วิถีไลฟ์สตรีมของโอนิสาวสายอัดกระแทก 38

Now you are reading วิถีไลฟ์สตรีมของโอนิสาวสายอัดกระแทก Chapter 38 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

       “ร-ร-ร-ร-รินเนะตัวจริงอยู่ข้างหน้าผม…”

 

        ซาคุจังที่รีสตาร์ทสติของตัวเองได้อีกครั้งก็ได้หยิบสมุดโน๊ตของตัวเองออกมาด้วยท่าทางเหมือนคนน่าสงสัย

 

        “ข-ขอลายเซ็นด้วยครับ!”

 

       “อืม ได้อยู่แล้ว แต่ว่าโน๊ตนั่นออกจะดูเหงาๆไปหน่อยนะ”

 

       รินจังพูดออกมาพร้อมกับที่หยิบกระดาษสีสวยแผ่นเล็กจากกระเป๋าของเธอ และเซ็นลงไปอย่างเป็นธรรมชาติแล้วส่งมันให้กับซาคุจัง

       ถ้าจะให้พูดเหมือนอย่างที่รินจังจะพูด มันคือการเตรียมพร้อมของเหล่าคนดัง เธอจึงพกกระดาษสีติดตัวเอาไว้อยู่เสมอ

       แม้ว่าการปลอมตัวของรินจังจะดีแค่ไหนก็ตาม ก็มีบางครั้งที่มีคนจำเธอได้เหมือนอย่างในครั้งนี้

       การที่มอบแฟนเซอร์วิสให้ได้ในทันทีอย่างนี้เองก็เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของรินจังเช่นกัน

 

       “ฮุโอ้วววว…ข-ขอบคุณมากครับ!”

 

       “เก็บไว้เป็นความลับด้วยล่ะ ตกลงนะ?”

 

       ซาคุจังผู้ซึ่งกำลังเก็บแผ่นกระดาษสีที่เขียนเอาไว้ว่า[แด่ ซากุระคุง]ไว้ในกระเป๋าของตัวเองอย่างนอบน้อมก็ได้ส่งเสียง“อ๊ะ!”ออกมาดัง 

 

       “ขอโทษด้วยนะครับ ทั้งที่ผมกำลังทำงานอยู่แท้ๆ”

 

       “อ่า อืม จริงด้วยสิ”

 

       ดูเหมือนว่าเขาจะรู้ตัวแล้วสินะ

 

       “ผมใกล้จะเลิกงานแล้ว ถ้าทั้งสองคนไม่ว่าอะไร พวกเราจะคุยกันอีกสักหน่อยจะได้ไหมครับ…?”

 

       ซากุจังถามด้วยท่าทางสำนึก

       สำหรับฉันก็ไม่ได้อะไรหรอก ฉันเลยถามรินจัง

 

       “ฉันไม่ติดขัดอะไรนะ แล้วรินจังล่ะ?”

 

       “เขาเป็นเพื่อนของเธอใช่ไหมล่ะ? ไหนๆแล้วฉันเองก็อยากที่จะฟังเรื่องของนานะตอนทำงานเหมือนกันนะ”

 

       “เอ๋ น่าอายจะตายไป เอาเถอะ ถ้าอย่างนั้นแล้วซาคุจัง ไว้พวกเราไปเจอกันตอนสี่โมงเย็นที่คาเฟ่ชั้นสองดีไหม?”

 

       “ไม่มีปัญหาครับ! ขอบคุณมากครับ!”

 

       ซาคุจังก้มโค้งหัวลงก่อนจะกลับไปทำงาน

       พอมองไปยังรอบๆบริเวณที่ที่ทำงานอยู่ ดูเหมือนว่าเขาจะถูกเลือกหน้าที่ไว้ส่วนกลางเพื่อจัดการกับลูกค้าโดยเฉพาะ

       พึ่งจะผ่านมาไม่นานหลังจากที่ซาคุจังเลิกจากงานที่แล้วมา ฉันเลยคิดว่าเขาน่าจะยังไม่ได้รับอนุญาตให้อบขนมล่ะมั้ง

 

       และแบบนั้น พวกเราจึงแยกจากซาคุจังสำหรับในตอนนี้เพื่อที่จะไปเจอกันอีกครั้งในคราวหลัง

 

       ☆

 

       “อุ๊…เหนื่อยจัง….”

 

       ก่อนสี่โมงเย็นเล็กน้อย

       หลังจากเรื่องตอนก่อนหน้านั้น ฉันก็ถูกรินจังจับแต่งตัวเป็นตุ๊กตาที่ร้านขายเสื้อผ้า แล้วตอนนี้ฉันก็ฟุบสลบลงกับโต๊ะในคาเฟ่อยู่

       รินจังไปเข้าห้องน้ำเพื่อเติมเครื่องสำอาง

 

       “ท่านพี่นานะ ขออภัยที่ทำให้รอนานด้วยนะคะ”

 

       “อ๊ะ โทวกะจัง”

 

       ฉันเผลอปล่อยตัวให้ละลายไปกับโต๊ะแต่ด้วยการมาถึงของโทวกะจังทำให้ฉันลุกขึ้นนั่งดีๆอีกครั้ง

       เพราะโทวกะจังตัวสูง เธอจึงดึงดูสายตาจากรอบข้างอย่างมาก

       อาจจะเพราะความเคยชิน? เจ้าตัวเองก็ดูเหมือนจะไม่สนใจมันมากนัก

 

       “ท่านพี่รินไปไหนเหรอคะ?”

 

       “เธอไปเติมเครื่องสำอางน่ะ”

 

       “โอ๊ะ เข้าใจแล้วค่ะ ถ้าอย่างนั้นฉันก็ได้ท่านพี่นานะมาครอบครองตัวคนเดียวสักพักหนึ่งสินะคะ”

 

       หัวเราะคิกคักขณะที่พูดออกมา โทวกะจังก็นั่งลงที่ฝั่งตรงข้ามฉัน หันหน้ามาทางนี้

       เพราะคำนึงถึงโทวกะจังและซาคุจัง ฉันเลยเลือกโต๊ะสำหรับสี่คน

       เพราะว่าที่นั่งนี้เองก็ถูกออกแบบมากว้างขวางเพื่อเน้นความสะดวกสบาย ดูเหมือนว่าโทวกะจังเองก็นั่งลงได้อย่างง่ายดาย

 

        “ท่านพี่นานะ…ไม่สิ พี่นานะ ได้พูดออกมาแบบนี้ยิ่งทำให้รู้สึกได้เลย เทียบกับเมื่อก่อนแล้ว…เปลี่ยนไปมากจริงๆค่ะ”

 

        “งั้นเหรอ ก็นะผ่านมาตั้งหกปีแล้วนี่นา ฉันว่ายังไงก็ต้องมีการเปลี่ยนแปลงกันไปบ้างอยู่แล้วล่ะ”

 

        “หุหุ ตรงส่วนนั้นเองก็ไม่ได้เปลี่ยนไปเลยนะคะ แต่ว่าถ้าพี่นานะถามคนรู้จักในสมัยก่อน ทุกคนจะต้องพูดเหมือนกันแน่ๆเลยค่ะ”

 

        “ฉันว่าไม่เป็นอย่างนั้นหรอกน่า”

 

       โทวกะจังพูดออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน เหมือนว่าจะไม่ได้หมายความไม่ดีอะไร

       แต่ว่าจากคำพูดเหล่านั้นของเธอฉันรู้สึกปวดหัวหน่อยๆ

 

       อันที่จริงแล้วตั้งแต่ทีพ่อแม่ของฉันเสียไป โดยเฉพาะในปีที่เกิดเหตุขึ้น ความทรงจำของฉันไม่ค่อยชัดเจนเลยล่ะ

       แม้แต่ในตอนที่ฉันเจรจากับน้าของฉันเรื่องที่จะย้ายออกไปอยู่ตัวคนเดียว ในตอนนั้นฉันจำได้แค่ว่าฉันทำงานใช้แรงงานเพื่อที่จะเอาตัวรอด

       เป็นเพราะความรู้สึกของการสูญเสียคนสำคัญไปหรือเปล่านะ? หรือเป็นเพราะตอนนั้นฉันดิ้นรนเพื่อที่จะเอาชีวิตรอดกัน?

       ฉันรู้สึกเหมือนกับว่าฉันได้ใช้ชีวิตราวกับคนตาย ถึงขั้นที่ฉันแทบจะไม่ได้ติดต่อกับรินจังเลย

        แล้วก็ ฉันยังรู้สึกเหมือนว่ามีใครอีกสักคน แต่ฉันจำอะไรไม่ค่อยได้เลย…

 

       “อาร่า โทวกะจังมาถึงแล้วเหรอ”

 

       “พี่ริน ชิ เวลาที่ได้ครอบครองพี่นานะคนเดียวจะสั้นเกินไปแล้ว”

 

       “ไม่ไหวเลยนะ อย่าพูดอะไรออกมาโดยไม่คิดก่อนสิ …นานะ เป็นอะไรหรือเปล่า?”

 

       “…เอ๋? อ๊ะ ไม่ล่ะๆ ไม่มีอะไรหรอกนะ”

 

       เหมือนว่าฉันจะเหม่อไปหน่อย กว่าฉันจะรู้ตัวอีกทีรินจังก็กลับมาแล้ว

       รินจังนั่งลงข้างๆฉันแล้วหยิบเปิดเมนูของร้านออกมา

 

       “ที่นี่มีคาปูชิโน่ด้วยนะ”

 

       “ฉันขอเป็นชานมค่ะ”

 

       “โทวกะ ยังดื่มกาแฟไม่เป็นอยู่อีกเหรอ? เด็กน้อยจริงๆเลยนะ”

 

       “ก็ฉันไม่ชอบอะไรที่มันขมนี่คะ อะไรที่ไม่ชอบก็ไม่ชอบอยู่ดีล่ะนะคะ~”

 

       รินจังแกล้งแหย่โทวกะจังพร้อมกับรอยยิ้ม โดยที่โทวกะจังเองก็หันหน้าหนีพร้อมทำหน้าบุ้ย

       พอได้เห็นทั้งสองสนิทกันก็ทำให้รู้สึกผ่อนคลายขึ้นมา ก่อนที่ฉันจะรู้ตัว อาการปวดหัวเองก็บรรเทาลงแล้ว

 

       “ขอโทษที่มาช้าครับ!”

 

       “มาตามเวลาพอดีเพราะงั้นอย่าคิดมากไปเลยนะ”

 

       “ครับผม! อ๊ะขอโทษด้วยนะครับ ผมขอนั่งลงข้างๆนะครับ”

 

       “เชิญค่ะ”

 

       ซาคุจังที่ดูเร่งรีบแต่ก็ไม่ได้วุ่นวายเข้ามายังคาเฟ่และก้มหัวโค้งลงอีกครั้งก่อนจะนั่งลงข้างโทวกะ

 

       “อ๊ะ ผมชื่อซาโต้ ซากุระครับ ที่มาอยู่ที่นี่ได้ก็เพราะความกรุณาของทั้งสอง…”

 

       “ฉันชื่อทาคาโจว โทวกะ ฉันเองก็ถูกเชิญมาเหมือนกัน เพราะอย่างนั้นไม่ต้องทำตัวเป็นทางการไปหรอกนะ”

 

       “ไม่ครับ ก็คือ คุณอาวุโสกว่า…”

 

       “อ่า ซาคุจังเริ่มเขินแล้วๆ”

 

       “อุ…ไม่นะ ครับ ผมเองก็เป็นผู้ชายนี่ครับ…”

 

       ฉันแค่กะจะแกล้งแหย่ซาคุจังนิดเดียวแต่ซาคุจังกลับเกร็งตัวขึ้นมา

       ฟุมุ พอมาคิดดูแล้ว ในงานพาร์ทไทม์เมื่อตอนนั้นเองก็ไม่มีเด็กผู้หญิงอายุใกล้เคียงกับเขาเลยด้วยนี่นา

       แถมรินจังกับโทวกะจังเองก็เป็นผู้หญิงสวยมากอีกด้วย ในส่วนของรินจังเองดูเหมือนว่าเขาก็เป็นแฟนคลับของเธอด้วยเหมือนกัน

 

       “ตอนนี้พวกเรามาสั่งอาหารกันก่อนเถอะ นานะ เอาแบบเดียวกับฉันได้ใช่ไหม? ซากุระคุง…เรียกยากจังนะ งั้นซาคุ อยากกินอะไรหรือเปล่า?”

 

       “ซา-….พ-เพราะว่าอีกเดี๋ยวก็ถึงเวลาอาหารเย็นแล้วเพราะงั้นเครื่องดื่ม…ผมเอาแค่กาแฟก็พอครับ”

 

       “ไม่ต้องเกรงใจไปหรอกนะ เพราะฉันเองก็มีเงินเยอะอยู่นะ”

 

       นั่นสินะ รินจังรวยระดับเรือประจัญบานในหมู่คนรวยเลยนี่นะ

       และยังมีเรื่องที่ซาคุจังเกร็งสุดๆเลยอีกด้วย แต่เพราะคาเฟ่นี้ค่อนข้างแพง ระดับที่กาแฟธรรมดาก็ราคา1000เยนแล้ว(=290.58บาท *10 พ.ย. 2020)

       พอคิดถึงเรื่องที่เขายังเป็นนักเรียนมัธยมปลายอยู่ เขาคงไม่ค่อยได้เข้ามายังในร้านอย่างนี้บ่อยนัก ช่วยไม่ได้ที่เขาจะรู้สึกเกรงใจ

       ยิ่งไปกว่านั้น การที่คนที่ชื่นชมเสนอเลี้ยงเองก็ยิ่งทำให้รู้สึกเกรงใจเข้าไปกันใหญ่

 

       “ซาคุจัง เดี๋ยวฉันเป็นคนจ่ายให้เองเพราะงั้นเลือกที่อยากกินได้เลย ตกลงนะ?”

 

       “รุ่นพี่นานาโกะ…ถ้าอย่างนั้นผมขอแบบเดียวกับทั้งสองละกันครับ…”

 

       เป็นเพราะว่าคนที่เสนอที่จะเลี้ยงคือฉันที่เขารู้สึกคุ้นเคยมากว่าหรือเปล่านะ? ซาคุจังลังเลเล็กน้อยก่อนจะสั่งอาหาร

 

       “รุ่นพี่นานาโกะเป็นหัวหลักที่คอยช่วยเหลือในงานที่แล้วเลยครับ”

 

       พวกเราคุยเล่นกันขณะที่ค่อยๆจิบเครื่องดื่มของแต่ละคน แต่ด้วยคำพูดเดียวจากรินจังทำให้หัวข้อสนทนากลายเป็นเรื่องของที่ทำงานเก่าของพวกเรา

 

       “นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมทำงานพาร์ทไทม์ ผมเลยไม่ทันรู้ตัวครับ แต่ว่าที่นั่นน่ะคือที่ที่เรียกได้ว่าเป็นบริษัทมืดครับ ทั้งมีคนไม่พออยู่ตลอดและยังไม่มีเวลาพัก ไหนจะให้ทำงานล่วงเวลาอีก…ถึงผมจะไม่ได้เจอกับตัวเพราะว่าเป็นนักเรียนมัธยมอยู่แต่ว่าดูเหมือนนักเรียนมหาลัยหลายคนที่ทำงานที่นั่นจะเจอปัญหานั้นกันนะครับ แต่ว่าดูเหมือนร้านอาหารแทบทุกร้านเองก็เป็นแบบเดียวกันนะครับ”

 

       “ฉันเคยเห็นในอินเทอร์เน็ตอยู่บ้างแต่ว่า มีจริงๆสินะคะเรื่องพวกนี้”

 

       โทวกะจังเป็นหญิงสาวที่เติบโตมาอย่างไข่ในหิน เหมือนว่าเธอจะไม่เคยได้รู้จักกับด้านมืดของงานพาร์ทไทม์เลยและตั้งใจฟังอย่างสนใจ

       และเพราะว่ามหาวิทยาลัยที่เธอไปเรียนนั้นเต็มไปด้วยเหล่าคนรวย เธอคงจะไม่มีโอกาสได้ฟังเรื่องพวกนี้มากนักหรอก

 

       “เหมือนจะเป็นเรื่องที่เจอได้ทั่วไปนะครับ แล้วก็ ผมคิดว่าทั้งสองคงจะรู้กันอยู่แล้วแต่ว่ารุ่นพี่นานาโกะนี่สุดยอดสุดๆไปเลยใช่ไหมล่ะครับ?”

 

       “อืม”

 

       “นั่นสินะ”

 

       “โอ๊ะ?”

 

       “ลำเพียงตัวคนเดียว…ในห้องโถงที่เต็มไปด้วยผู้คน ผมคิดว่าเธอวิ่งไปรอบๆทั้งห้องด้วย มีคนพูดกันไว้ด้วยว่าเธอเหมือนสายลมที่พัดผ่านห้องนั้นนะครับ”

 

       เอ๋ อะไรล่ะนั่น? ไม่เห็นเคยได้ยินเลยนะ?

 

       “แต่ว่า พอมาคิดดูแล้วตอนนี้ ผมว่าการที่ปล่อยให้เธอจัดการทุกอย่างเพียงคนเดียวนั่นล่ะคือปัญหาใหญ่สุด พอต้นเหตุถูกละเลยไปทำให้รุ่นพี่แบกรับภาระของปัญหาเรื่องขาดคนงาน และสุดท้ายยังมีเรื่องข่าวฉ้อโกงด้วยอีก ร้านเลยถูกยุบไปพร้อมกับล้มละลายครับ”

 

       ใช่แล้วล่ะ ร้านที่พวกเราทำงานอยู่นั้นเป็นร้านสาขาของร้านกระทะร้อน แต่เหมือนจะมีข่าวเรื่องการโกงหรือเรื่องปัญหาด้านสุขอนามัยสักอย่าง และเพราะอย่างนั้นร้านถึงถูกปิดตัวไป

 

       “และดูเหมือนจะมีเรื่องของคำติของลูกค้าด้วยครับ เกี่ยวเนื่องกับปัญหาเรื่องขาดคนงานครับ และเพราะไม่ใช่ว่ารุ่นพี่นานาโกะจะอยู่ที่นั่นตลอดเวลา ทุกคนเลยต้องทำงานหลายหน้าที่และงานบริการลูกค้าเองก็ถูกละเลยไป ถึงจะมีจัดลดราคาแต่สุดท้ายก็ต้องปิดตัวไป”

 

       “อ๊ะ ที่ที่นานะไปทำงานก็คือร้านสาขาของบริษัทนั้นเองสินะ”

 

       “มีข่าวออกมาในช่วงนี้ด้วยค่ะ เห็นว่ามีใครสักคนที่เสียชีวิตด้วยนี่ล่ะ…”

 

       “เอ๋ เป็นอย่างนั้นหรอกเหรอ ไม่รู้มาก่อนเลยนะ”

 

       “ทำไมคนที่เกี่ยวข้องที่สุดถึงรู้เรื่องน้อยที่สุดกันล่ะ…”

 

       ก็แหม ที่บ้านฉันไม่มีทีวีนี่นา อินเทอร์เน็ตเองก็ไม่มีเหมือนกันด้วย…

 

       “ที่ผมประหลาดใจที่สุดก็คือเรื่องที่ไม่มีใครที่ติดต่อรุ่นพี่นานาโกะได้เลยน่ะสิครับ ทั้งที่น่าจะมีใครสักคนที่สนิทกับรุ่นพี่บ้างแต่พวกเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกัน พอมานึกดูแล้วผมเองก็ไม่เคยเห็นรุ่นพี่ใช้โทรศัพท์เลยด้วยซ้ำนะครับ”

 

       “ฉันเองก็ด้วยค่ะ มีแค่ครั้งเดียวที่เคยเห็นคือตอนที่ได้แลกเปลี่ยนเบอร์โทรด้วยกัน”

 

       “ก็นะ เธอเป็นผู้หญิงแบบนั้นไง แบบว่านิ่งเฉย หรือจะบอกว่าไม่ใส่ใจรอบข้างดีล่ะ”

 

       “จริงๆแล้วพวกเราก็พึ่งจะได้มาเจอกันหลังจากหลายปีด้วยนี่คะ”

 

       บรรยากาศการสนทนาเริ่มไม่ค่อยดีสำหรับฉัน ฉันเลยหันไปดื่มคาปูชิโน่เพื่อหลบหนีจากมัน

       อ่า อร่อยจัง คาปูชิโน่นี่อร่อยจังเลยนะ

 

       “ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ผมคิดว่าดีแล้วล่ะที่ที่นั่นถูกยุบทิ้งไป ในเมื่อตอนนี้ผมเองก็ได้เงินเดือนมากกว่าเดิมด้วย และรุ่นพี่นานาโกะเองก็ดูจะเป็นไปได้ด้วยดีสินะครับ”

 

       “พูดถูกแล้วล่ะ สำหรับฉันแล้วการที่จับตัวนักรบพาร์ทไทม์คลั่งนี่ได้ถือว่าโล่งอกขึ้นมาเยอะเลย รู้ไหมว่าเด็กคนนี้นี่ ฉันชวนเธอให้มาหากี่ครั้งต่อกี่ครั้งก็มักจะบอกว่าติดงาน ติดงานแล้วก็ปฏิเสธอยู่เสมอเลย”

 

       “ก่อนหน้านั้นเองก็เหมือนกันนะครับ เธอมักจะทำงานตลอดตามตารางเวลาจนกระทั่งถึงเวลาเลิกงาน ในเมื่อเธอช่วยทำงานของคนอื่นด้วยก็เลยไม่มีใครว่าอะไรครับ”

 

       “….ท่านพี่นานะ ในวันหนึ่งแล้วท่านพี่ทำงานแค่ไหนกันบ้างคะ?”

 

       โทวกะจังที่กำลังตั้งใจฟังการสนทนาที่ปะทุขึ้นมาก็ได้ถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น

       อืม นับรวมงานพาร์ทไทม์ทั้งสองที่กับงานแรงงานด้วยแล้ว…

 

       “ประมาณ17-20ชั่วโมงมั้งนะ?”

 

       “ฮี๊”

 

       “ฮี๊”

 

       “เธอนี่บ้าจริงๆเลยนะ…แล้วยังทำตลอดทั้งเจ็ดวันต่อสัปดาห์ด้วยอีก”

 

       “นี่ยังมีชีวิตอยู่ได้ยังไงกันคะ?”

 

       “จริงๆด้วยนะครับ”

 

       “ถึงจะพูดอย่างนั้นก็เถอะ…”

 

       เพราะว่าฉันมีพลังกายเหลือล้น และฉันก็ไม่มีอะไรทำนอกจากทำงานอีกด้วย

       ก็นะ ไม่ใช่ว่าฉันไม่มีอะไรทำเพราะฉันเองก็ปฏิเสธรินจังไป ปัญหามันอยู่ที่จังหวะเวลาหรอก

 

       “แต่ถึงอย่างนั้น ก็นะ การที่นานะถูกยอมรับโดยคนรอบข้าง พอได้ยินแบบนี้แล้วก็รู้สึกโล่งอกขึ้นมาเลย”

 

       จริงๆนะ จากก้นบึ้งของหัวใจเลย

       รินจังที่พูดอย่างนั้นขึ้นมาพร้อมกับสีหน้าโล่งอกได้สร้างความประทับใจให้กับฉันอย่างมาก

 

       หลังจากนั้นซาคุจังกับรินจังก็คุยกันเรื่องเกม ซึ่งก็เป็นหัวข้อที่ทำให้ทุกคนสนอกสนใจ

       ได้มองดูซาคุจังทำความรู้จักกับคนที่เขาชื่นชมโดยที่ไม่ได้พูดอะไร พวกเราก็ได้มีช่วงเวลาที่ดีด้วยกัน

 

       ในท้ายที่สุดนั้นพวกเราก็แลกเปลี่ยนเบอร์โทรติดต่อกัน เดินออกมาจากร้านคาเฟ่ และแยกทางกัน

       ———————————-

       ผู้เขียน : ตอนหน้าจะกลับเข้าสู่เกมแล้ว

       

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

วิถีไลฟ์สตรีมของโอนิสาวสายอัดกระแทก 38

Now you are reading วิถีไลฟ์สตรีมของโอนิสาวสายอัดกระแทก Chapter 38 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

       “ร-ร-ร-ร-รินเนะตัวจริงอยู่ข้างหน้าผม…”

 

        ซาคุจังที่รีสตาร์ทสติของตัวเองได้อีกครั้งก็ได้หยิบสมุดโน๊ตของตัวเองออกมาด้วยท่าทางเหมือนคนน่าสงสัย

 

        “ข-ขอลายเซ็นด้วยครับ!”

 

       “อืม ได้อยู่แล้ว แต่ว่าโน๊ตนั่นออกจะดูเหงาๆไปหน่อยนะ”

 

       รินจังพูดออกมาพร้อมกับที่หยิบกระดาษสีสวยแผ่นเล็กจากกระเป๋าของเธอ และเซ็นลงไปอย่างเป็นธรรมชาติแล้วส่งมันให้กับซาคุจัง

       ถ้าจะให้พูดเหมือนอย่างที่รินจังจะพูด มันคือการเตรียมพร้อมของเหล่าคนดัง เธอจึงพกกระดาษสีติดตัวเอาไว้อยู่เสมอ

       แม้ว่าการปลอมตัวของรินจังจะดีแค่ไหนก็ตาม ก็มีบางครั้งที่มีคนจำเธอได้เหมือนอย่างในครั้งนี้

       การที่มอบแฟนเซอร์วิสให้ได้ในทันทีอย่างนี้เองก็เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของรินจังเช่นกัน

 

       “ฮุโอ้วววว…ข-ขอบคุณมากครับ!”

 

       “เก็บไว้เป็นความลับด้วยล่ะ ตกลงนะ?”

 

       ซาคุจังผู้ซึ่งกำลังเก็บแผ่นกระดาษสีที่เขียนเอาไว้ว่า[แด่ ซากุระคุง]ไว้ในกระเป๋าของตัวเองอย่างนอบน้อมก็ได้ส่งเสียง“อ๊ะ!”ออกมาดัง 

 

       “ขอโทษด้วยนะครับ ทั้งที่ผมกำลังทำงานอยู่แท้ๆ”

 

       “อ่า อืม จริงด้วยสิ”

 

       ดูเหมือนว่าเขาจะรู้ตัวแล้วสินะ

 

       “ผมใกล้จะเลิกงานแล้ว ถ้าทั้งสองคนไม่ว่าอะไร พวกเราจะคุยกันอีกสักหน่อยจะได้ไหมครับ…?”

 

       ซากุจังถามด้วยท่าทางสำนึก

       สำหรับฉันก็ไม่ได้อะไรหรอก ฉันเลยถามรินจัง

 

       “ฉันไม่ติดขัดอะไรนะ แล้วรินจังล่ะ?”

 

       “เขาเป็นเพื่อนของเธอใช่ไหมล่ะ? ไหนๆแล้วฉันเองก็อยากที่จะฟังเรื่องของนานะตอนทำงานเหมือนกันนะ”

 

       “เอ๋ น่าอายจะตายไป เอาเถอะ ถ้าอย่างนั้นแล้วซาคุจัง ไว้พวกเราไปเจอกันตอนสี่โมงเย็นที่คาเฟ่ชั้นสองดีไหม?”

 

       “ไม่มีปัญหาครับ! ขอบคุณมากครับ!”

 

       ซาคุจังก้มโค้งหัวลงก่อนจะกลับไปทำงาน

       พอมองไปยังรอบๆบริเวณที่ที่ทำงานอยู่ ดูเหมือนว่าเขาจะถูกเลือกหน้าที่ไว้ส่วนกลางเพื่อจัดการกับลูกค้าโดยเฉพาะ

       พึ่งจะผ่านมาไม่นานหลังจากที่ซาคุจังเลิกจากงานที่แล้วมา ฉันเลยคิดว่าเขาน่าจะยังไม่ได้รับอนุญาตให้อบขนมล่ะมั้ง

 

       และแบบนั้น พวกเราจึงแยกจากซาคุจังสำหรับในตอนนี้เพื่อที่จะไปเจอกันอีกครั้งในคราวหลัง

 

       ☆

 

       “อุ๊…เหนื่อยจัง….”

 

       ก่อนสี่โมงเย็นเล็กน้อย

       หลังจากเรื่องตอนก่อนหน้านั้น ฉันก็ถูกรินจังจับแต่งตัวเป็นตุ๊กตาที่ร้านขายเสื้อผ้า แล้วตอนนี้ฉันก็ฟุบสลบลงกับโต๊ะในคาเฟ่อยู่

       รินจังไปเข้าห้องน้ำเพื่อเติมเครื่องสำอาง

 

       “ท่านพี่นานะ ขออภัยที่ทำให้รอนานด้วยนะคะ”

 

       “อ๊ะ โทวกะจัง”

 

       ฉันเผลอปล่อยตัวให้ละลายไปกับโต๊ะแต่ด้วยการมาถึงของโทวกะจังทำให้ฉันลุกขึ้นนั่งดีๆอีกครั้ง

       เพราะโทวกะจังตัวสูง เธอจึงดึงดูสายตาจากรอบข้างอย่างมาก

       อาจจะเพราะความเคยชิน? เจ้าตัวเองก็ดูเหมือนจะไม่สนใจมันมากนัก

 

       “ท่านพี่รินไปไหนเหรอคะ?”

 

       “เธอไปเติมเครื่องสำอางน่ะ”

 

       “โอ๊ะ เข้าใจแล้วค่ะ ถ้าอย่างนั้นฉันก็ได้ท่านพี่นานะมาครอบครองตัวคนเดียวสักพักหนึ่งสินะคะ”

 

       หัวเราะคิกคักขณะที่พูดออกมา โทวกะจังก็นั่งลงที่ฝั่งตรงข้ามฉัน หันหน้ามาทางนี้

       เพราะคำนึงถึงโทวกะจังและซาคุจัง ฉันเลยเลือกโต๊ะสำหรับสี่คน

       เพราะว่าที่นั่งนี้เองก็ถูกออกแบบมากว้างขวางเพื่อเน้นความสะดวกสบาย ดูเหมือนว่าโทวกะจังเองก็นั่งลงได้อย่างง่ายดาย

 

        “ท่านพี่นานะ…ไม่สิ พี่นานะ ได้พูดออกมาแบบนี้ยิ่งทำให้รู้สึกได้เลย เทียบกับเมื่อก่อนแล้ว…เปลี่ยนไปมากจริงๆค่ะ”

 

        “งั้นเหรอ ก็นะผ่านมาตั้งหกปีแล้วนี่นา ฉันว่ายังไงก็ต้องมีการเปลี่ยนแปลงกันไปบ้างอยู่แล้วล่ะ”

 

        “หุหุ ตรงส่วนนั้นเองก็ไม่ได้เปลี่ยนไปเลยนะคะ แต่ว่าถ้าพี่นานะถามคนรู้จักในสมัยก่อน ทุกคนจะต้องพูดเหมือนกันแน่ๆเลยค่ะ”

 

        “ฉันว่าไม่เป็นอย่างนั้นหรอกน่า”

 

       โทวกะจังพูดออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน เหมือนว่าจะไม่ได้หมายความไม่ดีอะไร

       แต่ว่าจากคำพูดเหล่านั้นของเธอฉันรู้สึกปวดหัวหน่อยๆ

 

       อันที่จริงแล้วตั้งแต่ทีพ่อแม่ของฉันเสียไป โดยเฉพาะในปีที่เกิดเหตุขึ้น ความทรงจำของฉันไม่ค่อยชัดเจนเลยล่ะ

       แม้แต่ในตอนที่ฉันเจรจากับน้าของฉันเรื่องที่จะย้ายออกไปอยู่ตัวคนเดียว ในตอนนั้นฉันจำได้แค่ว่าฉันทำงานใช้แรงงานเพื่อที่จะเอาตัวรอด

       เป็นเพราะความรู้สึกของการสูญเสียคนสำคัญไปหรือเปล่านะ? หรือเป็นเพราะตอนนั้นฉันดิ้นรนเพื่อที่จะเอาชีวิตรอดกัน?

       ฉันรู้สึกเหมือนกับว่าฉันได้ใช้ชีวิตราวกับคนตาย ถึงขั้นที่ฉันแทบจะไม่ได้ติดต่อกับรินจังเลย

        แล้วก็ ฉันยังรู้สึกเหมือนว่ามีใครอีกสักคน แต่ฉันจำอะไรไม่ค่อยได้เลย…

 

       “อาร่า โทวกะจังมาถึงแล้วเหรอ”

 

       “พี่ริน ชิ เวลาที่ได้ครอบครองพี่นานะคนเดียวจะสั้นเกินไปแล้ว”

 

       “ไม่ไหวเลยนะ อย่าพูดอะไรออกมาโดยไม่คิดก่อนสิ …นานะ เป็นอะไรหรือเปล่า?”

 

       “…เอ๋? อ๊ะ ไม่ล่ะๆ ไม่มีอะไรหรอกนะ”

 

       เหมือนว่าฉันจะเหม่อไปหน่อย กว่าฉันจะรู้ตัวอีกทีรินจังก็กลับมาแล้ว

       รินจังนั่งลงข้างๆฉันแล้วหยิบเปิดเมนูของร้านออกมา

 

       “ที่นี่มีคาปูชิโน่ด้วยนะ”

 

       “ฉันขอเป็นชานมค่ะ”

 

       “โทวกะ ยังดื่มกาแฟไม่เป็นอยู่อีกเหรอ? เด็กน้อยจริงๆเลยนะ”

 

       “ก็ฉันไม่ชอบอะไรที่มันขมนี่คะ อะไรที่ไม่ชอบก็ไม่ชอบอยู่ดีล่ะนะคะ~”

 

       รินจังแกล้งแหย่โทวกะจังพร้อมกับรอยยิ้ม โดยที่โทวกะจังเองก็หันหน้าหนีพร้อมทำหน้าบุ้ย

       พอได้เห็นทั้งสองสนิทกันก็ทำให้รู้สึกผ่อนคลายขึ้นมา ก่อนที่ฉันจะรู้ตัว อาการปวดหัวเองก็บรรเทาลงแล้ว

 

       “ขอโทษที่มาช้าครับ!”

 

       “มาตามเวลาพอดีเพราะงั้นอย่าคิดมากไปเลยนะ”

 

       “ครับผม! อ๊ะขอโทษด้วยนะครับ ผมขอนั่งลงข้างๆนะครับ”

 

       “เชิญค่ะ”

 

       ซาคุจังที่ดูเร่งรีบแต่ก็ไม่ได้วุ่นวายเข้ามายังคาเฟ่และก้มหัวโค้งลงอีกครั้งก่อนจะนั่งลงข้างโทวกะ

 

       “อ๊ะ ผมชื่อซาโต้ ซากุระครับ ที่มาอยู่ที่นี่ได้ก็เพราะความกรุณาของทั้งสอง…”

 

       “ฉันชื่อทาคาโจว โทวกะ ฉันเองก็ถูกเชิญมาเหมือนกัน เพราะอย่างนั้นไม่ต้องทำตัวเป็นทางการไปหรอกนะ”

 

       “ไม่ครับ ก็คือ คุณอาวุโสกว่า…”

 

       “อ่า ซาคุจังเริ่มเขินแล้วๆ”

 

       “อุ…ไม่นะ ครับ ผมเองก็เป็นผู้ชายนี่ครับ…”

 

       ฉันแค่กะจะแกล้งแหย่ซาคุจังนิดเดียวแต่ซาคุจังกลับเกร็งตัวขึ้นมา

       ฟุมุ พอมาคิดดูแล้ว ในงานพาร์ทไทม์เมื่อตอนนั้นเองก็ไม่มีเด็กผู้หญิงอายุใกล้เคียงกับเขาเลยด้วยนี่นา

       แถมรินจังกับโทวกะจังเองก็เป็นผู้หญิงสวยมากอีกด้วย ในส่วนของรินจังเองดูเหมือนว่าเขาก็เป็นแฟนคลับของเธอด้วยเหมือนกัน

 

       “ตอนนี้พวกเรามาสั่งอาหารกันก่อนเถอะ นานะ เอาแบบเดียวกับฉันได้ใช่ไหม? ซากุระคุง…เรียกยากจังนะ งั้นซาคุ อยากกินอะไรหรือเปล่า?”

 

       “ซา-….พ-เพราะว่าอีกเดี๋ยวก็ถึงเวลาอาหารเย็นแล้วเพราะงั้นเครื่องดื่ม…ผมเอาแค่กาแฟก็พอครับ”

 

       “ไม่ต้องเกรงใจไปหรอกนะ เพราะฉันเองก็มีเงินเยอะอยู่นะ”

 

       นั่นสินะ รินจังรวยระดับเรือประจัญบานในหมู่คนรวยเลยนี่นะ

       และยังมีเรื่องที่ซาคุจังเกร็งสุดๆเลยอีกด้วย แต่เพราะคาเฟ่นี้ค่อนข้างแพง ระดับที่กาแฟธรรมดาก็ราคา1000เยนแล้ว(=290.58บาท *10 พ.ย. 2020)

       พอคิดถึงเรื่องที่เขายังเป็นนักเรียนมัธยมปลายอยู่ เขาคงไม่ค่อยได้เข้ามายังในร้านอย่างนี้บ่อยนัก ช่วยไม่ได้ที่เขาจะรู้สึกเกรงใจ

       ยิ่งไปกว่านั้น การที่คนที่ชื่นชมเสนอเลี้ยงเองก็ยิ่งทำให้รู้สึกเกรงใจเข้าไปกันใหญ่

 

       “ซาคุจัง เดี๋ยวฉันเป็นคนจ่ายให้เองเพราะงั้นเลือกที่อยากกินได้เลย ตกลงนะ?”

 

       “รุ่นพี่นานาโกะ…ถ้าอย่างนั้นผมขอแบบเดียวกับทั้งสองละกันครับ…”

 

       เป็นเพราะว่าคนที่เสนอที่จะเลี้ยงคือฉันที่เขารู้สึกคุ้นเคยมากว่าหรือเปล่านะ? ซาคุจังลังเลเล็กน้อยก่อนจะสั่งอาหาร

 

       “รุ่นพี่นานาโกะเป็นหัวหลักที่คอยช่วยเหลือในงานที่แล้วเลยครับ”

 

       พวกเราคุยเล่นกันขณะที่ค่อยๆจิบเครื่องดื่มของแต่ละคน แต่ด้วยคำพูดเดียวจากรินจังทำให้หัวข้อสนทนากลายเป็นเรื่องของที่ทำงานเก่าของพวกเรา

 

       “นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมทำงานพาร์ทไทม์ ผมเลยไม่ทันรู้ตัวครับ แต่ว่าที่นั่นน่ะคือที่ที่เรียกได้ว่าเป็นบริษัทมืดครับ ทั้งมีคนไม่พออยู่ตลอดและยังไม่มีเวลาพัก ไหนจะให้ทำงานล่วงเวลาอีก…ถึงผมจะไม่ได้เจอกับตัวเพราะว่าเป็นนักเรียนมัธยมอยู่แต่ว่าดูเหมือนนักเรียนมหาลัยหลายคนที่ทำงานที่นั่นจะเจอปัญหานั้นกันนะครับ แต่ว่าดูเหมือนร้านอาหารแทบทุกร้านเองก็เป็นแบบเดียวกันนะครับ”

 

       “ฉันเคยเห็นในอินเทอร์เน็ตอยู่บ้างแต่ว่า มีจริงๆสินะคะเรื่องพวกนี้”

 

       โทวกะจังเป็นหญิงสาวที่เติบโตมาอย่างไข่ในหิน เหมือนว่าเธอจะไม่เคยได้รู้จักกับด้านมืดของงานพาร์ทไทม์เลยและตั้งใจฟังอย่างสนใจ

       และเพราะว่ามหาวิทยาลัยที่เธอไปเรียนนั้นเต็มไปด้วยเหล่าคนรวย เธอคงจะไม่มีโอกาสได้ฟังเรื่องพวกนี้มากนักหรอก

 

       “เหมือนจะเป็นเรื่องที่เจอได้ทั่วไปนะครับ แล้วก็ ผมคิดว่าทั้งสองคงจะรู้กันอยู่แล้วแต่ว่ารุ่นพี่นานาโกะนี่สุดยอดสุดๆไปเลยใช่ไหมล่ะครับ?”

 

       “อืม”

 

       “นั่นสินะ”

 

       “โอ๊ะ?”

 

       “ลำเพียงตัวคนเดียว…ในห้องโถงที่เต็มไปด้วยผู้คน ผมคิดว่าเธอวิ่งไปรอบๆทั้งห้องด้วย มีคนพูดกันไว้ด้วยว่าเธอเหมือนสายลมที่พัดผ่านห้องนั้นนะครับ”

 

       เอ๋ อะไรล่ะนั่น? ไม่เห็นเคยได้ยินเลยนะ?

 

       “แต่ว่า พอมาคิดดูแล้วตอนนี้ ผมว่าการที่ปล่อยให้เธอจัดการทุกอย่างเพียงคนเดียวนั่นล่ะคือปัญหาใหญ่สุด พอต้นเหตุถูกละเลยไปทำให้รุ่นพี่แบกรับภาระของปัญหาเรื่องขาดคนงาน และสุดท้ายยังมีเรื่องข่าวฉ้อโกงด้วยอีก ร้านเลยถูกยุบไปพร้อมกับล้มละลายครับ”

 

       ใช่แล้วล่ะ ร้านที่พวกเราทำงานอยู่นั้นเป็นร้านสาขาของร้านกระทะร้อน แต่เหมือนจะมีข่าวเรื่องการโกงหรือเรื่องปัญหาด้านสุขอนามัยสักอย่าง และเพราะอย่างนั้นร้านถึงถูกปิดตัวไป

 

       “และดูเหมือนจะมีเรื่องของคำติของลูกค้าด้วยครับ เกี่ยวเนื่องกับปัญหาเรื่องขาดคนงานครับ และเพราะไม่ใช่ว่ารุ่นพี่นานาโกะจะอยู่ที่นั่นตลอดเวลา ทุกคนเลยต้องทำงานหลายหน้าที่และงานบริการลูกค้าเองก็ถูกละเลยไป ถึงจะมีจัดลดราคาแต่สุดท้ายก็ต้องปิดตัวไป”

 

       “อ๊ะ ที่ที่นานะไปทำงานก็คือร้านสาขาของบริษัทนั้นเองสินะ”

 

       “มีข่าวออกมาในช่วงนี้ด้วยค่ะ เห็นว่ามีใครสักคนที่เสียชีวิตด้วยนี่ล่ะ…”

 

       “เอ๋ เป็นอย่างนั้นหรอกเหรอ ไม่รู้มาก่อนเลยนะ”

 

       “ทำไมคนที่เกี่ยวข้องที่สุดถึงรู้เรื่องน้อยที่สุดกันล่ะ…”

 

       ก็แหม ที่บ้านฉันไม่มีทีวีนี่นา อินเทอร์เน็ตเองก็ไม่มีเหมือนกันด้วย…

 

       “ที่ผมประหลาดใจที่สุดก็คือเรื่องที่ไม่มีใครที่ติดต่อรุ่นพี่นานาโกะได้เลยน่ะสิครับ ทั้งที่น่าจะมีใครสักคนที่สนิทกับรุ่นพี่บ้างแต่พวกเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกัน พอมานึกดูแล้วผมเองก็ไม่เคยเห็นรุ่นพี่ใช้โทรศัพท์เลยด้วยซ้ำนะครับ”

 

       “ฉันเองก็ด้วยค่ะ มีแค่ครั้งเดียวที่เคยเห็นคือตอนที่ได้แลกเปลี่ยนเบอร์โทรด้วยกัน”

 

       “ก็นะ เธอเป็นผู้หญิงแบบนั้นไง แบบว่านิ่งเฉย หรือจะบอกว่าไม่ใส่ใจรอบข้างดีล่ะ”

 

       “จริงๆแล้วพวกเราก็พึ่งจะได้มาเจอกันหลังจากหลายปีด้วยนี่คะ”

 

       บรรยากาศการสนทนาเริ่มไม่ค่อยดีสำหรับฉัน ฉันเลยหันไปดื่มคาปูชิโน่เพื่อหลบหนีจากมัน

       อ่า อร่อยจัง คาปูชิโน่นี่อร่อยจังเลยนะ

 

       “ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ผมคิดว่าดีแล้วล่ะที่ที่นั่นถูกยุบทิ้งไป ในเมื่อตอนนี้ผมเองก็ได้เงินเดือนมากกว่าเดิมด้วย และรุ่นพี่นานาโกะเองก็ดูจะเป็นไปได้ด้วยดีสินะครับ”

 

       “พูดถูกแล้วล่ะ สำหรับฉันแล้วการที่จับตัวนักรบพาร์ทไทม์คลั่งนี่ได้ถือว่าโล่งอกขึ้นมาเยอะเลย รู้ไหมว่าเด็กคนนี้นี่ ฉันชวนเธอให้มาหากี่ครั้งต่อกี่ครั้งก็มักจะบอกว่าติดงาน ติดงานแล้วก็ปฏิเสธอยู่เสมอเลย”

 

       “ก่อนหน้านั้นเองก็เหมือนกันนะครับ เธอมักจะทำงานตลอดตามตารางเวลาจนกระทั่งถึงเวลาเลิกงาน ในเมื่อเธอช่วยทำงานของคนอื่นด้วยก็เลยไม่มีใครว่าอะไรครับ”

 

       “….ท่านพี่นานะ ในวันหนึ่งแล้วท่านพี่ทำงานแค่ไหนกันบ้างคะ?”

 

       โทวกะจังที่กำลังตั้งใจฟังการสนทนาที่ปะทุขึ้นมาก็ได้ถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น

       อืม นับรวมงานพาร์ทไทม์ทั้งสองที่กับงานแรงงานด้วยแล้ว…

 

       “ประมาณ17-20ชั่วโมงมั้งนะ?”

 

       “ฮี๊”

 

       “ฮี๊”

 

       “เธอนี่บ้าจริงๆเลยนะ…แล้วยังทำตลอดทั้งเจ็ดวันต่อสัปดาห์ด้วยอีก”

 

       “นี่ยังมีชีวิตอยู่ได้ยังไงกันคะ?”

 

       “จริงๆด้วยนะครับ”

 

       “ถึงจะพูดอย่างนั้นก็เถอะ…”

 

       เพราะว่าฉันมีพลังกายเหลือล้น และฉันก็ไม่มีอะไรทำนอกจากทำงานอีกด้วย

       ก็นะ ไม่ใช่ว่าฉันไม่มีอะไรทำเพราะฉันเองก็ปฏิเสธรินจังไป ปัญหามันอยู่ที่จังหวะเวลาหรอก

 

       “แต่ถึงอย่างนั้น ก็นะ การที่นานะถูกยอมรับโดยคนรอบข้าง พอได้ยินแบบนี้แล้วก็รู้สึกโล่งอกขึ้นมาเลย”

 

       จริงๆนะ จากก้นบึ้งของหัวใจเลย

       รินจังที่พูดอย่างนั้นขึ้นมาพร้อมกับสีหน้าโล่งอกได้สร้างความประทับใจให้กับฉันอย่างมาก

 

       หลังจากนั้นซาคุจังกับรินจังก็คุยกันเรื่องเกม ซึ่งก็เป็นหัวข้อที่ทำให้ทุกคนสนอกสนใจ

       ได้มองดูซาคุจังทำความรู้จักกับคนที่เขาชื่นชมโดยที่ไม่ได้พูดอะไร พวกเราก็ได้มีช่วงเวลาที่ดีด้วยกัน

 

       ในท้ายที่สุดนั้นพวกเราก็แลกเปลี่ยนเบอร์โทรติดต่อกัน เดินออกมาจากร้านคาเฟ่ และแยกทางกัน

       ———————————-

       ผู้เขียน : ตอนหน้าจะกลับเข้าสู่เกมแล้ว

       

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+