วิถีไลฟ์สตรีมของโอนิสาวสายอัดกระแทก 51

Now you are reading วิถีไลฟ์สตรีมของโอนิสาวสายอัดกระแทก Chapter 51 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

        “ถ้างั้นฉันจะไปละนะ”

 

        “เดินทางปลอดภัยนะ”

 

        ณ ทางเข้าออกของอพาทเมนต์ ฉันได้ถูกโอบตัวแน่นและได้ไปส่งรินจัง

        ถึงแม้ว่าหลังจากที่เธอเดินออกนอกตึก ก็มีรถยนต์ที่ดูเหมือนรถหุ้มเกราะจอดรับเธอในทันทีก็ตาม นั่นคงจะเป็นรถหุ้มเกราะที่พ่อของรินจังสั่งทำขึ้นมาให้เธอโดยเฉพาะและใช้เงินไปหลายล้านเยนในการผลิตขึ้นมา

        ฉันโบกมือลาจนกระทั่งเธอเข้าไปในตัวรถและเมื่อรถขับออกไปลับสายตาฉันจึงกลับเข้าไปในตัวตึก

 

        เอาล่ะ ตัดสินใจไปแล้วว่าฉันจะทำอะไรสำหรับวันนี้และวันพรุ่งนี้

        ฉันมีจุดมุ่งหมายเดิมคือการตามรินจังให้ทัน แต่ในระยะเวลาที่ฉันได้พูดคุยกับผู้เล่นคิจินคนอื่นๆเมื่อวานนี้ ฉันก็ได้ข้อมูลที่สำคัญมาล่ะ

        อย่างเช่นว่าหมู่บ้านคิจินอยู่ที่ไหน ข้อมูลของสกิลหายาก ฉันควรจะแวะไปที่นั่นบ่อยๆ…นั่นไม่ใช่สิ่งที่ฉันจะทำโดยทันทีหรอกแต่ดูเหมือนว่านานๆครั้งการเช็คเว็บบอร์ดเองก็น่าสนใจอยู่นะ

 

        ☆

 

        เขตแดนที่บิดเบี้ยวในทุกทิศทาง และศาลเจ้าขนาดใหญ่บริเวณกึ่งกลาง

        หลังจากที่ล็อกอินเข้ามาแล้ว ดูเหมือนว่าฉันก็ถูกลากมาที่ยมโลกอีกครั้งโดยชูเท็นนะ มายังที่ที่ฉันได้เจอกับเธอเป็นครั้งแรก อืม…การถูกบังคับมาอย่างนี้มันก็…

 

        “ดูเหมือนว่าเจ้าจะได้พบกับโคฮาคุแล้วสินะ”

 

        ชูเท็นผู้ปรากฏตัวขึ้นมาพร้อมกับรอยยิ้มยังคงดูเหมือนเดิมกับที่ได้เจอกันในครั้งที่ผ่านมา

        ซึ่งก็หมายความว่าเธอมีรูปลักษณ์เดียวกับอวาตาร์ของฉัน ณ ขณะนั้น ซึ่งก็คือสภาพโทรมและมีรูใหญ่อยู่ตรงท้อง

 

        “ทำไมไม่รักษาบาดแผลไปล่ะ?”

 

        “ช่วยไม่ได้หรอก เมื่อถูกผนึกเช่นนี้แล้ว การที่จะปรากฏตัวขึ้นมายังยากลำบากเลย จักคุ้มค่ากว่าหากใช้สิ่งที่มีอยู่แล้วน่ะ จะเรียกว่า-ดีต่อสภาพแวดล้อม-ก็ยังได้”

 

        นั่นเธอกำลังพูดถึงร่างกายของคนอื่นเป็นสิ่งของอยู่นะ

        งั้นหมายความว่าทุกครั้งที่ฉันถูกลากมาหาชูเท็นก็ต้องเห็นภาพตัวเองในสภาพเละเทะแบบนี้ตลอดเลยเหรอ…?

 

        “ถ้าเจ้าไม่ชอบใจก็รีบเร่งปลดผนึกของข้าสิ”

 

        “ผนึกสินะ…เป็นเรื่องจริงเหรอที่ชูเท็นจะทำอะไรได้ก็ต่อเมื่อผ่านตัวแทนอย่างโดวจิน่ะ?”

 

        “ไม่ผิดแต่อย่างไร เดิมทีแล้วมันเป็นไปไม่ได้ด้วยซ้ำที่จะยุ่งเกี่ยวกับโลกเบื้องบนจากทางยมโลกน่ะ ข้าเพียงแค่ใช้ช่องว่างของกฏที่เรียกว่าอาชีพเท่านั้นเอง แต่ถึงอย่างนั้นสิ่งที่ข้าทำได้ต่อโลกเบื้องบนก็มีน้อยนิด”

 

        ถึงจะบอกมาอย่างนั้น ดูเหมือนว่าอย่างน้อยเธอก็มีพลังพอจะลักพาตัวฉันมานะ

        เอาเถอะ ในเมื่อชูเท็นเป็นถึงตัวตนที่อยู่เหนือโดวจิทั้งหมด ฉันไม่มีเหตุผลอะไรที่จะขัดการสนทนาด้วยการพูดถึงมัน

 

        “ยังไงก็เถอะ ชูเท็นรู้จักกับโคฮาคุสินะ เพราะเห็นบอกว่ายุ่งเกี่ยวกับโลกเบื้องบนไม่ได้ ฉันก็นึกว่าเธอมองเห็นโลกเบื้องบนได้โดยต้องผ่านดวงตาของโดวจิเท่านั้นซะอีก”

 

        “บางครั้งข้าก็มีอิสระในการมองสิ่งที่เป็นไปในโลกเบื้องบนนะ แต่ต้องแลกมากับการที่ข้าไม่อาจยุ่งเกี่ยวกับคิจินได้แม้แต่น้อยเลยก็ตาม”

 

        “หมายถึงเจ้านั่นที่ใส่แต้มโบนัส 1 แต้มลงในค่าปัญญาของพวกเขาสินะ?”

 

        “ถูกต้องแล้ว ข้าไม่พอใจอย่างมากเลยในเรื่องนั้น ทั้งที่โคฮาคุเป็นคิจินที่มีพรสวรรค์มากกว่าข้าด้วยซ้ำเลยแท้ๆ…”

 

        เธอมีสีหน้าที่ดูหงุดหงิดก่อนที่จะหุบพัดในมือของเธอลง

        ก็นะ จากเรื่องราวของเธอ ฉันก็พอจะเดาได้ว่าความแข็งแกร่งของโคฮาคุมากพอที่จะได้รับความเคารพตามที่เธอมีอยู่แล้ว แต่นี่ก็ได้ยืนยันสิ่งนั้นไป ความแข็งแกร่งของโคฮาคุนี่ห่างชั้นไปสุดๆเลย

        บางทีนะ ถ้าแค่ค่าความแข็งแกร่งของโคฮาคุแล้ว  อาจจะไม่ได้น้อยไปกว่าชูเท็นด้วยซ้ำ

        เพราะยังไงซะ โดวจิก็คืออาชีพที่เชี่ยวชาญในด้าน[ความสามารถทางกายภาพ]ที่รวมทั้งหมด ไม่ใช่อาชีพที่เชี่ยวชาญแค่ความแข็งแกร่งเพียงอย่างเดียวสักหน่อย

        แต่ก็นะ ถ้ามองภาพรวมเรื่องอื่นๆด้วยแล้ว การที่โคฮาคุบอกว่าตัวเองเทียบกับชูเท็นไม่ได้เลยเองก็คงไม่ผิดเท่าไหร่หรอก

 

        แล้วก็ จะว่าไปแล้วไม่ใช่ว่าระบบบ้าบอนั่นถูกสร้างขึ้นเพราะเธอไปแอบส่องโลกเบื้องบนไม่ใช่เหรอ? พอมาคิดแบบนี้ก็เหมือนกับว่าชูเท็นทำตัวเองเลยน่ะสิ

        แต่ก็นะ ถ้าหากมีบางสิ่งที่ถูกสร้างให้ใช้แอบมองได้ ไม่ว่ายังไงถึงจุดหนึ่งก็คงต้องมองดูสักครั้งอยู่ดีล่ะนะ

 

        เปลี่ยนหัวข้อสนทนา ราวกับว่าจะเริ่มการพูดคุยกันอย่างจริงจังชูเท็นเรียกให้ฉันไปนั่งใกล้ๆ

        หลังจากที่เทอะไรสักอย่างที่เหมือนจะเป็นแอลกอฮอล์ลงในถ้วยสาเกอันใหญ่ เธอก็ค่อยๆนั่งลงกับพื้นเช่นกัน

 

        “ปุฮ่าห์…แล้วซุคุนะ โคฮาคุได้โชว์[พิธีอวสาน(ซึอิชิกิ)]ให้เธอดูแล้วหรือยัง?”

 

        “พิธีอวสาน?”

 

        “มันคือเทคนิคสุดท้ายของ[ระบำยักษา(โอนิ โนะ มาอิ)]น่ะ อะไรกัน ไม่รู้เรื่องเลยเหรอ?”

 

        “อืม ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย”

 

        บอกมาว่ามันเขียนอย่างนี้ ชูเท็นก็ใช้เครื่องดื่มของตัวเองแทนน้ำหมึกและลากเขียนตัวอักษร「終式」ลงบนพื้น

        ชื่อของเทคนิคสุดท้ายที่ทำให้ฉันรู้สึกถึงความเถรตรง ที่ทำให้รู้สึกว่าจะต้องสละชีวิตในการใช้อย่างไรอย่างนั้น

 

        “ซุคุนะ เจ้าได้รับการอธิบายเกี่ยวกับระบำยักษามาอย่างไร?”

 

        “ก็ มันจะสมบูรณ์หลังจากทำท่ารำทั้งห้าท่า และมันก็เป็นสกิลที่จะเสริมความแข็งแกร่งให้กับผู้ใช้ อะไรอย่างนั้นน่ะ”

 

        “นั่นก็ไม่ผิดหรอก แต่ว่านะ เจ้าโคฮาคุนั่น เธอยังไม่ได้อธิบายถึงจุดประสงค์หลักของระบำยักษาให้เลยสินะ”

 

        พูดออกมาอย่างนั้น ชูเท็นก็ถอนหายใจออกมา ดูผิดหวังเล็กน้อย

        สกิล[ระบำยักษา]เป็นสกิลเฉพาะสำหรับชาวคิจิน และคำอธิบายของสกิลก็บอกว่ามันใช้สำหรับ[เสริมความแข็งแกร่งของผู้ใช้]

        หลังจากที่มีค่าความแข็งแกร่งในระดับหนึ่งแล้วก็จะสามารถได้รับมันมาและหลังจากที่เรียนรู้ท่าร่ายรำก็จะสามารถได้รับความแข็งแกร่งไร้ผู้เทียบเคียงได้ โคฮาคุว่าอย่างนั้นนะ

        ก็ถ้ามองแค่ผลเอฟเฟคของสกิลแล้วก็เป็นอะไรที่เหมือนกับสกิลหมาป่าผู้หิวโหยล่ะนะ

 

        “ฟังไว้ให้ดีนะซุคุนะ มันไม่ผิดเลยที่จะบอกว่าระบำยักษามีไว้เพียงเพื่อให้ผู้ใช้สามารถใช้[พิธีอวสาน]ได้ก็เท่านั้น ถึงแม้ว่าลักษณะสุดท้ายของสกิลที่เกิดขึ้นจะเติบโตจากตัวคิจินนั้นๆเองก็ตามแต่ว่า…ทุกพิธีอวสานจะกลายเป็นไพ่ตายสังหารในนัดเดียวของยักษ์ตนนั้นๆ มันก็คือเทคนิคสุดท้ายแบบนั้นล่ะนะ มันยังเป็นเหตุผลที่โคฮาคุถูกเรียกขานว่า[การทำลายล้าง]และเรียกข้าว่า[คิชิน] ถ้าหากมองไปยังสาเหตุเบื้องหลังชื่อเหล่านั้นเจ้าจะเห็นได้ว่าข้าไม่ได้พูดเกินเลยในเรื่องพลังของพิธีอวสานแต่อย่างใดเลย”

 

        จากคำอธิบายที่เต็มไปด้วยความรู้สึกอันรุนแรง ฉันรู้สึกขนลุกไปทั้งตัว

        สิ่งที่เธอกำลังบอกอยู่ก็คือ

        เป็นไปได้ว่าพิธีอวสานที่ว่าจะสามารถทำลายปราสาทยักษ์ได้ในครั้งเดียวเลยว่างั้นสินะ

 

        “ถ้าโคฮาคุอาจารย์ของเจ้ายังไม่ได้พูดอะไรข้าก็จักปิดปากของข้าลงในเรื่องของพิธีอวสาน สักวันหนึ่ง ข้ามั่นใจว่าเจ้าจะได้เห็นกับตาของตัวเจ้าเอง”

 

        “ทั้งๆที่เป็นคนเริ่มพูดถึงก่อนแท้ๆเนี่ยนะ….”

 

        “ฟุฮ่าฮ่ะฮ่ะฮ่ะฮ่า!”

 

        พอฉันจ้องไปยังชูเท็น เธอก็หัวเราะแล้วกระดกสาเกของตัวเองไปพร้อมๆกับเอาตัวเองออกจากหัวข้อสนทนานั้น

 

        ในเมื่อฉันได้มายังที่แห่งนี้อีกครั้ง ฉันก็มีบางเรื่องที่อยากถามอยู่นะ

        เพราะว่าไม่รู้ว่าฉันจะอยู่ได้อีกนานเท่าไหร่ มาถามกันเท่าที่จะทำได้กันเถอะ

 

        “ชูเท็น รู้จักเรเควียมหรือเปล่า”

 

        “บทเพลงสวดส่งวิญญาณผู้วายชนม์สินะ?”

 

        “….”

 

        “ข-ข้าแค่หยอกเจ้านิดหน่อยเองน่ะ หนึ่งในเจ็ดราชันสวรรค์ เรเควียมผู้เคลื่อนนภาถูกต้องไหม? แน่นอนข้ารู้จัก”

 

        เจ็ดราชันสวรรค์ ศัพท์ใหม่เพิ่มขึ้นมาอีกแล้ว….

 

        “หลังจากที่เจ้าปราบอาเรียลงได้ เจ้าก็ไม่พ้นที่จะต้องสู้กับรอนโดและแฟนตาเซีย จะบอกว่าเจ้าถูกหมายหัวเอาไว้แล้วก็ยังได้ เอาเถอะ ในเมื่อเจ้าชอบพอที่จะสู้กับศัตรูที่แข็งแกร่ง ข้าก็ไม่เห็นว่าจะต้องกังวลอะไรนะ”

 

        “รอนโดกับแฟนตาเซียที่ว่า หมายถึงเจ้าตัวสีดำกับสีขาวสินะ?”

 

        “อูมุ ข้าไม่แนะนำให้เจ้าสู้ไม่ว่ากับตัวไหนตามลำพัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งแฟนตาเซีย แต่เดิมแล้วมันมีสาเหตุที่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่สามารถเอาชนะมันได้ด้วยตัวคนเดียวอยู่แล้วน่ะ”

 

        สีดำก็คือรอนโด ส่วนสีขาวคือแฟนตาเซีย

        ตัวที่โคฮาคุเล่าให้ฉันฟังเมื่อวานนี้ หมาป่าดำแห่งการชุมนุมและหมาป่าขาวแห่งความลวงตา ดีที่ได้ฟังเรื่องของพวกมันเพิ่มขึ้นจากที่นี่นะ

        เมื่อวานนี้จากเว็บบอร์ด ฉันได้รับข้อมูลมาที่ดูเหมือนว่าหมาป่าดำจะอยู่ไม่ห่างจากเมืองที่หกเท่าไหร่ ว่ากันตามตรงแล้ว ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ฉันอาจจะต้องตามหาเพียงแค่หมาป่าขาวก็ได้

        ดูเหมือนว่าข้อมูลพวกนั้นจะหาได้จากเมืองที่ห้า หลังจากที่ฉันไปถึงที่นั่นได้ฉันจะไปตามหาอีกครั้งละกัน

 

        แต่ว่านะ สงสัยจังว่าชูเท็นหมายความว่ายังไงที่บอกว่าฉันไม่สามารถเอาชนะได้[ตามลำพัง]น่ะ?

        มีเหตุผลที่ฉันจะต้องร่วมมือกับคนอื่นด้วยเท่านั้น? หรือว่าอีกฝ่ายแค่แข็งแกร่งกว่ามากๆกันนะ?

        สำหนับตอนนี้แล้ว ฉันจำคำเตือนของชูเท็นเอาไว้ก่อน ยังไงซะหลังจากที่ฉันตามรินจังได้แล้วก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่ฉันจะสู้คนเดียวแล้วน่ะสิ

 

        “ข้าจักเล่าเรื่องราวของเจ็ดราชันสวรรค์ให้ฟัง ฟังไว้ให้ดีล่ะซุคุนะ”

 

        ขณะที่ฉันกำลังเวียนหัวกับการพยายามย่อยข้อมูลที่ได้จากชูเท็น เธอก็วางถ้วยสาเกลงแล้วเปิดปากพูดออกมาด้วยสีหน้าจริงจัง

 

        “ณ ดินแดนแห่งการเริ่มต้นที่ทุกสิ่งได้ถูกหยุดลงนั้นได้เริ่มต้นเคลื่อนไหวขึ้นมา โลกาได้เริ่มขับเคลื่อนอีกครั้ง เหล่ายูนีคในหมู่อสูรต่างย่างก้าวไปทั่วทั้งโลก ความนิ่งงันได้ถูกปัดเป่าออกไป ด้วยสองมือของเจ้า เจ้าได้ปราบส่วนหนึ่งของเจ็ดราชันสวรรค์ด้วยความรวดเร็วและพวกมันเองก็เริ่มเคลื่อนไหวแล้วเช่นกัน แม้จะยังพอมีเวลาอยู่บ้างแต่ไม่ว่าอย่างไร สิ่งที่ได้เคลื่อนตัวแล้วนั้นไม่อาจหยุดยั้งลงได้”

 

        ด-เดี่ยวก่อนสิ นี่มันคอมโบเนื้อหาแบบจัดเต็มไม่มีอั้นเลยนี่!!?

        เอิ่ม…ดินแดนแห่งการเริ่มต้นที่ได้เคลื่อนไหวน่าจะหมายถึงเมืองแห่งการเริ่มต้นที่ผู้เล่นได้ถูกส่งมาใช่ไหม ส่วนที่ว่าโลกาได้ขับเคลื่อนน่าจะเป็นการที่เกมได้เปิดให้บริการนะ ส่วนในหมู่ยูนีคก็หมายถึงอาเรียที่ฉัน-….อุฟ

 

        “ข้าอาจได้ให้แนวทางแก่เจ้าไปบ้างแต่อย่าได้เร่งรีบในการปลดปล่อยข้าออกจากผนึกมากเกินไปเสียล่ะ สำหรับตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดที่เจ้าควรจะใส่ใจคือเพิ่มความแข็งแกร่งของตัวเองต่อไปเช่นเดิม เจ้าและโดวจิตนอื่นๆรวมไปถึงเหล่าคิชิน เสริมความแข็งแกร่งของพวกตนแล้วนั่นจะช่วยในการปลดปล่อยข้าออกจากผนึกนี้”

 

        จากคำพูดของชูเท็น ฉันตัดสินใจได้อย่างลำบากว่าจะพยักหน้ารับคำไปง่ายๆดีหรือไม่

 

        “แต่ว่า ฉันเองก็สัญญากับโคฮาคุเอาไว้…”

 

        “ไม่ใช่ว่าข้าไม่เจ้าใจในความรู้สึกของเจ้าหรอกนะ หากแต่ว่าเด็กคนนั้น เจ้าคิดว่าเธอรอมากี่ปีแล้วกัน? เธอไม่ใส่ใจหรอกถ้าจะต้องรออีกสักนิด กลับกันแล้วการที่เธอสอนระบำยักษาให้กับเจ้าแสดงว่าเธอเองก็มีความคิดเช่นเดียวกับข้า”

 

        นุ…พอบอกมาแบบนั้นฉันก็เข้าใจเหมือนกันแฮะ

        ช่วงเวลาภายในเกมของฉันนั้นช่างวุ่นวายจนฉันลืมไปเลยว่า นี่พึ่งจะผ่านมาแค่สัปดาห์เดียวเองตั้งแต่ที่ฉันเริ่มเล่น WLO

 

        ทั้งเควสของชูเท็นและเควสของโคฮาคุ ทั้งสองคงต้องให้ฉันมีเลเวลถึงสามหลักเสียก่อนได้มั้งถึงจะเริ่มได้น่ะ เควสพวกนั้นก็แค่มีระดับความยากสูงไปนั่นล่ะ

        แล้วก็ ครั้งล่าสุดที่ฉันมาที่นี่ ฉันได้ยินอะไรเกี่ยวกับสิ่งที่ข้ามขั้นของ[โดวจิ]ไปด้วยอีก ไม่ว่าฉันจะอยากทำตามเป้าหมายนั้นหรือไม่ ยังไงฉันก็คงต้องเพิ่มเลเวลและสกิลของตัวเองก่อนสินะ

 

        และเหนือสิ่งอื่นใด นี่ก็คือเกม ถึงแม้ว่าฉันจะมีเป้าหมายที่พิเศษออกไป แต่ก็คงน่าเสียดายแย่ถ้ารีบเสียจนผ่านจุดที่สนุกไปน่ะ

        ถ้าฉันใช้เวลาเพื่อเล่นให้สนุกพร้อมๆกับพัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆ ฉันก็จะค่อยๆเข้าใกล้สัญญาที่ฉันให้ไว้กับทั้งสองเองนั่นล่ะนะ

        หลังจากที่มองย้อนไปยังความเร่งรีบของตัวเอง คำพูดของชูเท็นก็เหมือนศรปักมาที่อกของฉันทำให้ฉันใจเย็นลงมาบ้าง

 

        “ฟุ มีแววตาที่ดีเลยนี่ ถึงแม้ว่าจะน่าผิดหวังที่ข้าจะไม่ได้เห็นมันไปอีกสักพักล่ะนะ…”

 

        “เอ๋?”

 

        “เพราะข้าได้มาสื่อสารกับเจ้า ข้าก็ได้ใช้พลังที่มีไปแทบจะหมดในเวลาอันสั้น เพราะฉะนั้นข้าจึงต้องรวบรวมพลังอีกครั้ง”

 

        “อ่า แบบนั้นเองสินะ”

 

        เธอถึงกับอธิบายให้ฉันฟังแบบนี้

        คงใกล้หมดเวลาแล้วจริงๆสินะ

 

        พอฉันคิดอย่างนั้น ทั้งชูเท็น ตัวฉัน และพื้นด้านล่างก็ค่อยๆสลายไปก่อนจะรวมกันกลายเป็นประกายแสง

 

        “ได้เวลาแล้วสิ”

 

        “อืม อยากรู้จังว่าจะได้มาเจอกันอีกทีเมื่อไหร่นะ”

 

        “ใครจะรู้กันว่าเมื่อไหร่ ฟุฟุ อย่างไรเสียตอนนี้เจ้าก็มีโคฮาคุอยู่ข้างเจ้าแล้วและตอนนี้ข้าก็ไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องแนะนำให้กับเจ้าแล้วก็…..อ๊ะ จริงสินะ ข้ามีสิ่งสุดท้ายที่ต้องบอกกับเจ้า”

 

        ขณะที่พวกเราทั้งสองแทบจะหายไปจนหมดแล้ว ด้วยคำพูดสุดท้าย ชูเท็นได้ทิ้งบางอย่างไว้ให้กับฉัน

 

        “บอกกับโคฮาคุ บอกเธอว่าข้าจักรอในวันที่จะได้พบกับเธอ”

 

        “อ่ะฮ่ะฮ่า รับทราบ ไว้เจอกันนะ”

 

        และหลังจากนั้นพวกเราก็ไม่อาจได้บอกอะไรให้แก่กันได้อีก

        ยมโลกได้สลายไปและกลายเป็นประกายแสงก่อนจะหายไป

 

        ————————————————–

        โน้ต

        จะใช้ไม้ตายได้ก็ต้องเสริมความแข็งแกร่งของตัวเองก่อน นั่นล่ะคือคอนเซ็ปของระบำยักษา

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

วิถีไลฟ์สตรีมของโอนิสาวสายอัดกระแทก 51

Now you are reading วิถีไลฟ์สตรีมของโอนิสาวสายอัดกระแทก Chapter 51 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

        “ถ้างั้นฉันจะไปละนะ”

 

        “เดินทางปลอดภัยนะ”

 

        ณ ทางเข้าออกของอพาทเมนต์ ฉันได้ถูกโอบตัวแน่นและได้ไปส่งรินจัง

        ถึงแม้ว่าหลังจากที่เธอเดินออกนอกตึก ก็มีรถยนต์ที่ดูเหมือนรถหุ้มเกราะจอดรับเธอในทันทีก็ตาม นั่นคงจะเป็นรถหุ้มเกราะที่พ่อของรินจังสั่งทำขึ้นมาให้เธอโดยเฉพาะและใช้เงินไปหลายล้านเยนในการผลิตขึ้นมา

        ฉันโบกมือลาจนกระทั่งเธอเข้าไปในตัวรถและเมื่อรถขับออกไปลับสายตาฉันจึงกลับเข้าไปในตัวตึก

 

        เอาล่ะ ตัดสินใจไปแล้วว่าฉันจะทำอะไรสำหรับวันนี้และวันพรุ่งนี้

        ฉันมีจุดมุ่งหมายเดิมคือการตามรินจังให้ทัน แต่ในระยะเวลาที่ฉันได้พูดคุยกับผู้เล่นคิจินคนอื่นๆเมื่อวานนี้ ฉันก็ได้ข้อมูลที่สำคัญมาล่ะ

        อย่างเช่นว่าหมู่บ้านคิจินอยู่ที่ไหน ข้อมูลของสกิลหายาก ฉันควรจะแวะไปที่นั่นบ่อยๆ…นั่นไม่ใช่สิ่งที่ฉันจะทำโดยทันทีหรอกแต่ดูเหมือนว่านานๆครั้งการเช็คเว็บบอร์ดเองก็น่าสนใจอยู่นะ

 

        ☆

 

        เขตแดนที่บิดเบี้ยวในทุกทิศทาง และศาลเจ้าขนาดใหญ่บริเวณกึ่งกลาง

        หลังจากที่ล็อกอินเข้ามาแล้ว ดูเหมือนว่าฉันก็ถูกลากมาที่ยมโลกอีกครั้งโดยชูเท็นนะ มายังที่ที่ฉันได้เจอกับเธอเป็นครั้งแรก อืม…การถูกบังคับมาอย่างนี้มันก็…

 

        “ดูเหมือนว่าเจ้าจะได้พบกับโคฮาคุแล้วสินะ”

 

        ชูเท็นผู้ปรากฏตัวขึ้นมาพร้อมกับรอยยิ้มยังคงดูเหมือนเดิมกับที่ได้เจอกันในครั้งที่ผ่านมา

        ซึ่งก็หมายความว่าเธอมีรูปลักษณ์เดียวกับอวาตาร์ของฉัน ณ ขณะนั้น ซึ่งก็คือสภาพโทรมและมีรูใหญ่อยู่ตรงท้อง

 

        “ทำไมไม่รักษาบาดแผลไปล่ะ?”

 

        “ช่วยไม่ได้หรอก เมื่อถูกผนึกเช่นนี้แล้ว การที่จะปรากฏตัวขึ้นมายังยากลำบากเลย จักคุ้มค่ากว่าหากใช้สิ่งที่มีอยู่แล้วน่ะ จะเรียกว่า-ดีต่อสภาพแวดล้อม-ก็ยังได้”

 

        นั่นเธอกำลังพูดถึงร่างกายของคนอื่นเป็นสิ่งของอยู่นะ

        งั้นหมายความว่าทุกครั้งที่ฉันถูกลากมาหาชูเท็นก็ต้องเห็นภาพตัวเองในสภาพเละเทะแบบนี้ตลอดเลยเหรอ…?

 

        “ถ้าเจ้าไม่ชอบใจก็รีบเร่งปลดผนึกของข้าสิ”

 

        “ผนึกสินะ…เป็นเรื่องจริงเหรอที่ชูเท็นจะทำอะไรได้ก็ต่อเมื่อผ่านตัวแทนอย่างโดวจิน่ะ?”

 

        “ไม่ผิดแต่อย่างไร เดิมทีแล้วมันเป็นไปไม่ได้ด้วยซ้ำที่จะยุ่งเกี่ยวกับโลกเบื้องบนจากทางยมโลกน่ะ ข้าเพียงแค่ใช้ช่องว่างของกฏที่เรียกว่าอาชีพเท่านั้นเอง แต่ถึงอย่างนั้นสิ่งที่ข้าทำได้ต่อโลกเบื้องบนก็มีน้อยนิด”

 

        ถึงจะบอกมาอย่างนั้น ดูเหมือนว่าอย่างน้อยเธอก็มีพลังพอจะลักพาตัวฉันมานะ

        เอาเถอะ ในเมื่อชูเท็นเป็นถึงตัวตนที่อยู่เหนือโดวจิทั้งหมด ฉันไม่มีเหตุผลอะไรที่จะขัดการสนทนาด้วยการพูดถึงมัน

 

        “ยังไงก็เถอะ ชูเท็นรู้จักกับโคฮาคุสินะ เพราะเห็นบอกว่ายุ่งเกี่ยวกับโลกเบื้องบนไม่ได้ ฉันก็นึกว่าเธอมองเห็นโลกเบื้องบนได้โดยต้องผ่านดวงตาของโดวจิเท่านั้นซะอีก”

 

        “บางครั้งข้าก็มีอิสระในการมองสิ่งที่เป็นไปในโลกเบื้องบนนะ แต่ต้องแลกมากับการที่ข้าไม่อาจยุ่งเกี่ยวกับคิจินได้แม้แต่น้อยเลยก็ตาม”

 

        “หมายถึงเจ้านั่นที่ใส่แต้มโบนัส 1 แต้มลงในค่าปัญญาของพวกเขาสินะ?”

 

        “ถูกต้องแล้ว ข้าไม่พอใจอย่างมากเลยในเรื่องนั้น ทั้งที่โคฮาคุเป็นคิจินที่มีพรสวรรค์มากกว่าข้าด้วยซ้ำเลยแท้ๆ…”

 

        เธอมีสีหน้าที่ดูหงุดหงิดก่อนที่จะหุบพัดในมือของเธอลง

        ก็นะ จากเรื่องราวของเธอ ฉันก็พอจะเดาได้ว่าความแข็งแกร่งของโคฮาคุมากพอที่จะได้รับความเคารพตามที่เธอมีอยู่แล้ว แต่นี่ก็ได้ยืนยันสิ่งนั้นไป ความแข็งแกร่งของโคฮาคุนี่ห่างชั้นไปสุดๆเลย

        บางทีนะ ถ้าแค่ค่าความแข็งแกร่งของโคฮาคุแล้ว  อาจจะไม่ได้น้อยไปกว่าชูเท็นด้วยซ้ำ

        เพราะยังไงซะ โดวจิก็คืออาชีพที่เชี่ยวชาญในด้าน[ความสามารถทางกายภาพ]ที่รวมทั้งหมด ไม่ใช่อาชีพที่เชี่ยวชาญแค่ความแข็งแกร่งเพียงอย่างเดียวสักหน่อย

        แต่ก็นะ ถ้ามองภาพรวมเรื่องอื่นๆด้วยแล้ว การที่โคฮาคุบอกว่าตัวเองเทียบกับชูเท็นไม่ได้เลยเองก็คงไม่ผิดเท่าไหร่หรอก

 

        แล้วก็ จะว่าไปแล้วไม่ใช่ว่าระบบบ้าบอนั่นถูกสร้างขึ้นเพราะเธอไปแอบส่องโลกเบื้องบนไม่ใช่เหรอ? พอมาคิดแบบนี้ก็เหมือนกับว่าชูเท็นทำตัวเองเลยน่ะสิ

        แต่ก็นะ ถ้าหากมีบางสิ่งที่ถูกสร้างให้ใช้แอบมองได้ ไม่ว่ายังไงถึงจุดหนึ่งก็คงต้องมองดูสักครั้งอยู่ดีล่ะนะ

 

        เปลี่ยนหัวข้อสนทนา ราวกับว่าจะเริ่มการพูดคุยกันอย่างจริงจังชูเท็นเรียกให้ฉันไปนั่งใกล้ๆ

        หลังจากที่เทอะไรสักอย่างที่เหมือนจะเป็นแอลกอฮอล์ลงในถ้วยสาเกอันใหญ่ เธอก็ค่อยๆนั่งลงกับพื้นเช่นกัน

 

        “ปุฮ่าห์…แล้วซุคุนะ โคฮาคุได้โชว์[พิธีอวสาน(ซึอิชิกิ)]ให้เธอดูแล้วหรือยัง?”

 

        “พิธีอวสาน?”

 

        “มันคือเทคนิคสุดท้ายของ[ระบำยักษา(โอนิ โนะ มาอิ)]น่ะ อะไรกัน ไม่รู้เรื่องเลยเหรอ?”

 

        “อืม ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย”

 

        บอกมาว่ามันเขียนอย่างนี้ ชูเท็นก็ใช้เครื่องดื่มของตัวเองแทนน้ำหมึกและลากเขียนตัวอักษร「終式」ลงบนพื้น

        ชื่อของเทคนิคสุดท้ายที่ทำให้ฉันรู้สึกถึงความเถรตรง ที่ทำให้รู้สึกว่าจะต้องสละชีวิตในการใช้อย่างไรอย่างนั้น

 

        “ซุคุนะ เจ้าได้รับการอธิบายเกี่ยวกับระบำยักษามาอย่างไร?”

 

        “ก็ มันจะสมบูรณ์หลังจากทำท่ารำทั้งห้าท่า และมันก็เป็นสกิลที่จะเสริมความแข็งแกร่งให้กับผู้ใช้ อะไรอย่างนั้นน่ะ”

 

        “นั่นก็ไม่ผิดหรอก แต่ว่านะ เจ้าโคฮาคุนั่น เธอยังไม่ได้อธิบายถึงจุดประสงค์หลักของระบำยักษาให้เลยสินะ”

 

        พูดออกมาอย่างนั้น ชูเท็นก็ถอนหายใจออกมา ดูผิดหวังเล็กน้อย

        สกิล[ระบำยักษา]เป็นสกิลเฉพาะสำหรับชาวคิจิน และคำอธิบายของสกิลก็บอกว่ามันใช้สำหรับ[เสริมความแข็งแกร่งของผู้ใช้]

        หลังจากที่มีค่าความแข็งแกร่งในระดับหนึ่งแล้วก็จะสามารถได้รับมันมาและหลังจากที่เรียนรู้ท่าร่ายรำก็จะสามารถได้รับความแข็งแกร่งไร้ผู้เทียบเคียงได้ โคฮาคุว่าอย่างนั้นนะ

        ก็ถ้ามองแค่ผลเอฟเฟคของสกิลแล้วก็เป็นอะไรที่เหมือนกับสกิลหมาป่าผู้หิวโหยล่ะนะ

 

        “ฟังไว้ให้ดีนะซุคุนะ มันไม่ผิดเลยที่จะบอกว่าระบำยักษามีไว้เพียงเพื่อให้ผู้ใช้สามารถใช้[พิธีอวสาน]ได้ก็เท่านั้น ถึงแม้ว่าลักษณะสุดท้ายของสกิลที่เกิดขึ้นจะเติบโตจากตัวคิจินนั้นๆเองก็ตามแต่ว่า…ทุกพิธีอวสานจะกลายเป็นไพ่ตายสังหารในนัดเดียวของยักษ์ตนนั้นๆ มันก็คือเทคนิคสุดท้ายแบบนั้นล่ะนะ มันยังเป็นเหตุผลที่โคฮาคุถูกเรียกขานว่า[การทำลายล้าง]และเรียกข้าว่า[คิชิน] ถ้าหากมองไปยังสาเหตุเบื้องหลังชื่อเหล่านั้นเจ้าจะเห็นได้ว่าข้าไม่ได้พูดเกินเลยในเรื่องพลังของพิธีอวสานแต่อย่างใดเลย”

 

        จากคำอธิบายที่เต็มไปด้วยความรู้สึกอันรุนแรง ฉันรู้สึกขนลุกไปทั้งตัว

        สิ่งที่เธอกำลังบอกอยู่ก็คือ

        เป็นไปได้ว่าพิธีอวสานที่ว่าจะสามารถทำลายปราสาทยักษ์ได้ในครั้งเดียวเลยว่างั้นสินะ

 

        “ถ้าโคฮาคุอาจารย์ของเจ้ายังไม่ได้พูดอะไรข้าก็จักปิดปากของข้าลงในเรื่องของพิธีอวสาน สักวันหนึ่ง ข้ามั่นใจว่าเจ้าจะได้เห็นกับตาของตัวเจ้าเอง”

 

        “ทั้งๆที่เป็นคนเริ่มพูดถึงก่อนแท้ๆเนี่ยนะ….”

 

        “ฟุฮ่าฮ่ะฮ่ะฮ่ะฮ่า!”

 

        พอฉันจ้องไปยังชูเท็น เธอก็หัวเราะแล้วกระดกสาเกของตัวเองไปพร้อมๆกับเอาตัวเองออกจากหัวข้อสนทนานั้น

 

        ในเมื่อฉันได้มายังที่แห่งนี้อีกครั้ง ฉันก็มีบางเรื่องที่อยากถามอยู่นะ

        เพราะว่าไม่รู้ว่าฉันจะอยู่ได้อีกนานเท่าไหร่ มาถามกันเท่าที่จะทำได้กันเถอะ

 

        “ชูเท็น รู้จักเรเควียมหรือเปล่า”

 

        “บทเพลงสวดส่งวิญญาณผู้วายชนม์สินะ?”

 

        “….”

 

        “ข-ข้าแค่หยอกเจ้านิดหน่อยเองน่ะ หนึ่งในเจ็ดราชันสวรรค์ เรเควียมผู้เคลื่อนนภาถูกต้องไหม? แน่นอนข้ารู้จัก”

 

        เจ็ดราชันสวรรค์ ศัพท์ใหม่เพิ่มขึ้นมาอีกแล้ว….

 

        “หลังจากที่เจ้าปราบอาเรียลงได้ เจ้าก็ไม่พ้นที่จะต้องสู้กับรอนโดและแฟนตาเซีย จะบอกว่าเจ้าถูกหมายหัวเอาไว้แล้วก็ยังได้ เอาเถอะ ในเมื่อเจ้าชอบพอที่จะสู้กับศัตรูที่แข็งแกร่ง ข้าก็ไม่เห็นว่าจะต้องกังวลอะไรนะ”

 

        “รอนโดกับแฟนตาเซียที่ว่า หมายถึงเจ้าตัวสีดำกับสีขาวสินะ?”

 

        “อูมุ ข้าไม่แนะนำให้เจ้าสู้ไม่ว่ากับตัวไหนตามลำพัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งแฟนตาเซีย แต่เดิมแล้วมันมีสาเหตุที่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่สามารถเอาชนะมันได้ด้วยตัวคนเดียวอยู่แล้วน่ะ”

 

        สีดำก็คือรอนโด ส่วนสีขาวคือแฟนตาเซีย

        ตัวที่โคฮาคุเล่าให้ฉันฟังเมื่อวานนี้ หมาป่าดำแห่งการชุมนุมและหมาป่าขาวแห่งความลวงตา ดีที่ได้ฟังเรื่องของพวกมันเพิ่มขึ้นจากที่นี่นะ

        เมื่อวานนี้จากเว็บบอร์ด ฉันได้รับข้อมูลมาที่ดูเหมือนว่าหมาป่าดำจะอยู่ไม่ห่างจากเมืองที่หกเท่าไหร่ ว่ากันตามตรงแล้ว ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ฉันอาจจะต้องตามหาเพียงแค่หมาป่าขาวก็ได้

        ดูเหมือนว่าข้อมูลพวกนั้นจะหาได้จากเมืองที่ห้า หลังจากที่ฉันไปถึงที่นั่นได้ฉันจะไปตามหาอีกครั้งละกัน

 

        แต่ว่านะ สงสัยจังว่าชูเท็นหมายความว่ายังไงที่บอกว่าฉันไม่สามารถเอาชนะได้[ตามลำพัง]น่ะ?

        มีเหตุผลที่ฉันจะต้องร่วมมือกับคนอื่นด้วยเท่านั้น? หรือว่าอีกฝ่ายแค่แข็งแกร่งกว่ามากๆกันนะ?

        สำหนับตอนนี้แล้ว ฉันจำคำเตือนของชูเท็นเอาไว้ก่อน ยังไงซะหลังจากที่ฉันตามรินจังได้แล้วก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่ฉันจะสู้คนเดียวแล้วน่ะสิ

 

        “ข้าจักเล่าเรื่องราวของเจ็ดราชันสวรรค์ให้ฟัง ฟังไว้ให้ดีล่ะซุคุนะ”

 

        ขณะที่ฉันกำลังเวียนหัวกับการพยายามย่อยข้อมูลที่ได้จากชูเท็น เธอก็วางถ้วยสาเกลงแล้วเปิดปากพูดออกมาด้วยสีหน้าจริงจัง

 

        “ณ ดินแดนแห่งการเริ่มต้นที่ทุกสิ่งได้ถูกหยุดลงนั้นได้เริ่มต้นเคลื่อนไหวขึ้นมา โลกาได้เริ่มขับเคลื่อนอีกครั้ง เหล่ายูนีคในหมู่อสูรต่างย่างก้าวไปทั่วทั้งโลก ความนิ่งงันได้ถูกปัดเป่าออกไป ด้วยสองมือของเจ้า เจ้าได้ปราบส่วนหนึ่งของเจ็ดราชันสวรรค์ด้วยความรวดเร็วและพวกมันเองก็เริ่มเคลื่อนไหวแล้วเช่นกัน แม้จะยังพอมีเวลาอยู่บ้างแต่ไม่ว่าอย่างไร สิ่งที่ได้เคลื่อนตัวแล้วนั้นไม่อาจหยุดยั้งลงได้”

 

        ด-เดี่ยวก่อนสิ นี่มันคอมโบเนื้อหาแบบจัดเต็มไม่มีอั้นเลยนี่!!?

        เอิ่ม…ดินแดนแห่งการเริ่มต้นที่ได้เคลื่อนไหวน่าจะหมายถึงเมืองแห่งการเริ่มต้นที่ผู้เล่นได้ถูกส่งมาใช่ไหม ส่วนที่ว่าโลกาได้ขับเคลื่อนน่าจะเป็นการที่เกมได้เปิดให้บริการนะ ส่วนในหมู่ยูนีคก็หมายถึงอาเรียที่ฉัน-….อุฟ

 

        “ข้าอาจได้ให้แนวทางแก่เจ้าไปบ้างแต่อย่าได้เร่งรีบในการปลดปล่อยข้าออกจากผนึกมากเกินไปเสียล่ะ สำหรับตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดที่เจ้าควรจะใส่ใจคือเพิ่มความแข็งแกร่งของตัวเองต่อไปเช่นเดิม เจ้าและโดวจิตนอื่นๆรวมไปถึงเหล่าคิชิน เสริมความแข็งแกร่งของพวกตนแล้วนั่นจะช่วยในการปลดปล่อยข้าออกจากผนึกนี้”

 

        จากคำพูดของชูเท็น ฉันตัดสินใจได้อย่างลำบากว่าจะพยักหน้ารับคำไปง่ายๆดีหรือไม่

 

        “แต่ว่า ฉันเองก็สัญญากับโคฮาคุเอาไว้…”

 

        “ไม่ใช่ว่าข้าไม่เจ้าใจในความรู้สึกของเจ้าหรอกนะ หากแต่ว่าเด็กคนนั้น เจ้าคิดว่าเธอรอมากี่ปีแล้วกัน? เธอไม่ใส่ใจหรอกถ้าจะต้องรออีกสักนิด กลับกันแล้วการที่เธอสอนระบำยักษาให้กับเจ้าแสดงว่าเธอเองก็มีความคิดเช่นเดียวกับข้า”

 

        นุ…พอบอกมาแบบนั้นฉันก็เข้าใจเหมือนกันแฮะ

        ช่วงเวลาภายในเกมของฉันนั้นช่างวุ่นวายจนฉันลืมไปเลยว่า นี่พึ่งจะผ่านมาแค่สัปดาห์เดียวเองตั้งแต่ที่ฉันเริ่มเล่น WLO

 

        ทั้งเควสของชูเท็นและเควสของโคฮาคุ ทั้งสองคงต้องให้ฉันมีเลเวลถึงสามหลักเสียก่อนได้มั้งถึงจะเริ่มได้น่ะ เควสพวกนั้นก็แค่มีระดับความยากสูงไปนั่นล่ะ

        แล้วก็ ครั้งล่าสุดที่ฉันมาที่นี่ ฉันได้ยินอะไรเกี่ยวกับสิ่งที่ข้ามขั้นของ[โดวจิ]ไปด้วยอีก ไม่ว่าฉันจะอยากทำตามเป้าหมายนั้นหรือไม่ ยังไงฉันก็คงต้องเพิ่มเลเวลและสกิลของตัวเองก่อนสินะ

 

        และเหนือสิ่งอื่นใด นี่ก็คือเกม ถึงแม้ว่าฉันจะมีเป้าหมายที่พิเศษออกไป แต่ก็คงน่าเสียดายแย่ถ้ารีบเสียจนผ่านจุดที่สนุกไปน่ะ

        ถ้าฉันใช้เวลาเพื่อเล่นให้สนุกพร้อมๆกับพัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆ ฉันก็จะค่อยๆเข้าใกล้สัญญาที่ฉันให้ไว้กับทั้งสองเองนั่นล่ะนะ

        หลังจากที่มองย้อนไปยังความเร่งรีบของตัวเอง คำพูดของชูเท็นก็เหมือนศรปักมาที่อกของฉันทำให้ฉันใจเย็นลงมาบ้าง

 

        “ฟุ มีแววตาที่ดีเลยนี่ ถึงแม้ว่าจะน่าผิดหวังที่ข้าจะไม่ได้เห็นมันไปอีกสักพักล่ะนะ…”

 

        “เอ๋?”

 

        “เพราะข้าได้มาสื่อสารกับเจ้า ข้าก็ได้ใช้พลังที่มีไปแทบจะหมดในเวลาอันสั้น เพราะฉะนั้นข้าจึงต้องรวบรวมพลังอีกครั้ง”

 

        “อ่า แบบนั้นเองสินะ”

 

        เธอถึงกับอธิบายให้ฉันฟังแบบนี้

        คงใกล้หมดเวลาแล้วจริงๆสินะ

 

        พอฉันคิดอย่างนั้น ทั้งชูเท็น ตัวฉัน และพื้นด้านล่างก็ค่อยๆสลายไปก่อนจะรวมกันกลายเป็นประกายแสง

 

        “ได้เวลาแล้วสิ”

 

        “อืม อยากรู้จังว่าจะได้มาเจอกันอีกทีเมื่อไหร่นะ”

 

        “ใครจะรู้กันว่าเมื่อไหร่ ฟุฟุ อย่างไรเสียตอนนี้เจ้าก็มีโคฮาคุอยู่ข้างเจ้าแล้วและตอนนี้ข้าก็ไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องแนะนำให้กับเจ้าแล้วก็…..อ๊ะ จริงสินะ ข้ามีสิ่งสุดท้ายที่ต้องบอกกับเจ้า”

 

        ขณะที่พวกเราทั้งสองแทบจะหายไปจนหมดแล้ว ด้วยคำพูดสุดท้าย ชูเท็นได้ทิ้งบางอย่างไว้ให้กับฉัน

 

        “บอกกับโคฮาคุ บอกเธอว่าข้าจักรอในวันที่จะได้พบกับเธอ”

 

        “อ่ะฮ่ะฮ่า รับทราบ ไว้เจอกันนะ”

 

        และหลังจากนั้นพวกเราก็ไม่อาจได้บอกอะไรให้แก่กันได้อีก

        ยมโลกได้สลายไปและกลายเป็นประกายแสงก่อนจะหายไป

 

        ————————————————–

        โน้ต

        จะใช้ไม้ตายได้ก็ต้องเสริมความแข็งแกร่งของตัวเองก่อน นั่นล่ะคือคอนเซ็ปของระบำยักษา

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+