคุณของเทพเจ้าประจำเมืองแห่งวัดเฉิงหวงเมี่ยว และคอยสั่งสอนพวกเรามาตลอดว่าอย่าลืมบุญคุณ ต้องจดจำพระคุณที่ท่านคอยปกป้องคุ้มครอง อ้อใช้ เถ้าแก่ของข้าเป็นยมทูตของทงเฉิง”

เทพเจ้าประจำเมืองแทบจะไม่สนใจนักพรตเฒ่าเลยด้วยซ้ำ แค่ยมทูตทั่วไปคนหนึ่ง ท่านไม่อยากเก็บมาใส่ใจ

เฮ้อ นักพรตเฒ่าเห็นว่าเทพเจ้าประจำเมืองไม่รู้สึกอะไร เขาจึงร้อนใจทันที เขาจะไม่ยอมมอบผลประโยชน์ให้คนนอก ทำแบบนี้ได้อย่างไรกัน ยังดีที่นักพรตเฒ่าไม่มีความสามารถอะไรอย่างอื่น แต่ความสามารถด้านการเชื่อมมิตรนั้นถือว่าไม่เลว ขนาดสาวใหญ่ทั้งหลายเขาก็ยังเชื่อมสัมพันธ์ได้ อย่างไรเสียก็ต้องเชื่อมมิตรได้ไม่มากก็น้อย

นักพรตเฒ่าจึงเอ่ยทันทีว่า “เอ่อคือว่า ยมทูตท่านนี้เป็นเพื่อนสนิทที่เถ้าแก่ของพวกเราเพิ่งรู้จัก! เจอกันครั้งแรกก็รู้สึกสนิทเหมือนเป็นเพื่อนเก่า ดังนั้นถึงได้สั่งให้ข้าพาพวกเขามาที่วัดเฉิงหวงเมี่ยว พวกเขามีสุขร่วมเสพมีทุกข์ร่วมต้าน!”

ความหมายนอกเหนือจากนี้คือ เถ้าแก่ของข้ากับคนที่ท่านให้ความสำคัญคนนี้สนิทกันมาก ดังนั้นต้องแบ่งความโปรดปรานให้ทั่วถึงกัน

เทพเจ้าประจำเมืองยังคงไม่ไหวติงเหมือนเดิม ท่านกำลังพิจารณาว่าจะทิ้งสิ่งใดให้โกวซินถึงจะเหมาะสม ดังนั้นจึงมองข้ามคำพูดของนักพรตเฒ่าไปโดยตรง

นักพรตเฒ่าร้อนใจ กลอกตาไปมา และรีบพูดต่อทันที “อ้าว แม่นางไป๋ท่านรู้จักไหม เมื่อก่อนนางก็เคยอยู่ในศาลเจ้า ท่านน่าจะเคยเห็นนางใช่ไหม ตอนนี้ก็อยู่ที่ร้านของพวกเรา ความสัมพันธ์ระหว่างนางกับเถ้าแก่ของพวกเราก็เหมือนกับความสัมพันธ์ของท่านผู้นี้กับเจ้านายของพวกเรา ซี้กันมาก!”

เทพเจ้าประจำเมืองสีหน้าเปลี่ยนทันที แม้แต่โกวซินที่รอคอยของดีอย่างสงบใจอยู่ข้างๆ ยังตกตะลึง วินาทีต่อมาเทพเจ้าประจำเมืองโกรธอย่างแสนสาหัส กระจายกลิ่นอายของความโกรธออกมาอย่างกำเริบเสิบสานไม่เกรงใจใคร ดวงตาแดงก่ำคู่นั้นชี้นิ้วไปยังโกวซินที่ยืนอยู่ตรงหน้า เพราะวิธีการอธิบายของนักพรตเฒ่า เป็นผลทำให้ความคิดของเทพเจ้าประจำเมืองรับทราบไปอีกทางหนึ่ง ในสายตาของท่านโกวซินเป็นคนของแม่นางไป๋!

ความรู้สึกดีที่มีต่อโกวซินก่อนหน้านั้นมีมากเท่าไร ความเคียดแค้นใจในตอนนี้จึงมีมากเท่านั้น! เทพเจ้าประจำเมืองคำรามด้วยความโกรธโดยตรง “ดีๆๆ! ไอ้คนขายผลประโยชน์ของเจ้านายเพื่อความมั่งคั่งของตัวเอง! วันนี้ข้าจะสู้เต็มที่เพื่อทำลายเจ้า!”

“…” โกวซิน

“…” นักพรตเฒ่า

………………………………………………………………………..

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด